Red Hat Enterprise Linux 9 สร้างนิยามใหม่ให้กับเทคโนโลยีที่เป็นจุดศูนย์กลางของนวัตกรรม

Red Hat Enterprise Linux 9 สร้างนิยามใหม่ให้กับเทคโนโลยีที่เป็นจุดศูนย์กลางของนวัตกรรม

Red Hat Enterprise Linux 9 สร้างนิยามใหม่ให้กับเทคโนโลยีที่เป็นจุดศูนย์กลางของนวัตกรรม

    • แพลตฟอร์ม Linux ชั้นนำของโลกที่ใช้ในองค์กรจับคู่กับโค้ดที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้ด้วยบริการต่าง ๆ บนคลาวด์ เป็นพลังขับเคลื่อนเวิร์กโหลดในสภาพแวดล้อมการผลิตทั้งแบบดั้งเดิมและรุ่นใหม่
    • Red Hat Enterprise Linux 9 ได้รับการออกแบบสำหรับการประมวลผลที่ edge และมัลติคลาวด์ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องและบริหารจัดการได้ทุกที่ที่ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นในดาต้าเซ็นเตอร์ บนคลาวด์ หรือที่ edge
    • Red Hat Enterprise Linux ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากการคาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้ Red Hat Enterprise Linux ในภาพรวมจะแตะระดับที่สูงกว่า 13 ล้านล้านเหรียญฯ ในปี 2565

เร้ดแฮท อิงค์ (Red Hat) ผู้ให้บริการด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับ แนวหน้าของโลก แนะนำ Red Hat Enterprise Linux 9 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ Linux ออกแบบมาเพื่อ ขับเคลื่อนนวัตกรรมบนโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ทุกระบบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ติดตั้งอยู่ใน องค์กร ผู้ให้บริการคลาวด์ต่าง ๆ และ ณ edge ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงที่อยู่นอกสุดของเน็ตเวิร์กขององค์กร Red Hat Enterprise Linux 9 ออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มขององค์กร ควบคู่กับการพัฒนา ของกลไกตลาด และความต้องการของลูกค้าในโลกของไอทีแบบอัตโนมัติและแบบจัดสรรปันส่วนไปตาม ที่ต่าง ๆ (distributed IT)

Red Hat Enterprise Linux ทำหน้าที่เป็นแกนหลักให้กับระบบไอทีขององค์กรทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์และบนคลาวด์มาเป็นเวลาสองทศวรรษแล้ว โดยเน้นให้ลูกค้ามีทางเลือกและมีความยืดหยุ่น แพลตฟอร์มสำหรับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ นี้ ช่วยให้ลูกค้าของ Red Hat เลือกสถาปัตยกรรมพื้นฐาน เลือกผู้ให้บริการแอปพลิเคชันและผู้ให้บริการคลาวด์ ที่มีสมรรถนะและมีโซลูชันที่ทำงานร่วมกับระบบไอทีที่ทันสมัยได้ตามต้องการ การทำงานร่วมกันนี้ ส่งผลให้ Red Hat Enterprise Linux กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการสร้างสรรค์นวัตกรรม ข้อมูลจากการศึกษาของ IDC ที่สนับสนุนโดย Red Hat[1] คาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้ Red Hat Enterprise Linux ทั่วโลกจะสูงกว่า 13 ล้านล้านเหรียญฯ ในปี 2565 โดยรวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ให้กับลูกค้าของ Red Hat ซึ่งคาดว่าจะให้ผลประโยชน์ทางการเงินรวม 1.7 ล้านล้านเหรียญฯ ในปี 2565

แพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรซึ่งเป็นแพลตฟอร์มชั้นแนวหน้าของโลกเวอร์ชันล่าสุดนี้ สร้างจากนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งมาหลายทศวรรษ และเป็นเวอร์ชันที่นำออกใช้จริงรุ่นแรกที่สร้างจาก CentOS Stream ซึ่งเป็นการพัฒนาล้ำหน้าอย่างต่อเนื่องของ Red Hat Enterprise Linux แนวทางนี้ช่วยให้ระบบนิเวศของ Red Hat Enterprise Linux กว้างขวางมากขึ้น จากพันธมิตร ลูกค้า ไปจนถึงผู้ใช้ทั่วไป รวมถึง การให้ข้อมูลป้อนกลับ การอัปเดทโค้ดและฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้กับแพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรที่มีประสิทธิภาพชั้นนำของโลก

IDC[2] คาดการณ์ว่า “ภายในปี 2566, 40% ของบริษัทในกลุ่ม G2000 จะเปลี่ยนกระบวนการคัดเลือกคลาวด์เสียใหม่ เพื่อเน้นผลลัพธ์ทางธุรกิจ มากกว่าความต้องการด้านไอที โดยให้ความสำคัญกับการเข้าถึงพอร์ตโฟลิโอของผู้ให้บริการตั้งแต่อุปกรณ์ไปจนถึง edge และตั้งแต่ข้อมูลไปจนถึงระบบนิเวศ”  สำหรับ Red Hat ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มมาตรฐานที่สามารถเข้าถึงฟุตพริ้นท์เหล่านี้ทั้งหมดได้ และมอบประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับทั้งนวัตกรรม และความคงเส้นคงวาในการสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญ โครงสร้างของ Red Hat Enterprise Linux 9 ได้รับการสร้างสรรค์มาเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้และความต้องการอื่น ๆ แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ทีมปฏิบัติการและนักพัฒนาได้ใช้ความคิดริเริ่มหรือโครงการใหม่ ๆ โดยไม่ต้องยกเลิกเวิร์กโหลดหรือระบบต่าง ๆ ที่ใช้อยู่

แพลตฟอร์มที่แพร่หลายสำหรับการสร้างนวัตกรรมที่ใช้ได้ต่อเนื่อง ทั้งกับดาต้าเซ็นเตอร์ ผู้ให้ บริการคลาวด์ และ edge

Red Hat Enterprise Linux มีความพร้อมใช้งานสูงและมีทางเลือกในการใช้งานมากมายในตลาดคลาวด์ชั้นนำต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ Red Hat Enterprise Linux ได้ทุกที่ทุกวิธีที่เหมาะกับความต้องการในการทำงานที่เฉพาะของลูกค้าแต่ละราย  ลูกค้าปัจจุบันสามารถโยกย้ายสิทธิ์การเป็นสมาชิก Red Hat Enterprise Linux ไปใช้งานบนระบบคลาวด์ที่เลือกได้ด้วย Red Hat Cloud Access ลูกค้ารายใดที่กำลังต้องการปรับขนาดการใช้งาน และมองหาคลาวด์ที่ตรงตามความต้องการ จะสามารถใช้แพลตฟอร์ม ออน-ดีมานด์จากผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ในตลาดได้ เช่น Amazon Web Services (AWS), Google Cloud, IBM Cloud และ Microsoft Azure

องค์กรให้ความสนใจกับการประมวลผลที่ edge มากขึ้น และคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดมากกว่าหนึ่งในสี่ล้านล้านเหรียญฯ ภายในปี 2568[3] และแพลตฟอร์มที่มีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วไปนี้ก็ขยายการใช้งานไปถึง edge โดยประสิทธิภาพสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ Red Hat Enterprise Linux 9 นี้เป็นความสามารถที่ออกแบบมาอย่างเจาะจงตอบโจทย์ความต้องการด้านไอทีที่ edge ที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาความสามารถเหล่านี้ประกอบด้วย

    • การบริหารจัดการ edge ที่ครอบคลุม ส่งมอบในลักษณะ as a service เพื่อควบคุมตรวจสอบและปรับขนาดการใช้งานจากระยะไกลด้วยฟังก์ชันด้านการควบคุมและความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ครบครันด้วยการจัดเตรียมงานแบบไร้สัมผัส สามารถเห็นความสมบูรณ์ของระบบ และเพิ่มการตอบสนองการลดความเสียหายจากช่องโหว่ทั้งหมดจากอินเทอร์เฟซเดียวมากขึ้น
    • การกู้คืน (roll-back) คอนเทนเนอร์ไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าโดยอัตโนมัติ ด้วย Podman ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการบริหารจัดการคอนเทนเนอร์แบบเบ็ดเสร็จของ Red Hat Enterprise Linuxที่สามารถตรวจจับได้อย่างอัตโนมัติหากคอนเทนเนอร์ที่ได้รับการอัปเดทใหม่ไม่สามารถทำงานได้ และทำการกู้คืนคอนเทนเนอร์กลับไปยังเวอร์ชันการทำงานก่อนหน้าได้โดยอัตโนมัติ

Red Hat Enterprise Linux 9 ยังเน้นให้เห็นถึงความพยายามของ Red Hat ที่จะให้บริการฟังก์ชันระบบปฏิบัติการสำคัญต่าง ๆ ในรูปแบบการให้บริการ (as services) โดยเริ่มด้วย new image builder service. ที่ใช้ได้กับฟังก์ชันบนแพลตฟอร์มหลักที่มีอยู่แล้ว บริการนี้รองรับการสร้างอิมเมจสำหรับระบบไฟล์ที่ปรับแต่งเฉพาะ และผู้ให้บริการคลาวด์หลัก ๆ รวมถึงเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชัน เช่น AWS, Google Cloud, Microsoft Azure และ VMware

Red Hat ทำงานร่วมกับ AWS มากว่าทศวรรษ เพื่อสนับสนุนการเปิดตัวเวอร์ชันล่าสุดของ Red Hat Enterprise Linux บน AWS โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ลูกค้าสามารถใช้เวิร์กโหลดที่อยู่บน Red Hat Enterprise Linux บนอินสแตนซ์ของ AWS ที่ใช้ระบบประมวลผล Graviton ออกแบบโดย AWS ได้ การทำงานร่วมกันของ Red Hat Enterprise Linux 9 กับระบบประมวลผล Graviton ของ AWS ช่วยปรับประสิทธิภาพด้านราคาให้เหมาะสมสำหรับเวิร์กโหลดคลาวด์หลากหลายที่ทำงานกับ Amazon Elastic Compute Cloud (Amazon EC2)

แกนหลักเพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ทุกที่ ที่แข็งแกร่งมากขึ้น

การที่ทีมไอทีนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ และขยายการใช้งานไปยังรูปแบบการปฏิบัติการใหม่ ๆ ทำให้ภัยคุกคามกลายเป็นเรื่องซับซ้อนมากขึ้นและมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา  Red Hat Enterprise Linux 9 ยังคงความมุ่งมั่นของ Red Hat ในการนำเสนอแพลตฟอร์ม Linux ที่มั่นคงปลอดภัย ซึ่งสามารถรับมือกับเวิร์กโหลดที่ละเอียดอ่อนที่สุด และจับคู่นวัตกรรมกับความสามารถด้านความปลอดภัยที่รัดกุมมากขึ้น เมื่อสมัครใช้งาน Red Hat Enterprise Linux ลูกค้ายังสามารถเข้าใช้งาน Red Hat Insights ซึ่งเป็นบริการการวิเคราะห์เชิงรุกอย่างต่อเนื่องของ Red Hat เพื่อตรวจจับและแก้ไขปัญหาด้านการกำหนดค่าและช่องโหว่
ที่อาจเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและการใช้งานของสมาชิกบนไฮบริดคลาวด์ด้วย

สิ่งที่มีมากกว่าความแข็งแกร่ง การทดสอบ และการสแกนหาช่องโหว่ที่เป็นคุณสมบัติของ Red Hat Enterprise Linux ทุกรุ่นแล้ว Red Hat Enterprise Linux 9 ยังรวบรวมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์ เช่น Spectre และ Meltdown ตลอดจนความสามารถที่ช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ของผู้ใช้งาน สามารถสร้างบริเวณหน่วยความจำที่ไม่สามารถเข้าถึงโค้ดที่อาจเป็นอันตรายได้  แพลตฟอร์มนี้ยังได้เตรียมความพร้อมและตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยให้กับลูกค้า และรองรับข้อกำหนดของ PCI-DSS, HIPAA และข้อกำหนดอื่น ๆ

Red Hat Enterprise Linux 9 ยังเพิ่ม Integrity Measurement Architecture (IMA) – digital hashes and signatures โดยผู้ใช้สามารถใช้ IMA เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของระบบปฏิบัติการผ่าน digital signatures and hashes ซึ่งช่วยตรวจจับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานที่ผิดปกติ ทำให้จำกัดการบุกรุกระบบได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ Red Hat Enterprise Linux 9 จะใช้งานได้กับ IBM Cloud  เพื่อเพิ่มทางเลือกด้านสถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อมด้านโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ต่าง ๆ ให้กับองค์กร และยังเสริมคุณสมบัติและความสามารถต่าง ๆ ด้านความปลอดภัยที่สำคัญของระบบ IBM Power Systems และ IBM Z  การจับคู่ความสามารถด้านฮาร์ดแวร์ที่เน้นเรื่องความปลอดภัยจากสถาปัตยกรรมของ IBM เข้ากับประสิทธิภาพความปลอดภัยของ Red Hat Enterprise Linux 9 เป็นการมอบนวัตกรรม ความแข็งแกร่ง และความสามารถด้านความปลอดภัยที่องค์กรจำนวนมากต้องการในการประมวลผลแบบไฮบริดคลาวด์

ระบบอัตโนมัติและการพัฒนาด้านไฮบริดคลาวด์อย่างต่อเนื่อง

การที่ระบบไอทีต่าง ๆ ขยายตัวเพื่อให้รับมือกับเวิร์กโหลดและฟุตพริ้นท์ที่หลากหลายได้อย่างครอบคลุมทำให้ทีมทำงานด้านไอทีนำระบบ และเครื่องมืออัตโนมัติมาใช้เป็นตัวช่วยที่ทรงพลัง Red Hat Enterprise Linux 9 ช่วยให้องค์กรด้านไอทีได้ใช้ระบบอัตโนมัติกับไฮบริดคลาวด์ทั้งหมด ด้วยความสามารถต่าง ๆ ที่ปรับไว้อย่างเจาะจงในการช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

แพลตฟอร์มนี้นำเสนอ Red Hat Enterprise Linux System Roles ซึ่งมอบเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติสำหรับการสร้างการกำหนดค่าระบบที่เฉพาะเจาะจง Red Hat Enterprise Linux 9 ยังสร้างตัวเลือกเพิ่มเติม คือ การเพิ่ม System Roles for Postfix ใหม่, คลัสเตอร์ที่พร้อมใช้งานสูง, ไฟร์วอลล์, Microsoft SQL Server, web console และอื่น ๆ

นอกจากนี้ Red Hat Enterprise Linux 9 ยังรองรับ kernel live patching จาก Red Hat Enterprise Linux web console ช่วยให้องค์กรด้านไอทีสามารถจัดการกับงานสำคัญได้โดยอัตโนมัติตามปริมาณที่ต้องการ ซึ่งเป็นการช่วยให้ทีมทำงานด้านไอทีสามารถทำการอัปเดทการใช้งานระบบแบบกระจายขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องเข้าใช้เครื่องมือ command line ช่วยให้จัดการปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตได้ง่ายขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นในดาต้าเซ็นเตอร์หลัก มัลติคลาวด์ หรือ edge สำหรับ Microsoft นั้น Red Hat Enterprise Linux 9 เป็นการต่อยอดความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Microsoft เมื่อปี 2558 และขณะนี้พร้อมใช้งานบน Microsoft Azure โดยมอบโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้ให้กับเทคโนโลยีหลักของ Microsoft รวมถึง Microsoft SQL Server อันนับเป็นความสำเร็จจากความร่วมมือด้านวิศวกรรมกับ Microsoft ซึ่งรวมถึงโมดูลนำร่องการปรับแต่งประสิทธิภาพ โปรไฟล์ที่ได้รับการปรับแต่ง บทบาทระบบ SQL Server ที่ขับเคลื่อนโดย Ansible และอื่น ๆ อีกมาก นอกจากนี้ Red Hat Enterprise Linux 9 ยังสนับสนุนการพัฒนา .NET และแอปพลิเคชันอย่างเต็มรูปแบบต่อเนื่อง โดยการนำแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่สร้างโดยแพลตฟอร์มการพัฒนาของ Microsoft มาสู่แพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรที่มีประสิทธิภาพแนวหน้าของโลก

การวางจำหน่าย

Red Hat Enterprise Linux 9 จะพร้อมใช้งานทั่วไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ถัดจากนี้ ผ่าน the Red Hat Customer Portal และผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่  นอกจากนี้ นักพัฒนายังสามารถเข้าใช้งาน Red Hat Enterprise Linux 9 ผ่านโปรแกรม Red Hat Developer ต่าง ๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถเข้าใช้ซอฟต์แวร์ วิดีโอแสดงวิธีการใช้ต่าง ๆ การสาธิต คู่มือเริ่มต้นใช้งาน เอกสารประกอบ และอื่น ๆ อีกมาก

คำกล่าวสนับสนุน

แมทธิว ฮิกส์, รองประธานบริหาร ฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี, Red Hat

“ไม่ว่าจะเป็นพับลิคคลาวด์ขนาดใหญ่และอุปกรณ์ edge ชิ้นเล็ก ๆ ไปจนถึงคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชันที่เรียบง่าย และเวิร์กโหลดปัญญาประดิษฐ์ที่ซับซ้อน ไอทีที่ทันสมัยล้วนเริ่มต้นด้วย Linux  ในฐานะแพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรที่เป็นเทคโนโลยีชั้นนำของโลก Red Hat Enterprise Linux 9 ได้ขยายศักยภาพไปทุกแห่งหนที่ต้องการทั่วทั้งโอเพ่นไฮบริดคลาวด์และอื่น ๆ และจับคู่กับแกนหลักที่เชื่อถือได้ของ Linux ระดับองค์กรเข้ากับปัจจัยเร่งให้เกิดนวัตกรรมของชุมชนโอเพ่นซอร์ส  Linux เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และ Linux นั้นก็คือ Red Hat Enterprise Linux”

เฟรด เวอร์เดน, รองประธาน, AWS Commercial Software Services

“AWS และ Red Hat ได้รวมมือกันมอบโซลูชันการประมวลผลบนคลาวด์ที่พร้อมใช้สำหรับองค์กรให้กับลูกค้ามานานกว่าทศวรรษ ปัจจุบันเรานำ Red Hat Enterprise Linux 9 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Linux ที่เป็นนวัตกรรมที่มีความเสถียรมาทำงานร่วมกับ AWS ซึ่งช่วยให้ลูกค้าของเรารันเวิร์กโหลดที่สำคัญบนอินสเตนซ์ที่มีอยู่มากกว่า 500 ประเภท รวมถึงโปรเซสเซอร์ ARM-based AWS Graviton ที่ล้ำหน้าที่สุดซึ่งขับเคลื่อน Amazon EC2 instances รุ่นล่าสุด”

ฮิลเลรี ฮันเตอร์, ผู้จัดการทั่วไป, Cloud Industry Platforms and Solutions, CTO, IBM Cloud

“IBM Cloud ช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากสถาปัตยกรรมโอเพ่นคลาวด์ เพื่อเร่งแนวทางขับเคลื่อนนวัตกรรม ในขณะเดียวกันก็ยังคงความสำคัญด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นไว้เป็นสำคัญ ด้วยการสนับสนุนของ Red Hat Enterprise Linux ลูกค้าของเราโดยเฉพาะที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมที่เข้มงวด เช่น บริการทางการเงิน สามารถมั่นใจได้ว่าองค์กรเหล่านี้ได้ใช้สภาพแวดล้อมที่ออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัย และมีความสามารถระดับที่ใช้ในองค์กร การที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญสูงกับระบบความปลอดภัย การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความทันสมัย สภาพแวดล้อมนี้สามารถช่วยพวกเขาบริหารจัดการเวิร์กโหลดทุกสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ที่ใช้อยู่ เพื่อมอบประสบการณ์ที่คงเส้นคงวาและสอดคล้องกัน”

โอมาร์ คานท์, ผู้จัดการทั่วไป, Azure Infrastructure, Microsoft Corporation

“เรามุ่งมั่นช่วยลูกค้าของเราในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในขณะที่พวกเขาย้ายไปยังคลาวด์การที่ธุรกิจต่าง ๆ ขยายเวิร์กโหลดไปยัง edge โซลูชันต่าง ๆ เช่น Red Hat Enterprise Linux on Microsoft Azure ที่นำเสนอประโยชน์มากมายให้กับองค์กร รวมถึงเวิร์กโหลด Red Hat Enterprise Linux อัตโนมัติผ่าน Red Hat Ansible Automation Platform on Azure.

ผู้รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น

เร้ดแฮททำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำองค์กรและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีทุกปี โดยถามความเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายด้านไอที และเทคโนโลยีที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีที่จะมาถึง รวมถึงความคืบหน้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรนั้น ๆ รายงาน Red Hat 2022 Global Tech Outlook ประจำปีนี้ มีข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจหลายประการ เช่น AI/ML, เอดจ์ (Edge) และการประมวลผลโดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่องค์กรที่ตอบแบบสำรวจจัดให้มีความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีนี้ และผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า ช่องว่างด้านทักษะเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล ผลสำรวจยังเผยให้เห็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ องค์กรที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกำลังวางแผนใช้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ แทนที่จะต้องพึ่งพาไพรเวท หรือพับลิคคลาวด์เพียงอย่างเดียว ผลสำรวจสำคัญจาก Red Hat 2022 Global Tech Outlook

ผู้รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น

อาร์วิน สวามี

บทความโดย อาร์วิน สวามี, ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เร้ดแฮท

เร้ดแฮททำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำองค์กรและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีทุกปี โดยถามความเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายด้านไอที และเทคโนโลยีที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีที่จะมาถึง รวมถึงความคืบหน้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรนั้น ๆ

รายงาน Red Hat 2022 Global Tech Outlook ประจำปีนี้ มีข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจหลายประการ เช่น AI/ML, เอดจ์ (Edge) และการประมวลผลโดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่องค์กรที่ตอบแบบสำรวจจัดให้มีความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีนี้ และผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า ช่องว่างด้านทักษะเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล

ผลสำรวจยังเผยให้เห็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ องค์กรที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกำลังวางแผนใช้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ แทนที่จะต้องพึ่งพาไพรเวท หรือพับลิคคลาวด์เพียงอย่างเดียว

ผลสำรวจสำคัญจาก Red Hat 2022 Global Tech Outlook

ผู้รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร

 

ช่วงต่าง ๆ ของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

การสำรวจครั้งนี้ได้มีการถามคำถามที่เจาะจงว่าบริษัทที่ตอบแบบสำรวจอยู่ในช่วงใดของเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่งผลสำรวจพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ดี เช่น อยู่ในช่วงที่กำลังทำการเปลี่ยนแปลง ช่วงเร่งการเปลี่ยนแปลง หรือช่วงที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง โดยตัวเลขผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่อยู่ในช่วง “เร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” และ “กำลังเปลี่ยนแปลง” เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งจากผลสำรวจคือ มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่อยู่ในช่วง “หยุดกลางคัน” หรือ “ไม่มีแผน” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ผลสำรวจจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าและที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท

การสำรวจครั้งนี้ยังได้จำแนกคำตอบเหล่านี้เป็นคำตอบจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าของเร้ดแฮท และจากผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท เพื่อเปรียบเทียบผลที่ได้ และผลสำรวจที่โดดเด่นที่สุดคือ เกือบสองเท่าของเปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าเร้ดแฮทพิจารณาว่าตนเองอยู่ในช่วง “เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งจากผลสำรวจคือ มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่อยู่ในช่วง “หยุดกลางคัน” หรือ “ไม่มีแผน” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลสำรวจจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าและที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท การสำรวจครั้งนี้ยังได้จำแนกคำตอบเหล่านี้เป็นคำตอบจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าของเร้ดแฮท และจากผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท เพื่อเปรียบเทียบผลที่ได้ และผลสำรวจที่โดดเด่นที่สุดคือ เกือบสองเท่าของเปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าเร้ดแฮทพิจารณาว่าตนเองอยู่ในช่วง “เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง" ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

ผลสำรวจที่ได้นี้ สืบเนื่องจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าของเร้ดแฮท (53%) ระบุว่าเหตุผลหลักคือการมีช่องว่างด้านทักษะน้อยกว่าองค์กรที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท รวมถึงมีอุปสรรคที่แตกต่างกัน (เช่น หนี้ทางเทคนิค) และวิธีการวัดความสำเร็จ (เช่นให้บริการด้านไอทีได้เร็วขึ้น) 

กลยุทธ์ด้านไฮบริดคลาวด์ กับ ไพรเวทคลาวด์

ผลสำรวจพบว่ามีองค์กรที่ตอบแบบสำรวจเพียง 5% เท่านั้นที่ยังไม่มีการวางแผนกลยุทธ์ในการใช้คลาวด์  และแม้ว่ามีองค์กรส่วนหนึ่ง (18%) ยังคงอยู่ในช่วงการสร้างกลยุทธ์ แต่ส่วนใหญ่มีแผนกลยุทธ์ในการใช้คลาวด์อยู่แล้ว รวมถึง 30% ที่ตัดสินใจใช้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์

กลยุทธ์ด้านไฮบริดคลาวด์ กับ ไพรเวทคลาวด์

หากเรารวมองค์กรที่เลือกใช้มัลติคลาวด์ ซึ่งเป็นคำที่หลายคนใช้สลับกันกับไฮบริดคลาวด์แล้ว จำนวนโดยรวมขององค์กรที่เลือกกลยุทธ์คลาวด์ที่ต้องใช้คลาวด์มากกว่าหนึ่งประเภทจะเพิ่มขึ้นเป็น 43%
ซึ่งสูงขึ้นห้าเปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว

องค์กรที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและกลยุทธ์คลาวด์

เมื่อพูดถึงกลยุทธ์คลาวด์ องค์กรที่ประเมินตนเองว่าอยู่ในช่วงที่เป็น “ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” หรือ กำลัง “เร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้ความสำคัญกับไฮบริดคลาวด์อย่างมาก

ในทางกลับกัน องค์กรที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมีแนวโน้มใช้ไพรเวทคลาวด์เป็นอันดับแรก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมีความเข้าใจ และสามารถใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่น และได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานที่เข้ากันได้ของแพลตฟอร์มโอเพ่นไฮบริดคลาวด์

ลำดับความสำคัญระหว่าง นวัตกรรม ความเรียบง่าย และ ค่าใช้จ่าย

องค์กรที่ประเมินตัวเองว่าอยู่ในช่วงเป็น “ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลจำนวน 33% พิจารณาว่า “นวัตกรรม” เป็นสิ่งสำคัญลำดับสูงสุด มีเพียง 6% เท่านั้นที่เลือก “ความเรียบง่าย” และมีเพียง 2% ที่เลือก “ค่าใช้จ่าย” ซึ่งตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับกับองค์กรที่อยู่ในช่วง “หยุดกลางคัน” บนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่ง 13% ให้ความสำคัญสูงสุดกับ “นวัตกรรม” ในขณะที่ 11% ให้ความสำคัญกับ “ความเรียบง่าย” และ 13% ให้ความสำคัญกับ “ค่าใช้จ่าย”

ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าโครงการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลต่าง ๆ เริ่มต้นจากความพยายามให้การทำงาน
มีประสิทธิภาพ แต่หลังจากนั้นจึงรับรู้ได้ว่าเป็นองค์ประกอบหลักในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเติบโตของรายได้ และการมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

เพราะเหตุใดจึงเลือกใช้กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์

ประโยชน์สูงสุดของกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ คือ สามารถเลือกใช้โซลูชันที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละงานหรือแต่ละเวิร์กโหลดได้ เช่น องค์กรหนึ่ง ๆ อาจใช้โครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ภายในองค์กรเพื่อจัดเก็บข้อมูลสำคัญ แต่ใช้บริการพับลิคคลาวด์เพื่อพัฒนาหรือโฮสต์แอปพลิเคชัน เป็นต้น

องค์กรยังสามารถใช้บริการจากผู้ให้บริการพับลิคคลาวด์หลายรายพร้อมกัน เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน หรือสามารถย้ายเวิร์กโหลดจากระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่ง เพื่อให้ได้ราคาและใช้งานได้เหมาะสมตามความต้องการ  องค์กรบางแห่งอาจสนใจการประมวลผลที่เอดจ์ เพื่อกระจายการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลไปทำงานให้ใกล้กับแหล่งข้อมูลและผู้ใช้งานมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า และทำการตัดสินใจทางธุรกิจได้แบบเรียลไทม์

กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ช่วยให้องค์กรสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด ด้วยแพลตฟอร์มที่มีความเสถียรในการรันเวิร์กโหลดที่สามารถโยกย้ายไปใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างได้ ทำให้มีความยืดยุ่น มีความสามารถในการปรับขนาดการทำงาน และมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นและที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร

กล่าวได้ว่า ไม่มีผู้ให้บริการคลาวด์หรือสภาพแวดล้อมภายในองค์กรใดที่จะตอบสนองความต้องการทั้งหมดขององค์กรได้ และโซลูชันที่มีกรรมสิทธิ์ก็เป็นตัวจำกัดทางเลือกและความสามารถในการปรับตัวในอนาคต ดังนั้นเพื่อให้องค์กรปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องปรับปรุงสิ่งที่จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง องค์กรควรเลือกใช้ไฮบริดคลาวด์ที่สร้างบนโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้หลักเกณฑ์ของโอเพ่นซอร์ส ซึ่งช่วยให้ทีมที่ดูแลด้านการดำเนินงาน การพัฒนา และระบบความปลอดภัย สามารถสร้างและบริหารจัดการกลุ่มงานด้านไอทีทั้งหมดบนแพลตฟอร์มมาตรฐานหนึ่งเดียว ที่สามารถทำงานได้ทั้งกับระบบที่อยู่ภายในองค์กร เวอร์ชวลแมชชีน ไพรเวทคลาวด์ พับลิคคลาวด์ และเอดจ์

เทรนด์เทคโนโลยีที่ต้องจับตามอง การเติบโตขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเต็มตัว ในปี 2565 และอนาคตข้างหน้า

เทรนด์เทคโนโลยีที่ต้องจับตามอง

เทรนด์เทคโนโลยีที่ต้องจับตามอง การเติบโตขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเต็มตัว ในปี 2565 และอนาคตข้างหน้า

วินเซนต์ คาลไดรา

บทความโดย วินเซนต์ คาลไดรา, หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยี (FSI), เร้ดแฮท

สถานการณ์การแพร่ระบาดทำให้รูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตของเรา รวมถึงการใช้บริการต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในช่วงสองปีที่ผ่านมา บริษัทจำนวนมากต้องเร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ มีการใช้รูปแบบการทำงานจากที่บ้านอย่างกว้างขวาง และใช้เครื่องมือบริการแบบดิจิทัลมากมายเพื่อเข้าถึงลูกค้า ควบคู่ไปกับการอัพเดตและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กล่าวได้ว่าปัจจุบันเราก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งผู้บริหารฝ่ายสารสนเทศเริ่มตระหนักว่าการที่องค์กรจะอยู่รอดและประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่ได้นั้น จำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงองค์กรอย่างเป็นระบบ และใช้ประโยชน์จากข้อมูล จากเทคโนโลยี และกระบวนการต่าง ๆ เพื่อมอบคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้าได้อย่างทรงประสิทธิภาพ เป็นไปโดยอัตโนมัติ และสเกลได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าองค์กรต้องพัฒนาความสามารถหลายด้านที่จำเป็นต่อการรุดหน้าไปสู่องค์กรที่ “ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ” (Self-Driving Enterprise) แต่มีแนวโน้มพื้นฐาน 3 ประการที่องค์กรจำเป็นจะต้องพิจารณาเพื่อวางแผนพัฒนาองค์กรให้ประสบผลสำเร็จ ดังนี้

ความสามารถในการเชื่อมโยงแอปพลิเคชัน การให้บริการ และข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน (Data Gravity) เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่สถาปัตยกรรมที่มุ่งเน้นข้อมูลและการโยกย้ายการประมวลผลข้อมูลไปไว้ที่ Edge

ขณะที่การติดต่อสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลโดยอาศัยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น 5G และอุปกรณ์ IoT กลายเป็นเรื่องปกติ แต่ผลที่ตามมาก็คือ องค์กรต่าง ๆ มีการสร้างข้อมูลจำนวนมหาศาลมากขึ้น และ ข้อมูลดังกล่าวส่วนใหญ่สร้างโดยระบบ latency-sensitive ซึ่งอยู่ภายนอกดาต้าเซ็นเตอร์หรือคลาวด์สาธารณะ นอกจากนี้ ความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูล และแมชชีนเลิร์นนิ่ง ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถผนวกรวมเวิร์กโฟลว์อัจฉริยะเข้าไว้ในโซลูชันดิจิทัล ซึ่งส่งผลให้มีการผลิตข้อมูลมากขึ้น เนื่องจากมีการรวบรวม เชื่อมต่อ และเพิ่มเติมรายละเอียดของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มดังกล่าวนี้ การ์ทเนอร์ประเมินว่าในปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ผลิตและประมวลผลข้อมูลได้เพียง 10% ของข้อมูลที่อยู่ภายนอกระบบส่วนกลาง แต่ก็คาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 75% ภายในปี 2568[[1]] ด้วยเหตุนี้การเคลื่อนย้ายข้อมูลจึงกลายเป็นเรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะกระแสข้อมูลมีการไหลย้อนกลับ และมีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ Edge เพิ่มมากขึ้น แนวโน้มเรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยสถาปัตยกรรมที่เน้นข้อมูลเป็นศูนย์กลาง (Data-Centric Architecture) บนโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบไฮบริดที่ทันสมัย และมีการขยายระบบคลาวด์ให้ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านการเชื่อมต่อที่ Edge[[2]] และอยู่ใกล้กับจุดเชื่อมต่ออุปกรณ์มากขึ้น ในขณะเดียวกันจะต้องใช้รูปแบบการดำเนินการที่สอดคล้องกันเพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับใช้ระบบประมวลผล Edge Computing เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีนับจากนี้ โดยมีอัตราการเติบโต 31.1% ต่อปี[[3]] สำหรับมูลค่าตลาดโดยรวมที่ 45.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปี 2564-2573 เป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิตให้ทันสมัย และการปรับเปลี่ยนบริการด้านการเงินสู่ดิจิทัลที่เกิดขึ้นมากในภูมิภาคนี้

ข้อมูลที่รวดเร็วและ AI/ML กระตุ้นการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบอัตโนมัติ Hyper Automation แบบอัจฉริยะที่ใช้ AIOps

เมื่อระบบปฏิบัติการของธุรกิจโยกย้ายไปประมวลผลที่ edge ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลดิบที่หลั่งไหลเข้ามาได้แบบเรียลไทม์ และกลั่นกรองเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน องค์กรที่ออกแบบเวิร์กโฟลว์และกระบวนการต่าง ๆ ขึ้นใหม่จะสามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีน เลิร์นนิ่ง (ML) เพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆ ให้เป็นแบบอัตโนมัติมากขึ้น และยกระดับการทำงานของบุคลากร

แนวทางนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่เฉพาะกระบวนการใหม่ ๆ ที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าและการให้บริการ แต่ยังครอบคลุมถึงส่วนงานพื้นฐานที่สำคัญภายในองค์กร เช่น ฝ่ายปฏิบัติการด้านไอที ฝ่ายการเงิน ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายกฎหมายและการกำกับดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการปฏิบัติงานด้านไอที ซึ่งแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI หนึ่งเดียวที่รองรับการผนวกรวมระบบอัตโนมัติในด้านต่าง ๆ (ITOps, DevOps, DataOps, MLOps) เข้าด้วยกัน จะสามารถรองรับระบบอัตโนมัติแบบครบวงจรที่ก้าวล้ำและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยครอบคลุมงานต่าง ๆ เช่น การบริหารขีดความสามารถ การจัดเก็บและสำรองข้อมูล การจัดการความปลอดภัย การกำหนดค่าแอปพลิเคชัน และการปรับใช้โค้ด ซึ่งจะช่วยลดการโต้ตอบของผู้ใช้งานและปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ ทั้งยังสามารถปรับขนาดของกระบวนการเพื่อจัดการสภาพแวดล้อมไอทีที่มีความซับซ้อนและกระจัดกระจายมากขึ้น

Everything-as-code ช่วยรองรับการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างต่อเนื่องในลักษณะที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

ภายใต้การดำเนินการแบบเก่า การปฏิบัติตามกฎระเบียบภายนอกและนโยบายภายในองค์กรต้องอาศัยกระบวนการที่ซับซ้อนและดำเนินการโดยบุคคล รวมไปถึงเอกสารต่าง ๆ มากมาย เช่น คู่มือ รายการตรวจสอบ แนวทางการปฏิบัติงาน และมีการใช้ระบบอัตโนมัติบางส่วนซึ่งต้องอาศัยการจัดการคอนฟิกูเรชั่นและงาน DevOps และมีแนวโน้มว่าจะเกี่ยวข้องกับหลาย ๆ ส่วนงานภายในองค์กร แต่ด้วยแนวทาง Everything-as-code[4] องค์กรจะขยายการพัฒนาแอปพลิเคชันเข้าไปยังการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีทุกแง่มุม โดยมีการกำหนดและเขียนโค้ดสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน การส่งมอบซอฟต์แวร์ และการจัดการบริการด้านแอปพลิเคชัน เช่น ซัพพลายเชนด้านซอฟต์แวร์ที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มมากขึ้น จะมีความปลอดภัยได้โดยใช้การตรวจสอบแบบอัตโนมัติ การสร้างแพ็คเกจ และ การรับรองแบบในตัว หรืออาจสร้างกฎเกณฑ์ในการกำกับดูแล โดยระบุลักษณะที่ควรจะเป็น เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะของระบบที่เกี่ยวข้องได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้กระบวนการที่สามารถทำการแก้ไขได้เอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับฝ่ายไอทีได้อย่างมาก

ในช่วงหลายปีนับจากนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบนิเวศไฮบริดคลาวด์ ขณะที่องค์กรต่าง ๆ ขยายสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีไปสู่ edge โดยใช้แนวทางสถาปัตยกรรมที่มุ่งเน้นข้อมูลเป็นปัจจัยหลัก เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สและมาตรฐานใหม่ ๆ ที่รองรับระบบอัตโนมัติ Hyper Automation ที่ชาญฉลาด ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมและมีการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้บริหารฝ่ายสารสนเทศสามารถติดตั้งใช้งานเทคโนโลยีได้ทุกที่ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งจะรองรับและสเกลนวัตกรรมดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้ในองค์กรสามารถตรวจสอบการดำเนินงานได้อย่างครบวงจรในแบบเรียลไทม์จากระบบภายในองค์กร ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเต็มรูปแบบสามารถสร้างระบบงานอัตโนมัติเพื่อตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน และทุ่มเทความพยายามไปที่การตัดสินใจในเรื่องอื่น ๆ ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อองค์กรโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน พร้อมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อให้บริการที่เหนือกว่าสำหรับลูกค้า

กรุงศรี และ KTBCS รับรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2021

Red Hat APAC Innovation Awards 2021

กรุงศรี และ KTBCS รับรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2021

ยกย่องความสำเร็จของการทำ Digital Transformation ที่ใช้โซลูชัน Open Source ของ Red Hat

Red Hat Innovation Awards 2021

เร้ดแฮท อิงค์ (Red Hat) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์ส (open source) ประกาศรายชื่อผู้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Red Hat APAC Innovation Awards) ประจำปี 2564 โดยในส่วนของประเทศไทย กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) และบริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด (KTBCS) ได้รับรางวัลดังกล่าวในงาน Red Hat APAC Forum Virtual Experience จากความสำเร็จในการนำโซลูชันของ Red Hat ไปใช้ในการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล (digital transformation) และการสร้างสรรค์นวัตกรรม

ซอฟต์แวร์ open source ยังคงทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับองค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยช่วยให้องค์กรเหล่านี้สามารถปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย พัฒนาแอปพลิเคชัน และปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่รูปแบบดิจิทัล รายงาน State of Enterprise Open Source ของ Red Hat ระบุว่าในปัจจุบัน 92 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารไอทีในภูมิภาคนี้ใช้โอเพ่นซอร์สระดับองค์กร (enterprise open source) สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 90 เปอร์เซ็นต์

การจัดงาน Red Hat APAC Forum Virtual Experience ภายใต้ธีม “Open Your Perspective”มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นให้องค์กรต่าง ๆ เพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน พลิกโฉมองค์กรตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าโดยอาศัยเทคโนโลยี open source สำหรับในปีนี้ รางวัล Red Hat APAC Innovation Awards ยกย่องความสำเร็จทางด้านเทคโนโลยีของ 24 องค์กรในภูมิภาคนี้ โดยเน้นพิจารณาเรื่องความคิดสร้างสรรค์ การแก้ไขปัญหาอย่างมุ่งมั่น และการใช้โซลูชันของ Red Hat ในเชิงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ

เกณฑ์การพิจารณาผู้ได้รับรางวัลดูจากผลที่ได้จากการนำโซลูชันของ Red Hat ไปปรับใช้เพื่อรองรับเป้าหมายทางธุรกิจ วัฒนธรรมองค์กร อุตสาหกรรม ชุมชน และวิสัยทัศน์ของโครงการที่ไม่เหมือนใคร โดยผู้ได้รับการคัดเลือกต้องแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือและวัฒนธรรมด้าน open source ช่วยให้องค์กรปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มความคล่องตัว และประหยัดค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการรับมือกับปัญหาท้าทายและเทรนด์ใหม่ ๆ ในอนาคตได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ

รางวัลในปีนี้แบ่งเป็น 5 สาขา ได้แก่ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น (Digital Transformation), โครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud Infrastructure), การพัฒนาคลาวด์-เนทีฟ (Cloud-native Development), ระบบอัตโนมัติ (Automation) และความยืดหยุ่น (Resilience) สำหรับประเทศไทยมีองค์กรได้รับรางวัล 2 สาขา คือ สาขา Cloud-native Development และสาขา Hybrid Cloud Infrastructure

Krungsri

สาขา: Cloud-native Development
ผู้ได้รับรางวัล: กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน))

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของไทยในด้านของมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินฝาก และเป็นหนึ่งในหกสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (Domestic Systemically Important Banks – D-SIBs) ของไทย มีประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานกว่า 76 ปี กรุงศรีเป็นบริษัทในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (Mitsubishi UFJ Financial Group – MUFG) ซึ่งเป็นกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

กรุงศรีมุ่งมั่นตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดดิจิทัลแบงกิ้งของไทย ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางปี 2564-2566 ธนาคารตั้งเป้าที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ และมอบประสบการณ์ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ด้วยการยกระดับแผนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลของธนาคาร โดยกรุงศรีได้สร้างระบบที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และเชื่อมต่อได้ง่าย เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของระบบนิเวศด้านพันธมิตรทั้งหมด นอกจากนี้ ธนาคารยังจำเป็นต้องย้ายจากแอปพลิเคชันรุ่นเดิม ๆ ไปเป็นการใช้งานแอปพลิเคชันแบบคอนเทนเนอร์ไรซ์ โดยใช้สถาปัตยกรรมไมโครเซอร์วิส ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวประสบความสำเร็จ กรุงศรีจำเป็นต้องใช้แพลตฟอร์มที่สมบูรณ์พร้อมที่มาพร้อมแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อให้การปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบคอนเทนเนอร์เป็นไปอย่างราบรื่น

กรุงศรีทำงานร่วมกับ Red Hat และ IBM GBS เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม Open banking API ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนระบบนิเวศ API ที่มีลักษณะเฉพาะทั่วภูมิภาค ธนาคารได้ติดตั้งใช้งาน Red Hat OpenShift ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและมีความปลอดภัยที่รัดกุม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงานที่ระบบจะต้องไม่มีการหยุดชะงักเลย (zero downtime) นอกจากนี้ยังลดระยะเวลาของวงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

ด้วยเหตุนี้ กรุงศรีจึงสามารถสร้างและนำเสนอแอปพลิเคชันและบริการใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยการปรับใช้สถาปัตยกรรมคลาวด์-เนทีฟและคอนเทนเนอร์ นอกจากนี้การใช้แพลตฟอร์มไมโครเซอร์วิสที่ขับเคลื่อนด้วย Red Hat ช่วยให้ธนาคารมีความพร้อมที่จะปรับใช้แนวทาง DevSecOps เพื่อผลักดันวัฒนธรรมด้านระบบงานอัตโนมัติและการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล และยังช่วยขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ที่ขัดขวางการทำงานและบูรณาการระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้แก่ผู้ใช้งาน

KTBCS

สาขา: Hybrid Cloud Infrastructure
ผู้ได้รับรางวัล: บริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด (KTBCS)

KTBCS เป็นบริษัทในเครือของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำด้านการให้บริการไอทีแก่ภาคธุรกิจธนาคารและภาครัฐ KTBCS ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐาน, บริการให้เช่าพื้นที่เพื่อติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ และการบริหารจัดการระบบคอมพิวเตอร์, บริการด้านพัฒนาระบบงานและแอปพลิเคชันตามความต้องการของลูกค้า รวมถึงบริการให้คำปรึกษาด้านไอที

KTBCS ได้รับมอบหมายจากบริษัทแม่คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ให้ดำเนินการย้ายระบบงานจากเดิมไปใช้ระบบคลาวด์ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ระบบดิจิทัลอีกทั้งตอบสนองนโยบายของกระทรวงการคลังที่ให้ธนาคารเพิ่มศักยภาพการบริการธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าธนาคารเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ดังนั้น KTB จึงสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้าควบคู่ไปกับการควบคุมค่าใช้จ่าย KTBCS ได้ใช้ Red Hat OpenStack Platform, Red Hat OpenShift, Red Hat Ceph Storage และ Red Hat Enterprise Linux สร้างระบบ private cloud สำหรับ KTB เพื่อการพัฒนาดิจิทัลแอปพลิเคชันใหม่ ๆ และให้มีผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่า

ระบบ private cloud ที่ดำเนินการโดย KTBCS ทำให้ KTB ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจการเงิน มีอัตราการเติบโตของธุรกิจสูงขึ้น สามารถให้บริการด้านการเงินดิจิทัลที่ทันสมัยตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพิ่มความปลอดภัยและพร้อมใช้งานร่วมกับดิจิทัลแอปพลิเคชันอื่น ๆ KTB สามารถลดระยะเวลาของวัฏจักรการพัฒนาบริการ จากเดิมที่เคยใช้เวลาหลายสัปดาห์เหลือเพียงไม่กี่วัน ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยให้ KTB ลดขั้นตอนการทำงานโดยการการสร้างระบบและสภาพแวดล้อมไอทีในองค์กร สามารถลดต้นทุน และแรงงานส่วนโครงสร้างพื้นฐานได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เช่น แอปพลิเคชัน global transaction และแอปพลิเคชัน One Krungthai สำหรับพนักงานใช้ภายในองค์กร นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานของ KTB มีความคล่องตัวมากขึ้น และสามารถรองรับปริมาณงานที่จะเพิ่มขึ้นหรือการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

เพื่อต่อยอดความสำเร็จของธนาคาร KTBCS มีแผนงานจะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ร่วมกับดิจิทัลแอปพลิเคชัน เพื่อรองรับปริมาณงานของหน่วยงานภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เทคโนโลยีของ Red Hat ทำให้ KTBCS มั่นใจว่าจะสามารถสร้างระบบ national private cloud ให้กับหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รางวัลสาขาการพัฒนาคลาวด์-เนทีฟนี้ มอบให้แก่องค์กรที่มีการพัฒนาการบริการอยู่ตลอดเวลาเพื่อตอบสนองผู้ใช้งานหรือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงองค์กรที่เป็นต้นแบบเรื่องการสร้างสรรค์ การดูแลรักษา และการปรับใช้แอปพลิเคชันเพื่อการดำเนินธุรกิจจนประสบผลสำเร็จ

คำกล่าวสนับสนุน

คุณมาร์เจ็ต แอนดรีสส์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานของเร้ดแฮทประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ Red Hat
“ปี 2564 ยังคงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่องค์กรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีการใช้เทคโนโลยี open source เพื่อทำ digital transformation และสร้างสรรค์นวัตกรรมทางด้านธุรกิจอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น องค์กรเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย เช่น ไฮบริดคลาวด์ ระบบวิเคราะห์ข้อมูล และเอดจ์คอมพิวติ้ง เพื่อรับมือกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงประสบการณ์ให้กับลูกค้า Red Hat ขอแสดงความยินดีกับองค์กรที่ได้รับรางวัลในปีนี้ และเราหวังว่าโซลูชันโอเพ่นซอร์สของ Red Hat จะช่วยให้ลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาท้าทายมากมายที่ต้องเผชิญในปัจจุบัน พร้อมทั้งปลดล็อคความสำเร็จในอนาคตให้กับธุรกิจในเอเชีย-แปซิฟิก”

คุณสายสุนีย์ หาญประเทืองศิลป์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านนวัตกรรมดิจิทัลและข้อมูล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
“แพลตฟอร์ม Open API ของเรานับเป็นรากฐานในการสร้างระบบที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และเชื่อมต่อได้ง่าย ซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตของระบบนิเวศพันธมิตรของกรุงศรี เราใช้เทคโนโลยีไมโครเซอร์วิสที่ขับเคลื่อนโดย Red Hat เพื่อทำให้บริการธนาคารเป็นเรื่องง่าย และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลูกค้า โดยลูกค้าจะสามารถเข้าถึงสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ ประกันชีวิต หรือวางแผนเกษียณอายุได้ง่าย ๆ ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง แพลตฟอร์มนี้จะช่วยปูทางให้กรุงศรีเป็นธนาคารชั้นนำของไทยที่สามารถเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วอาเซียนได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ พันธมิตรของเรายังสามารถเสนอราคา ให้บริการ และแจ้งข้อมูลประมาณการให้แก่ลูกค้าได้โดยตรงและรวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา”

คุณภูษิต สระปัญญา รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานบริหารงานปฏิบัติการ KTBCS
“ขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 จำเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารและหน่วยงานภาครัฐจะต้องยกระดับการดำเนินงานรูปแบบดิจิทัล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้าและประชาชน Red Hat ช่วยให้ KTBCS พัฒนาระบบ private cloud เพื่อปรับปรุงการให้บริการด้านธนาคารของ KTB และลดค่าใช้จ่ายด้านไอที นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีช่วยให้ธนาคารมีความพร้อมมากขึ้นในการให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงข้อมูลและความรู้ด้านการเงิน ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็จะช่วยส่งเสริมการเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย”

ข้อมูลเพิ่มเติม
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2021
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประชุม Red Hat Forum Asia Pacific 2021

Red Hat Forum Asia Pacific 2021 เปิดโลกทัศน์การใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส เร่งสร้างนวัตกรรมในโลกยุคไฮบริด

Red Hat

Red Hat Forum Asia Pacific 2021 เปิดโลกทัศน์การใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส เร่งสร้างนวัตกรรมในโลกยุคไฮบริด

เปิดโอกาสให้กับผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้และแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรมแบบเปิด การเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล และความยืดหยุ่นในการใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส

เร้ดแฮท อิงค์ ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สประกาศจัดงาน Red Hat Forum Asia Pacific 2021 งานที่เป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ และเหล่าพันธมิตรของเร้ดแฮท เพื่อร่วมกันนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส งานดังกล่าวจัดขึ้นใน 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564

การจัดงาน Red Hat Forum Asia Pacific ในปีที่ 11 นี้ อยู่ภายใต้ธีม “Open Your Perspective” เพื่อต้องการสื่อให้เห็นและมอบโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานและผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันผ่านการแบ่งปันประสบการณ์ แนวคิดใหม่ ๆ และข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งหมายเพื่อเพิ่มมุมมองให้กับผู้เข้าร่วมงานในการนำโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ไปช่วยทำให้องค์กรธุรกิจได้ค้นพบโซลูชันและเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อสร้างนวัตกรรม เพื่อรังสรรค์รูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ และปูทางไปสู่อนาคตการนำดิจิทัลมาใช้

จากรายงาน State Enterprise Open Source ฉบับล่าสุดของเร้ดแฮท ระบุว่า มีการนำซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สสำหรับองค์กรไปใช้มากที่สุดเพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานไอทีตอบโจทย์องค์กรที่สุดและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ 64% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจระบุว่ามีการใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สระดับองค์กรในการปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีเป็นอันดับต้น ๆ เพิ่มขึ้นจากตัวเลขผลสำรวจ 53% เมื่อสองปีที่ผ่านมา การที่มีองค์กรโยกย้ายไปใช้ระบบคลาวด์มากขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจจะต้องสร้างความยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถนำแอปพลิเคชันต่าง ๆ ไปใช้งานได้กับทุกสภาพแวดล้อมโดยไม่จำเป็นต้องสร้างแอปพลิเคชันใหม่ ไม่ต้องฝึกอบรมพนักงานใหม่ หรือสามารถดูแลสภาพแวดล้อมไอทีที่แตกต่างกันได้ ทั้งนี้โอเพ่นไฮบริดคลาวด์มีคุณสมบัติด้านความรวดเร็วและความคล่องตัวที่สามารถช่วยองค์กรให้จัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์การใช้คลาวด์ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งเป็นการเร่งให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรทำได้เร็วขึ้น 

ในงาน Red Hat Forum Asia Pacific 2021 คุณมาร์เจ็ต แอนดรีสส์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานของเร้ดแฮทประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในฐานะผู้กล่าวคำปราศรัยหลักได้นำเสนอข้อมูลการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในโลกยุคใหม่ และองค์กรจะสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ และโอเพ่นซอร์สไปใช้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร 

ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องราวล่าสุดต่าง ๆ ด้านโอเพ่นซอร์ส รวมถึงการบริหารจัดการการให้บริการระบบคลาวด์ (managed cloud services) ที่ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกใช้บริการคลาวด์ที่ต้องการได้อย่างง่าย ๆ ช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ที่ตรงกับความต้องการในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงการนำประสิทธิภาพของเทคโนโลยีคลาวด์ไปใช้ทำโครงการที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

พร้อมกันนี้ เร้ดแฮทจะประกาศมอบรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2021 เพื่อยกย่องลูกค้าที่นำโซลูชันของเร้ดแฮทไปใช้งานอย่างสร้างสรรค์ แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเฉียบแหลม ตัวอย่างองค์กรที่ได้รับรางวัลในปีที่ผ่านมาซึ่งนำโซลูชันโอเพ่นซอร์สของเร้ดแฮทไปใช้งานได้อย่างประสบความสำเร็จ ได้แก่ Standard Chartered Bank, Chunghwa Telecom และ Bajaj Allianz Life Insurance เป็นต้น

ไฮไลท์กิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่

    • ประเด็นสำคัญและการประชุมกลุ่มย่อยที่เน้นไอที 4 ประเภท ได้แก่ โอเพ่นไฮบริดคลาวด์,
      การพัฒนาบนคลาวด์เนทีฟ, ระบบอัตโนมัติที่เน้นบริการทางการเงิน และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
    • หัวข้อสำคัญที่จะกล่าวถึง ได้แก่
      • แนวทางของเร้ดแฮทสู่กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์
      • Telco – On the Edge: การลงทุนด้าน 5G ในธุรกิจโทรคมนาคมจะประสบความสำเร็จหรือไม่
      • โครงการเร่งการใช้งาน AI/ML ด้วยกรอบการทำงานแบบโอเพ่นไฮบริดคลาวด์
      • การใช้โอเพ่นซอร์สเร่งสร้างนวัตกรรมในโลกไฮบริดคลาวด์
      • Better Together: การเชื่อมต่อระบบอัตโนมัติเพื่อการปรับใช้งานไฮบริดคลาวด
      • เส้นทางการใช้ระบบอัตโนมัติให้ประสบความสำเร็จ
      • การพัฒนารูปแบบการคาดการณ์สำหรับการหมุนเวียนของลูกค้าธนาคารดิจิทัล โดยใช้วิศวกรรมข้อมูลและการวิเคราะห์สำหรับ AI/ML
    • เรื่องราวจากลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในการใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สขับเคลื่อนนวัตกรรม ระบบอัตโนมัติ และ AI/ML
    • ผู้ชนะรางวัล Red Hat Innovation Award APAC 2021
    • การสาธิตสดของเทคโนโลยีโอเพ่นคลาวด์ของเร้ดแฮท และ OpenShift สำหรับผู้ชมที่สนใจ

คำกล่าวสนับสนุน

มาร์เจ็ต แอนดรีสส์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธาน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทเร้ดแฮท
“การแพร่ระบาดครั้งใหญ่นี้ได้กระตุ้นให้เกิดการลงทุนมากขึ้นในด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ และธุรกิจจำนวนมากขึ้นก็หันมาใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สในองค์กรของตน ในงาน Red Hat Forum ปีนี้ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมแบ่งปันวิธีที่องค์กรต่าง ๆ สามารถท้าทายขีดจำกัด และใช้ประโยชน์จากโอเพ่นซอร์สในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลพร้อมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการดำเนินงาน ทั้งนี้ การจัดงานแบบเวอร์ชวลครั้งนี้ช่วยให้เราเข้าถึงผู้ชมได้มากขึ้น การผสมผสานแนวคิด เรื่องราวความสำเร็จ และข้อมูลเชิงลึกเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เราสามารถผลักดันการนำโอเพ่นซอร์สไปใช้อย่างต่อเนื่องต่อไป”

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม