อีริคสันจับมือเร้ดแฮท เสริมศักยภาพผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อสร้างเครือข่ายมัลติเวนเดอร์

อีริคสันจับมือเร้ดแฮท เสริมศักยภาพผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อสร้างเครือข่ายมัลติเวนเดอร์

อีริคสันจับมือเร้ดแฮท เสริมศักยภาพผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อสร้างเครือข่ายมัลติเวนเดอร์

บทความโดย: มานส์ เบอร์แมน หัวหน้าฝ่ายความร่วมมือและพันธมิตร กลุ่มซอฟต์แวร์และบริการคลาวด์ภาคธุรกิจของอีริคสัน และ แมกนัส แกล ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าทั่วโลกของเร้ดแฮท

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารมีศักยภาพที่จะรองรับประสบการณ์เสมือนจริงแบบเฉพาะบุคคล รวมถึงแอปพลิเคชันและโซลูชันรุ่นใหม่ที่มีเสถียรภาพสูง ด้วยเหตุนี้ อีริคสันและเร้ดแฮทจึงขยายความร่วมมือด้านการตรวจสอบรับรองฟังก์ชันเครือข่ายและแพลตฟอร์ม เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถนำเสนอบริการใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้นภายใต้แนวทางที่มีผู้ให้บริการหลายราย (Multi-Vendor: มัลติเวนเดอร์)

แผนปฏิบัติการที่แตกต่างเพื่อรองรับมัลติเวนเดอร์

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารใช้ 5G เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำธุรกิจมีความคล่องตัว และได้ใช้วิธีการทำงานแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเร็วขึ้น ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารต้องหาสมดุลระหว่างค่าใช้จ่าย ความเสี่ยง และระยะเวลาในการนำผลิตภัณฑ์/บริการออกสู่ตลาด ให้ได้อย่างเหมาะสม 

อีริคสันและเร้ดแฮทตระหนักว่าแนวทางแบบมัลติเวนเดอร์ต้องใช้แผนปฏิบัติการที่แตกต่างกัน เมื่อเทียบกับการเลือกใช้แนวทางแบบผู้ให้บริการรายเดียว (Single-Vendor: ซิงเกิลเวนเดอร์) ซึ่งใช้โซลูชันและการจัดการวงจรการใช้งานที่มีการบูรณาการในแบบแนวตั้ง การสร้างเครือข่ายแบบมัลติเวนเดอร์ต้องอาศัยความสามารถในการใช้งานร่วมกันที่แน่นอน จึงจะได้รับประโยชน์สูงสุดในด้านของความยืดหยุ่นและทางเลือกที่หลากหลาย นอกเหนือจากการทำงานร่วมกันของอีริคสันและเร้ดแฮทแล้ว เรายังมีความร่วมมือภายในระบบนิเวศที่กว้างขวาง ซึ่งจะช่วยลดความซับซ้อนในการผสานรวมเทคโนโลยีและซัพพลายเออร์ที่แตกต่างกัน

อีริคสันและเร้ดแฮทต้องการที่จะช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารมีอิสระที่จะโฟกัสเรื่องการสร้างความแตกต่างให้กับบริการ 5G ที่นำเสนอ รวมถึงการเพิ่มคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้า เราทำงานร่วมกันมาเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อกำหนดรูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรูปแบบมัลติเวนเดอร์ เพื่อเป็นแนวทางแก่ลูกค้าในเพื่อการปรับใช้และปรับแต่งการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีของอีริคสันและเร้ดแฮท ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรได้อย่างมาก

การทำงานของฟังก์ชันด้านเครือข่ายต่าง ๆ ของอีริคสัน บนแพลตฟอร์มของเร้ดแฮท

ความร่วมมือของอีริคสันและเร้ดแฮทช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารมีความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนเครือข่ายอย่างรวดเร็ว และลดความเสี่ยงในการดำเนินกลยุทธ์แบบมัลติเวนเดอร์ แพลตฟอร์มโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ของเร้ดแฮทได้รับการทดสอบกับการรันฟังก์ชันเครือข่ายของอีริคสัน ซึ่งประกอบเข้าด้วยกันเป็นคอนฟิกูเรชั่นสำหรับการอ้างอิงที่จะช่วยลดความยุ่งยากซับซ้อนในการปรับใช้เครือข่ายแบบกระจาย เราลงทุนอย่างจริงจังในด้านงานวิศวกรรมที่สำคัญ เพื่อให้เทคโนโลยีที่ประกอบรวมเข้าด้วยกันนี้พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ในสภาพแวดล้อมเครือข่ายของผู้ให้บริการที่มีความต้องการสูง

ปัจจุบัน อีริคสันและเร้ดแฮทมีโซลูชันที่ผ่านการตรวจสอบรับรอง ซึ่งพร้อมให้ติดตั้งใช้งานได้ทันที โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร ด้วยโอเพ่นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมเครือข่ายสำหรับ vEPC, 5G Core, IMS, OSS และ BSS  นอกจากนี้ ทีมงานของเราได้บูรณาการโซลูชันฟังก์ชันเครือข่ายของอีริคสันเข้ากับ Red Hat OpenShift และ Red Hat OpenStack Platform โดยเราได้ทดสอบ การใช้งานจริงร่วมกับผู้ให้บริการหลายรายทั่วโลก และดำเนินการปรับใช้ระบบ 5G Core เชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก

อีริคสันและเร้ดแฮทเข้าร่วมในโครงการความร่วมมือทางเทคนิคหลายโครงการ ทั้งที่อยู่ในระดับขั้นของการพัฒนาและที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว เช่น การทำงานร่วมกันสำหรับ Cloud RAN ซึ่งเร้ดแฮทได้เข้าร่วม Open Lab ของอีริคสัน เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอินเทอร์แอคทีฟร่วมกับลูกค้าที่ใช้ Cloud RAN ของอีริคสัน และระบบนิเวศด้านพันธมิตรทั่วโลก ความเชื่อมโยงที่สำคัญของโครงการความร่วมมือทาง  เทคนิคทั้งหมดนี้ก็คือทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์จากวิธีการที่ได้ผล และใช้ร่วมกันได้

การกำหนดกระบวนการสำหรับความร่วมมือทางเทคนิค

โครงการความร่วมมือทางเทคนิคของเราเริ่มต้นด้วยการจัดการกับข้อกำหนดของฟังก์ชันเครือข่ายของอีริคสันเพื่อทำงานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานของเร้ดแฮท ควบคู่กับการจัดทำพิมพ์เขียวของระบบเครือข่ายเครือข่าย และข้อกำหนดด้านการประมวลผล ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มจะสามารถรองรับและโฮสต์ฟังก์ชันด้านเครือข่ายได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งกำหนดคอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงให้กับเป้าหมายเบื้องต้น

หลังจากนั้นเป็นการดำเนินกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดและทั่วถึง โดยมีการปรับใช้คอนฟิกูเรชั่น อ้างอิงตามเป้าหมายภายในสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการทางวิศวกรรม และเป็นไปตามกรณีการทดสอบหลาย ๆ กรณี (เช่น การเริ่มต้นใช้งาน การรักษาความปลอดภัย ความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น การทำงานแบบอัตโนมัติ เป็นต้น)  ในระหว่างการทดสอบ วิศวกรได้ทำการปรับเปลี่ยนคอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงตามความจำเป็น เพื่อให้ได้คอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงที่ผ่านการตรวจสอบรับรองในขั้นตอนสุดท้าย  ผู้ให้บริการที่ใช้คอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงจะได้รับความสะดวกและประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในการติดตั้งการเริ่มต้นใช้งาน และการโฮสต์ฟังก์ชันเครือข่าย และยังสามารถปรับเพิ่มขนาดได้อย่างมั่นใจ

เบสไลน์สำหรับซอฟต์แวร์ คู่มือการปรับใช้ และพิมพ์เขียวสำหรับคอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงที่ผ่านการตรวจสอบของฟังก์ชันเครือข่ายและแพลตฟอร์ม ได้รับการจัดทำเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน รวมถึงผลการทดสอบในแต่ละกรณีข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้ให้บริการ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รวมระบบหลัก สามารถเร่งการติดตั้ง ลดความเสี่ยง และลดปริมาณงานสำหรับการบูรณาการระบบ

5G Core และ Cloud RAN

โปรเจกต์คลาวด์เนทีฟด้าน dual-mode 5G Core ของอีริคสัน และ Cloud RAN ของอีริคสัน ที่รันบน Red Hat OpenShift Container Platform ได้รับความสนใจจากตลาดเป็นอย่างมาก ส่วนโครงการความร่วมมือด้าน Cloud RAN ที่โฮสต์อยู่บน OpenShift อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ โดยหัวใจหลักอยู่ที่ทีมวิศวกรรมร่วมของเรา ซึ่งจัดเตรียม OpenShift ให้พร้อมสำหรับการรองรับข้อกำหนดแบบคลาวด์ เนทีฟของ Cloud RAN ของอีริคสัน ส่วน dual-mode 5G Core ของอีริคสันที่โฮสต์อยู่บน OpenShift กำลังถูกใช้งานเชิงพาณิชย์ในระยะแรก โดยทำหน้าที่รับส่งข้อมูลไลฟ์แทรฟฟิก และตั้งเป้าว่าจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวางในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2565 แม้ว่าขอบเขตและความท้าทาย ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ 5G Core และสำหรับ Cloud RAN จะแตกต่างกัน แต่การทำงานร่วมกันของอีริคสันและ เร้ดแฮทยังคงใช้ระเบียบวิธีและความร่วมมือทางวิศวกรรมแบบเดียวกัน

Dual-mode 5G Core, Cloud RAN และฟังก์ชันเครือข่ายคลาวด์เนทีฟ (Cloud-native Network Function – CNF) อื่น ๆ ทั้งหมดของอีริคสัน ถูกสร้างขึ้นบนหลักการคลาวด์ เนทีฟ และสอดคล้องกับข้อกำหนดของ Cloud Native Computing Foundation (CNCF) เช่นเดียวกับ Red Hat OpenShift

Dual-mode 5G Core ของอีริคสัน ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบคลาวด์เนทีฟที่ใช้ไมโครเซอร์วิส และผสานรวมฟังก์ชันเครือข่าย Evolved Packet Core (EPC) และ 5G Core (5GC) ไว้บนแพลตฟอร์มร่วมแบบคลาวด์เนทีฟที่เข้าถึงได้หลายทาง ซึ่งรองรับ 5G และ Mobile Packet Core รุ่นก่อนหน้า นับป็น วิวัฒนาการของกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบเวอร์ชวลไลซ์ที่แข็งแกร่งของอีริคสัน ซึ่งออกแบบมาสำหรับการใช้งานบนคลาวด์ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ Cloud Packet Core, Cloud Unified Data Management (UDM) และ Policy and Signaling Controller

Ericsson Cloud RAN เป็นซอฟต์แวร์โซลูชันแบบคลาวด์เนทีฟที่มีฟังก์ชัน RAN แบบแยกส่วน Cloud RAN เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ให้บริการในการเพิ่มความยืดหยุ่น เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการและเพิ่มขีดความสามารถในการปรับขนาดการทำงานของเครือข่ายต่าง ๆ

สรุปความร่วมมือ

    • ความร่วมมือระหว่างอีริคสันและเร้ดแฮทอยู่บนพื้นฐานของชุดโครงการความร่วมมือทางเทคนิคต่าง ๆ
    • ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากการผสานรวมเทคโนโลยีของอีริคสันและเร้ดแฮทที่ผ่านการคัดสรรอย่างเหมาะสม โดยมีการทดสอบ ปรับแต่ง และจัดทำเอกสารอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนติดตั้ง
      ใช้งานในเครือข่ายของผู้ให้บริการ
    • สำหรับผู้ให้บริการที่ยึดถือตามคอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงที่ผ่านการทดสอบอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดภาระงานในการบูรณาการระบบ ลดความเสี่ยงของโครงการ และเพิ่มความรวดเร็วในการนำเสนอบริการใหม่ออกสู่ตลาด
    • อีริคสันและเร้ดแฮทรับผิดชอบการเสนอขายในส่วนของตนเอง

การผสานรวมจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเข้าด้วยกัน เราจะร่วมกันทำงานอย่างต่อเนื่องในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้สำหรับผู้ให้บริการที่ต้องการสร้างเครือข่ายมัลติเวนเดอร์ที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง  ไม่มีบริษัทอื่นใดที่มีความร่วมมือแบบเดียวกันนี้ และเราพร้อมที่จะนำเสนอสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่ปรับขนาดได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งมอบทางเลือกที่หลากหลายและความคล่องตัวแก่ผู้ให้บริการ เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ทุกรูปแบบของผู้ให้บริการ

เร้ดแฮทแนะนำความสามารถใหม่ Cross-Portfolio Edge Capabilities

เร้ดแฮทแนะนำความสามารถใหม่ Cross-Portfolio Edge Capabilities

เร้ดแฮทแนะนำความสามารถใหม่ Cross-Portfolio Edge Capabilities

เปิดฟีเจอร์ใหม่และรูปแบบการทำงานสำหรับเทคโนโลยีโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ของเร้ดแฮทเน้นการใช้เอดจ์ข้ามอุตสาหกรรมที่ปรับขนาดและจัดการได้ พร้อมการควบคุมความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น

เร้ดแฮท อิงค์ (Red Hat)ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก ประกาศเปิดตัวความสามารถใหม่และการเพิ่มประสิทธิภาพใหม่ให้กับพอร์ตโฟลิโอโซลูชันด้านโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ทั้งหมด ณ งาน RedHat Summit โดยตั้งเป้าเร่งการนำสถาปัตยกรรมการประมวลผล ณ จุดเข้าออกของข้อมูล (edge) มาใช้ในธุรกิจผ่าน Red Hat Edge initiativeทั้งนี้ชุดฟีเจอร์ และความสามารถ cross-portfolio edge ชุดใหม่นี้จะเน้นช่วยลูกค้าและพันธมิตรให้ใช้ edge computing ได้ดียิ่งขึ้นโดยมีความซับซ้อนลดลงนำไปใช้งานได้เร็วขึ้น เพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัย และเพิ่มความมั่นใจในการจัดการระบบต่าง ๆ ได้อย่างเสถียร ตั้งแต่ระบบที่อยู่ในดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึง edge

Red Hat Edge แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันของเร้ดแฮทในการขับเคลื่อน edge computing บนโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ทั้งหมด โครงการนี้ครอบคลุมการใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมมากมาย โดยใช้ Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat OpenShif ที่มีรากฐานและโครงสร้างร่วมกันในสภาพแวดล้อม เอดจ์ ที่หลากหลาย  Red Hat Ansible Automation Platform เพิ่มความสามารถด้านระบบอัตโนมัติเพื่อขยายการใช้งาน edge ในขณะที่ Red Hat Advanced Cluster Management for Kubernetes ส่งมอบการจัดการระดับคลาวด์ด้วย edge storage ที่ขับเคลื่อนโดย Red Hat OpenShift Data Foundation

โครงสร้างพื้นฐานเอดจ์ที่ชาญฉลาดและคล่องตัว

Red Hat OpenShift ยังคงมุ่งเน้นในการช่วยนำแอปพลิเคชันไปไว้ให้ใกล้ผู้ใช้และข้อมูลที่ edge มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงความสามารถในการจัดการได้ตามต้องการ ทั้งนี้ zero-touch provisioning for Red Hat OpenShift 4.10 ช่วยให้การจัดเตรียมที่ edge เป็นอัตโนมัติและทำซ้ำได้ง่ายขึ้น รวมถึงเวิร์กโฟลว์สำหรับผู้รับผลิตสินค้า (OEMs) เมื่อ OEMs โหลดคลัสเตอร์ Red Hat OpenShift แบบย้ายได้ล่วงหน้าบนฮาร์ดแวร์ที่ต้องการได้แล้ว ลูกค้าก็จะสามารถรับคลัสเตอร์ OpenShift ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อการทำงานที่เต็มสมรรถนะ

ลูกค้าสามารถใช้ Red Hat OpenShift ที่กำหนดค่าไว้ล่วงหน้า เพื่อส่งมอบโครงข่ายอุปกรณ์สถานีฐาน (RAN) สำหรับเครือข่ายมือถือยุคต่อไป ตลอดจนการตรวจจับข้อผิดพลาดของโรงงานผลิต และแอปพลิเคชันแบบ edge computing อื่น ๆ ในจุดที่ได้จัดสรรปันส่วนไปตามที่ต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ช่วยให้กระบวนการซับซ้อนที่เกิดขึ้นบ่อยในการรวมอุปกรณ์ edge กับแพลตฟอร์มที่มีอยู่ทำได้ง่ายขึ้น และทำให้การดำเนินงานจากทุกสถานที่ทำได้สะดวกขึ้น แม้จะมีพนักงานไอทีจำนวนจำกัดก็ตาม

บริการ Red Hat OpenShift มีความสามารถด้านเอดจ์เพิ่มเติม ดังนี้

    • การจัดการโครงสร้าง edge บน OpenShift โดย Red Hat Advanced Cluster Management รวมถึง single-node OpenShift clusters, โหนดสำหรับผู้ปฏิบัติงานจากทุกสถานที่ และคลัสเตอร์แบบกระทัดรัด 3 โหนด Red Hat Advanced Cluster Management hub cluster เพียงแห่งเดียวสามารถใช้และจัดการ single-node OpenShift clusters ได้ถึง 2,000 โหนด โดยลูกค้าสามารถใช้และจัดการบริการเหล่านี้ที่ edge ได้โดยใช้การจัดเตรียมแบบ zero touch  ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถบังคับใช้นโยบาย ปรับใช้ตามขนาด และดำเนินการแก้ไขอัตโนมัติได้ด้วย Ansible Automation Platform
    • รองรับ single-node OpenShift ด้วย OpenShift Data Foundation 4.10 ในลักษณะเป็นเทคโนโลยีพรีวิว และเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลที่สามารถเชื่อมต่อระยะไกลผ่านระบบเครือข่าย (block storage) ด้วยการจัดเตรียมแบบไดนามิกเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตลอดจนเพิ่มความสอดคล้องของข้อมูลและบริการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้ตามต้องการ

สำหรับทีมไอทีที่ต้องการสร้างสถาปัตยกรรม edge อย่างรวดเร็ว รูปแบบใหม่ของ Red Hat Edge ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจะมีโค้ดที่จำเป็นต่อการสร้าง edge stacks ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเปลี่ยนจากแนวคิดไปสู่การพิสูจน์แนวคิดได้เร็วขึ้น รูปแบบใหม่ ๆ เหล่านี้ ได้แก่

    • Medical Diagnosis ซึ่งใช้ GitOps เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์นำเข้า วิเคราะห์ และดำเนินการตามภาพถ่ายและข้อมูลทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
    • Multicloud GitOps ที่ออกแบบมาอย่างเจาะจงให้กับองค์กรที่ต้องการรันเวิร์กโหลดบนคลัสเตอร์และคลาวด์ประเภทต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน ทั้งพับลิคและไพรเวทคลาวด์

พื้นฐานเดียวกันตั้งแต่จุดศูนย์กลางไปจนถึง edge และบนคลาวด์

Red Hat Enterprise Linux 9 เพิ่มความสม่ำเสมอ, ความยืดหยุ่น และนวัตกรรมของแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ให้การใช้ edge โดยสร้างจากบทบาทสำคัญต่อภารกิจที่แพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรของโลกให้บริการอยู่ เร้ดแฮทเปิดตัวชุดฟีเจอร์ edge management ที่ครบครัน โดยใช้การควบคุมจากส่วนกลางเพื่อกำกับดูแลและขยายการใช้ edge ตลอดจน intelligent roll-back for Podman เพื่อช่วยเพิ่มเวลาทำงานของอุปกรณ์ edge 

เร้ดแฮทเห็นว่าความหลากหลายของฮาร์ดแวร์และทางเลือกของลูกค้า มีความสำคัญต่อระบบนิเวศของโอเพ่นไฮบริดคลาวด์และเอดจ์  และเพื่อเสนอทางเลือกด้านสถาปัตยกรรมพื้นฐานให้กับลูกค้า พันธมิตรใหม่สองรายที่เน้นการใช้เอดจ์เป็นศูนย์กลางจึงได้เข้าร่วมในระบบนิเวศพันธมิตรของเร้ดแฮท ได้แก่

    • OnLogic บริษัทผู้นำระบบที่ได้รับการรับรองจากเร้ดแฮทมาใช้กับอุปกรณ์อุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ไม่มีพัดลม ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงที่ทนทาน ที่มีความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์และแมชชีนเลิร์นนิง (AI/ML)
    • IntelNUCs ที่ได้กลายเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานข้ามอุตสาหกรรม โดยโมดูล NUC Element ล่าสุดได้รับการรับรองสำหรับใช้งานใน Red Hat Enterprise Linux 8 และ 9 ทำให้องค์กรที่ใช้ Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat OpenShift มีตัวเลือกที่ทรงพลังในการใช้งาน edge

ระบบอัตโนมัติที่ปรับขยายได้จากไฮบริดคลาวด์ไปจนถึงเอดจ์

Red Hat Ansible Automation Platform ช่วยแก้ปัญหาด้านการจัดการและระบบอัตโนมัติ ที่จำเป็นต่อการมองเห็นและความสอดคล้องในการใช้ edge ขององค์กร สถาปัตยกรรมที่ปรับใหม่ของ Ansible Automation Platform ถูกออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนในการปรับใช้ระบบอัตโนมัติขนาดใหญ่ในระบบไฮบริดคลาวด์และ edge การเปิดตัว automation mesh ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารระหว่างระบบอัตโนมัติเมื่อเร็ว ๆ นี้ ควบคู่กับการแสดงภาพเสมือนจริงของ automation mesh ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนในการทำงานของระบบอัตโนมัติ ช่วยให้ทีมไอทีปรับขนาดการทำงานอัตโนมัติได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นในทุกจุดที่ต้องการ พร้อมความสามารถในการขยายสูงสุดเมื่อสภาพแวดล้อมของ edge พัฒนาขึ้น  ช่วยให้ระบบอัตโนมัติเข้าใกล้เวิร์กโฟลว์ของ edge ได้มากขึ้น

คำกล่าวสนับสนุน

ฟรานซิส โจว, รองประธานและผู้จัดการทั่วไป, ระบบปฏิบัติการและเอดจ์ในยานพาหนะ, Red Hat

“เอดจ์คอมพิวติ้งไม่ใช่แนวคิดใหม่สำหรับธุรกิจอีกต่อไป เนื่องจากทีมไอทีและทีมดำเนินงานต้องการย้ายการใช้เอดจ์จากโครงการไปสู่สายการผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับความท้าทายชุดใหม่ทั้งหมดด้วย  การปรับปรุงโครงการ Red Hat Edge จากการบริหารจัดการเอดจ์ที่ครบครันของ Red Hat Enterprise Linux 9, ความสามารถแบบองค์รวมและปรับขนาดได้ของ Ansible Automation Platform และความสามารถแบบ zero-touch ที่นำไปเชื่อมต่อขึ้นระบบได้ทันทีของทั้ง Red Hat Advanced Cluster Management for Kubernetes และ Red Hat OpenShift  ทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเอาชนะอุุปสรรคในการผลิตเหล่านี้ และผลักดันการนำเอดจ์คอมพิวติ้งไปใช้ในวงกว้างทั่วทั้งโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ 

Israel Defense Forces (IDF) lieutenant colonel, head of Edge Cloud Platform R&D, Center of Computing and Information Systems (Mamram), J6 and Cyber Defense Directorate

“เร้ดแฮทมอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างผู้คนและผลิตภัณฑ์ เพื่อจัดการกับความท้าทายทางธุรกิจและเทคโนโลยีของเรา ซึ่งรวมถึงโรดแมปสำหรับเอดจ์คอมพิวติ้ง ด้วยเทคโนโลยีไฮบริดคลาวด์ของเร้ดแฮทที่สนับสนุนความพยายามด้านเอดจ์คอมพิวติ้ง ทำให้ขณะนี้เราสามารถผลักดันแอปพลิเคชันและบริการไปสู่การปรับใช้งานเอดจ์ได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงแทนที่จะเป็นหลายสัปดาห์เหมือนแต่ก่อน
โดยไม่ต้องสูญเสียความเสถียรของแอปพลิเคชันที่สำคัญต่อภารกิจเลย” 

เจฟฟ์ วินเทอร์ริค, DoD chief account technologist, HPE

“HPE มีความร่วมมือมาอย่างยาวนานกับเร้ดแฮท และเรากำลังรอที่จะดำเนินการต่อด้วยการปรับปรุงโซลูชันเอดจ์เพื่อเร่งให้ลูกค้านำไปใช้งาน  ด้วยการรวมระบบ HPE Edgeline Coverged Edge ซึ่งมีขนาดกระทัดรัด ทนทาน และปรับให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เข้ากับความสามารถในการจัดเตรียมแบบ zero-touch ใหม่ของ Red Hat OpenShift ส่งผลให้เราสามารถดำเนินการด้านโซลูชันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกค้าสามารถเรียกใช้งานและจัดการกับเอดจ์แอปพลิเคชันได้ทั่วเครือข่าย รวมถึงเป็นพลังผลักดันให้กับประสบการณ์เชิงนวัตกรรมที่นำข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วยเอดจ์แบบเรียลไทม์มาใช้งาน”

เดฟ แมคคาร์ธี, รองประธานฝ่ายวิจัย, บริการระบบคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน, IDC

“ในขณะที่เอดจ์คอมพิวติ้งยังคงเป็นกระแสหลักในธุรกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ เร้ดแฮทจึงอยู่ในจังหวะที่เหมาสม ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้จำหน่ายชั้นนำในด้านนี้ จากการสำรวจแนวโน้มผู้ซื้อทั่วโลกของ EdgeView 2022 ของ IDC พบว่า อัตราการปรับใช้เอดจ์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย 74% ของธุรกิจกำลังวางแผนที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านโซลูชันเอดจ์ขึ้นอีกในสองปีข้างหน้า กลยุทธ์ของเร้ดแฮทในการสร้างฟีเจอร์เฉพาะของเอดจ์ลงในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการปรับใช้เอดจ์เป็นส่วนเสริมของดาต้าเซ็นเตอร์ ลดความซับซ้อนและคงความเสถียรได้ไม่ว่าโครงสร้างพื้นฐานจะอยู่ที่ใดก็ตาม”

ไมเคิล ไคลเนอร์, รองประธานฝ่ายวิศวกรรมและการจัดการผลิตภัณฑ์, OnLogic

“คลาวด์คอมพิวติ้งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่ออนาคตของโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ เนื่องจากลูกค้าตั้งเป้า
ที่จะปรับใช้กับเวิร์กโหลดต่าง ๆ ให้ใกล้กับผู้ใช้ปลายทางและจุดข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีที่สุด อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ของ OnLogic ที่ผ่านการรับรองสำหรับใช้งานปลายทางบน Red Hat Enterprise Linux 9 จะช่วยให้ลูกค้ามีวิธีที่คล่องตัวมากขึ้นในการขยายขีดความสามารถของไฮบริดคลาวด์ด้วยอุปกรณ์เอดจ์ที่เชื่อถือได้”

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

เร้ดแฮทขยายพอร์ตโฟลิโอบริการคลาวด์ สร้างประสบการณ์ที่สอดคล้อง และปรับขนาดได้ เพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันสมัยใหม่

เร้ดแฮทขยายพอร์ตโฟลิโอบริการคลาวด์

เร้ดแฮทขยายพอร์ตโฟลิโอบริการคลาวด์ สร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องและปรับขนาดได้ เพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันสมัยใหม่

บริการคลาวด์ของเร้ดแฮทลดความซับซ้อนในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดขับเคลื่อนมูลค่าและความเร็วทางธุรกิจสำหรับนวัตกรรมไอทีระดับองค์กร

ณ งาน Red Hat Summit 2022 เร้ดแฮท อิงค์ (Red Hat) ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก ประกาศความก้าวหน้าใหม่ในพอร์ทโฟลิโอของ Red Hat Cloud Services โดยมอบประสบการณ์ผู้ใช้งานที่มีการจัดการพร้อมประสิทธิภาพเต็มรูปแบบ ทำให้องค์กรสามารถสร้างปรับใช้จัดการและปรับขนาดคลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชันในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด

สภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริดยังคงเป็นสาระสำคัญในการดำเนินงานขององค์กรส่วนใหญ่  จากรายงานของ IDC บริษัทวิจัยด้านอุตสาหกรรมระบุว่า “ภายในปี 2567, องค์กร 50% จะใช้ แอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นจากแนวคิดการให้บริการคลาวด์ รวมทั้งเทคโนโลยีคลาวด์เนทีฟ ช่วยให้เกิด ความสอดคล้องในการทำงานจากทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม” [1]จากการที่องค์กรต่าง ๆ ต้องพยายามอย่างหนักในการสร้างประสบการณ์เชิงนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้องค์กรจำเป็นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริด เพื่อช่วยบรรเทาความซับซ้อนที่มาพร้อมกับความต้องการปรับขยายได้

Red Hat Cloud Services ออกแบบมาเพื่อจัดการกับความซับซ้อนของไฮบริดคลาวด์ ขณะนี้องค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญกับความท้าทาย เช่น การแพร่กระจายของแอปพลิเคชัน (application sprawl)  และการรองรับแอปพลิเคชันที่อินเทอร์เฟซผู้ใช้และรหัสการเข้าถึงข้อมูลถูกรวมเอาไว้ในสภาพแวดล้อมและใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน (monolitic application support)  ดังนั้น หากต้องการจะประสบความสำเร็จ องค์กรจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย ในขณะเดียวกันก็ลดเวลา การส่งมอบและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ด้วย

ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนความพยายามขององค์กรในการพัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบคลาวด์ เร้ดแฮทจึงได้ประกาศถึงบริการด้านคลาวด์ใหม่ ๆ ดังต่อไปนี้

    • Red Hat OpenShift Service Registry ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทีมพัฒนาเผยแพร่ ค้นหา ตลอดจนนำ application programming interfaces (APIs) และแบบแผนจำลองมาใช้ซ้ำ
    • Red Hat OpenShift Connectorsที่ให้การเชื่อมต่อที่สร้างไว้ล่วงหน้า ไปยังระบบต่าง ๆ ของบุคคลที่สาม และเปิดใช้การผสานการทำงานแบบไม่มีโค้ดกับ Red Hat OpenShift Streams สำหรับ Apache Kafka
    • Red Hat OpenShift Database Access ที่มอบประสบการณ์การใช้ Database as a Service (DBaaS) ที่สอดคล้องกันในทุกสภาพแวดล้อม ไฮบริดคลาวด์ ช่วยให้ผู้ดูแลระบบ OpenShiftสามารถจัดเตรียมและจัดการการเข้าถึงบริการฐานข้อมูลบุคคลที่สามได้อย่างง่ายดาย และทำให้นักพัฒนา สามารถจัดเตรียมและเข้าถึงฐานข้อมูลบนคลาวด์ได้ง่ายขึ้น

พอร์ตโฟลิโอ Red Hat Cloud Services ได้รับการผสานรวมอย่างแนบแน่นกับ Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Kubernetes ระดับองค์กรชั้นนำของอุตสาหกรรม เป็นพื้นฐานสำหรับการปรับปรุง แอปพลิเคชัน ที่มีอยู่ให้ทันสมัย, สร้างคลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชัน, ให้การพัฒนาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มความชาญฉลาดให้กับแอปพลิเคชัน และการผสานรวมกับบริการต่าง ๆ ของบริษัทอื่น ๆ

นอกจากนี้ เร้ดแฮทยังได้ประกาศการปรับปรุงบริการ Cloud Services ที่มีอยู่ ดังต่อไปนี้

    • Red Hat OpenShift Data Science เป็นบริการระบบคลาวด์ที่มีการ บริหารจัดการสำหรับ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักพัฒนา ซึ่งมีแซนด์บ็อกซ์ที่ได้รับ การรองรับอย่างเต็มรูปแบบในการพัฒนา ฝึกฝนและทดสอบโมเดล แมชชีนเลิร์นนิง (ML) ได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้พร้อมให้บริการเป็นส่วนเสริมสำหรับ OpenShift Dedicated และ Red Hat OpenShift Service สำหรับลูกค้า AWS แล้ว นอกจากนี้ ยังได้เพิ่ม การอัปเดตเพื่อปรับปรุงการรองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนด ซึ่งรวมถึง PCI ที่เชื่อม ต่ออุปกรณ์ ต่อพ่วงภายในเครื่องกับระบบประมวลผลกลางของ คอมพิวเตอร์ด้วย ทั้งนี้ ลูกค้าจะสามารถ ใช้ประโยชน์จากโซลูชัน ISV ที่มีการ บริหารจัดการจาก Starburst ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านข้อมูล ชั้นนำได้ภายในปีนี้
    • Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka เป็นบริการ Kafka ที่มีการบริหาร จัดการและโฮสต์อย่างเต็มรูปแบบ รองรับการจัดการข้อมูล ประจำตัว และการเข้าถึงอย่างละเอียด ตลอดจนการเข้าถึงตัวชี้วัดและการตรวจสอบ แดชบอร์ด นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มการรับรองต่าง ๆ ด้าน PCI เพื่อให้ปฏิบัติตาม ข้อกำหนดได้ดียิ่งขึ้น
    • Red Hat OpenShift API Managementทำให้สามารถพัฒนาและปรับใช้ แอปพลิเคชัน ที่เน้น API ได้อย่างรวดเร็วผ่านบริการที่โฮสต์และจัดการ OpenShift API Management ที่อยู่ใน Developer Sandbox for Red Hat OpenShift สำหรับการทดลองใช้งาน นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มการอัปเดตเพื่อปรับปรุงการรองรับ ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมถึง การรับรอง PCI, ISO และ SOC2 ตลอดจนการพรีวิวของผู้ออกแบบ API อีกด้วย

องค์กรชั้นนำ เช่น BITMARCK, Boston University และ electrical training ALLIANCE ใช้ประโยชน์จากบริการคลาวด์ของเร้ดแฮทในการออกแบบ, ปรับใช้, บริหารจัดการ และปรับขนาด คลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชัน  บริการเหล่านี้ทำให้ความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานและการรองรับเปลี่ยน ไปยังเร้ดแฮทที่โฮสต์และให้การบริหารจัดการคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ ช่วยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อน นวัตกรรมใหม่ ๆ และมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่

เนื่องจากความต้องการด้านไอทีและธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เร้ดแฮทจึงได้สร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์และโซลูชันต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยบริษัทต่าง ๆ ที่พยายามปรับปรุงการพัฒนา และส่งมอบแอปพลิเคชันให้ทันสมัยมากขึ้น

คำกล่าวสนับสนุน

อาชีช แบดานี, รองประธานอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์, Red Hat

“ลูกค้าต้องการโซลูชันที่ขจัดความซับซ้อนในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดของตน ช่วยให้โครงสร้าง พื้นฐานและแอปพลิเคชันมีความยืดหยุ่น, ควบคุมได้ และมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เร้ดแฮทกำลังช่วย ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ด้วยบริการคลาวด์ใหม่และที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับยุคแห่งนวัตกรรมไฮบริด และปรับให้เหมาะสมสำหรับประสิทธิภาพของนักพัฒนา และผู้ปฏิบัติงาน  การพัฒนาเหล่านี้ช่วยให้ผู้นำสามารถมุ่งเน้นไปที่การนำผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น พร้อมกับขับเคลื่อนมูลค่าทางธุรกิจให้กับองค์กร”

สตีเฟน บอยด์, สถาปนิกไอที, electrical training ALLIANCE

“การเป็นพันธมิตกับเร้ดแฮทได้เปลี่ยนโฉมความสามารถของ ETA ในการนำเสนอการฝึกอบรม และการจัดการการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับช่างไฟฟ้ารุ่นต่อไป ตลอดจนปรับปรุงเส้นทางในการเปลี่ยน ผ่านสู่ดิจิทัลของเราโดยรวม ในฐานะที่เป็นทีมเล็ก ๆ การสนับสนุนที่เราได้รับผ่านบริการที่มีการจัดการ ของ Red Hat OpenShift API Management ช่วยให้เรามุ่งความสนใจไปที่การสร้างประโยชน์ที่ดีให้ กับธุรกิจได้มากขึ้น และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา”

เดิร์ก เชฟเฟอร์ส, หัวหน้าสถาปนิกองค์กร, BITMARCK

“เร้ดแฮทให้การสนับสนุนที่ยอดเยี่ยมเมื่อเปิดตัวโซลูชันของเราบนระบบคลาวด์  เราสามารถปรับปรุง ข้อเสนอทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ด้วยความยืดหยุ่นที่ Red Hat Integration มอบให้ พร้อมกับการสนับสนุนด้วยรากฐานของ Red Hat OpenShift  แอปพลิเคชันนี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยน สถานการณ์ธุรกิจของเราในระดับที่เห็นได้ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังทำให้เราสามารถช่วยเหลือลูกค้าด้าน การดูแลสุขภาพ ในเวลาที่พวกเขาต้องการการเข้าถึงผู้ป่วยและแพทย์ตลอดเส้นทางด้านสุขภาพ ของพวกเขาอีกด้วย”

แฮริสัน จอห์นสัน, หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรด้านเทคโนโลยี, Starburst

“Starburst และ Red Hat กำลังร่วมมือกันเพื่อจัดการกับการแผ่ขยายของข้อมูลและความซับซ้อนของ แอปพลิเคชัน AI/ML ที่เพิ่มขึ้นด้วยข้อเสนอสองข้อ คือ Starburst Enterprise และ Starburst Galaxy ซึ่งเป็นข้อเสนอที่มีการจัดการเต็มรูปแบบบน Red Hat OpenShift Data Science ด้วยความร่วมมืออย่าง ต่อเนื่องของพวกเรา เราจะมุ่งเน้นไปที่การให้การเข้าถึงข้อมูลที่ยืดหยุ่นบนแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ และปรับขนาดได้ ซึ่งเป็นรากฐานของวงจรชีวิตด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่มีการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเร่งความพยายามของพวกเขาได้”

Red Hat Enterprise Linux 9 สร้างนิยามใหม่ให้กับเทคโนโลยีที่เป็นจุดศูนย์กลางของนวัตกรรม

Red Hat Enterprise Linux 9 สร้างนิยามใหม่ให้กับเทคโนโลยีที่เป็นจุดศูนย์กลางของนวัตกรรม

Red Hat Enterprise Linux 9 สร้างนิยามใหม่ให้กับเทคโนโลยีที่เป็นจุดศูนย์กลางของนวัตกรรม

    • แพลตฟอร์ม Linux ชั้นนำของโลกที่ใช้ในองค์กรจับคู่กับโค้ดที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้ด้วยบริการต่าง ๆ บนคลาวด์ เป็นพลังขับเคลื่อนเวิร์กโหลดในสภาพแวดล้อมการผลิตทั้งแบบดั้งเดิมและรุ่นใหม่
    • Red Hat Enterprise Linux 9 ได้รับการออกแบบสำหรับการประมวลผลที่ edge และมัลติคลาวด์ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องและบริหารจัดการได้ทุกที่ที่ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นในดาต้าเซ็นเตอร์ บนคลาวด์ หรือที่ edge
    • Red Hat Enterprise Linux ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากการคาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้ Red Hat Enterprise Linux ในภาพรวมจะแตะระดับที่สูงกว่า 13 ล้านล้านเหรียญฯ ในปี 2565

เร้ดแฮท อิงค์ (Red Hat) ผู้ให้บริการด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับ แนวหน้าของโลก แนะนำ Red Hat Enterprise Linux 9 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ Linux ออกแบบมาเพื่อ ขับเคลื่อนนวัตกรรมบนโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ทุกระบบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ติดตั้งอยู่ใน องค์กร ผู้ให้บริการคลาวด์ต่าง ๆ และ ณ edge ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงที่อยู่นอกสุดของเน็ตเวิร์กขององค์กร Red Hat Enterprise Linux 9 ออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มขององค์กร ควบคู่กับการพัฒนา ของกลไกตลาด และความต้องการของลูกค้าในโลกของไอทีแบบอัตโนมัติและแบบจัดสรรปันส่วนไปตาม ที่ต่าง ๆ (distributed IT)

Red Hat Enterprise Linux ทำหน้าที่เป็นแกนหลักให้กับระบบไอทีขององค์กรทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์และบนคลาวด์มาเป็นเวลาสองทศวรรษแล้ว โดยเน้นให้ลูกค้ามีทางเลือกและมีความยืดหยุ่น แพลตฟอร์มสำหรับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ นี้ ช่วยให้ลูกค้าของ Red Hat เลือกสถาปัตยกรรมพื้นฐาน เลือกผู้ให้บริการแอปพลิเคชันและผู้ให้บริการคลาวด์ ที่มีสมรรถนะและมีโซลูชันที่ทำงานร่วมกับระบบไอทีที่ทันสมัยได้ตามต้องการ การทำงานร่วมกันนี้ ส่งผลให้ Red Hat Enterprise Linux กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการสร้างสรรค์นวัตกรรม ข้อมูลจากการศึกษาของ IDC ที่สนับสนุนโดย Red Hat[1] คาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้ Red Hat Enterprise Linux ทั่วโลกจะสูงกว่า 13 ล้านล้านเหรียญฯ ในปี 2565 โดยรวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ให้กับลูกค้าของ Red Hat ซึ่งคาดว่าจะให้ผลประโยชน์ทางการเงินรวม 1.7 ล้านล้านเหรียญฯ ในปี 2565

แพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรซึ่งเป็นแพลตฟอร์มชั้นแนวหน้าของโลกเวอร์ชันล่าสุดนี้ สร้างจากนวัตกรรมที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งมาหลายทศวรรษ และเป็นเวอร์ชันที่นำออกใช้จริงรุ่นแรกที่สร้างจาก CentOS Stream ซึ่งเป็นการพัฒนาล้ำหน้าอย่างต่อเนื่องของ Red Hat Enterprise Linux แนวทางนี้ช่วยให้ระบบนิเวศของ Red Hat Enterprise Linux กว้างขวางมากขึ้น จากพันธมิตร ลูกค้า ไปจนถึงผู้ใช้ทั่วไป รวมถึง การให้ข้อมูลป้อนกลับ การอัปเดทโค้ดและฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้กับแพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรที่มีประสิทธิภาพชั้นนำของโลก

IDC[2] คาดการณ์ว่า “ภายในปี 2566, 40% ของบริษัทในกลุ่ม G2000 จะเปลี่ยนกระบวนการคัดเลือกคลาวด์เสียใหม่ เพื่อเน้นผลลัพธ์ทางธุรกิจ มากกว่าความต้องการด้านไอที โดยให้ความสำคัญกับการเข้าถึงพอร์ตโฟลิโอของผู้ให้บริการตั้งแต่อุปกรณ์ไปจนถึง edge และตั้งแต่ข้อมูลไปจนถึงระบบนิเวศ”  สำหรับ Red Hat ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มมาตรฐานที่สามารถเข้าถึงฟุตพริ้นท์เหล่านี้ทั้งหมดได้ และมอบประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับทั้งนวัตกรรม และความคงเส้นคงวาในการสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญ โครงสร้างของ Red Hat Enterprise Linux 9 ได้รับการสร้างสรรค์มาเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้และความต้องการอื่น ๆ แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ทีมปฏิบัติการและนักพัฒนาได้ใช้ความคิดริเริ่มหรือโครงการใหม่ ๆ โดยไม่ต้องยกเลิกเวิร์กโหลดหรือระบบต่าง ๆ ที่ใช้อยู่

แพลตฟอร์มที่แพร่หลายสำหรับการสร้างนวัตกรรมที่ใช้ได้ต่อเนื่อง ทั้งกับดาต้าเซ็นเตอร์ ผู้ให้ บริการคลาวด์ และ edge

Red Hat Enterprise Linux มีความพร้อมใช้งานสูงและมีทางเลือกในการใช้งานมากมายในตลาดคลาวด์ชั้นนำต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ Red Hat Enterprise Linux ได้ทุกที่ทุกวิธีที่เหมาะกับความต้องการในการทำงานที่เฉพาะของลูกค้าแต่ละราย  ลูกค้าปัจจุบันสามารถโยกย้ายสิทธิ์การเป็นสมาชิก Red Hat Enterprise Linux ไปใช้งานบนระบบคลาวด์ที่เลือกได้ด้วย Red Hat Cloud Access ลูกค้ารายใดที่กำลังต้องการปรับขนาดการใช้งาน และมองหาคลาวด์ที่ตรงตามความต้องการ จะสามารถใช้แพลตฟอร์ม ออน-ดีมานด์จากผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ในตลาดได้ เช่น Amazon Web Services (AWS), Google Cloud, IBM Cloud และ Microsoft Azure

องค์กรให้ความสนใจกับการประมวลผลที่ edge มากขึ้น และคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดมากกว่าหนึ่งในสี่ล้านล้านเหรียญฯ ภายในปี 2568[3] และแพลตฟอร์มที่มีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วไปนี้ก็ขยายการใช้งานไปถึง edge โดยประสิทธิภาพสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ Red Hat Enterprise Linux 9 นี้เป็นความสามารถที่ออกแบบมาอย่างเจาะจงตอบโจทย์ความต้องการด้านไอทีที่ edge ที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาความสามารถเหล่านี้ประกอบด้วย

    • การบริหารจัดการ edge ที่ครอบคลุม ส่งมอบในลักษณะ as a service เพื่อควบคุมตรวจสอบและปรับขนาดการใช้งานจากระยะไกลด้วยฟังก์ชันด้านการควบคุมและความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ครบครันด้วยการจัดเตรียมงานแบบไร้สัมผัส สามารถเห็นความสมบูรณ์ของระบบ และเพิ่มการตอบสนองการลดความเสียหายจากช่องโหว่ทั้งหมดจากอินเทอร์เฟซเดียวมากขึ้น
    • การกู้คืน (roll-back) คอนเทนเนอร์ไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าโดยอัตโนมัติ ด้วย Podman ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการบริหารจัดการคอนเทนเนอร์แบบเบ็ดเสร็จของ Red Hat Enterprise Linuxที่สามารถตรวจจับได้อย่างอัตโนมัติหากคอนเทนเนอร์ที่ได้รับการอัปเดทใหม่ไม่สามารถทำงานได้ และทำการกู้คืนคอนเทนเนอร์กลับไปยังเวอร์ชันการทำงานก่อนหน้าได้โดยอัตโนมัติ

Red Hat Enterprise Linux 9 ยังเน้นให้เห็นถึงความพยายามของ Red Hat ที่จะให้บริการฟังก์ชันระบบปฏิบัติการสำคัญต่าง ๆ ในรูปแบบการให้บริการ (as services) โดยเริ่มด้วย new image builder service. ที่ใช้ได้กับฟังก์ชันบนแพลตฟอร์มหลักที่มีอยู่แล้ว บริการนี้รองรับการสร้างอิมเมจสำหรับระบบไฟล์ที่ปรับแต่งเฉพาะ และผู้ให้บริการคลาวด์หลัก ๆ รวมถึงเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชัน เช่น AWS, Google Cloud, Microsoft Azure และ VMware

Red Hat ทำงานร่วมกับ AWS มากว่าทศวรรษ เพื่อสนับสนุนการเปิดตัวเวอร์ชันล่าสุดของ Red Hat Enterprise Linux บน AWS โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ลูกค้าสามารถใช้เวิร์กโหลดที่อยู่บน Red Hat Enterprise Linux บนอินสแตนซ์ของ AWS ที่ใช้ระบบประมวลผล Graviton ออกแบบโดย AWS ได้ การทำงานร่วมกันของ Red Hat Enterprise Linux 9 กับระบบประมวลผล Graviton ของ AWS ช่วยปรับประสิทธิภาพด้านราคาให้เหมาะสมสำหรับเวิร์กโหลดคลาวด์หลากหลายที่ทำงานกับ Amazon Elastic Compute Cloud (Amazon EC2)

แกนหลักเพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ทุกที่ ที่แข็งแกร่งมากขึ้น

การที่ทีมไอทีนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ และขยายการใช้งานไปยังรูปแบบการปฏิบัติการใหม่ ๆ ทำให้ภัยคุกคามกลายเป็นเรื่องซับซ้อนมากขึ้นและมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา  Red Hat Enterprise Linux 9 ยังคงความมุ่งมั่นของ Red Hat ในการนำเสนอแพลตฟอร์ม Linux ที่มั่นคงปลอดภัย ซึ่งสามารถรับมือกับเวิร์กโหลดที่ละเอียดอ่อนที่สุด และจับคู่นวัตกรรมกับความสามารถด้านความปลอดภัยที่รัดกุมมากขึ้น เมื่อสมัครใช้งาน Red Hat Enterprise Linux ลูกค้ายังสามารถเข้าใช้งาน Red Hat Insights ซึ่งเป็นบริการการวิเคราะห์เชิงรุกอย่างต่อเนื่องของ Red Hat เพื่อตรวจจับและแก้ไขปัญหาด้านการกำหนดค่าและช่องโหว่
ที่อาจเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและการใช้งานของสมาชิกบนไฮบริดคลาวด์ด้วย

สิ่งที่มีมากกว่าความแข็งแกร่ง การทดสอบ และการสแกนหาช่องโหว่ที่เป็นคุณสมบัติของ Red Hat Enterprise Linux ทุกรุ่นแล้ว Red Hat Enterprise Linux 9 ยังรวบรวมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์ เช่น Spectre และ Meltdown ตลอดจนความสามารถที่ช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ของผู้ใช้งาน สามารถสร้างบริเวณหน่วยความจำที่ไม่สามารถเข้าถึงโค้ดที่อาจเป็นอันตรายได้  แพลตฟอร์มนี้ยังได้เตรียมความพร้อมและตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยให้กับลูกค้า และรองรับข้อกำหนดของ PCI-DSS, HIPAA และข้อกำหนดอื่น ๆ

Red Hat Enterprise Linux 9 ยังเพิ่ม Integrity Measurement Architecture (IMA) – digital hashes and signatures โดยผู้ใช้สามารถใช้ IMA เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของระบบปฏิบัติการผ่าน digital signatures and hashes ซึ่งช่วยตรวจจับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานที่ผิดปกติ ทำให้จำกัดการบุกรุกระบบได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ Red Hat Enterprise Linux 9 จะใช้งานได้กับ IBM Cloud  เพื่อเพิ่มทางเลือกด้านสถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อมด้านโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ต่าง ๆ ให้กับองค์กร และยังเสริมคุณสมบัติและความสามารถต่าง ๆ ด้านความปลอดภัยที่สำคัญของระบบ IBM Power Systems และ IBM Z  การจับคู่ความสามารถด้านฮาร์ดแวร์ที่เน้นเรื่องความปลอดภัยจากสถาปัตยกรรมของ IBM เข้ากับประสิทธิภาพความปลอดภัยของ Red Hat Enterprise Linux 9 เป็นการมอบนวัตกรรม ความแข็งแกร่ง และความสามารถด้านความปลอดภัยที่องค์กรจำนวนมากต้องการในการประมวลผลแบบไฮบริดคลาวด์

ระบบอัตโนมัติและการพัฒนาด้านไฮบริดคลาวด์อย่างต่อเนื่อง

การที่ระบบไอทีต่าง ๆ ขยายตัวเพื่อให้รับมือกับเวิร์กโหลดและฟุตพริ้นท์ที่หลากหลายได้อย่างครอบคลุมทำให้ทีมทำงานด้านไอทีนำระบบ และเครื่องมืออัตโนมัติมาใช้เป็นตัวช่วยที่ทรงพลัง Red Hat Enterprise Linux 9 ช่วยให้องค์กรด้านไอทีได้ใช้ระบบอัตโนมัติกับไฮบริดคลาวด์ทั้งหมด ด้วยความสามารถต่าง ๆ ที่ปรับไว้อย่างเจาะจงในการช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

แพลตฟอร์มนี้นำเสนอ Red Hat Enterprise Linux System Roles ซึ่งมอบเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติสำหรับการสร้างการกำหนดค่าระบบที่เฉพาะเจาะจง Red Hat Enterprise Linux 9 ยังสร้างตัวเลือกเพิ่มเติม คือ การเพิ่ม System Roles for Postfix ใหม่, คลัสเตอร์ที่พร้อมใช้งานสูง, ไฟร์วอลล์, Microsoft SQL Server, web console และอื่น ๆ

นอกจากนี้ Red Hat Enterprise Linux 9 ยังรองรับ kernel live patching จาก Red Hat Enterprise Linux web console ช่วยให้องค์กรด้านไอทีสามารถจัดการกับงานสำคัญได้โดยอัตโนมัติตามปริมาณที่ต้องการ ซึ่งเป็นการช่วยให้ทีมทำงานด้านไอทีสามารถทำการอัปเดทการใช้งานระบบแบบกระจายขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องเข้าใช้เครื่องมือ command line ช่วยให้จัดการปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตได้ง่ายขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นในดาต้าเซ็นเตอร์หลัก มัลติคลาวด์ หรือ edge สำหรับ Microsoft นั้น Red Hat Enterprise Linux 9 เป็นการต่อยอดความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Microsoft เมื่อปี 2558 และขณะนี้พร้อมใช้งานบน Microsoft Azure โดยมอบโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้ให้กับเทคโนโลยีหลักของ Microsoft รวมถึง Microsoft SQL Server อันนับเป็นความสำเร็จจากความร่วมมือด้านวิศวกรรมกับ Microsoft ซึ่งรวมถึงโมดูลนำร่องการปรับแต่งประสิทธิภาพ โปรไฟล์ที่ได้รับการปรับแต่ง บทบาทระบบ SQL Server ที่ขับเคลื่อนโดย Ansible และอื่น ๆ อีกมาก นอกจากนี้ Red Hat Enterprise Linux 9 ยังสนับสนุนการพัฒนา .NET และแอปพลิเคชันอย่างเต็มรูปแบบต่อเนื่อง โดยการนำแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่สร้างโดยแพลตฟอร์มการพัฒนาของ Microsoft มาสู่แพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรที่มีประสิทธิภาพแนวหน้าของโลก

การวางจำหน่าย

Red Hat Enterprise Linux 9 จะพร้อมใช้งานทั่วไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ถัดจากนี้ ผ่าน the Red Hat Customer Portal และผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่  นอกจากนี้ นักพัฒนายังสามารถเข้าใช้งาน Red Hat Enterprise Linux 9 ผ่านโปรแกรม Red Hat Developer ต่าง ๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถเข้าใช้ซอฟต์แวร์ วิดีโอแสดงวิธีการใช้ต่าง ๆ การสาธิต คู่มือเริ่มต้นใช้งาน เอกสารประกอบ และอื่น ๆ อีกมาก

คำกล่าวสนับสนุน

แมทธิว ฮิกส์, รองประธานบริหาร ฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี, Red Hat

“ไม่ว่าจะเป็นพับลิคคลาวด์ขนาดใหญ่และอุปกรณ์ edge ชิ้นเล็ก ๆ ไปจนถึงคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชันที่เรียบง่าย และเวิร์กโหลดปัญญาประดิษฐ์ที่ซับซ้อน ไอทีที่ทันสมัยล้วนเริ่มต้นด้วย Linux  ในฐานะแพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรที่เป็นเทคโนโลยีชั้นนำของโลก Red Hat Enterprise Linux 9 ได้ขยายศักยภาพไปทุกแห่งหนที่ต้องการทั่วทั้งโอเพ่นไฮบริดคลาวด์และอื่น ๆ และจับคู่กับแกนหลักที่เชื่อถือได้ของ Linux ระดับองค์กรเข้ากับปัจจัยเร่งให้เกิดนวัตกรรมของชุมชนโอเพ่นซอร์ส  Linux เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และ Linux นั้นก็คือ Red Hat Enterprise Linux”

เฟรด เวอร์เดน, รองประธาน, AWS Commercial Software Services

“AWS และ Red Hat ได้รวมมือกันมอบโซลูชันการประมวลผลบนคลาวด์ที่พร้อมใช้สำหรับองค์กรให้กับลูกค้ามานานกว่าทศวรรษ ปัจจุบันเรานำ Red Hat Enterprise Linux 9 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Linux ที่เป็นนวัตกรรมที่มีความเสถียรมาทำงานร่วมกับ AWS ซึ่งช่วยให้ลูกค้าของเรารันเวิร์กโหลดที่สำคัญบนอินสเตนซ์ที่มีอยู่มากกว่า 500 ประเภท รวมถึงโปรเซสเซอร์ ARM-based AWS Graviton ที่ล้ำหน้าที่สุดซึ่งขับเคลื่อน Amazon EC2 instances รุ่นล่าสุด”

ฮิลเลรี ฮันเตอร์, ผู้จัดการทั่วไป, Cloud Industry Platforms and Solutions, CTO, IBM Cloud

“IBM Cloud ช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากสถาปัตยกรรมโอเพ่นคลาวด์ เพื่อเร่งแนวทางขับเคลื่อนนวัตกรรม ในขณะเดียวกันก็ยังคงความสำคัญด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นไว้เป็นสำคัญ ด้วยการสนับสนุนของ Red Hat Enterprise Linux ลูกค้าของเราโดยเฉพาะที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมที่เข้มงวด เช่น บริการทางการเงิน สามารถมั่นใจได้ว่าองค์กรเหล่านี้ได้ใช้สภาพแวดล้อมที่ออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัย และมีความสามารถระดับที่ใช้ในองค์กร การที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญสูงกับระบบความปลอดภัย การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความทันสมัย สภาพแวดล้อมนี้สามารถช่วยพวกเขาบริหารจัดการเวิร์กโหลดทุกสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ที่ใช้อยู่ เพื่อมอบประสบการณ์ที่คงเส้นคงวาและสอดคล้องกัน”

โอมาร์ คานท์, ผู้จัดการทั่วไป, Azure Infrastructure, Microsoft Corporation

“เรามุ่งมั่นช่วยลูกค้าของเราในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในขณะที่พวกเขาย้ายไปยังคลาวด์การที่ธุรกิจต่าง ๆ ขยายเวิร์กโหลดไปยัง edge โซลูชันต่าง ๆ เช่น Red Hat Enterprise Linux on Microsoft Azure ที่นำเสนอประโยชน์มากมายให้กับองค์กร รวมถึงเวิร์กโหลด Red Hat Enterprise Linux อัตโนมัติผ่าน Red Hat Ansible Automation Platform on Azure.

ผู้รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น

เร้ดแฮททำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำองค์กรและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีทุกปี โดยถามความเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายด้านไอที และเทคโนโลยีที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีที่จะมาถึง รวมถึงความคืบหน้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรนั้น ๆ รายงาน Red Hat 2022 Global Tech Outlook ประจำปีนี้ มีข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจหลายประการ เช่น AI/ML, เอดจ์ (Edge) และการประมวลผลโดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่องค์กรที่ตอบแบบสำรวจจัดให้มีความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีนี้ และผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า ช่องว่างด้านทักษะเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล ผลสำรวจยังเผยให้เห็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ องค์กรที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกำลังวางแผนใช้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ แทนที่จะต้องพึ่งพาไพรเวท หรือพับลิคคลาวด์เพียงอย่างเดียว ผลสำรวจสำคัญจาก Red Hat 2022 Global Tech Outlook

ผู้รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น

อาร์วิน สวามี

บทความโดย อาร์วิน สวามี, ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เร้ดแฮท

เร้ดแฮททำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำองค์กรและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีทุกปี โดยถามความเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายด้านไอที และเทคโนโลยีที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีที่จะมาถึง รวมถึงความคืบหน้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรนั้น ๆ

รายงาน Red Hat 2022 Global Tech Outlook ประจำปีนี้ มีข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจหลายประการ เช่น AI/ML, เอดจ์ (Edge) และการประมวลผลโดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่องค์กรที่ตอบแบบสำรวจจัดให้มีความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีนี้ และผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า ช่องว่างด้านทักษะเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล

ผลสำรวจยังเผยให้เห็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ องค์กรที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกำลังวางแผนใช้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ แทนที่จะต้องพึ่งพาไพรเวท หรือพับลิคคลาวด์เพียงอย่างเดียว

ผลสำรวจสำคัญจาก Red Hat 2022 Global Tech Outlook

ผู้รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร

 

ช่วงต่าง ๆ ของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

การสำรวจครั้งนี้ได้มีการถามคำถามที่เจาะจงว่าบริษัทที่ตอบแบบสำรวจอยู่ในช่วงใดของเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่งผลสำรวจพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ดี เช่น อยู่ในช่วงที่กำลังทำการเปลี่ยนแปลง ช่วงเร่งการเปลี่ยนแปลง หรือช่วงที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง โดยตัวเลขผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่อยู่ในช่วง “เร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” และ “กำลังเปลี่ยนแปลง” เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งจากผลสำรวจคือ มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่อยู่ในช่วง “หยุดกลางคัน” หรือ “ไม่มีแผน” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ผลสำรวจจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าและที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท

การสำรวจครั้งนี้ยังได้จำแนกคำตอบเหล่านี้เป็นคำตอบจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าของเร้ดแฮท และจากผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท เพื่อเปรียบเทียบผลที่ได้ และผลสำรวจที่โดดเด่นที่สุดคือ เกือบสองเท่าของเปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าเร้ดแฮทพิจารณาว่าตนเองอยู่ในช่วง “เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งจากผลสำรวจคือ มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่อยู่ในช่วง “หยุดกลางคัน” หรือ “ไม่มีแผน” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลสำรวจจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าและที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท การสำรวจครั้งนี้ยังได้จำแนกคำตอบเหล่านี้เป็นคำตอบจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าของเร้ดแฮท และจากผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท เพื่อเปรียบเทียบผลที่ได้ และผลสำรวจที่โดดเด่นที่สุดคือ เกือบสองเท่าของเปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าเร้ดแฮทพิจารณาว่าตนเองอยู่ในช่วง “เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง" ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

ผลสำรวจที่ได้นี้ สืบเนื่องจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าของเร้ดแฮท (53%) ระบุว่าเหตุผลหลักคือการมีช่องว่างด้านทักษะน้อยกว่าองค์กรที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท รวมถึงมีอุปสรรคที่แตกต่างกัน (เช่น หนี้ทางเทคนิค) และวิธีการวัดความสำเร็จ (เช่นให้บริการด้านไอทีได้เร็วขึ้น) 

กลยุทธ์ด้านไฮบริดคลาวด์ กับ ไพรเวทคลาวด์

ผลสำรวจพบว่ามีองค์กรที่ตอบแบบสำรวจเพียง 5% เท่านั้นที่ยังไม่มีการวางแผนกลยุทธ์ในการใช้คลาวด์  และแม้ว่ามีองค์กรส่วนหนึ่ง (18%) ยังคงอยู่ในช่วงการสร้างกลยุทธ์ แต่ส่วนใหญ่มีแผนกลยุทธ์ในการใช้คลาวด์อยู่แล้ว รวมถึง 30% ที่ตัดสินใจใช้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์

กลยุทธ์ด้านไฮบริดคลาวด์ กับ ไพรเวทคลาวด์

หากเรารวมองค์กรที่เลือกใช้มัลติคลาวด์ ซึ่งเป็นคำที่หลายคนใช้สลับกันกับไฮบริดคลาวด์แล้ว จำนวนโดยรวมขององค์กรที่เลือกกลยุทธ์คลาวด์ที่ต้องใช้คลาวด์มากกว่าหนึ่งประเภทจะเพิ่มขึ้นเป็น 43%
ซึ่งสูงขึ้นห้าเปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว

องค์กรที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและกลยุทธ์คลาวด์

เมื่อพูดถึงกลยุทธ์คลาวด์ องค์กรที่ประเมินตนเองว่าอยู่ในช่วงที่เป็น “ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” หรือ กำลัง “เร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้ความสำคัญกับไฮบริดคลาวด์อย่างมาก

ในทางกลับกัน องค์กรที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมีแนวโน้มใช้ไพรเวทคลาวด์เป็นอันดับแรก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมีความเข้าใจ และสามารถใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่น และได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานที่เข้ากันได้ของแพลตฟอร์มโอเพ่นไฮบริดคลาวด์

ลำดับความสำคัญระหว่าง นวัตกรรม ความเรียบง่าย และ ค่าใช้จ่าย

องค์กรที่ประเมินตัวเองว่าอยู่ในช่วงเป็น “ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลจำนวน 33% พิจารณาว่า “นวัตกรรม” เป็นสิ่งสำคัญลำดับสูงสุด มีเพียง 6% เท่านั้นที่เลือก “ความเรียบง่าย” และมีเพียง 2% ที่เลือก “ค่าใช้จ่าย” ซึ่งตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับกับองค์กรที่อยู่ในช่วง “หยุดกลางคัน” บนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่ง 13% ให้ความสำคัญสูงสุดกับ “นวัตกรรม” ในขณะที่ 11% ให้ความสำคัญกับ “ความเรียบง่าย” และ 13% ให้ความสำคัญกับ “ค่าใช้จ่าย”

ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าโครงการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลต่าง ๆ เริ่มต้นจากความพยายามให้การทำงาน
มีประสิทธิภาพ แต่หลังจากนั้นจึงรับรู้ได้ว่าเป็นองค์ประกอบหลักในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเติบโตของรายได้ และการมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

เพราะเหตุใดจึงเลือกใช้กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์

ประโยชน์สูงสุดของกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ คือ สามารถเลือกใช้โซลูชันที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละงานหรือแต่ละเวิร์กโหลดได้ เช่น องค์กรหนึ่ง ๆ อาจใช้โครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ภายในองค์กรเพื่อจัดเก็บข้อมูลสำคัญ แต่ใช้บริการพับลิคคลาวด์เพื่อพัฒนาหรือโฮสต์แอปพลิเคชัน เป็นต้น

องค์กรยังสามารถใช้บริการจากผู้ให้บริการพับลิคคลาวด์หลายรายพร้อมกัน เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน หรือสามารถย้ายเวิร์กโหลดจากระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่ง เพื่อให้ได้ราคาและใช้งานได้เหมาะสมตามความต้องการ  องค์กรบางแห่งอาจสนใจการประมวลผลที่เอดจ์ เพื่อกระจายการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลไปทำงานให้ใกล้กับแหล่งข้อมูลและผู้ใช้งานมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า และทำการตัดสินใจทางธุรกิจได้แบบเรียลไทม์

กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ช่วยให้องค์กรสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด ด้วยแพลตฟอร์มที่มีความเสถียรในการรันเวิร์กโหลดที่สามารถโยกย้ายไปใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างได้ ทำให้มีความยืดยุ่น มีความสามารถในการปรับขนาดการทำงาน และมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นและที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร

กล่าวได้ว่า ไม่มีผู้ให้บริการคลาวด์หรือสภาพแวดล้อมภายในองค์กรใดที่จะตอบสนองความต้องการทั้งหมดขององค์กรได้ และโซลูชันที่มีกรรมสิทธิ์ก็เป็นตัวจำกัดทางเลือกและความสามารถในการปรับตัวในอนาคต ดังนั้นเพื่อให้องค์กรปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องปรับปรุงสิ่งที่จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง องค์กรควรเลือกใช้ไฮบริดคลาวด์ที่สร้างบนโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้หลักเกณฑ์ของโอเพ่นซอร์ส ซึ่งช่วยให้ทีมที่ดูแลด้านการดำเนินงาน การพัฒนา และระบบความปลอดภัย สามารถสร้างและบริหารจัดการกลุ่มงานด้านไอทีทั้งหมดบนแพลตฟอร์มมาตรฐานหนึ่งเดียว ที่สามารถทำงานได้ทั้งกับระบบที่อยู่ภายในองค์กร เวอร์ชวลแมชชีน ไพรเวทคลาวด์ พับลิคคลาวด์ และเอดจ์