โอเพ่นซอร์ส เสริมแกร่งให้หน่วยงานภาครัฐ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไร

โอเพ่นซอร์ส เสริมแกร่งให้หน่วยงานภาครัฐ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไร

โอเพ่นซอร์ส เสริมแกร่งให้หน่วยงานภาครัฐ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไร

เปรม ปาวัน

บทความโดย นายเปรม ปาวัน รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี ของเร้ดแฮท

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นศูนย์กลางการเติบโตทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รายงาน Google e-Conomy SEA ประจำปี 2566 ประเมินว่าสิ้นปี 2568 เศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าถึง 295 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ยังได้ตอกย้ำ ความสำคัญของการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลของประเทศในภูมิภาคนี้เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าและการบูรณาการบริการดิจิทัล ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะภาคเอกชนเท่านั้น แม้แต่ภาครัฐเองก็สามารถทรานฟอร์มสู่ดิจิทัล และใช้ดิจิทัลโซลูชันส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชน และสร้างสังคมดิจิทัลอย่างทั่วถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อนำไปใช้จริง เครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ ที่มีอยู่อาจไม่ตอบโจทย์ได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตามการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้อยู่ในระดับที่ต่างกันออกไป ข้อมูลจาก e-Government Development Index ของสหประชาชาติ ระบุว่า เมื่อพิจารณาด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและความพร้อมในการให้บริการแล้ว ประเทศสิงคโปร์อยู่ในอันดับ 12 จาก 193 ประเทศ แต่มาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซียกลับไม่ได้อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน

ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ได้บรรจุเรื่องนี้ไว้ในระดับนโยบายแล้ว เช่น นโยบาย Making Indoensia 4.0 และ Smart Nation Initiatives ของสิงคโปร์ รวมถึง Thailand Digital Government Development Plan ของไทยที่ล้วนโฟกัสไปที่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านสวัสดิการสาธารณะและประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้นการพิจารณานำเทคโนโลยีที่มีอยู่หลากหลายมาใช้จึงเป็นเรื่องสำคัญ และหนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็นแรงกระตุ้นและสนับสนุนให้การพัฒนาบริการประชาชนด้านต่าง ๆ ทำได้อย่างทั่วถึงมากขึ้นอย่างรวดเร็วคือโอเพ่นซอร์ส ที่จะช่วยขับเคลื่อนบริการภาครัฐในภูมิภาคนี้ให้สามารถให้บริการประชาชนได้ดีขึ้น ส่งเสริมนวัตกรรมด้านต่าง ๆ และเพิ่มความปลอดภัยไซเบอร์ให้รัดกุมมากขึ้นได้ ผ่านสามแนวทางหลักคือ

พัฒนาดิจิทัลภาครัฐไปพร้อม ๆ กับเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ตัวชี้วัดการเติบโตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภาพรวมยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี ธนาคารพัฒนาเอเชียประมาณการณ์ว่าภูมิภาคนี้จะเติบโต 4.7% นอกจากนี้ประชากรในภูมิภาคนี้จำนวนมากยังเข้าสู่ยุค mobile-first ด้วยตัวเลขการใช้สมาร์ทโฟนที่สูงสุดในโลก ผู้บริโภคมีความคาดหวังบริการดิจิทัลที่รวดเร็ว คล่องตัว เฉพาะตัว และสะดวกเพียงกดปุ่ม ทำให้หน่วยงานภาครัฐต้องตามให้ทันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์นี้

งบประมาณที่ค่อนข้างจำกัดเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง แต่เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสร้างดิจิทัลโซลูชันที่คุ้มค่าการลงทุน เพราะซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สส่วนมากเปิดให้ใช้งานได้ในระดับคอมมิวนิตี้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเมื่อจะนำซอฟต์แวร์ไปใช้ในระดับองค์กรก็สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการที่เจาะจงกับการใช้งาน โอเพ่นซอร์สเป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้ความรู้และอัปเดทเรื่องต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการทำงานร่วมกันจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนร่วมทั่วโลก ความคุ้มค่าการลงทุนในลักษณะนี้เป็นประโยชน์มากต่อหน่วยงานที่มีงบประมาณจำกัดและต้องบริหารจัดการงบประมาณนั้นอย่างรอบคอบเหมาะสม

ธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อสังคมของรัฐบาลในประเทศไทย เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สระดับองค์กรสนับสนุนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยโซลูชันของเร้ดแฮทมีบทบาทสำคัญในการปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีของธนาคารฯ ให้ทันสมัย ส่งผลให้ธนาคารฯ ให้บริการลูกค้าได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น Indonesia’s Treasury เป็นกรณีตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าโอเพ่นซอร์สช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณประโยชน์และลดความซ้ำซ้อนได้อย่างไร โดยสามารถให้บริการและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ในเวลาน้อยลง 50% และปรับขนาดการทำงานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ด้วยโซลูชันของเร้ดแฮท PERKESO ในประเทศมาเลเซียเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่นำแอปพลิเคชันที่ปรับให้เหมาะกับการใช้งานวางไว้ให้ทำงานบน Red Hat Enterprise Linux ซึ่งช่วยให้ผู้จ้างงานในมาเลเซียมากกว่า 400,000 ราย สามารถใช้ช่องทางดิจิทัลของ PERKESO ได้ นับเป็นการเพิ่มการมีส่วนร่วมทางออนไลน์โดยรวมได้ 90 เปอร์เซ็นต์

เสริมความปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงานภาครัฐ รองรับกฎระเบียบและข้อบังคับด้านข้อมูล

การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค มาพร้อมการโจมตีทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ความปลอดภัยไซเบอร์จึงเป็นเรื่องสำคัญมากของหน่วยงานภาครัฐซึ่งเป็นผู้รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูงของประชาชน เห็นได้จากการประกาศใช้กฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในหลายประเทศ เช่น ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

โอเพ่นซอร์สมอบฐานรากที่แข็งแกร่งให้กับการปกป้องข้อมูลที่อ่อนไหวง่าย และสนับสนุนเป้าหมายการเสริมสร้างความปลอดภัยไซเบอร์ให้รัดกุม โอเพ่นซอร์สช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถตรวจสอบโค้ดได้อย่างละเอียดว่ามีช่องโหว่ตรงไหนหรือไม่และทำการแพตช์ช่องโหว่นั้น ๆ ได้ทันเวลา ความยืดหยุ่นของซอฟต์แวร์ที่เป็นโอเพ่นซอร์ส ช่วยให้ผสานรวมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยประสิทธิภาพล้ำหน้าต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น การยืนยันตัวตนและการเข้ารหัสแบบหลายชั้น เพื่อปกป้องข้อมูลที่อ่อนไหวง่าย ตัวอย่างเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สที่ใช้ในองค์กร เช่น Red Hat Trusted Software Supply Chain ที่มีรูปแบบการพัฒนาที่โปร่งใสและทำซ้ำได้ และสามารถรองรับมาตรการด้านความปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงานภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

โอเพ่นซอร์สสร้างความคล่องตัวและความยืดหยุ่นให้ภาครัฐและประชาชนในภูมิภาค

รูปแบบการทำงานของโอเพ่นซอร์สเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานและสร้างนวัตกรรมร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ภาครัฐพัฒนาได้อย่างคล่องตัว หลักการสำคัญของรูปแบบการทำงานของโอเพ่นซอร์สคือการทำงานร่วมกัน ความโปร่งใส และการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยคอมมิวนิตี้ ตัวอย่างความร่วมมือของเร้ดแฮทกับคณะกรรมการ R&D ของรัฐบาลสิงคโปร์ แสดงให้เห็นประโยชน์ของการแบ่งปันความรู้และวิธีการทำงานแบบเปิด รวมถึงแนวทางการพัฒนาที่ทันสมัยต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการให้บริการประชาชนในภาพรวม

โอเพ่นซอร์สยังมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองต่อสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการใช้งานจริงของเทคโนโลยีอย่างชัดเจน เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สได้ช่วยสร้างระบบสาธารณสุขที่ยืดหยุ่น ช่วยติดตามการแพร่กระจายของไวรัส และช่วยให้สามารถทำงานและศึกษาจากระยะไกลได้ การใช้โอเพ่นซอร์สที่ใช้ในระดับองค์กรที่หน่วยงานด้านสาธารณสุข BPJS Kesehatan Indonesia และ Synapxe Singapore (เดิมชื่อ IHiS) เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงการเพิ่มความคล่องตัวและการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้สามารถให้บริการประชาชนหลายล้านคนได้ดีขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด

กล่าวได้ว่าหน่วยงานภาครัฐในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล การที่เครื่องมือดิจิทัล แอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ยังคงเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง การใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สเพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างปลอดภัยและด้วยนวัตกรรม ในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่จำเป็นต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานภาครัฐควรพิจารณาอย่างยิ่ง เพราะเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สสามารถสนับสนุนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ในขณะเดียวกันก็ช่วยขับเคลื่อนความคุ้มค่าการลงทุน สนับสนุนการทำงานร่วมกัน และเพิ่มความโปร่งใส สร้างนวัตกรรม ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และสร้างบริการที่คล่องตัว เพื่อให้บริการประชาชนได้ดีขึ้น

Red Hat OpenStack Services on OpenShift – the next generation of Red Hat OpenStack Platform

Red Hat OpenStack Services on OpenShift คือ Red Hat OpenStack Platform เจเนอเรชันถัดไป

Red Hat OpenStack Services on OpenShift – the next generation of Red Hat OpenStack Platform

Red Hat is excited to announce the development preview of the next major release of Red Hat OpenStack Platform — Red Hat OpenStack Services on OpenShift*. It’s no secret that over the last few years, Red Hat has been working to more tightly integrate Red Hat OpenStack Platform with Red Hat OpenShift to help service providers scale faster and maximize their resources. In doing so, we’ve been able to help teams managing OpenStack clouds to leverage the more modern operational experience of OpenShift. By integrating Kubernetes with OpenStack, organizations see improved resource management and scalability, greater flexibility across the hybrid cloud, simplified development and DevOps practices and more. 

But this blending of technologies requires careful planning and configuration to drive smoother interoperability between the two platforms. This is where Red Hat OpenStack Services on OpenShift comes in. With this, customers can preserve their investment in OpenStack APIs such as Nova, Swift, Cinder, Neutron, Keystone, etc. This allows them to lower management costs while modernizing their operational position as they mix in new container projects. This change does not force them to re-write or change their existing OpenStack workloads. To put an even finer point on this benefit, the new architecture allows them to not have to touch their OpenStack worker nodes. We will migrate their OpenStack control plane to become an OpenShift workload while not disturbing the OpenStack worker nodes. Over time, OpenStack worker nodes will continue to upgrade in line with the OpenStack lifecycle, as they have always done. 

Red Hat is providing our OpenStack customers a path toward future proofing their existing investments. With Red Hat OpenStack Services on OpenShift, organizations can realize easier installation, lightning-fast deployments and unified management from the core to the edge – three major enhancements that came directly from customer feedback. Red Hat OpenStack Services on OpenShift will also deliver:

  • Greater flexibility with the ability to run applications that are bare-metal, virtualized and containerized together — customers can run what’s best for their business, no matter where they are in their IT transformation journey;
  • Fast parallel processing for swift, repeatable deployments using Red Hat Ansible Automation Platform and OpenShift Go Operators to reduce time, complexity and risk; 
  • Scalability with management through a new podified control plane (a set of tools for deploying and managing an OpenStack control plane as Kubernetes-native pods);
  • Improved updates and upgrades experience using rolling updates/capabilities included in Red Hat OpenShift for a reliable and seamless method for updating podified OpenStack services while maintaining high availability; 
  • Better security using encrypted communications between services, encrypted memory cache and secure role based access control to deliver a higher default security model;
  • Enhanced Openstack Observability helps customers gain a deeper understanding of the health of their hybrid cloud. Refreshed dashboards provide unified observability with a refined set of visualizations that are natively integrated into the Openshift Observability UI. Customers can also create their own dashboards to further refine their Observability needs.  

Moving forward

Going forward, as part of its offering, Red Hat OpenStack Services on OpenShift will be exclusively based on the next-generation form-factor, with the control plane natively hosted on Red Hat OpenShift and the external Red Hat Enterprise Linux-based dataplane managed with Red Hat Ansible Automation Platform. Red Hat OpenStack Platform 17.1 is the last version of the product to use the classic form-factor of the control plane, which can be run either on bare metal or virtualized, with management provided by the OpenStack Director. Support for the classic form-factors will be available through the end of the 17.1 lifecycle (2027). Customers looking to migrate will be able to deploy their new controller to OpenShift to take over compute resources — without redeploying the running workloads. 

Red Hat’s commitment to and investment in OpenStack remains strong, we are the leading contributor in commits and have more than 250 engineers continuing to lead innovation at both the project and product levels. OpenStack continues to be a vital component for large IT infrastructures, especially in the telecommunications and service-provider spaces, and this evolution will improve how these organizations deploy, manage and maintain OpenStack footprints.

Red Hat OpenStack Services on OpenShift คือ Red Hat OpenStack Platform เจเนอเรชันถัดไป

Red Hat OpenStack Services on OpenShift คือ Red Hat OpenStack Platform เจเนอเรชันถัดไป

Red Hat OpenStack Services on OpenShift คือ Red Hat OpenStack Platform เจเนอเรชันถัดไป

เร้ดแฮทประกาศการพัฒนา Red Hat OpenStack Services on OpenShift* รุ่นพรีวิว ซึ่งเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญของ Red Hat OpenStack Platform จากตลอดสองสามปีที่ผ่านมาที่เร้ดแฮทมุ่งมั่นผสานให้ Red Hat OpenStack Platform และ Red Hat OpenShift ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้เซอร์วิสโพรไวเดอร์สเกลได้เร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถช่วยทีมบริหารจัดการ OpenStack บนคลาวด์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ประโยชน์จากการดำเนินการที่ทันสมัยมากขึ้นของ OpenShift การผสานรวม Kubernetes กับ OpenStack จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความสามารถในการสเกล มีความยืดหยุ่นในการใช้ไฮบริดคลาวด์ อย่างมาก มีการพัฒนาและแนวปฏิบัติของ DevOps ที่ไม่ซับซ้อน และอื่น ๆ อีกมาก

แต่การผสานรวมเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันนั้น ต้องการการวางแผนและการกำหนดค่าคุณสมบัติต่าง ๆ ที่รัดกุม เพื่อขับเคลื่อนให้การทำงานของสองแพลตฟอร์มเป็นไปอย่างราบรื่น และความต้องการนี้คือที่มาของ Red Hat OpenStack Services on OpenShift ซึ่งลูกค้าสามารถคงการลงทุนกับ OpenStack APIs เช่น Nova, Swift, Cinder, Neutron, Keystone และอื่น ๆ ไว้ได้ ช่วยให้มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต่ำลง ในขณะเดียวกันก็สามารถปรับปรุงการดำเนินการให้ทันสมัยขึ้นจากการผสมผสานโปรเจกต์คอนเทนเนอร์ใหม่ ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้บังคับให้ผู้ใช้ต้อง re-write หรือเปลี่ยนเวิร์กโหลด OpenStack ที่ใช้อยู่ และเพื่อให้ได้ประโยชน์มากขึ้น สถาปัตยกรรมใหม่นี้ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเวิร์กเกอร์โหนดของ OpenStack เลย เราจะย้าย control plane ของ OpenStack ของผู้ใช้ไปเป็นเวิร์กโหลดของ OpenShift โดยไม่รบกวน OpenStack worker nodes และเมื่อเวลาผ่านไป OpenStack worker nodes จะยังได้รับการอัปเกรดต่อเนื่องตามไลฟ์ไซเคิลของ OpenStack เหมือนเช่นเคย

เร้ดแฮทกำลังมอบเส้นทางการลงทุนที่รองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตให้กับลูกค้า OpenStack ของเรา Red Hat OpenStack Services on OpenShift ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถติดตั้งเพื่อใช้งานได้ง่าย ใช้งานได้รวดเร็วอย่างมาก และมอบการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ตั้งแต่ศูนย์กลางหลักไปจนถึง edge การปรับปรุงประสิทธิภาพสำคัญทั้งสามอย่างนี้ เกิดจากความคิดเห็นตรงของลูกค้าที่ให้กับเรา นอกจากนี้ Red Hat OpenStack Services on OpenShift ยังมีความสามารถต่าง ๆ ดังนี้

  • ความยืดหยุ่นสูงขึ้น: ด้วยความสามารถในการรันแอปพลิเคชันได้ทั้งระบบภายในองค์กร (bare-metal), เวอร์ชวล และคอนเทนเนอร์ ร่วมกัน ช่วยให้ลูกค้าสามารถรันเวิร์กโหลดบนสภาพแวดล้อมที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจได้มากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่จุดในของเส้นทางการทรานส์ฟอร์มด้านไอทีของตน
  • การประมวลผลแบบขนานที่รวดเร็ว: เพื่อการใช้งานอย่างฉับพลันและทำซ้ำได้ ด้วยการใช้ Red Hat Ansible Automation Platform และ OpenShift Go Operators ที่จะช่วยลดเวลา ลดความซับซ้อนและลดความเสี่ยง
  • ความสามารถในการสเกล: ด้วยการบริหารจัดการผ่าน control plane แบบใหม่ (ชุดเครื่องมือสำหรับการใช้งานและการจัดการ OpenStack control plane as Kubernetes-native pods)
  • เพิ่มประสิทธิภาพการอัปเดตและอัปเกรดต่าง ๆ โดยใช้ rolling updates/capabilities ที่มีอยู่ใน Red Hat OpenShift เป็นวิธีการอัปเดต podified บริการ OpenStack ที่ราบรื่นและเชื่อถือได้ ในขณะที่ยังคงความพร้อมใช้สูงไว้ด้วย
  • ความปลอดภัยที่รัดกุมขึ้น: ด้วยการใช้การสื่อสารที่เข้ารหัสระหว่างบริการต่าง ๆ memorn cache ที่เข้ารหัส และการควบคุมการเข้าถึงตามบทบาทที่ปลอดภัย เพื่อมอบโมเดลรักษาความปลอดภัยพื้นฐานที่รัดกุมมากขึ้น
  • ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของ Openstack Observability ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสภาพความเป็นไปของไฮบริดคลาวด์ที่ใช้อยู่ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น แดชบอร์ดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่มอบความสามารถในการสังเกตเป็นหนึ่งเดียว ด้วยชุดเวอร์ชวลไลเซชันที่ได้รับการปรับปรุงและรวมอยู่แล้วใน Openshift Observability UI นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถสร้างแดชบอร์ดเพื่อปรับแต่งความต้องการด้าน Observability ของตนเองได้   

เดินหน้าต่อ

จากนี้ Red Hat OpenStack Services on OpenShift จะอยู่บนฟอร์มแฟกเตอร์รุ่นต่อไปเท่านั้น โดยมี control plane โฮสต์บน Red Hat OpenShift และ Red Hat Enterprise Linux-based dataplane ภายนอกที่บริหารจัดการด้วย Red Hat Ansible Automation Platform Red Hat OpenStack Platform 17.1 เป็นเวอร์ชันล่าสุดของผลิตภัณฑ์ที่ใช้คลาสสิกฟอร์มแฟกเตอร์ของ control plane ซึ่งสามารถรันบนระบบที่อยู่ภายในหรือเวอร์ชวลไลซ์ก็ได้ ผ่านการบริหารจัดการจาก OpenStack Director การสนับสนุนให้กับคลาสสิกฟอร์มแฟกเตอร์จะมีให้จนสิ้นสุดไลฟ์ไซเคิลของเวอร์ชัน 17.1 นี้ (พ.ศ. 2570) ลูกค้าที่ต้องการย้ายการทำงานจะสามารถติดตั้งคอนโทรลเลอร์ใหม่กับ OpenShift เพื่อเข้าใช้ทรัพยากรการประมวลผล โดยไม่ต้องปรับการใช้เวิร์กโหลดที่กำลังทำงานอยู่ใหม่

พันธสัญญาของเร้ดแฮทและการลงทุนด้าน OpenStack ยังคงแข็งแกร่ง เราเป็นผู้นำของการมีส่วนร่วมและมีวิศวกรมากกว่า 250 คนที่ยังคงเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทั้งในระดับโปรเจกต์และผลิตภัณฑ์ OpenStack ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานไอทีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในด้านโทรคมนาคมและเซอร์วิสโพรไวเดอร์  การพัฒนานี้จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้งาน การจัดการ และการดูแลรักษาฟุตพริ้นท์ OpenStack ขององค์กร

Red Hat Collaborates with Intel to Deliver Open Source Industrial Automation to the Manufacturing Shop Floor

Nokia และ Red Hat ประกาศความร่วมมือให้บริการ โซลูชันโทรคมนาคมระดับ Best-in-Class บนแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานของ Red Hat และ Core Network Applications ของ Nokia

Red Hat Collaborates with Intel to Deliver Open Source Industrial Automation to the Manufacturing Shop Floor

Manufacturers will now have access to a new industrial edge platform that helps build smarter, more open software-defined factoriesto the Manufacturing Shop Floor

Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, announced a new industrial edge platform, designed in collaboration with Intel, that will provide a modern approach to building and operating industrial controls.

By transforming the way manufacturers operate, scale and innovate with standard IT technologies delivered to the plant floor and real-time data insights, the platform will enable industrial control system (ICS) vendors, system integrators (SIs) and manufacturers to automate previously manual industrial automation tasks including: system development, deployment and management, cybersecurity risk reduction, prescriptive and predictive maintenance improvements for factory agility, co-locating deterministic and non-deterministic workloads and reducing turnaround time.

Smart factories, or software-defined factories, are playing a crucial role in amplifying the speed at which manufacturers can innovate. According to a report by McKinsey, “Smart manufacturing has the potential to create up to $3.7 trillion in value by 2025, driving growth, innovation, and competitiveness across sectors.” By breaking down the barriers between IT and OT, manufacturers can embrace collaboration with new functionality and proactively strengthen and speed up operations, with the flexibility and intelligence to scale based on demand.

The industrial edge platform is intended to provide a holistic solution that spans from real-time shop floor control and artificial intelligence/machine learning (AI/ML) to full IT manageability – delivering greater customer choice for data gravity or edge-to-cloud style architectures and improved overall equipment efficiency (OEE). To continuously support this effort, Red Hat and Intel are working to integrate Intel-based platforms and Intel Edge Controls for Industrial (Intel ECI) with current and future versions of Red Hat Enterprise Linux, starting with collaboration in upstream Linux communities like the Fedora Project and CentOS Stream. This collaboration extends to bringing these controls and platforms to Red Hat Device Edge (early access), Red Hat Ansible Automation Platform and Red Hat OpenShift. With this collaboration organizations can benefit from:

  • Fully integrated real-time capabilities from silicon to software, to support industrial automation for predictable performance;
  • Advanced management and network automation for system deployment and management without heavy handed resource usage, simplifying the industrial network creation and management using open standards-based tools;
  • Scalability and flexibility through a software-defined platform approach that facilitates more portable, scalable control and maximizes adaptability;
  • Uninterrupted operations supported by high-availability and redundancy attributes built-in with the platform;
  • Simplified AI workload integration with the ability to take an AI workload and run it next to a control workload, helping simplify hardware complexity, and enabling AI to more easily improve product quality, system uptime, maintenance needs and more;
  • Enhanced cybersecurity posture by removing human error elements with automated patching and updates, an immutable operating system plane and a platform built on hardened, production-tested components.

To underpin this platform, Red Hat – in collaboration with Intel – will deliver a real-time kernel that provides lower latency and reduced jitter, helping applications run repeatedly with greater reliability. This new industrial edge platform will be built on open standards and community-driven innovation, driven by thousands of developers globally, helping to drive more simplified integration with other hardware and software components. Additionally, core code transparency and a clear roadmap and release cycle help take the guesswork out of when new releases are available and their accompanying features. Red Hat’s industry-leading enterprise developer support backs IT teams with a best-in-class developer toolchain, bringing greater deployment consistency regardless of deployment model or integrator, further removing guesswork and choice paralysis around modern developer tooling. 

Software-defined factories in action

Manufacturing innovation has been hampered by the limitations of legacy industrial controls and siloed organizational structures for decades. With this new platform, organizations will be able to benefit from an open edge platform that allows simplified integration of components in an easy-to-use, reliable solution for industrial automation. Industry leaders like ABB, Schneider Electric and Codesys are already working to successfully implement new industry edge platforms to build modern industry controls.

Supporting Quotes

Francis Chow, vice president and general manager, In-Vehicle Operating System and Edge, Red Hat

“From transforming traditional IT infrastructures to helping software-defined vehicles deliver scalable digital solutions across industrial edge, Red Hat has a proven history in driving not just modernization across industries, but innovation. Now, Red Hat has set our sights on bringing that same level of transformation to manufacturing plants across the globe with a new edge platform with Intel. We believe that by helping converge both IT and operational technologies, the next industrial revolution can arrive sooner, more quickly and built on a backbone of open source software.”

Christine Boles, vice president in the network and edge group and general manager of federal and industrial solutions, Intel Corporation

“For years, Intel and Red Hat have worked together to transform and support a range of industries. Bringing together Red Hat’s expertise in cloud-to-edge application platform delivery and Intel’s strength in edge to cloud compute platforms, including industrial hardware and software, will deliver the software-defined capabilities and transformation to meet the resilient, flexible and reliable requirements of today’s manufacturing.”

Red Hat ผสานพลัง Intel มอบ Open Source Industrial Automation ให้กับโรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต

Nokia และ Red Hat ประกาศความร่วมมือให้บริการ โซลูชันโทรคมนาคมระดับ Best-in-Class บนแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานของ Red Hat และ Core Network Applications ของ Nokia

Red Hat ผสานพลัง Intel มอบ Open Source Industrial Automation ให้กับโรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต

ผู้ผลิตจะสามารถเข้าถึง industry edge platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่จะช่วยให้เกิดโรงงานที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ และเป็นอัจฉริยะมากขึ้น

Red Hat ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ ด้าน industrial edge ที่ออกแบบร่วมกับ Intel ซึ่งจะมอบแนวทางที่ทันสมัยในการสร้างและควบคุมการดำเนินงานทางอุตสาหกรรมต่าง ๆ แพลตฟอร์มนี้จะช่วยทรานส์ฟอร์มวิธีการดำเนินการ มอบความสามารถในการสเกลและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ผ่านเทคโนโลยีด้านไอทีที่มีมาตรฐาน ส่งตรงถึงโรงงาน และมอบข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ให้กับผู้ผลิต ซึ่งจะช่วยให้เวนเดอร์ด้านระบบควบคุมอุตสาหกรรม (industrial control system: ICS), ผู้วางระบบ (SIs) และผู้ผลิตสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานแบบแมนนวลให้เป็นแบบอัตโนมัติ เช่น การพัฒนาระบบ, การใช้และการบริหารจัดการ, การลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์, เพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาตามที่กำหนดและคาดการณ์ไว้ได้เพื่อความคล่องตัวของโรงงาน, วางเวิร์กโหลดที่กำหนดและไม่ได้กำหนดไว้ไว้ ณ โลเคชันเดียวกัน และลดเวลาในการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการและส่งมอบผลิตภัณฑ์

โรงงานอัจฉริยะหรือโรงงานที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์กำลังมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ผู้ผลิตสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ข้อมูลจากรายงานของ McKinsey ระบุว่า “การผลิตอัจฉริยะมีศักยภาพที่จะสร้างมูลค่าสูงถึง 3.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2568 ทั้งยังขับเคลื่อนการเติบโต นวัตกรรม และความสามารถในการแข่งขันให้กับทุกภาคส่วน” นอกจากนี้ การขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ระหว่างไอทีและเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติงาน (OT) จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถทำงานร่วมกับฟังก์ชันการทำงานใหม่ ๆ เพิ่มความแข็งแกร่งและเร่งความเร็วในการดำเนินงานได้แบบเชิงรุก ด้วยความคล่องตัวและความชาญฉลาดของการสเกลได้ตามต้องการ

แพลตฟอร์ม industrial edge นี้มุ่งหมายที่จะมอบโซลูชันแบบองค์รวมที่ครอบคลุมตั้งแต่การควบคุมระบบการผลิตแบบเรียลไทม์ การใช้ AI/machine learning (AI/ML) ไปจนถึงการจัดการด้านไอทีอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นการมอบทางเลือกที่ดีขึ้นแก่ลูกค้า ในด้านสถาปัตยกรรมในรูปแบบ data gravity หรือ edge-to-cloud และปรับปรุงมาตรฐานหลักสำหรับการวัดประสิทธิภาพของการผลิต (overall equipment efficiency: OEE) เพื่อสนับสนุนความพยายามนี้อย่างต่อเนื่อง Red Hat และ Intel จึงทำงานร่วมกันเพื่อรวมแพลตฟอร์มที่ใช้ Intel และ Intel Edge Controls for Industrial (Intel ECI) เข้ากับ Red Hat Enterprise Linux เวอร์ชันปัจจุบันและเวอร์ชันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเริ่มจากการร่วมมือกันในคอมมูนิตี้ Linux ต่าง ๆ เช่น  Fedora Project และ CentOS Stream ความร่วมมือนี้ยังขยายไปถึงการนำการควบคุมและแพลตฟอร์มเหล่านี้ไปใช้กับ Red Hat Device Edge (early access), Red Hat Ansible Automation Platform และ Red Hat OpenShift ซึ่งองค์กรต่าง ๆ จะได้รับประโยชน์จากความสามารถต่าง ๆ ดังนี้

  • ความสามารถแบบเรียลไทม์ครบวงจร ตั้งแต่ซิลิคอนไปจนถึงซอฟต์แวร์ เพื่อรองรับระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่คาดการณ์ได้
  • การจัดการขั้นสูงและเน็ตเวิร์กอัตโนมัติ สำหรับการใช้และการจัดการระบบโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมากเกินไป สามารถสร้างและจัดการเน็ตเวิร์กทางอุตสาหกรรมได้ง่ายด้วยการใช้เครื่องมือที่เป็นมาตรฐานเปิดที่กำหนดไว้เป็นสากล
  • ความสามารถในการสเกลและความยืดหยุ่น ด้วยการใช้แพลตฟอร์มที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ ที่ช่วยให้เคลื่อนย้ายการทำงานได้สะดวกมากขึ้น มีการควบคุมที่สเกลได้ และมีความสามารถในการปรับตัวได้สูงสุด
  • การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก ซึ่งขับเคลื่อนด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีความพร้อมใช้สูงและมีการทำซ้ำที่ built-in มาเบ็ดเสร็จในแพลตฟอร์ม
  • การผสานรวม AI เวิร์กโหลดได้อย่างไม่ยุ่งยาก ด้วยความสามารถในการนำ AI เวิร์กโหลดมารันไว้ถัดจากคอนโทรลเวิร์กโหลด ซึ่งเป็นการช่วยลดความซับซ้อนที่เกิดจากฮาร์ดแวร์ และสามารถใช้ AI ไปเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคุณภาพผลิตภัณฑ์ เวลาทำงานของระบบ ความจำเป็นด้านการบำรุงรักษา และอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ให้รัดกุมขึ้น ด้วยการขจัดองค์ประกอบที่เกิดจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ด้วยการแพตช์และอัปเดตอัตโนมัติ ด้วยระบบปฏิบัติการที่แก้ไขไม่ได้และแพลตฟอร์มหนึ่งที่สร้างขึ้นจากคอมโพเนนท์ที่แข็งแกร่งและผ่านการทดสอบแล้ว

เพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มนี้ Red Hat และ Intel จะร่วมมือกันเพื่อมอบเคอร์เนลแบบเรียลไทม์ที่มีระยะเวลาตอบสนองต่ำกว่า และลดค่าความต่างของระยะเวลาในการส่งข้อมูลผ่านเน็ตเวิร์ก (jitter) ซึ่งช่วยให้รันแอปพลิเคชันซ้ำ ๆ ได้อย่างมั่นใจและเชื่อถือได้มากขึ้น แพลตฟอร์ม industrial edge แพลตฟอร์มใหม่นี้จะสร้างบนมาตรฐานเปิดที่เป็นสากล และจากนวัตกรรมของคอมมิวนิตี้ซึ่งขับเคลื่อนโดยนักพัฒนาทั่วโลกหลายพันคนที่ช่วยขับเคลื่อนการบูรณาการเข้ากับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คอมโพเนนท์อื่น ๆ ให้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ความโปร่งใสของ core code รวมถึงแผนงานและวงจรการออกวางตลาดที่ชัดเจน ยังช่วยให้ไม่ต้องคาดเดาว่าจะวางตลาดผลิตภัณฑ์หนึ่ง ๆ เมื่อใดและจะมีฟีเจอร์อะไรในผลิตภัณฑ์นั้นบ้าง Red Hat ให้การสนับสนุนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับองค์กร โดยอยู่เบื้องหลังการทำงานของทีมไอที ด้วยการมอบชุดเครื่องมือสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ (toolchain) ที่ดีที่สุดในระดับเดียวกัน ทำให้การใช้งานมีสอดคล้องกันและคงเส้นคงวา โดยไม่ต้องพึ่งพาโมเดลหรือผู้รวมระบบ ทั้งยังเป็นการขจัดการทำงานด้วยการคาดเดาและเป็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาที่ทันสมัยอีกทางเลือกหนึ่ง

โรงงานอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์

การสร้างและใช้นวัตกรรมในอุตสาหกรรมการผลิต ต้องติดขัดด้วยข้อจำกัดด้านระบบควบคุมในอุตสาหกรรมที่ใช้มาแต่ดั้งเดิมและโครงสร้างองค์กรแบบไซโล มานานหลายทศวรรษ แพลตฟอร์มใหม่นี้จะช่วยให้องค์กรได้ประโยชน์จาก open edge platform ที่ช่วยให้ผสานรวมคอมโพเนนท์ต่าง ๆ ได้ง่าย ในรูปแบบโซลูชันที่ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้เพื่อการใช้ระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม ผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น ABB, Schneider Electric และ Codesys ได้นำแพลตฟอร์ม industry edge ใหม่นี้ไปสร้างระบบควบคุมทางอุตสาหกรรมที่ทันสมัยอย่างประสบความสำเร็จแล้ว

คำกล่าวสนับสนุน

Francis Chow, vice president and general manager, In-Vehicle Operating System and Edge, Red Hat

“Red Hat ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า ได้ช่วยขับเคลื่อนความทันสมัยและนวัตกรรมให้กับทุกอุตสาหกรรม นับจากเรื่องการทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบดั้งเดิม ไปจนถึงการช่วยให้ยานพาหนะที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์มอบดิจิทัลโซลูชันที่สเกลได้ตามต้องการให้กับ industrial edge ทั้งหมด ปัจจุบัน Red Hat ตั้งเป้าหมายในการนำการทรานส์ฟอร์มในระดับเดียวกันนี้มาสู่โรงงานในภาคการผลิตทั่วโลกด้วยแพลตฟอร์ม edge แพลตฟอร์มใหม่ที่เกิดจากความร่วมมือกับ Intel เราเชื่อว่าการผสานไอทีและเทคโนโลยีในการดำเนินการเข้าด้วยกันนี้ จะส่งให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งต่อไปอย่างรวดเร็ว และมีซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สเป็นแกนหลัก”

Christine Boles, vice president in the network and edge group and general manager of federal and industrial solutions, Intel Corporation

“หลายปีที่ผ่านมา Intel และ Red Hat ได้ทำงานร่วมกันเพื่อทรานส์ฟอร์มและสนับสนุนอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย การนำความเชี่ยวชาญด้าน cloud-to-edge application platform ของ Red Hat มาบูรณาการกับความแข็งแกร่งด้าน edge to cloud compute platforms ของ Intel รวมถึงฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับอุตสาหกรรม จะมอบความสามารถต่าง ๆ และการทรานส์ฟอร์มที่ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ ให้ได้ตอบโจทย์ความต้องการด้านความยืดหยุ่น คล่องตัว และเชื่อถือได้ ของภาคการผลิตในปัจจุบัน”