Red Hat เปิดตัว OpenShift Platform Plus เวอร์ชันล่าสุด เพื่อบริหารจัดการการทำงานบนไฮบริดคลาวด์ให้สอดคล้องกันมากขึ้น

Red Hat เปิดตัว OpenShift Platform Plus เวอร์ชันล่าสุด เพื่อบริหารจัดการการทำงานบนไฮบริดคลาวด์ให้สอดคล้องกันมากขึ้น

เร้ดแฮท อิงค์ ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก เปิดตัว Red Hat OpenShift Platform Plus รุ่นล่าสุด

ความสามารถใหม่ ๆ นี้ ช่วยให้ใช้ Kubernetes stack ได้ง่ายขึ้น เพิ่มความคล่องตัว สร้างมาตรฐานในการพัฒนาและการบริหารจัดการแอปพลิเคชัน ที่ครอบคลุมตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ เอดจ์ ไปจนถึง มัลติพับลิคคลาวด์

เร้ดแฮท อิงค์ ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก เปิดตัว Red Hat OpenShift Platform Plus รุ่นล่าสุด ที่มาพร้อมฟีเจอร์และความสามารถใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นจากแพลตฟอร์ม Kubernetes พื้นฐานทั่วไป ให้ตอบสนองการใช้งานด้านสตอเรจ การบริหารจัดการ และอื่น ๆ อีกมาก นับเป็นการยกระดับ Red Hat OpenShift Platform Plus ให้เป็นแพลตฟอร์ม Kubernetes หนึ่งเดียวที่รองรับความต้องการด้านไอทีขององค์กรได้ครบถ้วนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมการทำงานที่ดิสทริบิ้วเต็ดเอดจ์ หรือสภาพแวดล้อมมัลติพับลิคคลาวด์

รายงาน The Innovation Leader’s Guide to Navigating the Cloud-Native Container Ecosystem ของบริษัทวิจัย การ์ทเนอร์ (Gartner®) ให้คำแนะนำว่า “องค์กรต่าง ๆ ควรกำหนดมาตรฐานไว้บนแพลตฟอร์มที่มีความเสถียรเพียงหนึ่งเดียวให้ครอบคลุมกรณีการใช้งานที่หลากหลายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”[1] การที่องค์กรต่าง ๆ ใช้แอปพลิเคชันมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้แพลตฟอร์มคลาวด์ที่ขับเคลื่อนด้วย Kubernetest ที่นอกจากจะใช้รองรับโครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นไฮบริดคลาวด์แล้ว ยังต้องรองรับเวิร์กโหลดและแอปพลิเคชันหลากหลายที่ทำงานอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานนี้ด้วย

Red Hat OpenShift Platform Plus ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อใช้เป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานที่มีความมั่นคงให้กับองค์กรต่าง ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดมาตรฐานด้านไอทีเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แพลตฟอร์มรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ประกอบด้วยเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างปกป้อง และจัดการแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นตลอดอายุการใช้งานของซอฟต์แวร์ และใช้ได้กับคลัสเตอร์ Kubernetes ทั้งหมด เทคโนโลยีพื้นฐานที่ได้รับการอัปเดทประกอบด้วย

    • Red Hat OpenShift 4.11
    • Red Hat Advanced Cluster Management for Kubernetes 2.6
    • Red Hat OpenShift Data Foundation 4.11

แพลตฟอร์มครบวงจรสำหรับเวิร์กโหลดต่าง ๆ ที่รันอยู่บนไฮบริดคลาวด์

การที่องค์กรต่าง ๆ ยังปรับขนาดสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการระบบที่มั่นคง สอดคล้องกัน และใช้ได้กับทุก ๆ สถานการณ์ที่แตกต่างกัน เพิ่มขึ้นตามไปด้วย  Red Hat OpenShift 4.11 ที่ทำงานกับรันไทม์อินเทอร์เฟซ Red Hat OpenShift 4.11 และ CRI-O 1.24 ได้รับการออกแบบเพื่อทำให้ใช้ Kubernetes ระดับองค์กรได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะใช้อย่างไรและที่ไหนบนโอเพ่นไฮบริดคลาวด์

Red Hat OpenShift เวอร์ชันล่าสุดช่วยให้องค์กรสามารถติดตั้ง OpenShift ได้โดยตรงจาก marketplace ของผู้ให้บริการพับลิคคลาวด์สำคัญ ๆ ในตลาด เช่น AWS marketplace และ Azure marketplace ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่องค์กรในการเลือกที่จะรัน OpenShift ตามลักษณะที่ต้องการ และช่วยให้ทีมงานฝ่ายไอทีตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องได้ดีขึ้น

ฟีเจอร์และความสามารถใหม่ ๆ ของ Red Hat OpenShift 4.11 ประกอบด้วย

    • Pod Security Admission integration: ช่วยให้ผู้ใช้ระบุระดับการแยกระบบต่าง ๆ ที่แตกต่างกันให้กับ Kubernetes pod ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ควบคุมลักษณะการทำงานของ pod ได้อย่างชัดเจน สม่ำเสมอ และสอดคล้องกันมากขึ้น
    • Installer Provisioned Infrastructure (IPI) รองรับการใช้งานกับนูทานิคซ์: ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้กระบวนการ IPI เพื่อติดตั้ง OpenShift บนสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลไลซ์ของนูทานิคซ์ ได้แบบอัตโนมัติด้วยการคลิกครั้งเดียว พร้อมผสานรวมการทำงานร่วมกัน
    • สถาปัตยกรรมเพิ่มเติมสำหรับแซนด์บ็อกซ์คอนเทนเนอร์ (Sandboxed Container) รวมถึงความสามารถในการรันแซนด์บ็อกซ์คอนเทนเนอร์บน AWS และบน OpenShift แบบซิงเกิลโหนด แซนด์บ็อกซ์คอนเทนเนอร์ใช้เป็นเลเยอร์เพิ่มเติมสำหรับการแยกเวิร์กโหลด แม้กระทั่งที่ส่วนเอดจ์ของเครือข่ายที่อยู่ไกลออกไปก็ตาม

เพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบบนสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด

ในการจัดการเวิร์กโหลดต่าง ๆ อาจจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลเพิ่มเติม  ด้วยเหตุนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการคอนเทนเนอร์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่เอดจ์  Red Hat Advanced Cluster Management 2.6 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Red Hat OpenShift Platform Plus จึงได้เพิ่มเติมฟีเจอร์ใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงความพร้อมใช้งานในกรณีการใช้งานที่มีลาเทนซีสูงและแบนด์วิธต่ำ

Red Hat Advanced Cluster Management hub cluster เดียวสามารถใช้และบริหารจัดการคลัสเตอร์ OpenShift แบบซิงเกิลโหนดได้มากถึง 2,500 คลัสเตอร์ ซึ่งสามารถใช้และจัดการที่เอดจ์ของเครือข่ายโดยไม่ต้องกำหนดค่าใด ๆ) นอกจากนี้ Red Hat Advanced Cluster Management 2.6 ยังประกอบด้วยตัวเก็บรวบรวมข้อมูลดัชนีที่เอดจ์ ซึ่งเหมาะสำหรับเวิร์กโหลดแบบซิงเกิลโหนด และเวิร์กโหลดขนาดเล็ก ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจสอบการทำงานของระบบผ่านการเชื่อมต่อระยะไกล 

นอกจากนั้น Red Hat Advanced Cluster Management ยังสามารถทำงานผสมผสานกับเครื่องมือสำคัญ ๆ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้เวิร์กโฟลว์ที่มีอยู่ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น โดยการบูรณาการที่สำคัญได้แก่:

    • การมองเห็นแอปพลิเคชันได้อย่างกว้างขวางโดยอัตโนมัติ รวมถึงสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ ของแอปพลิเคชันได้กว้างขึ้น และแสดงให้เห็นแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นโดยตรงผ่าน OpenShift
    • การจัดการคลัสเตอร์โดยตรงจาก Red Hat Ansible Automation Platform ซึ่งเป็นส่วนของเทคโนโลยีพรีวิว ช่วยให้ผู้ใช้ Ansible สามารถโต้ตอบกับ Red Hat Advanced Cluster Management ได้ในแบบเนทีฟ
    • การบูรณาการเข้ากับ Kyverno PolicySet ซึ่งเป็นส่วนของเทคโนโลยีพรีวิว ช่วยให้ผู้ใช้มีทางเลือกมากขึ้นในการปรับใช้นโยบาย Kubernetes

บริการข้อมูลและที่เก็บข้อมูลถาวร (Persistent Storage) ที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับโมเดิร์นเวิร์กโหลด

องค์กรต่าง ๆ ที่โยกย้ายระบบไปยังไฮบริดคลาวด์ มักจะมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการกู้คืนระบบให้กลับสู่ภาวะปกติ  ด้วยเหตุนี้ เพื่อช่วยป้องกันปัญหาข้อมูลสูญหายและการหยุดชะงักของธุรกิจในกรณีที่ระบบเกิดล้มเหลว Red Hat OpenShift Data Foundation 4.11 จึงมี OpenShift API สำหรับการปกป้องข้อมูล โดยสามารถใช้ API ของผู้ให้บริการเพื่อแบ็คอัพและกู้คืนแอปพลิเคชันและข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงหรือใช้แอปพลิเคชันการปกป้องข้อมูลที่มีอยู่โดยครอบคลุมไฮบริดคลาวด์ทั้งหมด

นอกจากนั้น Red Hat OpenShift Data Foundation ยังรองรับการตรวจสอบแบบมัลติคลัสเตอร์ผ่านทาง Red Hat Advanced Cluster Management ช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะการจัดการข้อมูลคลัสเตอร์ได้อย่างครบถ้วนจากจุดเดียว โดยครอบคลุมหลายคลัสเตอร์ และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้วยการผนวกรวมการจัดการคลัสเตอร์สำหรับระบบต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมือหนึ่งเดียว

การวางจำหน่าย

Red Hat OpenShift 4.11 และ Red Hat OpenShift Data Foundation 4.11 มีวางจำหน่ายแล้ว ส่วน Red Hat Advanced Cluster Management 2.6 คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงเดือนสิงหาคม

คำกล่าวสนับสนุน

โจ เฟอร์นันเดส รองประธานและผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจแพลตฟอร์มของเร้ดแฮท
“ปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ หันไปใช้โมเดิร์นแอปพลิเคชันกันมากขึ้น เพื่อนำเสนอประสบการณ์แบบไดนามิกที่เหนือกว่าให้แก่ผู้ใช้ ดังนั้นองค์กรเหล่านี้จึงต้องการแพลตฟอร์มที่รองรับการจัดการที่ใช้ได้กับทุกระบบอย่างสอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันรุ่นเก่าที่อยู่ในดาต้าเซ็นเตอร์ หรือเวิร์กโหลดแบบคอนเทนเนอร์ที่ครอบคลุมทั้งส่วนขอบของเครือข่ายและมัลติพับลิคคลาวด์ Red Hat OpenShift Platform Plus ที่เปิดตัวครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านแพลตฟอร์มที่รองรับการทำงานอย่างสอดคล้องกัน ประกอบด้วยชุดเครื่องมือที่พร้อมสรรพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ มอบความยืดหยุ่นให้กับการใช้ข้อมูล และมีการรักษาความปลอดภัยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

ข้อมูลเพิ่มเติม

ทำไมสถาบันการเงินจึงต้องกำกับดูแลการใช้งาน AI ให้รัดกุม

Explaining artificial intelligence governance

ทำไมสถาบันการเงินจึงต้องกำกับดูแลการใช้งาน AI ให้รัดกุม

บทความโดยฟาดซี อูเชโวคุนซ์, สถาปนิกด้านบริการทางการเงิน, เร้ดแฮท

บริการทางการเงินเป็นภาคธุรกิจที่มีความท้าทายสูงมากจากการที่ผู้ทำธุรกิจด้านนี้ต่างแสวงหาความได้เปรียบทางการแข่งขันด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และแนวทางในการทำธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงการนำวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่ามาใช้ร่วมกัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ
ที่จะช่วยให้สถาบันการเงินปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานต่าง ๆ ให้เป็นแบบอัตโนมัติ เพิ่มความแม่นยำในการทำนายและคาดการณ์ และให้บริการแก่ลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ดีสถาบันการเงินจำเป็นต้องกำหนดกรอบการกำกับดูแลการใช้ AI ที่รัดกุมเพื่อขับเคลื่อนการใช้งาน AI ในทุกแง่มุมให้เป็นไปอย่างปลอดภัยและคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพ

บทบาทของการกำกับดูแลการใช้ AI

การกำกับดูแล AI ประกอบด้วยกฎเกณฑ์ แนวทางปฏิบัติ และกระบวนการที่ใช้ในการกำกับดูแลและควบคุมการใช้งาน การกำกับดูแลการใช้ AI มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ ควบคู่ไปกับการลดค่าใช้จ่าย และลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากภาคธุรกิจการเงินมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ดังนั้นสถาบันการเงินจึงต้องใช้กรอบการกำกับดูแลการใช้ AI ที่รัดกุม เพื่อให้สามารถกำกับดูแลกลยุทธ์ด้าน AI ได้ดียิ่งขึ้น กรอบการทำงานดังกล่าวควรประกอบด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการใช้ AI และมีคู่มือหรือแนวนโยบายเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมและการจัดการข้อมูล นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องระบุและป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ เพื่อคุ้มครองข้อมูลอย่างเข้มงวด และเพื่อให้สอดคล้องตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

คุณประโยชน์สำคัญที่ได้จากการลงทุนด้านกรอบการกำกับดูแลการใช้ AI ได้อย่างเหมาะสม มีดังนี้

    • เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจ — เข้าถึงข้อมูลได้ดีขึ้น และคาดการณ์ได้แม่นยำมากขึ้น
    • เพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย — งานประจำ และกระบวนการด้านต่าง ๆ ทำได้แบบอัตโนมัติ
    • บริการลูกค้าได้ดีขึ้นและลูกค้ามีส่วนร่วมมากขึ้น — แชทบ็อท หรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า

การลงทุนเพื่อให้ได้รับประโยชน์เหล่านี้อาจหมายรวมถึงการว่าจ้างบุคลากรที่มีหน้าที่กำกับดูแลกรอบการทำงาน กำหนดแนวทางและมาตรการที่ชัดเจน และจัดหาเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล

กรอบการกำกับดูแลการใช้ AI ต้องเกิดจากความต้องการที่มีอยู่ในปัจจุบันและอนาคต

ปัญญาประดิษฐ์มีความสามารถสูงมาก แต่ขณะเดียวกันก็อาจก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่สถาบันการเงินจะต้องจัดการดูแลในสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีระบบควบคุมที่จะช่วยตรวจวัด และจัดการเป้าหมายของโมเดลต่าง ๆ รวมถึงความต้องการข้อมูลระดับประสิทธิภาพที่ต้องการ และความน่าเชื่อถือโดยสอดรับกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ขององค์กร

การปรับเปลี่ยนตามแนวทางของกรอบการกำกับดูแลที่กำหนดรูปแบบอย่างชัดเจน รอบด้าน และครบถ้วนสมบูรณ์ จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถพัฒนาและควบคุมวิธีการต่าง ๆ ในการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโมเดล AI ได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น และท้ายที่สุดแล้วก็จะสามารถปกป้ององค์กร และลูกค้าให้ปลอดภัยจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์ในขอบเขตที่กว้างขวางมากขึ้นให้กับลูกค้า

ปัจจัยสำคัญที่สถาบันการเงินจะต้องคำนึงถึงในการดำเนินแนวทางปฏิบัติตามกรอบการกำกับดูแลการใช้ AI ที่รัดกุมและชัดเจน ได้แก่ ความน่าเชื่อถือ ความยืดหยุ่นในการดำเนินงานและความปลอดภัย รวมถึงความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

    • ความน่าเชื่อถือ— เป็นสิ่งจำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมและองค์ประกอบทางจริยธรรมของโมเดล AI เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อคนบางกลุ่ม  ความรับผิดชอบและความโปร่งใสจะช่วยรับรองยืนยันการใช้ข้อมูลอย่างเหมาะสม รวมถึงผลกระทบต่อกระบวนการตัดสินใจที่นำไปสู่ผลลัพธ์ และเปิดโอกาสให้มีช่องทางสำหรับการสอบถามหรือตั้งคำถามในกรณีที่จำเป็น
    • ความยืดหยุ่น— โมเดล AI จะต้องได้รับการปรับปรุงและทบทวนแก้ไขอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงความเสี่ยงใหม่ ๆ การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ และความท้าทายอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความสอดคล้องกัน กรอบการกำกับดูแลที่รัดกุมจะช่วยให้สถาบันการเงินบรรลุเป้าหมายในการประเมิน ตรวจสอบ และตอบสนองต่อความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโมเดล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ความปลอดภัย— โมเดล AI อาจเผยให้สถาบันการเงินเห็นความเสี่ยงด้านการดำเนินงานและกฎระเบียบต่าง ๆ รวมถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ทำให้การดำเนินงานหยุดชะงัก เช่น ระบบไอทีล่ม ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (เช่น การโจมตีแบบ Data Poisoning) และปัญหาเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

ความท้าทายในการปรับใช้กรอบการกำกับดูแลการใช้ AI

  องค์กรจำเป็นต้องจัดการกับความท้าทายสำคัญ ๆ ต่อไปนี้ เพื่อให้กรอบการกำกับดูแลการใช้ AI เป็นประโยชน์ในระยะยาว

    • การดำเนินการเก็บรวบรวม ทำความสะอาดข้อมูลให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ เชื่อถือได้ และสอดคล้องกันมากขึ้น รวมถึงความเที่ยงตรงของฟังก์ชั่นการป้อนข้อมูล
    • การจัดการปัญหาเรื่องอคติในโมเดล AI ที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมและมีการเลือกปฏิบัติ
    • การยึดมั่นในความรับผิดชอบและความโปร่งใสในระบบ AI ช่วยให้ผู้ดูแลด้านการใช้ AI ในองค์กร เข้าใจว่าองค์กรใช้ข้อมูลในการตัดสินใจในลักษณะใดบ้าง ทั้งยังเอื้อให้มีการทบทวนหรือปรับเปลี่ยนการตัดสินใจในกรณีที่จำเป็น
    • การปฏิบัติตามกฎระเบียบ นโยบายองค์กร มาตรฐาน และแนวปฏิบัติที่เหมาะสมของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงข้อบังคับภายนอกและภายในองค์กร เป็นความท้าทายที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดเช่นภาคการเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับ บทลงโทษ และความเสียหายต่อชื่อเสียง
    • การจัดการและตรวจติดตามการทำงานของระบบ AI เชิงรุก ด้วยการระบุและวินิจฉัยปัญหา และอนุญาตให้มีการดำเนินการแก้ไข

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางที่เปิดกว้างของเร้ดแฮทเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในภาคธุรกิจบริการด้านการเงิน หรือการพัฒนาโซลูชันที่มีการนำ AI มาใช้ร่วมด้วย

 

อีริคสันจับมือเร้ดแฮท เสริมศักยภาพผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อสร้างเครือข่ายมัลติเวนเดอร์

อีริคสันจับมือเร้ดแฮท เสริมศักยภาพผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อสร้างเครือข่ายมัลติเวนเดอร์

อีริคสันจับมือเร้ดแฮท เสริมศักยภาพผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อสร้างเครือข่ายมัลติเวนเดอร์

บทความโดย: มานส์ เบอร์แมน หัวหน้าฝ่ายความร่วมมือและพันธมิตร กลุ่มซอฟต์แวร์และบริการคลาวด์ภาคธุรกิจของอีริคสัน และ แมกนัส แกล ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าทั่วโลกของเร้ดแฮท

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารมีศักยภาพที่จะรองรับประสบการณ์เสมือนจริงแบบเฉพาะบุคคล รวมถึงแอปพลิเคชันและโซลูชันรุ่นใหม่ที่มีเสถียรภาพสูง ด้วยเหตุนี้ อีริคสันและเร้ดแฮทจึงขยายความร่วมมือด้านการตรวจสอบรับรองฟังก์ชันเครือข่ายและแพลตฟอร์ม เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถนำเสนอบริการใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้นภายใต้แนวทางที่มีผู้ให้บริการหลายราย (Multi-Vendor: มัลติเวนเดอร์)

แผนปฏิบัติการที่แตกต่างเพื่อรองรับมัลติเวนเดอร์

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารใช้ 5G เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำธุรกิจมีความคล่องตัว และได้ใช้วิธีการทำงานแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเร็วขึ้น ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารต้องหาสมดุลระหว่างค่าใช้จ่าย ความเสี่ยง และระยะเวลาในการนำผลิตภัณฑ์/บริการออกสู่ตลาด ให้ได้อย่างเหมาะสม 

อีริคสันและเร้ดแฮทตระหนักว่าแนวทางแบบมัลติเวนเดอร์ต้องใช้แผนปฏิบัติการที่แตกต่างกัน เมื่อเทียบกับการเลือกใช้แนวทางแบบผู้ให้บริการรายเดียว (Single-Vendor: ซิงเกิลเวนเดอร์) ซึ่งใช้โซลูชันและการจัดการวงจรการใช้งานที่มีการบูรณาการในแบบแนวตั้ง การสร้างเครือข่ายแบบมัลติเวนเดอร์ต้องอาศัยความสามารถในการใช้งานร่วมกันที่แน่นอน จึงจะได้รับประโยชน์สูงสุดในด้านของความยืดหยุ่นและทางเลือกที่หลากหลาย นอกเหนือจากการทำงานร่วมกันของอีริคสันและเร้ดแฮทแล้ว เรายังมีความร่วมมือภายในระบบนิเวศที่กว้างขวาง ซึ่งจะช่วยลดความซับซ้อนในการผสานรวมเทคโนโลยีและซัพพลายเออร์ที่แตกต่างกัน

อีริคสันและเร้ดแฮทต้องการที่จะช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารมีอิสระที่จะโฟกัสเรื่องการสร้างความแตกต่างให้กับบริการ 5G ที่นำเสนอ รวมถึงการเพิ่มคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้า เราทำงานร่วมกันมาเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อกำหนดรูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรูปแบบมัลติเวนเดอร์ เพื่อเป็นแนวทางแก่ลูกค้าในเพื่อการปรับใช้และปรับแต่งการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีของอีริคสันและเร้ดแฮท ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรได้อย่างมาก

การทำงานของฟังก์ชันด้านเครือข่ายต่าง ๆ ของอีริคสัน บนแพลตฟอร์มของเร้ดแฮท

ความร่วมมือของอีริคสันและเร้ดแฮทช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารมีความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนเครือข่ายอย่างรวดเร็ว และลดความเสี่ยงในการดำเนินกลยุทธ์แบบมัลติเวนเดอร์ แพลตฟอร์มโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ของเร้ดแฮทได้รับการทดสอบกับการรันฟังก์ชันเครือข่ายของอีริคสัน ซึ่งประกอบเข้าด้วยกันเป็นคอนฟิกูเรชั่นสำหรับการอ้างอิงที่จะช่วยลดความยุ่งยากซับซ้อนในการปรับใช้เครือข่ายแบบกระจาย เราลงทุนอย่างจริงจังในด้านงานวิศวกรรมที่สำคัญ เพื่อให้เทคโนโลยีที่ประกอบรวมเข้าด้วยกันนี้พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ในสภาพแวดล้อมเครือข่ายของผู้ให้บริการที่มีความต้องการสูง

ปัจจุบัน อีริคสันและเร้ดแฮทมีโซลูชันที่ผ่านการตรวจสอบรับรอง ซึ่งพร้อมให้ติดตั้งใช้งานได้ทันที โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร ด้วยโอเพ่นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมเครือข่ายสำหรับ vEPC, 5G Core, IMS, OSS และ BSS  นอกจากนี้ ทีมงานของเราได้บูรณาการโซลูชันฟังก์ชันเครือข่ายของอีริคสันเข้ากับ Red Hat OpenShift และ Red Hat OpenStack Platform โดยเราได้ทดสอบ การใช้งานจริงร่วมกับผู้ให้บริการหลายรายทั่วโลก และดำเนินการปรับใช้ระบบ 5G Core เชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก

อีริคสันและเร้ดแฮทเข้าร่วมในโครงการความร่วมมือทางเทคนิคหลายโครงการ ทั้งที่อยู่ในระดับขั้นของการพัฒนาและที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว เช่น การทำงานร่วมกันสำหรับ Cloud RAN ซึ่งเร้ดแฮทได้เข้าร่วม Open Lab ของอีริคสัน เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอินเทอร์แอคทีฟร่วมกับลูกค้าที่ใช้ Cloud RAN ของอีริคสัน และระบบนิเวศด้านพันธมิตรทั่วโลก ความเชื่อมโยงที่สำคัญของโครงการความร่วมมือทาง  เทคนิคทั้งหมดนี้ก็คือทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์จากวิธีการที่ได้ผล และใช้ร่วมกันได้

การกำหนดกระบวนการสำหรับความร่วมมือทางเทคนิค

โครงการความร่วมมือทางเทคนิคของเราเริ่มต้นด้วยการจัดการกับข้อกำหนดของฟังก์ชันเครือข่ายของอีริคสันเพื่อทำงานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานของเร้ดแฮท ควบคู่กับการจัดทำพิมพ์เขียวของระบบเครือข่ายเครือข่าย และข้อกำหนดด้านการประมวลผล ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มจะสามารถรองรับและโฮสต์ฟังก์ชันด้านเครือข่ายได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งกำหนดคอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงให้กับเป้าหมายเบื้องต้น

หลังจากนั้นเป็นการดำเนินกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดและทั่วถึง โดยมีการปรับใช้คอนฟิกูเรชั่น อ้างอิงตามเป้าหมายภายในสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการทางวิศวกรรม และเป็นไปตามกรณีการทดสอบหลาย ๆ กรณี (เช่น การเริ่มต้นใช้งาน การรักษาความปลอดภัย ความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น การทำงานแบบอัตโนมัติ เป็นต้น)  ในระหว่างการทดสอบ วิศวกรได้ทำการปรับเปลี่ยนคอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงตามความจำเป็น เพื่อให้ได้คอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงที่ผ่านการตรวจสอบรับรองในขั้นตอนสุดท้าย  ผู้ให้บริการที่ใช้คอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงจะได้รับความสะดวกและประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในการติดตั้งการเริ่มต้นใช้งาน และการโฮสต์ฟังก์ชันเครือข่าย และยังสามารถปรับเพิ่มขนาดได้อย่างมั่นใจ

เบสไลน์สำหรับซอฟต์แวร์ คู่มือการปรับใช้ และพิมพ์เขียวสำหรับคอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงที่ผ่านการตรวจสอบของฟังก์ชันเครือข่ายและแพลตฟอร์ม ได้รับการจัดทำเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน รวมถึงผลการทดสอบในแต่ละกรณีข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้ให้บริการ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รวมระบบหลัก สามารถเร่งการติดตั้ง ลดความเสี่ยง และลดปริมาณงานสำหรับการบูรณาการระบบ

5G Core และ Cloud RAN

โปรเจกต์คลาวด์เนทีฟด้าน dual-mode 5G Core ของอีริคสัน และ Cloud RAN ของอีริคสัน ที่รันบน Red Hat OpenShift Container Platform ได้รับความสนใจจากตลาดเป็นอย่างมาก ส่วนโครงการความร่วมมือด้าน Cloud RAN ที่โฮสต์อยู่บน OpenShift อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ โดยหัวใจหลักอยู่ที่ทีมวิศวกรรมร่วมของเรา ซึ่งจัดเตรียม OpenShift ให้พร้อมสำหรับการรองรับข้อกำหนดแบบคลาวด์ เนทีฟของ Cloud RAN ของอีริคสัน ส่วน dual-mode 5G Core ของอีริคสันที่โฮสต์อยู่บน OpenShift กำลังถูกใช้งานเชิงพาณิชย์ในระยะแรก โดยทำหน้าที่รับส่งข้อมูลไลฟ์แทรฟฟิก และตั้งเป้าว่าจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวางในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2565 แม้ว่าขอบเขตและความท้าทาย ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ 5G Core และสำหรับ Cloud RAN จะแตกต่างกัน แต่การทำงานร่วมกันของอีริคสันและ เร้ดแฮทยังคงใช้ระเบียบวิธีและความร่วมมือทางวิศวกรรมแบบเดียวกัน

Dual-mode 5G Core, Cloud RAN และฟังก์ชันเครือข่ายคลาวด์เนทีฟ (Cloud-native Network Function – CNF) อื่น ๆ ทั้งหมดของอีริคสัน ถูกสร้างขึ้นบนหลักการคลาวด์ เนทีฟ และสอดคล้องกับข้อกำหนดของ Cloud Native Computing Foundation (CNCF) เช่นเดียวกับ Red Hat OpenShift

Dual-mode 5G Core ของอีริคสัน ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบคลาวด์เนทีฟที่ใช้ไมโครเซอร์วิส และผสานรวมฟังก์ชันเครือข่าย Evolved Packet Core (EPC) และ 5G Core (5GC) ไว้บนแพลตฟอร์มร่วมแบบคลาวด์เนทีฟที่เข้าถึงได้หลายทาง ซึ่งรองรับ 5G และ Mobile Packet Core รุ่นก่อนหน้า นับป็น วิวัฒนาการของกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบเวอร์ชวลไลซ์ที่แข็งแกร่งของอีริคสัน ซึ่งออกแบบมาสำหรับการใช้งานบนคลาวด์ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ Cloud Packet Core, Cloud Unified Data Management (UDM) และ Policy and Signaling Controller

Ericsson Cloud RAN เป็นซอฟต์แวร์โซลูชันแบบคลาวด์เนทีฟที่มีฟังก์ชัน RAN แบบแยกส่วน Cloud RAN เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ให้บริการในการเพิ่มความยืดหยุ่น เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการและเพิ่มขีดความสามารถในการปรับขนาดการทำงานของเครือข่ายต่าง ๆ

สรุปความร่วมมือ

    • ความร่วมมือระหว่างอีริคสันและเร้ดแฮทอยู่บนพื้นฐานของชุดโครงการความร่วมมือทางเทคนิคต่าง ๆ
    • ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากการผสานรวมเทคโนโลยีของอีริคสันและเร้ดแฮทที่ผ่านการคัดสรรอย่างเหมาะสม โดยมีการทดสอบ ปรับแต่ง และจัดทำเอกสารอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนติดตั้ง
      ใช้งานในเครือข่ายของผู้ให้บริการ
    • สำหรับผู้ให้บริการที่ยึดถือตามคอนฟิกูเรชั่นอ้างอิงที่ผ่านการทดสอบอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดภาระงานในการบูรณาการระบบ ลดความเสี่ยงของโครงการ และเพิ่มความรวดเร็วในการนำเสนอบริการใหม่ออกสู่ตลาด
    • อีริคสันและเร้ดแฮทรับผิดชอบการเสนอขายในส่วนของตนเอง

การผสานรวมจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเข้าด้วยกัน เราจะร่วมกันทำงานอย่างต่อเนื่องในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้สำหรับผู้ให้บริการที่ต้องการสร้างเครือข่ายมัลติเวนเดอร์ที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง  ไม่มีบริษัทอื่นใดที่มีความร่วมมือแบบเดียวกันนี้ และเราพร้อมที่จะนำเสนอสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่ปรับขนาดได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งมอบทางเลือกที่หลากหลายและความคล่องตัวแก่ผู้ให้บริการ เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ทุกรูปแบบของผู้ให้บริการ

เร้ดแฮทแนะนำความสามารถใหม่ Cross-Portfolio Edge Capabilities

เร้ดแฮทแนะนำความสามารถใหม่ Cross-Portfolio Edge Capabilities

เร้ดแฮทแนะนำความสามารถใหม่ Cross-Portfolio Edge Capabilities

เปิดฟีเจอร์ใหม่และรูปแบบการทำงานสำหรับเทคโนโลยีโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ของเร้ดแฮทเน้นการใช้เอดจ์ข้ามอุตสาหกรรมที่ปรับขนาดและจัดการได้ พร้อมการควบคุมความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น

เร้ดแฮท อิงค์ (Red Hat)ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก ประกาศเปิดตัวความสามารถใหม่และการเพิ่มประสิทธิภาพใหม่ให้กับพอร์ตโฟลิโอโซลูชันด้านโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ทั้งหมด ณ งาน RedHat Summit โดยตั้งเป้าเร่งการนำสถาปัตยกรรมการประมวลผล ณ จุดเข้าออกของข้อมูล (edge) มาใช้ในธุรกิจผ่าน Red Hat Edge initiativeทั้งนี้ชุดฟีเจอร์ และความสามารถ cross-portfolio edge ชุดใหม่นี้จะเน้นช่วยลูกค้าและพันธมิตรให้ใช้ edge computing ได้ดียิ่งขึ้นโดยมีความซับซ้อนลดลงนำไปใช้งานได้เร็วขึ้น เพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัย และเพิ่มความมั่นใจในการจัดการระบบต่าง ๆ ได้อย่างเสถียร ตั้งแต่ระบบที่อยู่ในดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึง edge

Red Hat Edge แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันของเร้ดแฮทในการขับเคลื่อน edge computing บนโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ทั้งหมด โครงการนี้ครอบคลุมการใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมมากมาย โดยใช้ Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat OpenShif ที่มีรากฐานและโครงสร้างร่วมกันในสภาพแวดล้อม เอดจ์ ที่หลากหลาย  Red Hat Ansible Automation Platform เพิ่มความสามารถด้านระบบอัตโนมัติเพื่อขยายการใช้งาน edge ในขณะที่ Red Hat Advanced Cluster Management for Kubernetes ส่งมอบการจัดการระดับคลาวด์ด้วย edge storage ที่ขับเคลื่อนโดย Red Hat OpenShift Data Foundation

โครงสร้างพื้นฐานเอดจ์ที่ชาญฉลาดและคล่องตัว

Red Hat OpenShift ยังคงมุ่งเน้นในการช่วยนำแอปพลิเคชันไปไว้ให้ใกล้ผู้ใช้และข้อมูลที่ edge มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงความสามารถในการจัดการได้ตามต้องการ ทั้งนี้ zero-touch provisioning for Red Hat OpenShift 4.10 ช่วยให้การจัดเตรียมที่ edge เป็นอัตโนมัติและทำซ้ำได้ง่ายขึ้น รวมถึงเวิร์กโฟลว์สำหรับผู้รับผลิตสินค้า (OEMs) เมื่อ OEMs โหลดคลัสเตอร์ Red Hat OpenShift แบบย้ายได้ล่วงหน้าบนฮาร์ดแวร์ที่ต้องการได้แล้ว ลูกค้าก็จะสามารถรับคลัสเตอร์ OpenShift ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อการทำงานที่เต็มสมรรถนะ

ลูกค้าสามารถใช้ Red Hat OpenShift ที่กำหนดค่าไว้ล่วงหน้า เพื่อส่งมอบโครงข่ายอุปกรณ์สถานีฐาน (RAN) สำหรับเครือข่ายมือถือยุคต่อไป ตลอดจนการตรวจจับข้อผิดพลาดของโรงงานผลิต และแอปพลิเคชันแบบ edge computing อื่น ๆ ในจุดที่ได้จัดสรรปันส่วนไปตามที่ต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ช่วยให้กระบวนการซับซ้อนที่เกิดขึ้นบ่อยในการรวมอุปกรณ์ edge กับแพลตฟอร์มที่มีอยู่ทำได้ง่ายขึ้น และทำให้การดำเนินงานจากทุกสถานที่ทำได้สะดวกขึ้น แม้จะมีพนักงานไอทีจำนวนจำกัดก็ตาม

บริการ Red Hat OpenShift มีความสามารถด้านเอดจ์เพิ่มเติม ดังนี้

    • การจัดการโครงสร้าง edge บน OpenShift โดย Red Hat Advanced Cluster Management รวมถึง single-node OpenShift clusters, โหนดสำหรับผู้ปฏิบัติงานจากทุกสถานที่ และคลัสเตอร์แบบกระทัดรัด 3 โหนด Red Hat Advanced Cluster Management hub cluster เพียงแห่งเดียวสามารถใช้และจัดการ single-node OpenShift clusters ได้ถึง 2,000 โหนด โดยลูกค้าสามารถใช้และจัดการบริการเหล่านี้ที่ edge ได้โดยใช้การจัดเตรียมแบบ zero touch  ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถบังคับใช้นโยบาย ปรับใช้ตามขนาด และดำเนินการแก้ไขอัตโนมัติได้ด้วย Ansible Automation Platform
    • รองรับ single-node OpenShift ด้วย OpenShift Data Foundation 4.10 ในลักษณะเป็นเทคโนโลยีพรีวิว และเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลที่สามารถเชื่อมต่อระยะไกลผ่านระบบเครือข่าย (block storage) ด้วยการจัดเตรียมแบบไดนามิกเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตลอดจนเพิ่มความสอดคล้องของข้อมูลและบริการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้ตามต้องการ

สำหรับทีมไอทีที่ต้องการสร้างสถาปัตยกรรม edge อย่างรวดเร็ว รูปแบบใหม่ของ Red Hat Edge ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจะมีโค้ดที่จำเป็นต่อการสร้าง edge stacks ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเปลี่ยนจากแนวคิดไปสู่การพิสูจน์แนวคิดได้เร็วขึ้น รูปแบบใหม่ ๆ เหล่านี้ ได้แก่

    • Medical Diagnosis ซึ่งใช้ GitOps เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์นำเข้า วิเคราะห์ และดำเนินการตามภาพถ่ายและข้อมูลทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
    • Multicloud GitOps ที่ออกแบบมาอย่างเจาะจงให้กับองค์กรที่ต้องการรันเวิร์กโหลดบนคลัสเตอร์และคลาวด์ประเภทต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน ทั้งพับลิคและไพรเวทคลาวด์

พื้นฐานเดียวกันตั้งแต่จุดศูนย์กลางไปจนถึง edge และบนคลาวด์

Red Hat Enterprise Linux 9 เพิ่มความสม่ำเสมอ, ความยืดหยุ่น และนวัตกรรมของแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ให้การใช้ edge โดยสร้างจากบทบาทสำคัญต่อภารกิจที่แพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรของโลกให้บริการอยู่ เร้ดแฮทเปิดตัวชุดฟีเจอร์ edge management ที่ครบครัน โดยใช้การควบคุมจากส่วนกลางเพื่อกำกับดูแลและขยายการใช้ edge ตลอดจน intelligent roll-back for Podman เพื่อช่วยเพิ่มเวลาทำงานของอุปกรณ์ edge 

เร้ดแฮทเห็นว่าความหลากหลายของฮาร์ดแวร์และทางเลือกของลูกค้า มีความสำคัญต่อระบบนิเวศของโอเพ่นไฮบริดคลาวด์และเอดจ์  และเพื่อเสนอทางเลือกด้านสถาปัตยกรรมพื้นฐานให้กับลูกค้า พันธมิตรใหม่สองรายที่เน้นการใช้เอดจ์เป็นศูนย์กลางจึงได้เข้าร่วมในระบบนิเวศพันธมิตรของเร้ดแฮท ได้แก่

    • OnLogic บริษัทผู้นำระบบที่ได้รับการรับรองจากเร้ดแฮทมาใช้กับอุปกรณ์อุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ไม่มีพัดลม ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงที่ทนทาน ที่มีความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์และแมชชีนเลิร์นนิง (AI/ML)
    • IntelNUCs ที่ได้กลายเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานข้ามอุตสาหกรรม โดยโมดูล NUC Element ล่าสุดได้รับการรับรองสำหรับใช้งานใน Red Hat Enterprise Linux 8 และ 9 ทำให้องค์กรที่ใช้ Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat OpenShift มีตัวเลือกที่ทรงพลังในการใช้งาน edge

ระบบอัตโนมัติที่ปรับขยายได้จากไฮบริดคลาวด์ไปจนถึงเอดจ์

Red Hat Ansible Automation Platform ช่วยแก้ปัญหาด้านการจัดการและระบบอัตโนมัติ ที่จำเป็นต่อการมองเห็นและความสอดคล้องในการใช้ edge ขององค์กร สถาปัตยกรรมที่ปรับใหม่ของ Ansible Automation Platform ถูกออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนในการปรับใช้ระบบอัตโนมัติขนาดใหญ่ในระบบไฮบริดคลาวด์และ edge การเปิดตัว automation mesh ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารระหว่างระบบอัตโนมัติเมื่อเร็ว ๆ นี้ ควบคู่กับการแสดงภาพเสมือนจริงของ automation mesh ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนในการทำงานของระบบอัตโนมัติ ช่วยให้ทีมไอทีปรับขนาดการทำงานอัตโนมัติได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นในทุกจุดที่ต้องการ พร้อมความสามารถในการขยายสูงสุดเมื่อสภาพแวดล้อมของ edge พัฒนาขึ้น  ช่วยให้ระบบอัตโนมัติเข้าใกล้เวิร์กโฟลว์ของ edge ได้มากขึ้น

คำกล่าวสนับสนุน

ฟรานซิส โจว, รองประธานและผู้จัดการทั่วไป, ระบบปฏิบัติการและเอดจ์ในยานพาหนะ, Red Hat

“เอดจ์คอมพิวติ้งไม่ใช่แนวคิดใหม่สำหรับธุรกิจอีกต่อไป เนื่องจากทีมไอทีและทีมดำเนินงานต้องการย้ายการใช้เอดจ์จากโครงการไปสู่สายการผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับความท้าทายชุดใหม่ทั้งหมดด้วย  การปรับปรุงโครงการ Red Hat Edge จากการบริหารจัดการเอดจ์ที่ครบครันของ Red Hat Enterprise Linux 9, ความสามารถแบบองค์รวมและปรับขนาดได้ของ Ansible Automation Platform และความสามารถแบบ zero-touch ที่นำไปเชื่อมต่อขึ้นระบบได้ทันทีของทั้ง Red Hat Advanced Cluster Management for Kubernetes และ Red Hat OpenShift  ทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเอาชนะอุุปสรรคในการผลิตเหล่านี้ และผลักดันการนำเอดจ์คอมพิวติ้งไปใช้ในวงกว้างทั่วทั้งโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ 

Israel Defense Forces (IDF) lieutenant colonel, head of Edge Cloud Platform R&D, Center of Computing and Information Systems (Mamram), J6 and Cyber Defense Directorate

“เร้ดแฮทมอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างผู้คนและผลิตภัณฑ์ เพื่อจัดการกับความท้าทายทางธุรกิจและเทคโนโลยีของเรา ซึ่งรวมถึงโรดแมปสำหรับเอดจ์คอมพิวติ้ง ด้วยเทคโนโลยีไฮบริดคลาวด์ของเร้ดแฮทที่สนับสนุนความพยายามด้านเอดจ์คอมพิวติ้ง ทำให้ขณะนี้เราสามารถผลักดันแอปพลิเคชันและบริการไปสู่การปรับใช้งานเอดจ์ได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงแทนที่จะเป็นหลายสัปดาห์เหมือนแต่ก่อน
โดยไม่ต้องสูญเสียความเสถียรของแอปพลิเคชันที่สำคัญต่อภารกิจเลย” 

เจฟฟ์ วินเทอร์ริค, DoD chief account technologist, HPE

“HPE มีความร่วมมือมาอย่างยาวนานกับเร้ดแฮท และเรากำลังรอที่จะดำเนินการต่อด้วยการปรับปรุงโซลูชันเอดจ์เพื่อเร่งให้ลูกค้านำไปใช้งาน  ด้วยการรวมระบบ HPE Edgeline Coverged Edge ซึ่งมีขนาดกระทัดรัด ทนทาน และปรับให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เข้ากับความสามารถในการจัดเตรียมแบบ zero-touch ใหม่ของ Red Hat OpenShift ส่งผลให้เราสามารถดำเนินการด้านโซลูชันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกค้าสามารถเรียกใช้งานและจัดการกับเอดจ์แอปพลิเคชันได้ทั่วเครือข่าย รวมถึงเป็นพลังผลักดันให้กับประสบการณ์เชิงนวัตกรรมที่นำข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วยเอดจ์แบบเรียลไทม์มาใช้งาน”

เดฟ แมคคาร์ธี, รองประธานฝ่ายวิจัย, บริการระบบคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน, IDC

“ในขณะที่เอดจ์คอมพิวติ้งยังคงเป็นกระแสหลักในธุรกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ เร้ดแฮทจึงอยู่ในจังหวะที่เหมาสม ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้จำหน่ายชั้นนำในด้านนี้ จากการสำรวจแนวโน้มผู้ซื้อทั่วโลกของ EdgeView 2022 ของ IDC พบว่า อัตราการปรับใช้เอดจ์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย 74% ของธุรกิจกำลังวางแผนที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านโซลูชันเอดจ์ขึ้นอีกในสองปีข้างหน้า กลยุทธ์ของเร้ดแฮทในการสร้างฟีเจอร์เฉพาะของเอดจ์ลงในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการปรับใช้เอดจ์เป็นส่วนเสริมของดาต้าเซ็นเตอร์ ลดความซับซ้อนและคงความเสถียรได้ไม่ว่าโครงสร้างพื้นฐานจะอยู่ที่ใดก็ตาม”

ไมเคิล ไคลเนอร์, รองประธานฝ่ายวิศวกรรมและการจัดการผลิตภัณฑ์, OnLogic

“คลาวด์คอมพิวติ้งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่ออนาคตของโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ เนื่องจากลูกค้าตั้งเป้า
ที่จะปรับใช้กับเวิร์กโหลดต่าง ๆ ให้ใกล้กับผู้ใช้ปลายทางและจุดข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีที่สุด อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ของ OnLogic ที่ผ่านการรับรองสำหรับใช้งานปลายทางบน Red Hat Enterprise Linux 9 จะช่วยให้ลูกค้ามีวิธีที่คล่องตัวมากขึ้นในการขยายขีดความสามารถของไฮบริดคลาวด์ด้วยอุปกรณ์เอดจ์ที่เชื่อถือได้”

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

เร้ดแฮทขยายพอร์ตโฟลิโอบริการคลาวด์ สร้างประสบการณ์ที่สอดคล้อง และปรับขนาดได้ เพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันสมัยใหม่

เร้ดแฮทขยายพอร์ตโฟลิโอบริการคลาวด์

เร้ดแฮทขยายพอร์ตโฟลิโอบริการคลาวด์ สร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องและปรับขนาดได้ เพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันสมัยใหม่

บริการคลาวด์ของเร้ดแฮทลดความซับซ้อนในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดขับเคลื่อนมูลค่าและความเร็วทางธุรกิจสำหรับนวัตกรรมไอทีระดับองค์กร

ณ งาน Red Hat Summit 2022 เร้ดแฮท อิงค์ (Red Hat) ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก ประกาศความก้าวหน้าใหม่ในพอร์ทโฟลิโอของ Red Hat Cloud Services โดยมอบประสบการณ์ผู้ใช้งานที่มีการจัดการพร้อมประสิทธิภาพเต็มรูปแบบ ทำให้องค์กรสามารถสร้างปรับใช้จัดการและปรับขนาดคลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชันในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด

สภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริดยังคงเป็นสาระสำคัญในการดำเนินงานขององค์กรส่วนใหญ่  จากรายงานของ IDC บริษัทวิจัยด้านอุตสาหกรรมระบุว่า “ภายในปี 2567, องค์กร 50% จะใช้ แอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นจากแนวคิดการให้บริการคลาวด์ รวมทั้งเทคโนโลยีคลาวด์เนทีฟ ช่วยให้เกิด ความสอดคล้องในการทำงานจากทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม” [1]จากการที่องค์กรต่าง ๆ ต้องพยายามอย่างหนักในการสร้างประสบการณ์เชิงนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้องค์กรจำเป็นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริด เพื่อช่วยบรรเทาความซับซ้อนที่มาพร้อมกับความต้องการปรับขยายได้

Red Hat Cloud Services ออกแบบมาเพื่อจัดการกับความซับซ้อนของไฮบริดคลาวด์ ขณะนี้องค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญกับความท้าทาย เช่น การแพร่กระจายของแอปพลิเคชัน (application sprawl)  และการรองรับแอปพลิเคชันที่อินเทอร์เฟซผู้ใช้และรหัสการเข้าถึงข้อมูลถูกรวมเอาไว้ในสภาพแวดล้อมและใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน (monolitic application support)  ดังนั้น หากต้องการจะประสบความสำเร็จ องค์กรจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย ในขณะเดียวกันก็ลดเวลา การส่งมอบและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ด้วย

ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนความพยายามขององค์กรในการพัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบคลาวด์ เร้ดแฮทจึงได้ประกาศถึงบริการด้านคลาวด์ใหม่ ๆ ดังต่อไปนี้

    • Red Hat OpenShift Service Registry ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทีมพัฒนาเผยแพร่ ค้นหา ตลอดจนนำ application programming interfaces (APIs) และแบบแผนจำลองมาใช้ซ้ำ
    • Red Hat OpenShift Connectorsที่ให้การเชื่อมต่อที่สร้างไว้ล่วงหน้า ไปยังระบบต่าง ๆ ของบุคคลที่สาม และเปิดใช้การผสานการทำงานแบบไม่มีโค้ดกับ Red Hat OpenShift Streams สำหรับ Apache Kafka
    • Red Hat OpenShift Database Access ที่มอบประสบการณ์การใช้ Database as a Service (DBaaS) ที่สอดคล้องกันในทุกสภาพแวดล้อม ไฮบริดคลาวด์ ช่วยให้ผู้ดูแลระบบ OpenShiftสามารถจัดเตรียมและจัดการการเข้าถึงบริการฐานข้อมูลบุคคลที่สามได้อย่างง่ายดาย และทำให้นักพัฒนา สามารถจัดเตรียมและเข้าถึงฐานข้อมูลบนคลาวด์ได้ง่ายขึ้น

พอร์ตโฟลิโอ Red Hat Cloud Services ได้รับการผสานรวมอย่างแนบแน่นกับ Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Kubernetes ระดับองค์กรชั้นนำของอุตสาหกรรม เป็นพื้นฐานสำหรับการปรับปรุง แอปพลิเคชัน ที่มีอยู่ให้ทันสมัย, สร้างคลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชัน, ให้การพัฒนาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มความชาญฉลาดให้กับแอปพลิเคชัน และการผสานรวมกับบริการต่าง ๆ ของบริษัทอื่น ๆ

นอกจากนี้ เร้ดแฮทยังได้ประกาศการปรับปรุงบริการ Cloud Services ที่มีอยู่ ดังต่อไปนี้

    • Red Hat OpenShift Data Science เป็นบริการระบบคลาวด์ที่มีการ บริหารจัดการสำหรับ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักพัฒนา ซึ่งมีแซนด์บ็อกซ์ที่ได้รับ การรองรับอย่างเต็มรูปแบบในการพัฒนา ฝึกฝนและทดสอบโมเดล แมชชีนเลิร์นนิง (ML) ได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้พร้อมให้บริการเป็นส่วนเสริมสำหรับ OpenShift Dedicated และ Red Hat OpenShift Service สำหรับลูกค้า AWS แล้ว นอกจากนี้ ยังได้เพิ่ม การอัปเดตเพื่อปรับปรุงการรองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนด ซึ่งรวมถึง PCI ที่เชื่อม ต่ออุปกรณ์ ต่อพ่วงภายในเครื่องกับระบบประมวลผลกลางของ คอมพิวเตอร์ด้วย ทั้งนี้ ลูกค้าจะสามารถ ใช้ประโยชน์จากโซลูชัน ISV ที่มีการ บริหารจัดการจาก Starburst ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านข้อมูล ชั้นนำได้ภายในปีนี้
    • Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka เป็นบริการ Kafka ที่มีการบริหาร จัดการและโฮสต์อย่างเต็มรูปแบบ รองรับการจัดการข้อมูล ประจำตัว และการเข้าถึงอย่างละเอียด ตลอดจนการเข้าถึงตัวชี้วัดและการตรวจสอบ แดชบอร์ด นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มการรับรองต่าง ๆ ด้าน PCI เพื่อให้ปฏิบัติตาม ข้อกำหนดได้ดียิ่งขึ้น
    • Red Hat OpenShift API Managementทำให้สามารถพัฒนาและปรับใช้ แอปพลิเคชัน ที่เน้น API ได้อย่างรวดเร็วผ่านบริการที่โฮสต์และจัดการ OpenShift API Management ที่อยู่ใน Developer Sandbox for Red Hat OpenShift สำหรับการทดลองใช้งาน นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มการอัปเดตเพื่อปรับปรุงการรองรับ ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมถึง การรับรอง PCI, ISO และ SOC2 ตลอดจนการพรีวิวของผู้ออกแบบ API อีกด้วย

องค์กรชั้นนำ เช่น BITMARCK, Boston University และ electrical training ALLIANCE ใช้ประโยชน์จากบริการคลาวด์ของเร้ดแฮทในการออกแบบ, ปรับใช้, บริหารจัดการ และปรับขนาด คลาวด์เนทีฟแอปพลิเคชัน  บริการเหล่านี้ทำให้ความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานและการรองรับเปลี่ยน ไปยังเร้ดแฮทที่โฮสต์และให้การบริหารจัดการคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ ช่วยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อน นวัตกรรมใหม่ ๆ และมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่

เนื่องจากความต้องการด้านไอทีและธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เร้ดแฮทจึงได้สร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์และโซลูชันต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยบริษัทต่าง ๆ ที่พยายามปรับปรุงการพัฒนา และส่งมอบแอปพลิเคชันให้ทันสมัยมากขึ้น

คำกล่าวสนับสนุน

อาชีช แบดานี, รองประธานอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์, Red Hat

“ลูกค้าต้องการโซลูชันที่ขจัดความซับซ้อนในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดของตน ช่วยให้โครงสร้าง พื้นฐานและแอปพลิเคชันมีความยืดหยุ่น, ควบคุมได้ และมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เร้ดแฮทกำลังช่วย ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ด้วยบริการคลาวด์ใหม่และที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับยุคแห่งนวัตกรรมไฮบริด และปรับให้เหมาะสมสำหรับประสิทธิภาพของนักพัฒนา และผู้ปฏิบัติงาน  การพัฒนาเหล่านี้ช่วยให้ผู้นำสามารถมุ่งเน้นไปที่การนำผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น พร้อมกับขับเคลื่อนมูลค่าทางธุรกิจให้กับองค์กร”

สตีเฟน บอยด์, สถาปนิกไอที, electrical training ALLIANCE

“การเป็นพันธมิตกับเร้ดแฮทได้เปลี่ยนโฉมความสามารถของ ETA ในการนำเสนอการฝึกอบรม และการจัดการการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับช่างไฟฟ้ารุ่นต่อไป ตลอดจนปรับปรุงเส้นทางในการเปลี่ยน ผ่านสู่ดิจิทัลของเราโดยรวม ในฐานะที่เป็นทีมเล็ก ๆ การสนับสนุนที่เราได้รับผ่านบริการที่มีการจัดการ ของ Red Hat OpenShift API Management ช่วยให้เรามุ่งความสนใจไปที่การสร้างประโยชน์ที่ดีให้ กับธุรกิจได้มากขึ้น และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา”

เดิร์ก เชฟเฟอร์ส, หัวหน้าสถาปนิกองค์กร, BITMARCK

“เร้ดแฮทให้การสนับสนุนที่ยอดเยี่ยมเมื่อเปิดตัวโซลูชันของเราบนระบบคลาวด์  เราสามารถปรับปรุง ข้อเสนอทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ด้วยความยืดหยุ่นที่ Red Hat Integration มอบให้ พร้อมกับการสนับสนุนด้วยรากฐานของ Red Hat OpenShift  แอปพลิเคชันนี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยน สถานการณ์ธุรกิจของเราในระดับที่เห็นได้ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังทำให้เราสามารถช่วยเหลือลูกค้าด้าน การดูแลสุขภาพ ในเวลาที่พวกเขาต้องการการเข้าถึงผู้ป่วยและแพทย์ตลอดเส้นทางด้านสุขภาพ ของพวกเขาอีกด้วย”

แฮริสัน จอห์นสัน, หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรด้านเทคโนโลยี, Starburst

“Starburst และ Red Hat กำลังร่วมมือกันเพื่อจัดการกับการแผ่ขยายของข้อมูลและความซับซ้อนของ แอปพลิเคชัน AI/ML ที่เพิ่มขึ้นด้วยข้อเสนอสองข้อ คือ Starburst Enterprise และ Starburst Galaxy ซึ่งเป็นข้อเสนอที่มีการจัดการเต็มรูปแบบบน Red Hat OpenShift Data Science ด้วยความร่วมมืออย่าง ต่อเนื่องของพวกเรา เราจะมุ่งเน้นไปที่การให้การเข้าถึงข้อมูลที่ยืดหยุ่นบนแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ และปรับขนาดได้ ซึ่งเป็นรากฐานของวงจรชีวิตด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่มีการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเร่งความพยายามของพวกเขาได้”