ทำความรู้จัก “ข้อมูลส่วนบุคคล” และ “การล่อลวงแบบฟิชชิ่ง”

ทรูมันนี่

ทำความรู้จัก “ข้อมูลส่วนบุคคล” และ “การล่อลวงแบบฟิชชิ่ง”

ทรูมันนี่จัดเต็ม 4 มาตรการความปลอดภัย เสริมเกราะการใช้จ่ายผ่านอีวอลเล็ทให้แก่ผู้ใช้งาน พร้อมเสนอยึดหลัก “3ร” ป้องกันตกเป็นเหยื่อล่อลวงทางการเงินในยุคไซเบอร์

ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตตั้งแต่เราลืมตาตื่นจนเข้านอน หลายคนใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อติดต่อสื่อสารและทำธุรกรรมผ่าน e-Money อยู่เป็นประจำ ข้อมูลจาก ธปท. ระบุจำนวนบัญชี e-Money ณ ธันวาคม 2563 มีมากกว่า 107 ล้านบัญชี ยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัลและกระแสการใช้จ่ายผ่านออนไลน์มีความสะดวกและเติบโตมากขึ้นเท่าไร กลโกงของมิจฉาชีพก็เพิ่มความแนบเนียนและมีความหลากหลายมากขึ้นเท่านั้น จนเกิดกรณีที่มีผู้ตกเป็นเหยื่ออยู่บ่อย ๆ ซึ่งสิ่งที่มิจฉาชีพต้องการจากเราหลัก ๆ นอกจาก “เงิน” แล้ว ก็ยังมี “ข้อมูลส่วนบุคคล” ที่มักใช้กลลวงให้ได้มาโดยวิธีที่เรียกว่า ‘ฟิชชิ่ง’ (Phishing) ซึ่งก็คือการเอาเหยื่อล่อให้เราหลงเชื่อและทำตาม โดยใช้ชั้นเชิงปลอมแปลงแม้กระทั่งชื่อผู้ส่งข้อความ SMS ไปที่เบอร์ของเหยื่อพร้อมแนบลิงค์ไปยังเว็บที่ทำขึ้นปลอมและแสร้งเป็นผู้ให้บริการต่าง ๆ เพื่อให้เหยื่อหลงกรอกข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องมีสติและใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อได้รับการติดต่อในรูปแบบดังกล่าว

 

ข้อมูลส่วนบุคคล คืออะไร?

ข้อมูลส่วนบุคคล คือข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตนหรืออัตลักษณ์ของบุคคลนั้น ๆ ได้ ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่จะทำให้คนที่ได้ข้อมูลชุดนั้นไปสามารถเข้าถึงโปรไฟล์ของบริการต่าง ๆ ของเจ้าของข้อมูล อาทิ บัตรประชาชน ใบขับขี่ ทะเบียนบ้าน รูปภาพใบหน้า ลายนิ้วมือ เลขบัญชีธนาคาร เลขบัตรเครดิตรวมถึงเลขหลังบัตร เบอร์มือถือ ชื่อผู้ใช้ (Username) รหัสผ่าน (Password) และอาจรวมถึงรหัสผ่านแบบใช้ได้ครั้งเดียวหรือ OTP (One Time Password) ที่อาจผูกอยู่กับบริการหรือแอปฯ ทางการเงินต่าง ๆ ของเรา เป็นต้น ซึ่งมิจฉาชีพพอได้ไปแล้วก็สามารถเอาไปทำธุรกรรมในรูปแบบต่าง ๆ เสมือนเป็นเจ้าของข้อมูล โดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว

ฟิชชิ่ง_ทรูมันนี่

การล่อลวงฟิชชิ่ง (Phishing) อันตรายแค่ไหน จะระวังหรือป้องกันตัวอย่างไร?

Phishing หากแปลจากเสียงอ่านก็เหมือนกับ “การตกปลา” ซึ่งการจะตกปลาให้ได้นั้นต้องใช้ “เหยื่อล่อ” ซึ่ง Phishing เป็นหนึ่งในกลโกงที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยวิธีที่มิจฉาชีพมักใช้เพื่อล่อเอาข้อมูลส่วนบุคคลของเรานั้นหลากหลายและบางครั้งก็แนบเนียนมาก ตั้งแต่การส่งอีเมล ข้อความทางแชต หรือ SMS พร้อมลิงก์ปลอมโดยแอบอ้างชื่อหรือโลโก้แบรนด์อื่น รวมถึงปลอมแปลงเอกสารทางการเกี่ยวกับบริษัทเพื่อให้ดูเหมือนน่าเชื่อถือก็มีมาแล้ว จากนั้นก็นำเสนอสินค้าหรือบริการ อาทิ เล่มเกม ลงทุน เสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ฯลฯ หรือแม้แต่สวมรอยเป็นหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่สถาบันทางการเงินที่น่าเชื่อถือ ติดต่อเราโดยการโทร ส่งข้อความ อีเมลสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ จนเราหลงเชื่อและลวงให้เราทำตามขั้นตอน เช่น คลิกลิงค์ บอกข้อมูลส่วนตัวสำคัญ ๆ  จนไปถึงให้ OTP แล้วก็ใช้ข้อมูลของเราล็อกอินเข้าบัญชีแอปฯ การเงินเพื่อเปลี่ยนการแจ้งเตือน รวมถึงดูดเงินออกจากบัญชี

ด้วยความห่วงใยความปลอดภัยในการทำธุรกรรมการเงินของผู้ใช้ ทรูมันนี่ ในฐานะผู้ให้บริการอีวอลเล็ทชั้นนำในประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญสูงสุดในเรื่องความปลอดภัยและมี 4 มาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันความปลอดภัยและดูแลผู้ใช้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้บริการทรูมันนี่ได้อย่างสบายใจ ได้แก่

ทรูมันนี่_ฟิชชิ่ง
    1. ระบบความปลอดภัยระดับโลก เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดให้สอดคล้องกับนโยบาย Digital ID ทรูมันนี่ได้นำเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า Biometric Facial Recognition (e-KYC) มาใช้ เพื่อช่วยป้องกันการฉ้อโกงทางออนไลน์และทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจในการทำธุรกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ การยืนยันตัวตนในระดับสูงสุด เช่น การไปเสียบบัตรประชาชนที่หน่วยให้บริการและสแกนใบหน้า ยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงบริการใหม่ ๆ เช่น การฝากเงินดอกเบี้ยสูงผ่านแอปฯ ซึ่งสอดคล้องกับระดับการยืนยันตัวตนที่ภาครัฐกำหนดในการใช้บริการดังกล่าว
    2. การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการจะถูกจัดเก็บตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยระดับสากลตามที่กฏหมายกำหนด โดยข้อมูลดังกล่าวนั้นจะนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์การให้บริการเท่านั้น
    3. ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยและจัดการความเสี่ยง ที่ได้รับใบรับรอง Professional Security Certifications ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกที่ได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล พร้อมพัฒนาแอปพลิเคชั่นและดูแลป้องกันการฉ้อโกงโดยร่วมมือกับหน่วยงานป้องกันและปราบปราม รวมถึงหน่วยงานภาครัฐฯ นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการ “Service Monitoring Center” เพื่อคอยตรวจสอบคุณภาพบริการและระบบเครือข่ายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง
    4. TrueMoney Customer Care คอยดูแลอำนวยความสะดวกผู้ใช้งานให้อุ่นใจในการทำธุรกรรมการเงิน พร้อมให้คำแนะนำและช่วยเหลือเมื่อพบปัญหา หรือมีข้อสงสัยในการใช้งาน สามารถติดต่อได้ทั้งช่องทาง Live Chat บนแอปพลิเคชั่น และ Call Center 1240 ตลอด 24 ชั่วโมง

โดย ทรูมันนี่ นำเสนอแนวทางป้องกันการถูกล่อลวงโดยยึดหลัก “3ร” ดังนี้

    • ร – ระมัดระวัง… ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวใด ๆ แก่ผู้ติดต่อเข้ามาทั้งที่ไม่แน่ใจและไม่ได้ตรวจสอบก่อน ให้สังเกตความผิดปกติต่าง ๆ จากการติดต่อสื่อสารที่ได้รับ อาทิ ชื่อลิงค์เว็บไซต์ไม่ตรงกับแบรนด์ที่แอบอ้าง การขอข้อมูลที่จะทำให้ผู้ขอสามารถเข้าถึงเงินในบัญชีเราได้ เป็นต้น
    • ร – รอบคอบ… อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ไม่ว่าข้อเสนอที่ได้จะดีแค่ไหน สามารถขอติดต่อกลับในช่องทางติดต่ออย่างเป็นทางการ หรือขอข้อมูลผู้ติดต่ออย่างละเอียด เช่น ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทร และตรวจสอบโดยตรงผ่านช่องทางทางการของแบรนด์นั้น ๆ อาทิ อีเมลที่ระบุใน Official Website และ Call Center เป็นต้น
    • ร – รอบรู้… อัปเดทข่าวสารกลโกงมิจฉาชีพทั้งสำหรับความปลอดภัยของตนเอง และไว้เตือนคนรอบข้าง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และเยาวชน ให้เข้าใจถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคล และฉลาดใช้เทคโนโลยีโดยไม่เสี่ยงตกเป็นเหยื่อ

 

ทั้งนี้ ทรูมันนี่ ขอให้ผู้ใช้โปรดใช้ความระมัดระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง ชื่อ และโลโก้ทรูมันนี่ หรือ บริษัทในเครือ อย่าง แอสเซนด์ นาโน และมี “สติ” ตรวจสอบก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง หรือหากมีข้อสงสัยโปรดติดต่อช่องทางสื่อสารทางการของทรูมันนี่ หรือ โทร 1240

“TrueMoney” จับมือ “เอ็มเค สุกี้” และ “ยาโยอิ” รับเทรนด์ Cashless เพิ่มจุดรับชำระผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet รวมกว่า 650 สาขาทั่วไทย

“TrueMoney” จับมือ “เอ็มเค สุกี้” และ “ยาโยอิ” รับเทรนด์ Cashless เพิ่มจุดรับชำระผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet รวมกว่า 650 สาขาทั่วไทย

พร้อมมอบแคมเปญ “ใช้ง่าย จ่ายคุ้ม” เพียงชำระเงินผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet เมื่อทาน “MK” ครบ 500 บาท รับเงินคืน 50 บาท หรือ ทานเมนูจากร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ ครบ 300 บาท รับเงินคืน 30 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม ศกนี้

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จับมือกับ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำเครือข่ายธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย ร่วมผลักดันสังคมไร้เงินสดที่กำลังเติบโตต่อเนื่องด้วยการเปิดจุดรับชำระผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet ที่ “MK” และร้านอาหารญี่ปุ่น “ยาโยอิ” ทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกและมอบความคุ้มค่าในการใช้จ่ายแบบปลอดภัยไร้สัมผัสให้กับผู้ใช้ทรูมันนี่กว่า 17 ล้าน

พิเศษ! กับแคมเปญ “ใช้ง่าย จ่ายคุ้ม” เพียงลูกค้าชำระเงินผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet เมื่อทาน    อาหารที่ “MK” มูลค่าครบ 500 บาท รับเงินคืน 50 บาท หรือเลือกทานอาหารญี่ปุ่นที่ “ยาโยอิ” มูลค่าครบ 300 บาท รับเงินคืน 30 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม 2564 (หรือจนกว่าจำนวนสิทธิ์จะหมด) เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสและความเสี่ยงจากการติดเชื้อโรคจากเงินสด

สำหรับผู้สนใจสามารถคลิกอ่านรายละเอียดและเงื่อนไขแคมเปญ “ใช้ง่าย จ่ายคุ้ม” ได้ที่ https://www.truemoney.com/a/mk-retail/ และ https://www.truemoney.com/a/yayoi-retail/ ติดต่อ Call Center โทร 1240

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เปิดโมเดล “CASHLESS CINEMA” แห่งแรกของไทย ที่ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต สะดวก ปลอดภัย ลดการสัมผัส กับไลฟ์สไตล์บันเทิงยุค New Normal

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เปิดโมเดล “CASHLESS CINEMA” แห่งแรกของไทย ที่ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต สะดวก ปลอดภัย ลดการสัมผัส กับไลฟ์สไตล์บันเทิงยุค New Normal

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป_ทรูมันนี่

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ร่วมส่งเสริมและตอบรับสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) เพิ่มความสะดวก ปลอดภัย ลดการสัมผัส ในยุค New Normal เปิดโมเดล “โรงภาพยนตร์ไร้เงินสด CASHLESS CINEMA” แห่งแรกของไทย ที่ โรงภาพยนตร์ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต  ดีเดย์ 7 เมษายนนี้  ให้ลูกค้าซื้อตั๋วหนังผ่านทางออนไลน์และตู้จำหน่ายตั๋วหนังอัตโนมัติ E-Ticket พร้อมชำระค่าตั๋วหนังผ่านออนไลน์เพย์เม้นท์รูปแบบต่าง ๆ ตั้งเป้าขยายครบ 10 สาขาใหญ่ในกรุงเทพฯ ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 และขยายครบทุกสาขาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดภายในสิ้นปี 2565 โดยจับมือพันธมิตรผู้นำด้านออนไลน์เพย์เม้นท์ อาทิ K PLUS, ทรู มันนี่, ช้อปปี้ เพย์ และดอลฟิน วอลเล็ท มอบสิทธิพิเศษดีๆ ให้กับลูกค้าที่ชำระผ่านช่องทาง Cashless

นายนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป พร้อมเปิดบริการ “โรงภาพยนตร์ไร้เงินสด CASHLESS CINEMA” แห่งแรกของไทย ด้วยบริการซื้อและรับชำระค่าตั๋วหนังแบบไร้เงินสด ในคอนเซ็ปท์ สะดวก ปลอดภัย ลดการสัมผัส ให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์บันเทิงยุค New Normal ได้อย่างมั่นใจ เริ่มสาขาต้นแบบแห่งแรกที่ โรงภาพยนตร์ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายนนี้ เป็นต้นไป

โรงภาพยนตร์ไร้เงินสด CASHLESS CINEMA ให้บริการซื้อตั๋วหนังแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบ จะไม่มีพนักงานขายตั๋วหนัง ไม่มีเคาน์เตอร์ Box Office จำหน่ายตั๋วหนัง เป็นการซื้อตั๋วหนังแบบ Self Service ผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ เว็บไซต์ www.majorcineplex.com, แอพพลิเคชั่น Major Cineplex, ซื้อผ่านตู้จำหน่ายตั๋วหนังอัตโนมัติ E-Ticket ด้านหน้าโรงภาพยนตร์ แล้วเลือกชำระค่าตั๋วหนังด้วยระบบออนไลน์เพย์เม้นท์ต่าง ๆ เช่น ชำระผ่านคิวอาร์โค้ด, อีวอลเล็ท, โมบายแบงก์กิ้ง, แอพพลิเคชั่นธนาคาร, พร้อมเพย์ ตลอดจนการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต, บัตรเดบิต, บัตร M Gen, บัตร M CASH

นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถซื้อป๊อปคอร์น เครื่องดื่ม และสินค้าอื่น ๆ ที่ จุดจำหน่ายขนมและเครื่องดื่ม (Concession) ได้ด้วยบริการ Cashless ผ่านช่องไลน์ออนไลน์เพย์เม้นท์และบัตรต่าง ๆ ได้อีกด้วย

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมและตอบรับสังคมไร้เงินสด พร้อมเป้าหมายสำคัญซึ่งต้องการให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการใช้บริการและมั่นใจกับการดูหนังในยุค New Normal และจะช่วยลดการสัมผัสเงินโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทุกคนต้องระมัดระวังและดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ตลอดจน ลูกค้ายังมีส่วนช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมจากการใช้บริการ Rekeep การใช้คิวอาร์โค้ดแทนตั๋วหนังกระดาษ เป็นการลดการใช้กระดาษ Paperless โดยสามารถแสดงคิวอาร์โค้ดเลขที่นั่งและโรงภาพยนตร์ก่อนเข้าโรงภาพยนตร์ผ่านเครื่อง Smart Ticket บริเวณทางเข้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งสอดรับกับโครงการ Green Cinema โรงภาพยนตร์รักษ์โลก ที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ดำเนินการอยู่

นายนรุตม์ กล่าวถึงแผนการขยายสาขาโรงภาพยนตร์ไร้เงินสด Cashless Cinema ว่า ได้วางแผนขยายสาขาในกรุงเทพฯ เพิ่มอีก 9 สาขา ภายในวันที่ 1 กรกฏาคม 2564 ดังนี้ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สาขา รัชโยธิน, รังสิต, พระราม 3, พารากอน ซีนีเพล็กซ์, เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดา, อีสต์วิลล์ ซีนีเพล็กซ์, เมกา ซีนีเพล็กซ์, เวสต์เกต ซีนีเพล็กซ์ และไอคอน ซีเนคอนิค จากนี้หลังเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ไร้เงินสด Cashless Cinema จะทำให้สัดส่วนการรับชำระค่าสินค้าและบริการจากเงินสด (Cash) เป็น 0% และชำระแบบไร้เงินสด (Cashless) 100% ที่ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต เริ่มตั้งแต่วันนี้ 7 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จากนั้น 100% ชำระแบบไร้เงินสด (Cashless) ที่ 10 สาขาในกรุงเทพฯ ภายในวันที่ 1 กรกฏาคม 2564 และ 100% ชำระแบบไร้เงินสด (Cashless) ครอบคลุมทุกสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และในจังหวัดหลัก ๆ ภายใน 31 ธันวาคม 2564 โดยโมเดลโรงภาพยนตร์ไร้เงินสด Cashless Cinema จะครอบคลุมครบทุกสาขาของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ภายในสิ้นปี 2565 จากปัจจุบันรับชำระจากเงินสด (Cash) 7% และชำระแบบไร้เงินสด (Cashless) 93%

นายนรุตม์ กล่าวว่า แนวคิดสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ที่ผ่านมาในหลายประเทศมีการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า, ตลาดสด, การขนส่งสาธารณะ สำหรับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป พร้อมที่จะร่วมส่งเสริมและตอบรับสังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้พัฒนาระบบการชำระเงินแบบไร้เงินสดมาโดยตลอด อาทิ บัตร M Cash, M Gen, M Pass, App Major Cineplex ตลอดจน ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นผู้นำด้านออนไลน์เพย์เม้นท์รูปแบบต่างๆ อาทิ K PLUS, ทรูมันนี่, ช้อปปี้ เพย์, ดอลฟิน วอลเล็ท ฯลฯ ในการมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการซื้อตั๋วหนังพร้อมชำระผ่านช่องทางออนไลน์เพย์เม้นท์ เช่น ส่วนลดการซื้อตั๋วหนังในราคาพิเศษ จึงเชื่อมั่นว่าสังคมไร้เงินสดและโรงภาพยนตร์ไร้เงินสดจะเกิดขึ้นได้ หากได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย ลดการสัมผัส ที่มาพร้อมสิทธิพิเศษดี ๆ ที่มากกว่าการชำระด้วยเงินสด

นายอมร สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยยินดีที่ได้ร่วมมือกับทาง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เพื่อให้บริการรับชำระเงินในหลายช่องทาง สำหรับ Cashless Cinema เป็นตัวอย่างที่ดีที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ชอบความสะดวกสบาย โดยลูกค้าสามารถซื้อตั๋วหนังผ่านแอปพลิเคชั่น Major Cineplex ซึ่งสามารถชำระเงินด้วยบัตรเดบิต บัตรเครดิต หรือ K PLUS ส่วนลูกค้าที่มาที่สาขาของ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สามารถซื้อผ่านตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ  โดยไม่ต้องใช้เงินสดเช่นกัน นอกจากนี้บนแอปพลิเคชั่น K PLUS ของธนาคารกสิกรไทย หากลูกค้ามีคะแนน K Point ก็สามารถแลกคะแนนเป็นตั๋วหนังในราคาพิเศษ ได้ผ่านเมนู K+ market  ส่วนลูกค้าที่เป็นสมาชิก M Gen ก็สามารถเติมเงินเข้าบัตรผ่านเมนูเติมเงินบน K PLUS ได้เองเช่นกัน โดยไม่ต้องสัมผัสเงินสดรับมือยุค New Normal

นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค จำกัด ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่น ดอลฟิน วอลเล็ท กล่าวว่า ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคไทยสมัยนี้พัฒนาสู่ยุค Digital อย่างรวดเร็ว และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของคนไทยแบบก้าวกระโดดให้หันมาใช้การชำระเงินแบบ e-payment แทนการใช้เงินสด เพื่อลดการสัมผัส ลดเสี่ยงในการชำระค่าสินค้าและบริการด้านต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลนี้ สอดคล้องกับการพัฒนาแพลทฟอร์มทางการเงินของเราเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนไทย และผลักดันวงการเงินไทยสู่สังคมยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

โอกาสนี้ทางเซ็นทรัล เจดี ฟินเทคก็ได้ร่วมมือกับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจสำคัญของเรา เพื่อร่วมกันผลักดันโมเดล “โรงภาพยนตร์ไร้เงินสด CASHLESS CINEMA” ที่เน้นให้บริการจำหน่ายตั๋วหนังแบบไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเพิ่มความสะดวกสบายในการชำระเงินค่าตั๋วหนัง ซื้อ     ป๊อปคอร์นหรือเครื่องดื่มผ่านแอพพลิเคชั่นดอลฟิน วอลเล็ทแทนการชำระด้วยเงินสด พร้อมมอบสิทธิพิเศษ    สุดฟินสำหรับลูกค้าดอลฟินด้วยตั๋วหนังราคาพิเศษ 99 บาท ชุดป๊อปคอร์นพร้อมเครื่องดื่มราคาเพียง 139 บาท และลูกค้าที่สมัครแอปพลิเคชันดอลฟินครั้งแรกรับเลยตั๋วหนังราคาพิเศษ 55 บาท 

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายทางพาณิชย์ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ ทรูมันนี่ มีความยินดีที่ได้ขยายการจับมือเป็นพันธมิตรกับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ในครั้งนี้ ทั้งนี้ ทรูมันนี่ ได้รณรงค์การใช้ Cashless มาโดยตลอด และมีแคมเปญเชิญชวนให้ใช้แอพแทนเงินสด ลดสัมผัส มาตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 โดยนอกเหนือจากก่อนหน้านี้ที่เราให้บริการจองและชำระตั๋วภาพยนตร์ของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ผ่านแอพทรูมันนี่ วอลเล็ท ในเร็ว ๆ นี้ผู้ใช้ของเราจะสามารถใช้แอพทรูมันนี่ วอลเล็ท ชำระเงินเพื่อซื้อตั๋วภาพยนตร์ในช่องทางอื่น ๆ ได้เพิ่มเติมภายใต้โมเดล Cashless Cinema ของทางเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ทั้งการซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์ www.majorcineplex.com, แอพ Major Cineplex, ซื้อผ่านตู้จำหน่ายตั๋วหนังอัตโนมัติ E-Ticket ด้านหน้าโรงภาพยนตร์ และในช่วงกลางปีจะมีแผนเปิดให้ผู้ใช้ Top-up ไปบัตร M Gen และ M Cash ได้ ซึ่งจากการที่ทรูมันนี่ เป็นอีวอลเล็ทในกลุ่ม non-bank ที่มีผู้ใช้แอคทีฟมากสุดถึง 17 ล้านราย เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือกับทางเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ในครั้งนี้ จะช่วยผลักดันการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดให้เป็นส่วนหนึ่งในไลฟสไตล์ของคนไทยได้มากขึ้นอย่างแน่นอน”

นายศุภวิทย์ หงส์อมรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ บริษัท ช้อปปี้เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เนื่องด้วยสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบัน ShopeePay อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับสังคมไร้เงินสดมากขึ้น โดย ShopeePay เป็นหนึ่งในช่องทางการชำระเงินออนไลน์ที่นับว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทั้งคนรุ่นใหม่ที่ใช้ช่องทางการชำระเงินออนไลน์กันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว  และคนเจนเนอร์เรชั่นอื่นๆ ที่เริ่มหันมาใช้กันมากขึ้นในช่วงสถานการณ์ COVID-19 เพราะช่วยให้คนไทยลดโอกาสการติดเชื้อ และยังมอบความสะดวกสบายในการใช้งาน ง่าย และรวดเร็ว

นอกจากที่ ShopeePay มีบริการการชำระเงินและทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ อย่างครอบคลุม เรายังให้บริการจองตั๋วภาพยนตร์ทั้งในช่องทาง online และ offline โดยลูกค้าสามารถเลือกจองตั๋วหนังได้ง่าย ๆ ทั้งบนแอพพลิเคชั่น Shopee และ ShopeePay จองตั๋วหนังบนแอพพลิเคชั่น Major Cineplex และจ่ายผ่าน ShopeePay หรือจะสแกนจ่ายด้วย ShopeePay ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติในโรงภาพยนต์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์    ก็ได้เช่นกัน ลูกค้าสามารถทำทุกอย่างจบได้ในแอปเดียว แถมยังสบายกระเป๋า เพราะ ShopeePay คัดสรรดีลเด็ดและสิทธิพิเศษมาเพื่อลูกค้า เช่น ตั๋วหนังราคาเริ่มต้นเพียง 99 บาท/ที่นั่ง ใน Shopee, Coins Cashback คืน 60% ทุกวันพุธ, ป้อปคอร์นราคา 9 บาท และสำหรับการสแกนจ่ายผ่าน ShopeePay ที่ตู้จำหน่ายตั๋วหรือจุดซื้ออาหารและเครื่องดื่ม ลูกค้ามีสิทธิ์รับ Coins Cashback คืน 30% สูงสุด 20 Coins  และโปรโมชั่นดี ๆ อีกมากมายที่จะออกมาเอาใจคอหนังทุกเดือน”

เงินติดล้อ จับมือ TrueMoney และ Makro นำเสนอสินเชื่อและประกันภัยให้ลูกค้า

เงินติดล้อ จับมือ TrueMoney และ Makro นำเสนอสินเชื่อและประกันภัยให้ลูกค้า

ทรูมันนี่_เงินติดล้อ

เงินติดล้อ ร่วมกับ แอสเซนด์ นาโน และแม็คโคร ร่วมออกบูธนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการจากเงินติดล้อให้กับลูกค้าผู้ใช้บริการทรูมันนี่ และห้างสรรพสินค้าแม็คโคร ทั้งสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันแบบครบวงจร อาทิ รถมอเตอร์ไซค์ รถเก๋ง รถกระบะ และรถบรรทุก นอกจากนี้ยังมีนายหน้ามืออาชีพที่มีใบอนุญาตถูกต้องพร้อมให้คำปรึกษาและเปรียบเทียบข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่างๆ อาทิ ประกันภัยรถยนต์ สามารถแบ่งจ่ายค่าเบี้ยประกันรถยนต์ได้ ไม่มีดอกเบี้ยระยะเวลาสูงสุด 6 งวด คุ้มครองทันทีที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยตั้งแต่งวดแรก อีกทั้งยังมีบริการรับต่อ พ.ร.บ. ฟรี ไม่มีค่าบริการเพิ่ม โดยลูกค้าสามารถเลือกรับข้อเสนอผลิตภัณฑ์ประกันที่ตรงความต้องการมากที่สุดจากกลุ่มบริษัทพันธมิตรประกันภัยชั้นนำ 16 แห่ง ผู้สนใจสามารถรับบริการได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่บูธทรูมันนี่ ภายในห้างสรรพสินค้าแม็คโคร 3 สาขา ได้แก่ สาขาแจ้งวัฒนะ สาขาบางบอน และสาขาศรีนครินทร์ สอบถามได้ที่ call center หมายเลขโทรศัพท์ 088-088-0880

“โค้งสุดท้าย “ลดหย่อนภาษี” เปลี่ยนเงินโบนัส-รายได้ให้กลายเป็น “เงินออม” ทรูมันนี่แนะ 4 ข้อพิจารณาก่อนเลือกลงทุนเพื่ออนาคตกับ e-Wallet”

"โค้งสุดท้าย “ลดหย่อนภาษี” เปลี่ยนเงินโบนัส-รายได้ให้กลายเป็น “เงินออม” ทรูมันนี่แนะ 4 ข้อพิจารณาก่อนเลือกลงทุนเพื่ออนาคตกับ e-Wallet"

นอกจากเรา “เสียภาษีทางตรง” จากการที่กรมสรรพากรเรียกเก็บทุกปีอย่าง “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” หรือ “ภาษีนิติบุคคล” แล้ว ยังมี “เสียภาษีทางอ้อม” ที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากผู้บริโภคเมื่อขายสินค้าและบริการต่าง ๆ อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specification Business Tax) และอากรแสตมป์ (Stamp Duty) โดยข้อมูลการเก็บภาษีจากกรมสรรพากรที่รวบรวมโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ระบุในปี 2562 “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” คือภาษีที่มีมูลค่าการจัดเก็บสูงที่สุดถึง 6 แสนล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าการใช้จ่ายแต่ละวันของเราล้วนข้องเกี่ยวกับการเสียภาษี ตั้งแต่เราลืมตาตื่นหยิบยาสีฟันหลอดใหม่ที่เพิ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเมื่อคืน เติมน้ำมันรถในปั้มข้างบ้านหรือซื้อตั๋วโดยสารรถประจำทางเพื่อไปทำงานต่อ จ่ายเงินซื้ออาหารจานด่วนหลากหลายมื้อตามร้านอาหาร ไปจนถึงการจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ต และค่าช็อปปิ้งใน Supermarket รวมถึงการช็อปในโลกออนไลน์

ข้อมูลจาก ธปท. ระบุ ณ เดือนกันยายน 2563 คนไทยมีเงินฝากเฉลี่ยต่อบัญชีเพียง 4,754 บาทเท่านั้น! สวนทางกับความเป็นจริงที่ว่า “เงินออม” เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในทุกช่วงของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงเริ่มต้นทำงานในวัย 24-25 ปี ที่หลายคนต้องการเก็บเงินเพื่อรถคันแรก หรือขยับมาช่วงวัย 28-35 ปี ที่อยากเก็บเงินไว้สร้างครอบครัว บ้านหลังแรก และเป็นทุนการศึกษาให้ลูก หรือแม้แต่ช่วงเกษียณในวัย 60 ปี สำหรับผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 11-12 ล้านราย และกลุ่มผู้เสียภาษีหน้าใหม่อย่างวัยเริ่มต้นทำงาน ถึงเวลาแล้วที่ควรเริ่มลงมือวางแผน “ลดหย่อนภาษี” อย่างจริง ๆ จัง ๆ เพราะเป็นสิทธิที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ นอกจากสร้างหลักประกัน ลดค่าใช้จ่าย แถมยังเพิ่มเงินออมเก็บไว้ใช้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในอนาคต หากเราวางแผนไว้แต่เนิ่น ๆ ก็จะมีเงินออมใช้จ่ายเหลือ ๆ แบบคูล ๆ และคุ้มค่ายิ่งขึ้นถ้าการลงทุนนั้นสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีก ลองตรวจเช็คตารางการลดหย่อนภาษี ทั้งกองทุนรวมและประกันฯ ปี 2563 และคำนวณเงินภาษีที่ต้องจ่ายตามด้านล่างเพื่อเริ่มต้นการเป็นนักลงทุนแบบ Cashless

สูตรการคำนวณภาษีง่ายๆ จากทรูมันนี่

เงินได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ

จากนั้น

เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี* = เงินภาษีที่ต้องจ่าย

(เครื่องคำนวณภาษีจากตลาดหลักทรัพย์)

วันนี้การลงทุนพลิกโฉมไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านการเงินที่ก้าวหน้าไปไกล เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้สะดวกเหมือนเราใช้จ่ายผ่านแอปฯ e-Wallet ทั้งการเปิดบัญชีออมทรัพย์ บัญชีกองทุนรวม หรือจะเลือกซื้อประกันฯ ก็ทำได้ผ่านแอปฯ แบบไม่ต้องใช้เงินสด อย่าปล่อยให้โค้งสุดท้ายในการได้สิทธิ์ลดหย่อนฯ หลุดลอยไป สำหรับใครที่กำลังมองหาการลงทุนแนวใหม่ในกองทุนรวม ทรูมันนี่ มีหลัก 4 ข้อ มาให้พิจารณาง่าย ๆ ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ดังนี้

      • อ่านให้เยอะนโยบายการลงทุนของกองทุนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะลงทุนในธุรกิจประเภทไหน เน้นหุ้นเติบโต หุ้นปันผล หุ้นขนาดใหญ่ หรืออ้างอิงตามดัชนี SET50 หาอ่านข้อมูลให้มาก ๆ จาก “หนังสือชี้ชวน” ซึ่งมีข้อมูลอยู่ในเว็บไซต์ของแต่ละกองทุนก่อนตัดสินใจ
      • เสี่ยงน้อย เสี่ยงมาก รับได้แค่ไหน แน่นอนว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง เราสามารถรับความเสี่ยงได้มากก็สามารถลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงมาก แต่หากเรารับความเสี่ยงได้ค่อนข้างจำกัด ก็ต้องหันมาพิจารณากองทุนที่ลงทุนในหุ้นไม่เกิน 70%
      • มีเงินปันผลให้ด้วยหรือไม่ สำหรับคนมองการณ์ไกล นอกจากจะซื้อไว้ใช้ลดหย่อนภาษีได้แล้ว ถ้าหากกองทุนนั้นมีการจ่ายเงินปันผลด้วยก็เหมือนกับการได้กำไรสองเด้ง
      • เช็คประวัติการดำเนินงานกองทุนที่เราสนใจซื้อ ว่ามีผลการดำเนินงานย้อนหลังในรอบ 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี เป็นอย่างไร ถ้าเป็นกองทุนที่จ่ายปันผลก็ต้องดูว่าจ่ายปันผลสม่ำเสมอหรือไม่ เพราะผลการดำเนินงานในอดีตและปัจจุบัน ไม่ได้การันตีอนาคต

 

ทำไมต้องลงทุนผ่าน e-Wallet

ด้วยนวัตกรรมการเงินล้ำๆ ที่ออกแบบมาเพื่อการลงทุนสมัยใหม่โดยเฉพาะ ช่วยปิดข้อจำกัด ทลายความกังวลใจเรื่องการลงทุนให้กับทั้งนักลงทุนมือใหม่และมือเก๋า ที่สำคัญ “1 บาทก็เริ่มลงทุนได้” ผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet ตัวช่วยลดหย่อนภาษียุค Cashless Society ที่มีจุดเด่นมากมาย ดังนี้

      • เริ่มต้นง่าย มือใหม่ไร้กังวล ยังไม่เปิดพอร์ตก็เข้ามาดูและศึกษาการลงทุนได้ เพราะมีบทความแนะนำมากมาย เข้าใจง่าย เข้าถึงง่ายกว่าเดิม เริ่มลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่านแอปฯ ใช้เวลาเปิดบัญชีไม่ถึง 10 นาที ก็สามารถเปิดพอร์ตการลงทุนและเข้าถึงกองทุนรวมกว่า 600 กองทุน แบบไม่ต้องไปสาขา หรือเตรียมเอกสารให้ยุ่งยาก
      • ไม่จำกัดค่าย ซื้อกองทุนได้แบบไม่จำกัดค่าย กว่า 10 บลจ. และมีกองทุนที่เริ่มต้นเพียงหนึ่งบาทก็ลงทุนได้ ลูกค้าที่มีเงินในบัญชีที่ยังไม่นำไปใช้จ่ายจึงสามารถเอาไปลงทุนให้งอกเงยได้อย่างสบาย รวมถึงมีกองทุนจาก บลจ. ที่เราสามารถลงทุนโดยตัดจากบัตรเครดิต
      • มีเทคโนโลยีล้ำ ๆ ที่เข้าใจความต้องการนักลงทุนทุกคน ด้วย Disruptive Customer Journey และจัดทำ Personalized Fund Guide ที่เหมาะกับนักลงทุนโดยเฉพาะ จัดเรียงกองทุนตาม performance ที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าดูได้เองง่าย ๆ
      • เชื่อมต่อนวัตกรรม e-Wallet เข้ากับบริการ FundConnext ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วยให้นักลงทุนสามารถศึกษาการลงทุน ติดตามหนังสือชี้ชวนการลงทุน คำแนะนำต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ซื้อ หรือขายกองทุนผ่านหน้าแดชบอร์ดในแอปพลิเคชั่นได้แบบเรียลไทม์

สำหรับใครที่กำลังมองหา กองทุนรวม SSF/RMF หรือวางแผนซื้อประกันฯ ผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet สามารถคลิกอ่านรายละเอียดและเริ่มลงทุนวันนี้เพื่อความมั่งคั่งในวันหน้าได้ที่ https://www.truemoney.com/taxsaving/