Nutanix Launches Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix Launches Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Customers Can Seamlessly Extend Nutanix Environment to Microsoft Azure

Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, announced today the general availability of Nutanix Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure, extending its hybrid cloud environment to Microsoft Azure dedicated bare metal nodes. 

NC2 on Azure offers a seamless hyperconverged infrastructure and unified management spanning private and public cloud environments to accelerate hybrid cloud adoption. NC2 on Azure enables customers to deploy and manage their workloads in their own Azure account and VNet enabling them to keep the operating model simple and consistent between Azure and on-premises.

With license portability of Nutanix term-based software and the ability to leverage all Microsoft Azure benefits, NC2 on Azure provides customers the investment protection and choice to run their workloads in a hybrid cloud environment. NC2 on Azure is now generally available to customers on Azure dedicated bare metal nodes in North America Azure regions, with additional global Azure regions to follow in 2023.

“Organizations are embracing hybrid multicloud to easily scale from on-prem to the public cloud, optimize costs for performant and secure workloads, and tap into a flexible subscription model,” said Rajiv Ramaswami, President and CEO of Nutanix. “NC2 on Azure gives our customers a frictionless on-ramp to Azure with consistent management of apps and data across their hybrid multicloud environment.”  

“While public cloud has solidified as a crucial investment for businesses, many customers need to run and manage workloads across public and private cloud environments,” said Scott Guthrie, Executive Vice President, Cloud + AI Group, Microsoft. “NC2 on Azure provides consistent management for businesses’ infrastructure across on-premises and cloud, reduces network latency, and increases cost efficiency.”

Customers can now run workloads on NC2 on Azure and manage Azure instances from Nutanix’s management interface. This enables customers to run hybrid workloads seamlessly across private clouds and Microsoft Azure without needing to re-architect their applications. The expected result is simplified and consistent IT operations across clouds, hybrid cloud adoption in hours, and lower total cost of ownership when compared to other cloud deployment solutions.

Customers can also take advantage of Azure Hybrid Benefit as well as Extended Security Updates to improve cost, security, and efficiency. Nutanix customers will be able to port their existing term licenses to NC2 on Azure or get on-demand consumption of Nutanix software through the Azure Marketplace, enabling frictionless movement between private clouds and Microsoft Azure. 

“Customers are struggling with the reality of managing workloads across private and public clouds, and this challenge is not going away,” said Paul Nashawaty, Senior Analyst at The Enterprise Strategy Group. “This Nutanix and Azure solution addresses key challenges many enterprises are facing by providing unified management across clouds with applications, data and license portability.”

 Customers can leverage NC2 on Azure to:

    • Simplify and optimize disaster recovery, eliminating the need to maintain a secondary site by utilizing Microsoft Azure’s on-demand capacity for failover.
    • Access on-demand capacity bursting to Microsoft Azure, rapidly scaling capacity while leveraging existing applications and tooling.
    • Migrate and modernize their datacenters by easily moving their existing applications and data as-is without costly and time-consuming refactoring or retooling.

“As we strive to financially protect 39 million customers around the world with our products and services, we continue to see hybrid cloud as a key milestone in our digital transformation journey,” said David Fitzgerald, Assistant Vice President of IT Delivery at Unum. “With NC2 on Azure, we are excited about leveraging a seamless hybrid cloud platform for disaster recovery as well as to migrate and run workloads in Azure to handle a myriad of hosting scenarios. We can now, on-demand, expand our Nutanix Cloud Platform to Azure regions without having to re-factor our applications. We look forward to continuing our strong partnership with Microsoft and Nutanix.”

“TCS has a long track record of embracing technology innovations to satisfy customer demand and enable them to focus on business outcomes,” said Dinanath Kholkar, SVP and Global Head of Partner Ecosystems & Alliances at TCS. “Microsoft Azure and Nutanix have been popular technology choices of TCS customers looking for digital transformation, and NC2 on Azure is an attractive option for us to help our customers extend and migrate their on-prem workloads into a cloud space more easily. The ability to rapidly deploy and burst workloads through NC2 on Azure is vital to our customer’s hybrid and multicloud strategy.” Dina added, “TCS Microsoft Business Unit (MBU) is looking forward to taking this solution to our joint customers.”

For more information on NC2 on Microsoft Azure, please visit: nutanix.com/azure    

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

ลูกค้าสามารถนำ Nutanix ไปใช้งานร่วมกับ Microsoft Azure ได้อย่างลงตัว

 Nutanix (NASDAQ: NTNX), ผู้นำด้านไฮบริดมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศว่า Nutanix Cloud Clusters (NC2) พร้อมให้ใช้งานบน Microsoft Azure แล้ว โดยขยายสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ของ Nutanix ไปใช้งานกับ Dedicated bare metal nodes ของ Microsoft Azure

NC2 on Azure มีโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จที่ทำงานอย่างไร้รอยต่อ และมีการจัดการแบบ รวมศูนย์ รองรับการใช้งานได้ทั้งบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์ เพื่อให้ลูกค้าใช้ไฮบริดคลาวด์ได้เร็วขึ้น ทั้งยังช่วยให้ลูกค้าใช้และจัดการเวิร์กโหลดที่อยู่บนแอคเค้าท์ Azure ของตน และ VNet ช่วยให้ลูกค้าสามารถคงรูปแบบการทำงานระหว่าง Azure และระบบที่อยู่ภายในองค์กร (on-premises) ได้ด้วยความเรียบง่ายและด้วยการทำงานที่สอดคล้องกัน

NC2 on Azure มีความสามารถในการย้ายไลเซนส์ซอฟต์แวร์ที่เป็นไปตามเงื่อนไขของ Nutanix และสามารถใช้ประโยชน์ต่าง ๆ จาก Microsoft Azure  ความสามารถเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าลงทุนได้อย่างคุ้มค่า และเป็นทางเลือกให้ลูกค้าในการรันเวิร์กโหลดบนสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ NC2 on Azure มีวางจำหน่ายแล้วบน Azure dedicated bare metal nodes ของ Azure ที่ให้บริการอยู่ในอเมริกาเหนือ และจะมีวางจำหน่ายตามบริการของ Azure ทั่วโลกตามมาในปี 2566

นายราจีฟ รามาสวามี ประธานและซีอีโอของ Nutanix กล่าวว่า “องค์กรจำนวนมากนำไฮบริดมัลติคลาวด์ไปใช้ เพื่อให้สามารถสเกลจากระบบที่อยู่ในองค์กรไปยังพับลิคคลาวด์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก เพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพตามต้องการ และรันเวิร์กโหลดอย่างปลอดภัยไร้กังวลด้วยต้นทุนที่เหมาะสม รวมถึงการใช้งานในรูปแบบ subcription ที่ยืดหยุ่น  NC2 on Azure ช่วยให้ลูกค้าของเราเข้าใช้งาน Azure ได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด ผ่านการบริหารจัดการแอปพลิเคชัน และข้อมูลบนสภาพแวดล้อมไฮบริด
มัลติคลาวด์ของลูกค้าได้อย่างลงตัว”

นายสก็อตต์ กูธรี รองประธานบริหารกลุ่ม Cloud และ AI ของ Microsoft กล่าวว่า “แม้ว่าธุรกิจจะให้ความสำคัญและลงทุนด้านพับลิคคลาวด์มากขึ้น แต่ยังมีลูกค้าจำนวนมากที่จำเป็นต้องรัน และจัดการเวิร์กโหลดทั้งบนพับลิคและไพรเวทคลาวด์  NC2 on Azure มอบการบริหารจัดการที่สอดคล้องกันให้กับโครงสร้างพื้นฐานไอทีขององค์กรทั้งที่อยู่บนระบบภายในและบนคลาวด์ ช่วยลดระยะเวลาในการตอบสนองของเน็ตเวิร์ค และเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุน”

ลูกค้าสามารถรันเวิร์กโหลดที่อยู่บน NC2 on Azure และบริหารจัดการ Azure instances ได้จากหน้าจออินเทอร์เฟซการบริหารจัดการของ Nutanix ซึ่งช่วยให้ลูกค้ารันไฮบริดเวิร์กโหลดได้ทั้งบนไพรเวทคลาวด์ และ Microsoft Azure ได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องออกแบบแอปพลิเคชันใหม่  ผลลัพธ์ที่คาดไว้คือการทำงานด้านไอทีที่คงเส้นคงว่าไม่ซับซ้อนบนคลาวด์ทุกประเภท การใช้ไฮบริดคลาวด์ได้ในไม่กี่ชั่วโมง และการลดต้นทุนรวม (TCO) เมื่อเทียบกับการใช้โซลูชันคลาวด์อื่น ๆ

ลูกค้ายังได้ใช้ประโยชน์จาก Azure Hybrid Benefit และ Extended Security Updates เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และมีความปลอดภัยมากขึ้น ลูกค้าของ Nutanix จะสามารถย้ายไลเซนส์ที่เหลือ อยู่ไปใช้บน NC2 on Azure หรือใช้ซอฟต์แวร์ของ Nutanix แบบออนดีมานด์ผ่าน Azure Marketplace ซึ่งช่วยให้การเคลื่อนย้ายการทำงานไปมาระหว่างไพรเวทคลาวด์ และ Microsoft Azure เป็นไปอย่างราบรื่นคล่องตัว

นายพอล นัชวาตี นักวิเคราะห์อาวุโสของ Enterprise Strategy Group กล่าวว่า “ลูกค้าต่างยังคงต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก เพื่อบริหารจัดการเวิร์กโหลดที่เกิดขึ้นจริงบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์ โซลูชัน Nutanix และ Azure นี้ช่วยขจัดความท้าทายใหญ่ ๆ ที่องค์กรจำนวนมากเผชิญอยู่ ด้วยฟังก์ชันการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์หนึ่งเดียวที่ใช้ได้กับคลาวด์ทุกประเภท รวมถึงการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันข้อมูล และนำไลเซนส์ไปใช้งานได้ทั้งบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์”

ประโยชน์ของ NC2 on Azure ที่ลูกค้าจะได้รับ

    • ลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการกู้คืนระบบ และไม่จำเป็นต้องบำรุงรักษาไซต์สำรอง ด้วยการใช้ระบบสำรองเพื่อปัองกันความล้มเหลวแบบออนดีมานด์ของ Microsoft Azure
    • เข้าใช้งานทรัพยากรแบบออนดีมานด์บน Microsoft Azure และสามารถปรับขยายทรัพยากร และความสามารถเพื่อรองรับงานต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่ใช้แอปพลิเคชันและเครื่องมือต่าง ๆ
    • โยกย้ายและปรับปรุงดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัย ด้วยการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันและข้อมูลที่ใช้อยู่ได้อย่างง่ายดายในสภาพเดิมโดยไม่ต้องปรับโครงสร้างหรือปรับแต่งเครื่องมือใหม่ ซึ่งการปรับใหม่เหล่านี้มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลามาก

นายเดวิด ฟิตซ์เจอรัลด์ ผู้ช่วยรองประธานฝ่าย IT Delivery ของ Unum กล่าวว่า “บริษัทฯมุ่งมั่นพิทักษ์ประโยชน์ด้านการเงินให้กับลูกค้า 39 ล้านรายทั่วโลก ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ ในขณะเดียวกันเรายังคงเห็นว่าไฮบริดคลาวด์เป็นกุญแจสำคัญในการก้าวไปบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล  ทั้งนี้ NC2 on Azure ช่วยให้เราได้ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มไฮบริดคลาวด์ในด้านการกู้คืนระบบ รวมถึงการเคลื่อนย้ายและรันเวิร์กโหลดบน Azure เพื่อจัดการกับงานด้านโฮสต์ติ้งมากมาย  ปัจจุบันเราสามารถขยายการใช้ Nutanix Cloud Platform ของเราไปใช้บน Azure ที่ให้บริการตามภูมิภาคต่าง ๆ ได้แบบออนดีมานด์ โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างของแอปพลิเคชันที่ใช้อยู่ และบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสานต่อความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับ Microsoft และ Nutanix ต่อเนื่องในอนาคต”

นายดินานัทธ์ โคลคลาร์ Senior Vice President and Global Head of Partner Ecosystems & Alliances at TCS กล่าวว่า “เป็นเวลานานแล้วที่ TCS ได้นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาใช้ตอบสนองความต้องการลูกค้า และช่วยให้ลูกค้าของเราใช้เวลาและให้ความสำคัญกับงานที่สร้างผลตอบแทนทางธุรกิจมากกว่าจะมากังวลเรื่องไอที  ทั้งนี้ Microsoft Azure และ Nutanix ต่างเป็นเทคโนโลยีทางเลือกที่ลูกค้าของ TCS นิยมใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลอยู่แล้ว และ NC2 on Azure เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นที่เราจะนำไปช่วยให้ลูกค้าขยายและโยกย้ายเวิร์กโหลดต่าง ๆ จากระบบภายในองค์กรไปยังคลาวด์ได้ง่ายขึ้น  การที่เราสามารถใช้และขยายเวิร์กโหลดได้อย่างรวดเร็วผ่าน NC2 on Azure นั้นสำคัญต่อกลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์ของลูกค้ามาก  ดังนั้น TCS Microsoft Business Unit (MBU) จึงมุ่งมั่นอย่างมากที่จะนำโซลูชันนี้ไปให้ลูกค้าร่วมของเราได้ใช้งาน”

กรุณาเข้าชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NC2 on Microsoft Azure ได้ที่ลิงก์นี้ nutanix.com/azure

The future of healthcare is in the cloud, but is it public, private or both?

The future of healthcare is in the cloud, but is it public, private or both?

The future of healthcare is in the cloud, but is it public, private or both?

ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

By Thawipong Anotaisinthawee, Country Manager, Nutanix (Thailand)

Technology adoption in healthcare has been historically slow compared to other industries, mostly due to its highly regulated nature. For a long time, cloud adoption was no different. However, a recent study by Nutanix predicts healthcare cloud adoption will rise from 27 per cent to 51 per cent in the next three years. The growth will be spurred on by public, private, and hybrid multicloud solutions which open the gate for clinical and non-clinical applications beyond traditional data management.

Throughout the pandemic, digital healthcare delivery increased. Providers required intelligent, scalable, and secure solutions to support their response to the public health emergency and maintain patient engagement. Health providers were required to track patients’ infection rates, manage vaccinations, and tackle a multitude of overly clinical tasks. Consequently, the amount of data produced has never been greater. This requires increasingly sophisticated collection methods and analysis – much of which has occurred in the cloud.

Healthcare providers are also finding new non-clinical applications for the cloud, such as resource planning and supply chain management. However, as the applications and benefits of the cloud become more apparent, where should these organisations look to invest?

Clinical cloud benefits

Although the hybrid multicloud is the most popular IT architecture worldwide, the 2022 Nutanix Enterprise Cloud Index survey found that 30 per cent of healthcare respondents preferred the private cloud as their preferred IT model. The majority (70 per cent) cite security and privacy requirements as being the main obstacles to adopting other forms of cloud, limiting many to private cloud solutions.

However, the public cloud offers numerous benefits that should not be overlooked. Predictive and reactive real-time analytics have become vital tools for healthcare providers, especially as more data is created and stored. Additionally, patient and healthcare devices generate vast amounts of medical data in many different languages. Such information is often spread across multiple electronic health record instances, inhibiting holistic insights. The public cloud allows providers to easily consolidate and manage incoming data from multiple sources before migrating more sensitive information to a secure environment.

When considering cloud solutions in healthcare, it will be key to address the main concerns providers have, from interoperability, security, and cost to data integration. Enter hybrid multicloud which enables providers to use private and public clouds.  Patients want to know their providers can quickly access data to make sound decisions about their care, and providers require easier access to more patient information and data about their facilities and organisations. With the right mix of private and public clouds in a hybrid multicloud environment, organisations can achieve both.

Security must be considered

When managing sensitive data, security and privacy must remain a priority. Some healthcare organisations spend hundreds of thousands of dollars on perimeter and internal endpoint security, which is managed by cloud-based solutions. Especially with the healthcare cloud computing market is expected to hit $128.19 billion by 2028, with an almost 20 per cent CAGR through 2028, security will continue to be top of mind.

Operating through a hybrid multicloud environment means providers can respond much faster than with on-premises infrastructure that could potentially be compromised. The security posture of major cloud providers has been proven to be as good as or better than most enterprise data centres.  Hybrid multicloud also allows providers to implement information air gaps, securing sensitive data or backups in a separate, disconnected environment. This would limit intruder access to critical information and increase the chance of a full recovery following an attack.

Hybrid multicloud environments give providers the best of both worlds, allowing organisations to maintain a cloud environment that enables a combination of security and cost savings at the same time. The most security-focused data and workloads are kept in private clouds while running regular data and apps in cost-effective public cloud networks.

Flexibility, scalability, and the patient experience

The increased need for flexible solutions continues to impact IT decisions. Health providers need infrastructure that allows them to move data between environments more seamlessly. Cloud computing allows businesses to be more flexible – both in and out of the workplace and across multiple data environments. This level of flexibility helps improve the speed at which practitioners can work and deliver care, therefore improving the patient experience

Hybrid multicloud is here to stay, but numerous challenges remain as regulations drive many healthcare organisations’ IT deployment decisions. Despite this, the past two years have influenced healthcare organisations to accelerate – among other innovations – telehealth adoption, allowing them to see more patients safely, scale operations rapidly, and recognise the benefit digital and cloud services can have on patient engagement.

Nutanix-The-future-of-healthcare-is-in-the-cloud-web

As digital services continue to grow in complexity, patients and providers require easier access, control over, and visibility of their data to improve business outcomes and patient care. By investing in both private and public clouds in a hybrid multicloud environment, providers can achieve this, leveraging the efficiency of the public cloud alongside the security and control that private clouds can deliver.

How Thailand’s healthcare industry is embracing new technologies

Songkhlanagarind Hospital, a leader in delivering medical services to 14 southern provinces, is proof that Thailand has continually implemented innovative medical and public health technology for a very prolonged period. Using Nutanix technology, the hospital has enabled the medical staff to give medical consultations utilizing their mobile devices to view information on its Intranet, effectively allowing access to the HIS application and patient medical records from anywhere, at any time.

In the overall scheme of the nation, the Ministry of Public Health in Thailand offers various applications, including for health care and Covid-19. In response to the COVID-19 outbreak, the National Health Security Office (NHSO) has cooperated with the private sector to provide telemedicine services via various applications.

As the Covid-19 situation has become better, the Thai Ministry of Public Health has upgraded “Doctor Ready (Morprompt)”, a central database platform for storing COVID-19 vaccination information for over 32 million people, to be a digital health platform that Thai citizens can utilize to access services more efficiently with incorporating new capabilities including telemedicine. Furthermore, the back-office system has been developed to link all health care units to information and electronic transaction security following international standards. In addition, there is cooperation from many parties to build a system for using cloud-based digital health information per medical and public health standards. The collaboration demonstrates that both public and private sectors in this industry will continue to adopt cutting-edge technologies, including cloud computing, to enhance the efficiency of the healthcare industry for tomorrow.

คลาวด์ประเภทใด เหมาะสำหรับการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขในอนาคต

The future of healthcare is in the cloud, but is it public, private or both?

คลาวด์ประเภทใด เหมาะสำหรับการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขในอนาคต

ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

บทความโดย นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

อุตสาหกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงระบบคลาวด์มาใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป อันเนื่องมาจากลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมที่ต้องมีกฎระเบียบเข้มงวดรัดกุม ทั้งนี้ รายงานล่าสุดของนูทานิคซ์ คาดการณ์ว่าการใช้คลาวด์ในอุตสาหกรรมนี้จะเพิ่มขึ้นจาก 27 เปอร์เซ็นต์ เป็น 51 เปอร์เซ็นในอีกสามปีข้างหน้า การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการใช้พับลิคคลาวด์ ไพรเวทคลาวด์ และไฮบริดมัลติคลาวด์ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้สามารถใช้งานแอปพลิเคชันที่ให้การวินิจฉัย รักษา หรือดูแลผู้ป่วยโดยตรง (clinical applications) และแอปพลิเคชันที่ใช้สนับสนุนการดูแลผู้ป่วย (non-clinical applications) ได้ล้ำหน้ากว่าการบริหารจัดการข้อมูลแบบเดิม ๆ

การให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขผ่านระบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นตลอดช่วงเวลาที่โควิด-19 ระบาดผู้ให้บริการด้านนี้จำเป็นต้องติดตามอัตราการติดเชื้อของผู้ป่วย ต้องบริหารจัดการการฉีดวัคซีน และติดตามปริมาณงานด้านการรักษาพยาบาลที่มากเกินไปจำนวนมาก ทำให้มีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งต้องใช้วิธีการรวบรวม และการวิเคราะห์ข้อมูลที่สลับซับซ้อนมากขึ้น และส่วนมากวิธีการเหล่านี้อยู่บนระบบคลาวด์

ผู้ให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ยังต้องการ non-clinical applications ที่ทำงานบนคลาวด์ เช่น การวางแผนทรัพยากรและการจัดการซัพพลายเชน เมื่อมีความต้องการแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ทำงานบนคลาวด์มากขึ้น และได้เห็นประโยชน์ของคลาวด์ชัดเจนขึ้น แล้วองค์กรด้านนี้ควรลงทุนกับคลาวด์ประเภทใด

ประโยชน์ของคลาวด์ต่อการให้การรักษาพยาบาล

แม้ว่าไฮบริดมัลติคลาวด์เป็นสถาปัตยกรรมด้านไอทีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก แต่ผลสำรวจ Nutanix Enterprise Cloud Index ประจำปี 2565 พบว่า 30 เปอร์เซ็นของผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในอุตสาหกรรมการแพทย์และสาธารณสุขยกให้ไพรเวทคลาวด์ เป็นรูปแบบไอทีที่เลือกใช้ ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ (70 เปอร์เซ็นต์) อ้างถึงความต้องการด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการนำคลาวด์ประเภทอื่นมาใช้ ทำให้ส่วนมากจำกัดการใช้อยู่ที่โซลูชันด้านไพรเวทคลาวด์

พับลิคคลาวด์มีประโยชน์มากมายที่ไม่ควรมองข้าม เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เชิงคาดการณ์และเชิงโต้ตอบ ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการสร้างและเก็บข้อมูลมากขึ้น นอกจากนี้ อุปกรณ์ด้านการรักษาพยาบาลและอุปกรณ์ของผู้ป่วยก็สร้างข้อมูลทางการแพทย์จำนวนมากและหลายภาษา ข้อมูลเหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ตามอินสแตนซ์การเก็บข้อมูลด้านสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก ทำให้ยากที่จะได้ข้อมูลเชิงลึกแบบองค์รวม แต่พับลิคคลาวด์ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านนี้สามารถผสานรวมและบริหารจัดการข้อมูลที่ได้รับจากแหล่งข้อมูลจำนวนมาก ก่อนที่จะย้ายข้อมูลที่อ่อนไหวง่ายไปไว้บนสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย

การใช้โซลูชันคลาวด์ในวงการแพทย์และสาธารณสุข คือกุญแจสำคัญที่ช่วยจัดการกับความกังวลต่าง ๆ ให้กับผู้ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกัน ความปลอดภัย และค่าใช้จ่าย ไปจนถึงการผสานรวมข้อมูลไว้ด้วยกัน การเก็บข้อมูลบางประเภทไว้บนไพรเวทคลาวด์ แต่บางประเภทอยู่บนพับลิคคลาวด์ เมื่อเกิดความต้องการต่าง ๆ ขึ้น เช่น ผู้ป่วยต่างต้องการรับรู้ว่าผู้ให้บริการของตนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตัดสินใจได้ว่าจะรักษาดูแลเขาอย่างไร และผู้ให้บริการก็ต้องการวิธีการเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วย ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ต่าง ๆ และข้อมูลองค์กรของตนได้ง่ายขึ้น ความต้องการเช่นนี้สามารถจัดการได้ด้วยการใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์ ที่ช่วยให้ใช้งานได้ทั้งไพรเวทและพับลิคคลาวด์และการผสมผสานที่ลงตัวของไพรเวท และพับลิคคลาวด์ในสภาพแวดล้อมไฮบริดมัลติคลาวด์นี้เองที่ช่วยให้องค์กรตอบสนองต่อความต้องการต่าง ๆ ได้

ต้องคำนีงถึงความปลอดภัย

การบริหารจัดการข้อมูลที่อ่อนไหวง่าย ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นอันดับแรก องค์กรด้านการแพทย์และสาธารณสุขบางแห่งใช้งบหลายแสนดอลลาร์กับเรื่องของความปลอดภัยทั้งจุดที่มีการใช้งานภายใน และส่วนที่ติดต่อกับภายนอกที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบริหารจัดการด้วยโซลูชันที่ทำงานบนคลาวด์ และความปลอดภัยยังคงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการคาดการณ์ว่า ตลาดคลาวด์คอมพิวติ้งของวงการแพทย์และสาธารณสุขจะแตะระดับ 128.19 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2571 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปี (GAGR) เกือบ 20 เปอร์เซ็นจนถึงปี 2571

การทำงานผ่านสภาพแวดล้อมไฮบริดมัลติคลาวด์ ช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถตอบสนองได้เร็วกว่าการทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานระบบปิดที่อยู่ในองค์กร ซึ่งเป็นจุดที่จะถูกโจมตีได้ง่าย  แนวทางด้านความปลอดภัยของผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ดีหรือดีกว่าดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กรส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ไฮบริดมัลติคลาวด์ยังช่วยให้ผู้ให้บริการใช้วิธีการเปิดช่องว่างให้กับข้อมูล (information air gaps) ที่เป็นการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลที่อ่อนไหวง่าย หรือสำรองข้อมูลในสภาพแวดล้อมที่แยกออกต่างหากไม่เชื่อมต่อกัน ซึ่งจะจำกัดผู้บุกรุกไม่ให้เข้าถึงข้อมูลสำคัญและเพิ่มโอกาสในการเรียกคืนข้อมูลและระบบหลังการถูกโจมตี

สภาพแวดล้อมไฮบริดมัลติคลาวด์ช่วยให้ผู้ให้บริการได้รับประโยชน์ที่ดีที่สุดจากทั้งไพรเวทและพับลิค คลาวด์ ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ คงสภาพแวดล้อมคลาวด์ที่มีทั้งความปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย ในเวลาเดียวกัน โดยเก็บข้อมูลและเวิร์กโหลดที่ต้องการความปลอดภัยมากที่สุดไว้บนไพรเวทคลาวด์ ในขณะเดียวกันก็วางข้อมูลและแอปพลิเคชันทั่วไปไว้บนเครือข่ายพับลิคคลาวด์ต่าง ๆ ที่คุ้มค่าใช้จ่าย

ความยืดหยุ่น การปรับขนาดได้ และประสบการณ์ของผู้ป่วย

ความต้องการโซลูชันที่ยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ยังคงส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจด้านไอที ผู้ให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขต้องการโครงสร้างพื้นฐานไอที ที่ช่วยให้เคลื่อนย้ายข้อมูลไปมาระหว่างสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น คลาวด์คอมพิวติ้งช่วยให้ธุรกิจยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งในและนอกสถานที่ทำงาน และไม่ว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้บนสภาพแวดล้อมใดก็ตาม ระดับความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงาน และให้บริการด้านการดูแลสุขภาพได้เร็วขึ้น และส่งผลต่อเนื่องในการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ป่วยด้วย

ไฮบริดมัลติคลาวด์เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แต่ความท้าทายยังคงมีอยู่อีกมาก เพราะการตัดสินใจเลือกใช้โซลูชันด้านไอทีขององค์กรด้านการแพทย์และสาธารณสุข ต้องพิจารณาถึงกฎระเบียบต่าง ๆ เป็นสำคัญอย่างไรก็ตาม สถานการณ์การระบาดสองปีที่ผ่านมามีอิทธิพลต่อองค์กรด้านการแพทย์ และสาธารณสุขให้รีบเร่งพิจารณานวัตกรรมต่าง ๆ เช่น การใช้เทเลเฮลท์ ซึ่งช่วยให้ผู้ให้บริการพบ และให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย, ขยายการดำเนินงานอย่างรวดเร็ว, และตระหนักว่าดิจิทัลและบริการคลาวด์ต่าง ๆ ช่วยให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมมากขึ้น

Nutanix-The-future-of-healthcare-is-in-the-cloud-web

การที่บริการดิจิทัลมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ผู้ป่วยและผู้ให้บริการต้องการวิธีการง่าย ๆ ในการเข้าถึงข้อมูล ควบคุม และมองเห็นข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดูแลผู้ป่วยและเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจ การลงทุนทั้งไพรเวทและพับลิคคลาวด์บนสภาพแวดล้อมไฮบริดมัลติคลาวด์ จะช่วยให้ผู้ให้บริการ สามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยใช้คุณประโยชน์ด้านประสิทธิภาพของพับลิคคลาวด์ ควบคู่กับความปลอดภัย และความสามารถในการควบคุมที่ไพรเวทคลาวด์มีให้

อุตสาหกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทยเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผู้นำในการให้บริการทางการแพทย์ในภาคใต้ของไทย เป็นหนึ่งสถาบันทางการแพทย์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าได้มีการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาใช้งานทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างต่อเนื่องมานานแล้ว โรงพยาบาลได้ใช้โซลูชันของนูทานิคซ์ เสริมศักยภาพให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ให้สามารถให้คำปรึกษาต่าง ๆ ผ่านอุปกรณ์มือถือ สามารถเข้าใช้งานข้อมูลบนอินทราเน็ต เข้าใช้แอปพลิเคชัน HIS และเวชระเบียนของผู้ป่วยได้จากทุกที่ทุกเวลา เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการ

ในภาพรวมของประเทศ กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้จัดหาแอปพลิเคชันหลากหลาย ทั้งด้านการดูแลสุขภาพด้านต่าง ๆ และแอปพลิเคชันที่ใช้รับมือกับการระบาดของโควิด-19 เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนให้บริการระบบการแพทย์ทางไกลผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ

เมื่อสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง กระทรวงสาธารณสุขไทยได้ทำการ ยกระดับ “หมอพร้อม” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อบริหารจัดการข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่มีผู้ใช้งานประมาณ 32 ล้านคน ให้เป็นแพลตฟอร์มด้านสุขภาพ Digital Health Platform เพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการง่ายกว่าเดิม โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่หลากหลายรวมถึง เทเลเมดิซีน และพัฒนาระบบหลังบ้านให้รองรับการเชื่อมโยงกับหน่วยบริการสาธารณสุขทุกสังกัด มีระบบความปลอดภัยข้อมูลและการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือจากหลายฝ่ายเพื่อพัฒนาระบบให้มีการใช้ข้อมูลสุขภาพในรูปแบบดิจิทัลผ่านคลาวด์คอมพิวติ้งตามมาตรฐานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ความเคลื่อนไหวต่อเนื่องนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทั้งภาครัฐและเอกชนจะยังเดินหน้านำเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งรวมถึงคลาวด์คอมพิวติ้งมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการให้บริการด้านนี้อย่างต่อเนื่อง

โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ ปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยด้วยนูทานิคซ์ มุ่งมั่นสู่เป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันไอทีชั้นนำของประเทศ

โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ ปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยด้วยนูทานิคซ์ มุ่งมั่นสู่เป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันไอทีชั้นนำของประเทศ

โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ ปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยด้วยนูทานิคซ์ มุ่งมั่นสู่เป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันไอทีชั้นนำของประเทศ

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ และซอฟต์แวร์โซลูชันทรงประสิทธิภาพจากนูทานิคซ์

บริษัท โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ จำกัด (PCC) วางใจใช้เทคโนโลยีของนูทานิคซ์เพิ่มประสิทธิภาพดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัย ช่วยให้การบริหารจัดการและกระบวนการทำงานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงสามารถสร้างสรรค์บริการหลากหลายได้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง

PCC เป็นหนึ่งในผู้วางระบบไอทีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ให้บริการลูกค้ามายาวนานกว่าสามทศวรรษช่วยองค์กรต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัลด้วยบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่การทำ proof of concepts การพัฒนาแอปพลิเคชัน และการทดสอบ production environment ให้แก่ลูกค้า ตลอดจนนำเสนอเทคโนโลยีของนูทานิคซ์รวมไว้ในโปรเจกต์ที่นำเสนอให้กับลูกค้ามากมาย เช่น บริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด และกรมบัญชีกลาง

นายศักดิ์ณรงค์ แสงสง่าพงศ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “PCC มีภารกิจในการให้บริการโซลูชันด้านไอทีที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมและบริการคุณภาพสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคลากร กระบวนการทำงาน และผลประกอบการของลูกค้า ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ของเราเป็นองค์กรภาครัฐ ความมีเสถียรภาพของระบบ การปรับขนาดการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ความปลอดภัย รวมถึงความง่ายและสะดวกในการใช้งาน และคุ้มค่าการลงทุน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาในเวลาที่เราสร้างสรรค์โซลูชัน หรือนำเสนอโครงการต่าง ๆ ให้กับลูกค้า นูทานิคซ์มีส่วนเข้ามาช่วยนำพาลูกค้าของเราให้ก้าวสู่ความเป็นองค์กรที่ล้ำสมัย สามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและทันท่วงที พร้อมประสบความสำเร็จอย่างงดงามตลอดเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัลในอนาคต”

PCC ใช้โครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) ของนูทานิคซ์ เป็นฐานรองรับให้แอปพลิเคชันเพื่อการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ลูกค้า รวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท นายศักดิ์ณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อเราเปลี่ยนมาใช้ HCI ของนูทานิคซ์เพื่อรวมศูนย์แอปพลิเคชันและการพัฒนาซอฟต์แวร์ ของบริษัท มาไว้บนแพลตฟอร์มเดียวที่บริหารจัดการได้จากที่เดียว ช่วยให้เราลดขั้นตอนในการจัดซื้อฮาร์ดแวร์ จากเดิมที่ต้องแยกซื้อมาเป็นการจัดซื้อแบบเดียวกันและใช้ร่วมกันได้ ทำให้การดูแลรักษาง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ โซลูชันของนูทานิคซ์ยังสามารถใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่นต่อเนื่อง ช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวมากขึ้น”

นอกจากนี้ PCC ยังใช้ซอฟต์แวร์โซลูชันต่าง ๆ ของนูทานิคซ์อีกหลายรายการ เช่น Nutanix Prism ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ควบคุมระบบได้จากจุดเดียว ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการด้านไอที, Nutanix Kubernetes Engine เพื่อใช้พัฒนาคลาวด์-เนทีฟ แอปพลิเคชันต่าง ๆ, NCM Self-Service ซึ่งช่วยให้สามารถจัดเตรียมระบบต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น และวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของแอปพลิเคชันต่าง ๆ ก่อนที่จะนำแอปพลิเคชันเหล่านั้นไปใช้งานบนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม รวมถึง Nutanix Flow ซึ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยของแอปพลิเคชันและเน็ตเวิร์กที่ใช้ในกระบวนการทำงานภายในของบริษัท นอกจากนี้ PCC กำลังพิจารณานำ Nutanix Files มาใช้ในเร็ว ๆ นี้

เทคโนโลยีของนูทานิคซ์ที่รวมศูนย์งานด้านไอทีมาไว้ที่เดียวกัน ช่วยให้ PCC ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ และลดเวลาในการพัฒนาแอปพลิเคชันลงจากเดิมใช้เวลาเป็นสัปดาห์เหลือเพียงไม่กี่วัน สามารถอัปโหลดขั้นตอนการทำงานและการพัฒนาต่าง ๆ ขึ้นไปยังระบบได้โดยแทบไม่มีดาวน์ไทม์ ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และสามารถเพิ่มโหนดได้ในเวลา 1-2 วันจากเดิมที่ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ นอกจากนี้ทีมพัฒนาแอปพลิเคชันของ PCC สามารถทดสอบหรือเรียกใช้ทรัพยากรได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จากเดิมต้องใช้เวลา 2 ถึง 3 วัน

นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ กล่าวว่า “นูทานิคซ์ขอขอบคุณ PCC ที่ให้ความไว้วางใจใช้เทคโนโลยีของเรา นูทานิคซ์เชื่อมั่นว่าโซลูชันของเราตอบโจทย์องค์กรที่มองไกลไปในอนาคต และแสวงหาเครื่องมือในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง นูทานิคซ์นำเสนอแพลตฟอร์มไฮบริด-มัลติคลาวด์ และชุดของโซลูชันครบวงจรที่ทรงประสิทธิภาพให้กับลูกค้า พร้อมความยืดหยุ่น ใช้งานง่าย ปรับขนาดได้ ทำงานโดยอัตโนมัติ มีความปลอดภัยสูง รองรับการทำงานกับเวิร์กโหลดทุกประเภท บนทุกสภาพแวดล้อม และทุกที่ทุกเวลา สอดรับกับรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดในปัจจุบัน เรายินดีที่ได้มีส่วนร่วมบนเส้นทางสู่ความสำเร็จของ PCC ในการช่วยให้ลูกค้าปราศจากความกังวลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานไอที และสามารถเน้นความสำคัญกับแอปพลิเคชัน และการสร้างสรรค์บริการต่าง ๆ ที่เป็นพลังขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ”