ผลการศึกษาชี้ องค์กรภาครัฐเป็นผู้นำในการใช้มัลติคลาวด์

ผลการศึกษาชี้ องค์กรภาครัฐเป็นผู้นำในการใช้มัลติคลาวด์

ผลการศึกษาชี้ องค์กรภาครัฐเป็นผู้นำในการใช้มัลติคลาวด์

ผลสำรวจเผยให้เห็นว่าสถาบันการศึกษาของรัฐเป็นภาคส่วนที่ใช้มัลติคลาวด์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของการใช้มัลติคลาวด์ของภาครัฐทั่วโลกถึงสองเท่า

นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริด มัลติคลาวด์ คอมพิวติ้ง เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับภาครัฐจากรายงานการสำรวจดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กร (Enterprise Cloud Index – ECI) ประจำปี 2565 ซึ่งประเมินความคืบหน้าขององค์กรต่าง ๆ ในการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ และสถาบันการศึกษาของรัฐทั่วโลก รายงานดังกล่าวชี้ว่าองค์กรภาครัฐใช้มัลติคลาวด์เป็นรูปแบบหลักในงานด้านไอที โดยอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และคาดว่าการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจาก 39% เป็น 67% ในช่วงสามปีข้างหน้า

มัลติคลาวด์ได้รับการยอมรับและนำมาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันกลายเป็นสถาปัตยกรรมด้านไอทีที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของภาครัฐ ผลสำรวจ ECI พบว่ามีการใช้มัลติคลาวด์มากที่สุดในส่วนภาคการศึกษาของรัฐในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยอยู่ที่ 69% สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเกือบสองเท่า นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ก็มีการใช้มัลติคลาวด์สูงกว่าค่าเฉลี่ยเช่นกัน อยู่ที่ 47% อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนในการจัดการคลาวด์หลายระบบยังคงเป็นปัญหาท้าทายที่สำคัญสำหรับองค์กรภาครัฐ 85% ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความเห็นว่า การที่องค์กรต่าง ๆ จะประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลาวด์หลาย ๆ ระบบให้ง่ายมากขึ้น  นอกจากนั้น ในการแก้ไขปัญหาท้าทายที่สำคัญในเรื่องที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ความปลอดภัย การใช้งานร่วมกัน และการบูรณาการข้อมูล 75% มีความเห็นว่า รูปแบบไฮบริดมัลติคลาวด์ (Hybrid Multicloud) ซึ่งเป็นรูปแบบการดำเนินงานด้านไอทีที่ใช้ระบบคลาวด์หลายประเภท ทั้งไพรเวทคลาวด์และพับลิคคลาวด์ โดยมีการทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ชิป จอร์จ รองประธานกลุ่มธุรกิจภาครัฐของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “ประเทศทั่วโลก กำลังพัฒนาไปใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบมัลติคลาวด์ที่มีการผสมผสานไพรเวทคลาวด์และพับลิคคลาวด์เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของภาครัฐซึ่งมีการนำไปใช้อย่างรวดเร็ว การพัฒนาที่ว่านี้จำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่นในการสร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งและปลอดภัย เพื่อให้สามารถใช้มัลติคลาวด์ได้อย่างเต็มศักยภาพและขยายขีดความสามารถให้ครอบคลุมทั้งส่วนแกนหลัก (Core) และส่วนขอบ (Edge) ของเครือข่าย องค์กรภาครัฐจำเป็นที่จะต้องมองหาโซลูชันไฮบริดมัลติคลาวด์ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านความปลอดภัย รวมถึงการตรวจสอบอย่างทั่วถึง การจัดการที่มีประสิทธิภาพ การบังคับใช้นโยบายที่สอดคล้องกัน และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมบนทุกสภาพแวดล้อม”

ผู้ตอบแบบสอบถามในส่วนของภาครัฐได้ตอบคำถามเกี่ยวกับความท้าทายด้านระบบคลาวด์ที่เผชิญอยู่ ณ ปัจจุบัน รวมไปถึงวิธีการรันแอปพลิเคชันทางธุรกิจ และแอปพลิเคชชันที่สำคัญต่อการดำเนินงานในปัจจุบัน และแผนการรันแอปพลิเคชันดังกล่าวในอนาคต  นอกจากนั้น ยังมีการสอบถามเกี่ยวกับผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานไอทีในปัจจุบัน ในอนาคต และเร็วๆ นี้  รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านไอทีและภารกิจสำคัญอันเนื่องมาจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยประเด็นสำคัญที่ระบุไว้ในรายงานฉบับล่าสุดมีดังนี้:

    • หน่วยงานภาครัฐเผชิญความท้าทายเกี่ยวกับมัลติคลาวด์ เช่น การปกป้องข้อมูลบนคลาวด์หลายระบบ (49%), การใช้งานแอปพลิเคชันที่ใดก็ได้ (47%), การรักษาความปลอดภัย (46%) และการจัดการค่าใช้จ่าย (45%) นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด (97%) รวมไปถึง 86% ของสถาบันการศึกษาของรัฐ และ 87% ของหน่วยงานภาครัฐทั่วโลก กำลังประสบปัญหาขาดแคลนทักษะด้านไอทีสำหรับการตอบสนองความต้องการทางธุรกิจในปัจจุบันและโฟกัสหลักสำหรับหลาย ๆ องค์กรในช่วงหนึ่งปีนับจากนี้คือ การลดความยุ่งยากซับซ้อนในการดำเนินงาน  อย่างไรก็ดี ผู้บริหารฝ่ายไอทีตระหนักว่าในการปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์ ไม่มีแนวทางแบบครอบจักรวาลที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ดังนั้นไฮบริดมัลติคลาวด์จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดตามความเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (75%)  โดยไฮบริดมัลติคลาวด์จะช่วยแก้ไขความท้าทายที่สำคัญบางประการให้กับการใช้งานมัลติคลาวด์ ด้วยการจัดหาสภาพแวดล้อมคลาวด์แบบครบวงจรเพื่อรองรับการปรับใช้นโยบายด้านการรักษาความปลอดภัยและการกำกับดูแลข้อมูลอย่างสอดคล้องกัน
    • หน่วยงานภาครัฐมีความเห็นในแง่บวกเกี่ยวกับการที่แอปพลิเคชันสามารถเคลื่อนย้ายไปมาได้ (application mobility) ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้คลาวด์อัจฉริยะและมัลติคลาวด์ และถึงแม้ว่า 75% ขององค์กรภาครัฐโยกย้ายแอปพลิเคชันอย่างน้อยหนึ่งแอปพลิเคชันไปยังสภาพแวดล้อมด้านไอทีใหม่เมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ (91%) โดยองค์กรที่ทำการโยกย้ายดังกล่าวระบุถึงปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการตัดสินใจได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและ/หรือการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (33%), การเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุม (31%) และประสิทธิภาพ (30%) นอกจากนั้น 76% มีความเห็นว่าการย้ายเวิร์กโหลดไปยังคลาวด์ระบบใหม่อาจต้องใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เปรียบเทียบกับ 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าองค์กรภาครัฐมองว่าการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันเป็นปัญหาที่น้อยกว่า ส่วนสถาบันการศึกษาของรัฐ ซึ่งมีการใช้มัลติคลาวด์มากที่สุด ก็มีความเห็นในแง่บวกมากยิ่งขึ้น โดยมีเพียง 56% เท่านั้นที่ประสบปัญหาเรื่องการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชัน ขณะที่หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ มีความกังวลใจในเรื่องนี้มากที่สุด โดยอยู่ที่ 77%
    • ภารกิจสำคัญสูงสุดด้านไอทีของภาครัฐในช่วง 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย (46%), การจัดเก็บข้อมูล (41%), การปรับใช้ 5G (39%) และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการมัลติคลาวด์ (39%) นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามภาครัฐยังระบุว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้องค์กรต้องเพิ่มการใช้จ่ายด้านไอทีในบางแง่มุม เช่น การเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการรักษาความปลอดภัย (55%), การปรับใช้เทคโนโลยีการบริการตนเองโดยใช้ AI (50%) และการอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่มีอยู่ (40%)

สำหรับประเทศไทย ได้มีการสร้างบริการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ หรือ GOV Cloud เพื่อเป็นศูนย์รวมอำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562

นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญให้เกิดการรวมศูนย์การให้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายเสมือนที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยสูงให้กับหน่วยงานภาครัฐที่ขาดความพร้อมด้านการดูแลศูนย์ข้อมูลและขาดบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะ ทั้งนี้ยังให้การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความสามารถด้าน Cloud computing เพื่อให้เข้าใจกระบวนการทำงานและวิธีการใช้งาน Cloud ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

รายงานนี้ดำเนินการสำรวจโดย Vanson Bourne  ในนามของนูทานิคซ์ เป็นการสำรวจปีที่สี่ติดต่อกัน โดยได้สำรวจความคิดเห็นของผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที 1,700 คนทั่วโลกในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน 2564 รายงานนี้เป็นฉบับเสริมของรายงานหลัก ดัชนีคลาวด์ระดับองค์กรประจำปี ฉบับที่สี่ (Fourth Annual Enterprise Cloud Index) ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมทั่วโลก โดยมุ่งสำรวจแนวโน้มการวางแผนและการปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในส่วนของภาครัฐ และอ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรฝ่ายไอทีภาครัฐ 491 คน นอกจากนี้ มีการเปรียบเทียบแผนงาน ภารกิจสำคัญ และประสบการณ์เกี่ยวกับคลาวด์ในส่วนของภาครัฐและเซ็กเตอร์ย่อย รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ และผลการสำรวจทั่วโลก ข้อมูลที่ระบุไว้ในรายงานฉบับนี้ครอบคลุม “องค์กรภาครัฐ” หรือ “ภาครัฐทั่วโลก” ซึ่งหมายถึงผู้ตอบแบบสอบถามในหน่วยงานรัฐบาลกลาง หน่วยงานส่วนกลาง รัฐบาลท้องถิ่น สถาบันการศึกษาของรัฐ และหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก  นอกจากนี้ยังมีการแบ่งเซ็กเตอร์ย่อยสำหรับการเปรียบเทียบ ซึ่งได้แก่ หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ และสถาบันการศึกษาทั่วโลก

ดาต้าเบส: คิดใหม่-ทำใหม่ เหตุผลห้าประการที่ทำให้ DBaaS เป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

ดาต้าเบส: คิดใหม่-ทำใหม่

ดาต้าเบส: คิดใหม่-ทำใหม่ เหตุผลห้าประการที่ทำให้ DBaaS เป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

บทความโดย ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

บทความโดย ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

ข้อมูลปริมาณมากที่องค์กรสร้างขึ้นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ในอดีตข้อมูลหนึ่งเพตาไบต์ถือเป็นข้อมูลปริมาณที่สูงมาก และก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ เพราะเทียบเท่ากับตู้เก็บเอกสารทรงสูงราว 20 ล้านตู้ หรือข้อความที่พิมพ์บนหน้าเอกสารขนาดมาตรฐาน 500,000 ล้านหน้า อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเป็นเรื่องปกติที่องค์กรจะต้องบริหารจัดการข้อมูลหลายสิบหรือหลายร้อยเพตาไบต์ ซึ่งอยู่ในดาต้าเบสที่หลากหลาย ทำให้ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลและทรัพยากรต่าง ๆ จำนวนมาก

เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น ปริมาณข้อมูลก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งหากยังนำระบบแบบดั้งเดิมมาใช้บริหารจัดการดาต้าเบสก็ย่อมจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากขึ้น เพราะระบบรุ่นเก่าให้การตอบสนองช้า ประสิทธิภาพการทำงานไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้การดำเนินงานโดยรวมขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากดาต้าเบสมีบทบาทสำคัญมากต่อการดำเนินธุรกิจในแต่ละวัน ดังนั้นบริษัทต่าง ๆ จึงต้องมองหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อใช้จัดการดาต้าเบสได้อย่างเหมาะสม

ความเรียบง่ายของดาต้าเบส

รายงานวิจัยของไอดีซีระบุว่า ในการใช้งานดาต้าเบสนั้น เป็นการใช้ดาต้าเบสที่ติดตั้งอยู่ภายในองค์กรราว 75 เปอร์เซ็นต์[1] ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขที่น่าประหลาดใจ เพราะข้อมูลเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญขององค์กร และองค์กรต่าง ๆ ย่อมต้องการที่จะเก็บรักษาข้อมูลที่สำคัญที่สุดไว้ใกล้ตัว แต่หากธุรกิจให้ความสำคัญกับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแล้ว การใช้บริการด้านดาต้าเบส (Database-as-a-Service: DBaaS) จะช่วยให้องค์กรสามารถตั้งค่าและจัดการดูแลดาต้าเบสของตนได้อย่างไม่ยุ่งยาก DBaaS สามารถรองรับระบบงานอัตโนมัติและการจัดการตนเองได้ ไม่ว่าดาต้าเบสนั้นจะทำงานอยู่บนระบบใดก็ตาม

ห้าเหตุผลสำคัญที่องค์กรในเอเชีย-แปซิฟิกและญี่ปุ่นควรจะพิจารณาใช้ DBaaS

1) ลดปัญหาการหยุดทำงานของระบบ

ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นมาก ทำให้การสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นความท้าทายต่อธุรกิจมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน การติดตั้งแพตช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมไอทีแบบเดิม อาจทำให้ระบบต้องหยุดทำงานเป็นเวลานาน รายงานวิจัยของฟอเรสเตอร์คอนซัลติ้งที่สนับสนุนโดยนูทานิคซ์ประเมินว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายราว 35,000 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมงอันเนื่องมาจากการสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน การสูญเสียรายได้ และผลกระทบในด้านอื่น ๆ ที่ตามมา[2] เช่น การติดตั้งแพตช์ด้านความปลอดภัยและการบำรุงรักษาระบบของสายการบินแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ทำให้ระบบหยุดทำงานและตัดการเชื่อมต่อนานถึง 14 ชั่วโมงต่อการอัปเดตแต่ละครั้ง และนั่นหมายถึงไม่สามารถจำหน่ายตั๋วเครื่องบินได้ในช่วงเวลานั้น ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้

reduce-downtime

การใช้ DBaaS จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถดูแลจัดการดาต้าเบสหลากหลายได้แบบรวมศูนย์ ซึ่งสามารถกระจายแพตช์ไปยังดาต้าเบสทั้งหมดได้โดยอัตโนมัติ และรวดเร็วขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ซึ่งในหลาย ๆ กรณี สามารถติดตั้งแพตช์ได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และหากเกิดการโจมตีทางไซเบอร์ การใช้งาน DBaaS จะช่วยให้องค์กรสามารถกู้คืนดาต้าเบสได้ทันที และช่วยให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติ

2) ลดงบประมาณ ค่าใช้จ่าย และการใช้ทรัพยากร

รายงานวิจัยของไอดีซีชี้ว่า องค์กรเกือบสามในสี่ (73 เปอร์เซ็นต์) ใช้เครื่องมือและกระบวนการต่าง ๆ เพื่อจัดการกับดาต้าเบสที่อยู่ในองค์กรและดาต้าเบสที่อยู่บนโครงสร้างพื้นฐานไอที และคลาวด์แตกต่างกัน[3] ซึ่งไม่เพียงส่งผลให้บริษัทต้องจัดซื้อเครื่องมือที่ซ้ำซ้อนและต้องคอยให้การดูแลรักษาเครื่องมือเหล่านั้น แต่ยังลดทอนประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานด้วย เช่น ผู้จัดการด้านดาต้าเบสต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง เพื่อสร้างและดูแลดาต้าเบสต่าง ๆ ทั้งนี้ฟอเรสเตอร์ได้รายงานว่า ทีมผู้ดูแลดาต้าเบส (Database Administrator – DBA) มักจะต้องทำงานล่วงเวลาและทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อให้งานเสร็จสมบูรณ์ทันเวลา

รายงาน Forrester’s Total Economic ImpactTM of Nutanix Era ระบุว่าองค์กรจะสามารถลดการทำงานล่วงเวลาดังกล่าวได้ 50 เปอร์เซ็นต์ เพียงแค่เปลี่ยนไปใช้โซลูชันการบริหารจัดการดาต้าเบสที่ใช้งานง่ายกว่า[4] นอกจากนี้ผู้ดูแลดาต้าเบสมักจะจัดสรรและใช้จ่ายงบประมาณด้านฮาร์ดแวร์สำหรับดาต้าเบสมากเกินจำเป็น เพื่อเผื่อไว้สำหรับการขยายตัวของดาต้าเบสในอนาคต แต่หากใช้ระบบ DBaaS ซึ่งสามารถปรับขนาดการทำงานได้ตามต้องการและในเวลาที่ต้องการแล้ว ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะหมดไป

ฟอเรสเตอร์ประเมินว่า องค์กรจะได้รับผลตอบแทนการลงทุน (ROI) โดยรวม 291 เปอร์เซ็นต์ หากเปลี่ยนไปใช้ Nutanix Database Service[5]

3) จัดหาบุคลากรที่มีความสามารถได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

รายงานวิจัยของฟอเรสเตอร์ชี้ว่า บริษัทต่าง ๆ พบว่าบริษัทฯ มีความท้าทายในการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่มีชุดทักษะด้านการจัดการดูแลดาต้าเบสระบบเก่า[6] เพราะเมื่อใดก็ตามที่พนักงานที่มีประสบการณ์ลาออกหรือเกษียณ ความรู้ความสามารถของเขาเหล่านั้นก็จะหายไปจากองค์กรด้วยทันที เกิดช่องว่างระหว่างการเปลี่ยนแปลง และตามมาด้วยปัญหาด้านคุณภาพของบุคลากร ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Gen Z เริ่มก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน คนรุ่นนี้เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัลและคาดหวังว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีในการทำงานได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น ดังนั้นองค์กรจึงต้องนำเทคโนโลยีที่ทำงานบนคลาวด์ ซึ่งมีความยืดหยุ่นและใช้งานง่ายที่สุดมาใช้ เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรกลุ่มนี้ไว้กับบริษัท

work-force

4) ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า

การที่องค์กรต่าง ๆ ตั้งเป้าที่จะก้าวนำหน้าพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้ามีความสำคัญต่อการตัดสินใจทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ด้านต่าง ๆ มากขึ้น ดาต้าเบสต่าง ๆ คือขุมทองของข้อมูลลูกค้า และเทคโนโลยีใหม่ต่าง ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) สามารถช่วยให้ธุรกิจเข้าใจข้อมูลนี้ เช่น ช่วยให้สามารถตรวจสอบรูปแบบของข้อมูล ตรวจสอบได้ว่าข้อมูลมีลักษณะผิดปกติอย่างไรหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยการทำงานแบบแมนนวล

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี AI และ ML ทำงานได้ดีที่สุดบนคลาวด์ การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้กับดาต้าเบสที่ติดตั้งภายในองค์กรจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป การย้ายดาต้าเบสไปไว้บนคลาวด์และใช้ DBaaS ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจที่ต้องการติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ และตามติดทันเทรนด์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าที่ทรงคุณค่า

insight-data

5) เปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว

รายงานการคาดการณ์ของ IDC ประจำปี 2565 ระบุว่า ภายในปีนี้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกจะพึ่งพาหรือได้รับอิทธิพลจากดิจิทัล ยิ่งไปกว่านั้นการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลโดยตรงจะเร่งให้เกิดอัตราการเติบโตต่อปีที่ 18 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปี 2565-2567 ซึ่งคิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทั้งหมด ภายในสิ้นปี 2567[7]

การนำ DBaaS มาใช้ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนแปลงงานด้านอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นดิจิทัลด้วย ทีมพัฒนาแอปพลิเคชันของบริษัทที่ดูแลการสร้างระบบและกระบวนการใหม่ ๆ ต้องทำงานกับดาต้าเบสที่เป็นปัจจุบันและสดใหม่ ไม่ใช่ข้อมูลที่ทำซ้ำไว้ซึ่งมักจะไม่เป็นปัจจุบัน การใช้ DBaaS เป็นการปูทางให้หน่วยงานทั่วทั้งองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

สำหรับประเทศไทย องค์กรด้านเทเลคอม และเซอร์วิสโพรไวเดอร์นำโซลูชัน DBaaS ของนูทานิคซ์ไปใช้กับสภาพแวดล้อมดาต้าเบสขององค์กร เพื่อตอบสนองต่อการใช้งานดาต้าเบสที่เพิ่มสูงขึ้นขององค์กรทั้งในแง่มุมของขนาด ความต้องการใช้งาน ความหลากหลายของดาต้าเบส การป้องกันและกู้คืนดาต้าเบส ซึ่งหลังจากได้มีการนำโซลูชัน DBaaS มาใช้งานทำให้งานที่เกี่ยวข้องกับดาต้าเบสมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น

      • การติดตั้งดาต้าเบสเมื่อมีการร้องขอจากยูสเซอร์ และหน่วยงานต่าง ๆ เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
      • การร้องขอสำเนา และการโคลนดาต้าเบสเพื่อนำไปใช้ในการทดสอบ นำไปประมวลผล และออกรายงานต่าง ๆ ใช้เวลาลดลงเหลือ 30 นาที และลดการใช้พื้นที่สตอเรจที่จัดเก็บสำเนาข้อมูลดาต้าเบสเหล่านั้น
      • สามารถกู้คืนดาต้าเบสกลับไปยังช่วงเวลาที่ต้องการได้โดยใช้เวลาน้อยกว่า 30 นาทีกับข้อมูลขนาดมากกว่า 60 TB
      • การดูแลจัดการดาต้าเบสหลายประเภทเช่น Oracle, PostgreSQL และอื่น ๆ สามารถทำผ่านเครื่องมือเดียวกัน ซึ่งช่วยลดความยุ่งยาก และลดค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องมือที่แตกต่างกัน

ดาต้าเบสแห่งอนาคต

ดาต้าเบสเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นวันนี้และในอนาคตปริมาณข้อมูลมีแต่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจะเป็นปัจจัยบังคับให้องค์กรต่าง ๆ ปรับปรุงระบบจัดการดาต้าเบสของตนให้ทันสมัยและใช้งานง่าย ไม่ว่าดาต้าเบสนั้นจะอยู่บนระบบภายในองค์กร บนไพรเวทคลาวด์ หรือบนไฮบริดคลาวด์ องค์กรจำเป็นต้องหาแนวทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานของตน

นูทานิคซ์เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่วยให้เส้นทางสู่ไฮบริดมัลติคลาวด์ง่ายขึ้น

นูทานิคซ์เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่วยให้เส้นทางสู่ไฮบริดมัลติคลาวด์ง่ายขึ้น

นูทานิคซ์เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่วยให้เส้นทางสู่ไฮบริดมัลติคลาวด์ง่ายขึ้น

Nutanix Cloud Platform โซลูชันที่ครอบคลุม เพื่อการใช้งานทุกแอปพลิเคชันบนคลาวด์ทุกระบบ

นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริด-มัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศเปิดตัวทั่วโลกในการปรับเปลี่ยน และจัดกลุ่มโซลูชันต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว Nutanix Cloud Platform นำเสนอรูปแบบการดำเนินงานที่สอดคล้องกับคลาวด์ทุกประเภท ทั้งพับลิค ไพรเวท และไฮบริดคลาวด์ ซึ่งการจัดทัพโซลูชันใหม่ในครั้งนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถนำโซลูชันต่าง ๆ มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการ และตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลของลูกค้าได้ง่ายขึ้น

กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่นี้นอกจากจะทำให้ลูกค้าสามารถตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของไอทีสู่ยุคมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยขจัดความซับซ้อนที่มักเกี่ยวกับการเปิดใช้งานบริการไฮบริดคลาวด์ครบวงจรในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โดยลดความซับซ้อนของการเลือกใช้โซลูชัน และวิธีการคิดราคา เพื่อช่วยให้ลูกค้าเตรียมพร้อมรับมือกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายขึ้นซึ่งรวมถึงการขยายเวิร์กโหลด การกำหนดลักษณะคลาวด์ การอัปเกรดเทคโนโลยี และอื่น ๆ ลูกค้าสามารถเร่งเปลี่ยนแปลงองค์กรของตนสู่เส้นทางคลาวด์ได้รวดเร็วขึ้น ด้วยการใช้ประโยชน์จากการออกแบบที่ได้รับการตรวจสอบโดยนูทานิคซ์ และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการปรับใช้สำหรับกรณีใช้งานทั่วไป

นายอาชีช นาดคาร์นี รองประธานกลุ่มระบบโครงสร้างพื้นฐาน แพลตฟอร์ม และเทคโนโลยีของ IDC กล่าวว่า “การเติบโตของนูทานิคซ์เริ่มต้นจากเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นและการจัดการที่ง่ายขึ้นกว่าการจัดเก็บข้อมูลแบบเป็นระบบ SAN และได้พัฒนาเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์เต็มรูปแบบทั้งหมดตั้งแต่เวอร์ชวลไลเซชัน เน็ตเวิร์กกิ้ง จนถึงการรักษาความปลอดภัย รวมถึงการรองรับเวิร์กโหลดทั้งหมดทั่วทั้งในองค์กรและในพับลิคคลาวด์  กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มอบความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าปรับใช้ให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจ”

บริษัทฯ ได้สร้างแพลตฟอร์มคลาวด์แบบครบวงจรที่พร้อมใช้งานสำหรับองค์กร โดยมีโซลูชัน HCI (โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ – hyperconverged infrastructure) ชั้นนำของตลาดเป็นรากฐานสำคัญ กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียบง่ายประกอบด้วย 

    • Nutanix Cloud Infrastructure (NCI) ซอฟต์แวร์โซลูชันสำหรับโครงสร้างพื้นฐานแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งรวมการทำเวอร์ชวลไลซ์กับระบบประมวลผล ระบบจัดเก็บข้อมูล และเน็ตเวิร์กกิ้ง สำหรับเวอร์ชวลแมชชีนและคอนเทนเนอร์ที่สามารถปรับใช้งานได้ในดาต้าเซ็นเตอร์บนฮาร์ดแวร์ใด ๆ ที่องค์กรเลือก หรือในพับลิคคลาวด์ที่มีคุณสมบัติด้านความยืดหยุ่น ซ่อมแซมตัวเองได้ มีประสิทธิภาพ กู้คืนระบบได้ และมีการรักษาความปลอดภัยติดตั้งไว้เบ็ดเสร็จ นอกจากนั้นยังสามารถใช้งาน NCI บนพับลิคคลาวด์ด้วย

    • Nutanix Cloud Clusters (NC2) ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดคลาวด์ได้อย่างแท้จริง เพื่อความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และรองรับแอปพลิเคชันสมัยใหม่ได้ ในขณะเดียวกันการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานยังคงทำได้ในแบบรวมศูนย์ไม่ว่าจะเป็นการใช้โครงสร้างพื้นฐานบนพับลิคคลาวด์ หรือในศูนย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้องค์กรสามารถกระจายงานสู่คลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว (cloud bursting) การสร้างระบบสำรองบนคลาวด์ รวมถึงการโยกย้ายแอปพลิเคชันบางส่วนไปใช้งานพับลิคคลาวด์ได้โดยไม่ต้องลงทุนแก้ไขแอปพลิเคชัน

    • Nutanix Cloud Manager (NCM) ทำให้การสร้างและการจัดการการปรับใช้ระบบคลาวด์เป็นเรื่องง่ายและสะดวก โดยขับเคลื่อนการกำกับดูแลที่สม่ำเสมอทั่วทั้งไพรเวทและพับลิค คลาวด์ ทำให้การใช้คลาวด์ของลูกค้าเกิดได้เร็วขึ้นNCM มีระบบการบริหารจัดการคลาวด์ต่าง ๆ ที่ชาญฉลาด รวมถึงการมอนิเตอร์ การให้ข้อมูลเชิงลึก และการแก้ไขอัตโนมัติ ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถปรับใช้ ดำเนินงาน และจัดการแอปพลิเคชันของตนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่าย และกำกับดูแลต้นทุนของการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แต่ละประเภท ท้ายที่สุดยังได้รวมการดำเนินการด้านความปลอดภัยสำหรับเวิร์กโหลดและข้อมูลทั่วทั้งระบบคลาวด์ ทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์เป็นอัตโนมัติด้วยการวิเคราะห์และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

    • Nutanix Unified Storage (NUS) จัดเตรียมสตอเรจแบบดิสทริบิวเต็ด และควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์สำหรับโปรโตคอลแบบต่าง ๆ (volumes, files, objects) เพื่อรองรับเวิร์กโหลดที่ต้องการข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไพรเวท พับลิคหรือไฮบริดคลาวด์ พร้อมความสามารถในการนำไลเซนส์ที่มีอยู่เคลื่อนย้ายไปใช้งานบนระบบที่ต้องการได้ การจัดการแบบจุดเดียวสำหรับทรัพยากรการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดจะช่วยขจัดความซับซ้อนของอินเทอร์เฟซหลายแบบ และช่วยให้ผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญในการจัดเก็บข้อมูลสามารถดำเนินการจัดเก็บและจัดการข้อมูลส่วนใหญ่ในแต่ละวันได้  การวิเคราะห์อัจฉริยะที่รวมเข้ากับโซลูชันนี้ช่วยให้มองเห็นข้อมูล และให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับการกำกับดูแลและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล

    • Nutanix Database Service (NDB) ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการดาต้าเบสในไฮบริดคลาวด์สำหรับดาต้าเบสเอ็นจิ้นต่าง ๆ เช่น PostgreSQL®, MySQL®, Microsoft® SQL Server, Mongo DB, Maria DB และ Oracle® Database ด้วยระบบอัตโนมัติอันทรงพลังในการจัดเตรียม การปรับขนาด การแพตช์ การป้องกัน และการโคลนของดาต้าเบสอินสแตนซ์ NDB ช่วยให้ลูกค้าสามารถส่งมอบ Database-as-a-Service (DBaaS) และประสบการณ์ด้านตาต้าเบสแบบบริการตนเองที่ใช้งานง่ายให้แก่นักพัฒนา ทั้งข้อมูลใหม่ และข้อมูลปัจจุบันที่อยู่ภายในองค์กรและในพับลิคคลาวด์
    • Nutanix End User Computing Solutions นำเสนอแอปพลิเคชันและเดสก์ท็อปแบบเวอร์ชวลแก่ผู้ใช้ทั่วโลกจากโครงสร้างพื้นฐานพับลิค ไพรเวท และไฮบริดคลาวด์ โดยให้ตัวเลือกไลเซนส์การใช้งานสำหรับผู้ใช้ NCI ที่ลดความซับซ้อน นอกจากนี้ ยังรวมแพลตฟอร์ม Desktop-as-a-Service ที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว และยืดหยุ่น ซึ่งสามารถเรียกใช้เวิร์กโหลดของผู้ใช้ปลายทางบน NCI พับลิคหรือไฮบริดคลาาวด์ไว้ให้อีกด้วย

 

์Nutanix

นายโธมัส คอร์เนลี รองประธานอาวุโสฝ่ายจัดการของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “Nutanix Cloud Platform สร้างขึ้นจากซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จชั้นนำในตลาดของบริษัทฯ เพื่อให้ธุรกิจมีรูปแบบการดำเนินงานบนคลาวด์ที่สอดคล้องกัน  กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้งานง่ายของเราได้รวมเอาความสามารถด้านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายไว้ทั้งแบบใช้ภายในองค์กรและพับลิคคลาวด์ เพื่อเปิดใช้งานโครงสร้างพื้นฐาน บริการข้อมูล การจัดการ และการดำเนินงานที่สอดคล้องกันสำหรับแอปพลิเคชันในเวอร์ชวลแมชชีนและคอนเทนเนอร์”

ความเห็นจากลูกค้านูทานิคซ์ 

    • “เราเลือกนูทานิคซ์ เพราะเรากำลังมองหาแพลตฟอร์มที่สามารถรองรับเวิร์กโหลดหลัก ๆ ได้
      ในขณะเดียวกันก็ต้องให้มีความเรียบง่ายและมีความน่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสนับสนุนภารกิจปกป้องลูกค้า 39 ล้านรายทั่วโลกที่ใช้ผลิตภัณฑ์ และบริการต่าง ๆ ของเรา  ในช่วงเวลาที่เราทำงานร่วมกัน นูทานิคซ์ไม่เพียงแต่ส่งมอบให้เท่านั้น แต่ยังขยายจากโซลูชัน HCI ไปเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์ที่สมบูรณ์พร้อม เพื่อช่วยเราตลอดเส้นทางการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล  เราตั้งตารอที่จะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมที่ต่อเนื่องของพวกเขา”

      – เดวิด ฟิทซ์เจอรัลด์ ผู้ช่วยรองประธานฝ่ายบริการระดับโลกด้านไอที,
      UNUM บริษัทประกันภัยที่ดูแลด้านสวัสดิการพนักงาน

    • “นูทานิคซ์เป็นพันธมิตรหลักที่ช่วยให้เราพัฒนาระบบการผลิตขั้นสูง โดยใช้เทคโนโลยี HCI และเอดจ์คอมพิวติ้งสำหรับโครงสร้างพื้นฐานการผลิตในอนาคต เราตั้งตารอกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Nutanix Cloud Platform ที่จะช่วยเราในการปรับใช้ระบบการผลิตแบบไดนามิกทั่วโลก เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รักษาความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล รวมถึงรองรับความต่อเนื่องทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และทำให้ขั้นตอนส่วนขยายการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของเราเป็นมาตรฐาน”

      – มาซาโอะ ซัมเบะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล
      แผนกดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
      มิตซุย เคมิคัล อิงค์

บริการด้านคลาวด์เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยในแง่ธุรกิจ เห็นว่าคลาวด์คอมพิวติ้งเป็นเครื่องมือที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล 

ความเห็นจากลูกค้าไทย

    • “นูทานิคซ์สามารถขึ้นระบบให้พร้อมใช้งานได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ผู้บริหารของบริษัทฯ พึงพอใจเป็นอย่างมากที่สามารถทำงานได้สะดวกจากทุกที่ ทุกเวลา บนทุกอุปกรณ์ เพื่อเข้าถึงเดสก์ท็อปไฟล์ข้อมูล และเน็ตเวิร์กต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัยและสมบูรณ์แบบ”

      – นายรุจิโรจน์ พีเจริญทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายไอที
      บริษัท โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) จำกัด 

    • “เมื่อเรามีระบบสำรองข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพและปลอดภัย เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมของเรา ระบบนี้จะช่วยให้เราสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ และบริการออกสู่ตลาดได้อย่างทันท่วงที และช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของเรา นูทานิคซ์ทำให้งานแมนนวลต่าง ๆ ที่ต้องใช้เวลานานลดลงถึง 80% และลดเวลาในการจัดเตรียมระบบลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง จากหนึ่งวันเหลือเพียงครึ่งวัน”

      – นายพิเชฐ ศรีวงษ์ญาติดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ
      บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน)

ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดขณะนี้มีวางจำหน่ายแล้ว  กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่นี่

ผลสำรวจชี้ มัลติคลาวด์ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง แต่ความซับซ้อนและความท้าทายต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่เช่นกัน

ผลสำรวจดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กร

ผลสำรวจชี้ มัลติคลาวด์ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง แต่ความซับซ้อนและความท้าทายต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่เช่นกัน

ผลสำรวจพบว่ามีการใชัมัลติคลาวด์เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันองค์กรต่าง ๆ ก็มุ่งความสนใจไปที่ไฮบริด มัลติคลาวด์

นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริด-มัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง เผยผลสำรวจดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กร (Enterprise Cloud Index: ECI) ที่ทำการสำรวจติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยทำการประเมินความก้าวหน้าในการใช้คลาวด์ขององค์กร การสำรวจพบว่า มัลติคลาวด์เป็นรูปแบบที่มีการนำมาใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน และการใช้งานจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 64% ในอีกสามปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนในการจัดการกับข้อจำกัดต่าง ๆ ของคลาวด์ทุกประเภทยังคงเป็นความท้าทายสำคัญขององค์กร โดย 87% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นด้วยว่า การจะใช้มัลติคลาวด์ให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีการจัดการโครงสร้างพื้นฐานการใช้ระบบคลาวด์แบบผสมที่ง่ายขึ้น ทั้งนี้ 83% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่า ไฮบริด-มัลติคลาวด์เป็นรูปแบบที่มีความเหมาะสมต่อการใช้งาน เพื่อแก้ปัญหาความท้าทายสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการทำงานร่วมกัน การรักษาความปลอดภัย ต้นทุน และการบูรณาการข้อมูล

ผลสำรวจชี้ มัลติคลาวด์ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง

นายราจีฟ รามาสวามี ประธานและซีอีโอนูทานิคซ์ กล่าวว่า “ในขณะที่ธุรกิจต่าง ๆ พิจารณาและใช้ไอทีในเชิงกลยุทธ์มากขึ้นกว่าก่อน ความซับซ้อนของมัลติคลาวด์ก็กำลังสร้างความท้าทายมากมายที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในการใช้คลาวด์ การแก้ไขความซับซ้อนเหล่านี้ ทำให้เกิดไฮบริด-มัลติคลาวด์รูปแบบใหม่ขึ้น ซึ่งทำให้คลาวด์เป็นรูปแบบในการทำงาน มากกว่าเป็นเพียงเป้าหมายปลายทางเท่านั้น”

การสำรวจครั้งนี้ ได้สอบถามผู้ตอบแบบสำรวจเกี่ยวกับความท้าทายของการใช้คลาวด์ที่องค์กรพบเจอ ปัจจุบันองค์กรใช้งานแอปพลิเคชันทางธุรกิจบนระบบใด และวางแผนว่าจะใช้บนระบบใดในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีการสอบถามถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลต่อการตัดสินใจด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนกลยุทธ์และลำดับความสำคัญด้านไอทีที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าว

ผลสำรวจสำคัญจากรายงานครั้งนี้ ประกอบด้วย

      • ความท้าทายอันดับต้น ๆ ในการใช้มัลติคลาวด์ประกอบด้วย การจัดการความปลอดภัย (49%), การเชื่อมโยงข้อมูล (49%) และค่าใช้จ่ายในการใช้คลาวด์ข้ามประเภท (43%) แม้มัลติคลาวด์จะเป็นรูปแบบที่ใช้งานมากที่สุด และเป็นเพียงรูปแบบเดียวที่คาดว่าจะมีการใช้งานเพิ่มขึ้น แต่องค์กรส่วนใหญ่ยังต้องฝ่าฟันกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการใช้คลาวด์หลายประเภทร่วมกัน ทั้งที่เป็นไพรเวทและพับลิคคลาวด์ ความท้าทายเหล่านี้จะยังคงอยู่ และผู้นำด้านไอทีต่างตระหนักมากขึ้นว่า ไม่มีวิธีการใช้คลาวด์วิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะสมกับการทำงานทุกอย่าง ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า ไฮบริด มัลติคลาวด์ ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานด้านไอทีที่สามารถประสานให้คลาวด์หลายประเภท ทั้งไพรเวทและพับลิคทำงานร่วมกันได้เป็นวิธีการที่เหมาะสม
ความท้าทายอันดับต้น ๆ ในการใช้มัลติคลาวด์
      • การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนวิธีการทำงานเกือบทั้งหมดขององค์กร และมัลติคลาวด์สามารถรองรับวิธีการทำงานแบบใหม่นี้ ผู้ตอบแบบสำรวจเกินครึ่ง (61%) กล่าวว่าการระบาดครั้งนี้ทำให้ต้องให้ความสำคัญกับการจัดให้มีการทำงานแบบยืดหยุ่นมากขึ้น องค์กรส่วนใหญ่ให้ข้อมูลว่า ไม่ว่าจะมีพนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมากขึ้นหรือน้อยลงก็ตามการทำงานในลักษณะนี้จะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปในอนาคตอันใกล้ มัลติคลาวด์มีสภาพแวดล้อมไอทีที่คล่องตัว สามารถตอบสนองความต้องการด้านความยืดหยุ่นนี้ได้ ด้วยการกระจายข้อมูลไปยังจุดใช้งานต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ
      • การเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันคือสิ่งสำคัญที่สุด ในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา องค์กรเกือบทั้งหมด (91%) ได้ย้ายแอปพลิเคชัน หนึ่งรายการหรือมากกว่านั้นไปยังสภาพแวดล้อมไอทีใหม่ อย่างไรก็ตาม 80% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นตรงกันว่า การย้ายเวิร์กโหลดไปยังสภาพแวดล้อมคลาวด์รูปแบบใหม่อาจใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ตอบแบบสำรวจให้เหตุผลในการย้ายเวิร์กโหลดว่า ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด (41%) ตามด้วยเรื่องประสิทธิภาพ (39%) และความสามารถในการควบคุมการทำงาน (38%)

 

การเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันคือสิ่งสำคัญที่สุด
      • องค์กรต่าง ๆ ใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีในเชิงกลยุทธ์เพิ่มขึ้น  เกือบสามในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถาม (72%) ระบุว่า ฟังก์ชันด้านไอทีในองค์กรของตนได้มีการนำมาใช้ในเชิงกลยุทธ์มากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ผู้ตอบแบบสำรวจได้ระบุถึงเหตุผลทางธุรกิจในการเปลี่ยนรูปแบบของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เพื่อปรับปรุงการทำงานระยะไกลและการทำงานร่วมกัน (40%), เพื่อสนับสนุนลูกค้าได้ดีขึ้น  (36%) และ เพื่อเสริมสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจ (35%) นอกจากนี้พวกเขายังได้เริ่มจับคู่เวิร์กโหลดแต่ละชนิดให้ใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมที่สุดอย่างมีแบบแผน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความปลอดภัย (41%), ประสิทธิภาพ (39%) และค่าใช้จ่าย (31%) ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหลักระดับต้น ๆ ในการปรับใช้มัลติคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
องค์กรต่าง ๆ ใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีในเชิงกลยุทธ์เพิ่มขึ้น

แวนสัน บอร์น ได้ทำการสำรวจนี้ในนามของนูทานิคซ์เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน โดยทำการสอบถามผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีจำนวน 1,700 คนทั่วโลก เมื่อเดือนสิงหาคมและกันยายน 2564 ผู้ตอบแบบสำรวจอยู่ในอุตสาหกรรมหลายประเภท ในองค์กรหลากหลายขนาด ในภูมิภาคอเมริกา, ยุโรป, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น

ท่านสามารถดาวน์โหลดรายงานดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กรฉบับเต็มของนูทานิคซ์ได้ที่นี่

นูทานิคซ์วิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อทุกอุตสาหกรรมในปี 2565

Nutanix

นูทานิคซ์วิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อทุกอุตสาหกรรมในปี 2565

ไฮบริดคลาวด์-ไฮบริดเวิร์ก ปัญญาประดิษฐ์ และความปลอดภัยคือองค์ประกอบสำคัญของการปรับเปลี่ยนสู่ไฮเปอร์ดิจิทัล

ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี

บทความโดย ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

นูทานิคซ์เผยเทรนด์เทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมการทำงาน และการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง

ไฮบริดคลาวด์ – ไฮบริดเวิร์ก คือ ปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จทุกแง่มุม
การถูกผูกมัดจากการใช้คลาวด์ใดคลาวด์หนึ่ง (cloud lock-in) จะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความกังวลขององค์กร สืบเนื่องมาจากองค์กรต่าง ๆ มีการใช้งานพับลิคคลาวด์มากขึ้น แต่สถานการณ์นี้ก็จะขับเคลื่อนให้เกิดการใช้กลยุทธ์ไฮบริด มัลติ-คลาวด์ต่าง ๆ ตามมา เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัททั้งหลายได้ใช้เลือกใช้คลาวด์แต่ละประเภทที่มีความโดดเด่นได้ตามความเหมาะสม ทั้งยังมีอิสระและทางเลือกว่าจะให้แอปพลิเคชันและข้อมูลของตนทำงานอยู่บนคลาวด์ประเภทใดได้ด้วย

NTNX4

ปีนี้จะเป็นปีที่องค์กรเลือกใช้ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น เพราะการที่ทีมไอทีใช้เวิร์กโหลดบนคลาวด์หลายประเภท ทำให้ต้องมองหาวิธีที่จะทำให้คลาวด์ทุกประเภทที่ใช้อยู่ทำงานสอดคล้องกัน จึงมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สามารถมัดรวมความต้องการหลากหลายไว้เป็นหนึ่งเดียวให้กับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายต่าง ๆ มาตรการด้านความปลอดภัย และข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLAs)

สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากรายงาน Data Center and Cloud Service in Thailand, Board of Investment คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศจะมีสัดส่วน 25 เปอร์เซ็นของ GDP ของประเทศ ภายในปี 2570 และหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยคือบริการด้าน คลาวด์ต่าง ๆ ซึ่งความต้องการบริการเหล่านี้เกิดจากบริการดิจิทัลที่มีอยู่แล้ว เช่น อี-คอมเมิร์ซ, การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ และการสตรีมเนื้อหาดิจิทัล รวมถึงบริการใหม่ ๆ ที่กำลังจะมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น อินเทอร์เน็ตออฟธิงค์  ผู้บริโภคไทยกำลังผลักดันให้เกิดบริการดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นดิจิทัล และนั่นทำให้ความต้องการบริการดิจิทัลที่ทำงานบนคลาวด์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย 

เทคโนโลยีขับเคลื่อนแรงงานยุคใหม่
เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักให้กับทุกมุมมองที่เกี่ยวเนื่องกับบุคลากรรุ่นใหม่ เช่น การผลักดันให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กร, วัฒนธรรมองค์กร, สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, การทำงานที่ยืดหยุ่น และที่สำคัญคือช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน บริษัทใดก็ตามที่เรียนรู้วิธีการปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่กล่าวมา จะมีความได้เปรียบเมื่อถึงเวลาที่ต้องการรักษาและโน้มน้าวพนักงานที่มีความสามารถสูงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

การระบาดของโควิด-19 กำลังลดระดับลง และพนักงานเริ่มกลับมาทำงาน ทำให้ทีมไอทีของบริษัทต่าง ต้องปรับตัวอีกครั้ง ซึ่งการปรับตัวครั้งนี้คือการจัดหาเครื่องมือใหม่ ๆ ให้กับทีมงานที่มีการทำงานแบบ ไฮบริดได้ใช้ทำงานร่วมกัน เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานที่พบเจอตัวกัน และการมีส่วนร่วมกับพนักงานที่ทำงานจากระยะไกล

ปีแห่งการสร้างระบบความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ
ทีมไอทีจะยังคงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในระดับสูง โดยมีความปลอดภัยของข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญลำดับต้น ๆ เนื่องจากมีการใช้ข้อมูลแบบไฮบริดแพร่หลายมากขึ้น ทีมไอทีจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ใช้ติดตามตรวจสอบและกำกับดูแลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยต่าง ๆ

Security

ปี 2565 จะเป็นปีแห่งการสร้างระบบความปลอดภัยแบบอัตโนมัติเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโควิด-19 และภัยคุกคามที่พุ่งเป้าไปยังระบบซัพพลายเชน ประสบการณ์ที่องค์กรได้รับจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วและมากมาย (hyper-digital) จะยังไม่จบ แต่จะเร่งความเร็ว และต้องการโซลูชันที่มีสมรรถนะด้านความปลอดภัยเร็วขึ้น เพื่อให้บริการทีมงานที่ทำงานจากระยะไกล รวมถึงแอปพลิเคชันและข้อมูลที่พนักงานเหล่านี้ใช้ เรื่องนี้เริ่มและจบลงได้ด้วยวิธีการแบบองค์รวม เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดจากซัพพลายเชนทางเทคโนโลยีโดยรวมขององค์กร การเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่ามัลแวร์/ฟิชชิ่ง จะกระทบต่อความสามารถในการตอบสนองขององค์กรอย่างไร และจะสร้าง ‘war-games’ เช่น การรับรู้และทำความเข้าใจ การค้นหาและการไล่ล่าภัยคุกคามที่เฉพาะเจาะจงพุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง หรือรูปแบบทางธุรกิจแบบใดแบบหนึ่ง ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะถูกปรับให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ตามแอปพลิเคชันและตามข้อมูล และโดยปกติเป็นการใช้งานแบบ zero-trust ซึ่งผู้ใช้คนหนึ่งสามารถติดตามตรวจสอบได้ตลอดไลฟ์ไซเคิลของคำร้องขอและการเข้าใช้งานของตนได้

การเจาะระบบทางไซเบอร์จะซับซ้อนและเจาะจงขึ้นเรื่อย ๆ เทรนด์การทำงานจากบ้านจะทำให้สถานการณ์นี้แย่ลง คาดการณ์ได้ว่าปี 2565 จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นการเจาะระบบทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ โดยใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเทคโนโลยีจดจำใบหน้า และเราอาจได้เห็นช่องโหว่สำคัญจากเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้เพื่อการเลียนแบบหรือปลอมแปลง (deep fake) หรือเราอาจได้เห็นบริษัทสักแห่งถูกแทรกซึมผ่าน 5G ซึ่งแม้ว่า 5G จะปลอดภัยกว่าเทคโนโลยีไร้สายแบบเดิม แต่มีพื้นที่ให้โจมตีมากกว่ามาก และการทำงานจากบ้านหรือการทำงานจากระยะไกลก็เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับข้อมูลที่แชร์ผ่าน 5G

ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในวงการ ด้วย AI
ปี 2565 จะเป็นปีของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความท้าทายที่เกิดระหว่างความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี กับการขาดแรงงานที่มีทักษะในหลาย ๆ ด้าน ทำให้เป็นที่คาดการณ์ได้ว่าองค์กรจำนวนมากจะพิจารณาใช้ AI จัดการความท้าทายเหล่านี้ โดย AI จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เสริมประสิทธิภาพให้กับการทำงานด้านไอทีและระบบอัตโนมัติ เทคนิคต่าง ๆ เช่น โมเดลการเรียนรู้สั้น ๆ จากตัวอย่างจำนวนจำกัด และโมเดลประสิทธิภาพสูงต่าง ๆ จะช่วยให้นำ AI มาใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องรับการอบรมด้วยข้อมูลจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามการใช้ AI ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ดังนั้นนอกจากการคาดการณ์ว่าจะมีการนำ AI มาใช้เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังคาดการณ์ได้ว่าบริษัทหลาย ๆ แห่ง จะยังไม่ประสบความสำเร็จจากการใช้ AI ในระยะสั้น ๆ เป็นครั้งแรก หากพิจารณาอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนองค์กรต่าง ๆ ที่ทำตามขั้นตอนในการใช้ AI ทีละขั้นตอนจะประสบความสำเร็จมากกว่า ด้วยการเริ่มต้นที่การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน และมีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเป็นจุดเริ่มต้น แทนที่จะพยายามแก้ปัญหาจำนวนมากพร้อมกันในทันที อย่างไรก็ตาม ทั้งบริษัทที่ทำตามขั้นตอนของตนในการใช้ AI และบริษัทที่จะใช้ประโยชน์จากโมเดลที่พัฒนาโดยองค์กรวิจัยระดับแนวหน้าหรือโปรเจกต์ของบริษัทต่าง ๆ ก็จะขึ้นเป็นผู้นำในวงการเช่นกัน