ไอทีในช่วงรอยต่อของสถานการณ์

Patchwork IT Tearing at The Seams

ไอทีในช่วงรอยต่อของสถานการณ์

องค์กรควรทำอย่างไรกับโซลูชันไอทีมากมาย ที่เคยใช้ปะปนกันอย่างเร่งรีบในภาวะวิกฤต จะกลับมาควบคุมแรงต้านที่ถาโถมเข้ามา จากจำนวนแอปพลิเคชันที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และฐานข้อมูลที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร

Aaron White

บทความโดย นายแอรอน ไวท์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, นูทานิคซ์

การระบาดของโควิด-19 ทำให้องค์กรทุกรูปแบบ และทุกขนาดนำพับลิคคลาวด์มาใช้อย่างรีบเร่งเพื่อให้สามารถทำงานจากระยะไกลได้ และมีการนำโซลูชันด้านไอทีมากมายมาใช้ผสมปนเปกัน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในแต่ละเรื่อง และทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ก่อน การทำเช่นนี้ทำให้เกิดความท้าท้ายใหม่ ๆ หลายประการ เพราะการใช้คลาวด์อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและยากที่จะควบคุม นอกจากนี้ฐานข้อมูลที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็เป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง การเดินหน้าทางธุรกิจด้วยการนำโซลูชันด้านไอทีที่ไม่เข้าขากันมาปะติดปะต่อใช้งานร่วมกัน (แพทช์เวิร์คไอที) จะทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ แย่ลง

แอปพลิเคชันกำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดลักษณะของโครงสร้างพื้นฐานไอที องค์กรต่าง ๆ เริ่มตระหนักว่าคลาวด์เป็นรูปแบบการทำงานอย่างหนึ่ง ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์การเพิ่มจำนวนของแอปพลิเคชันตามที่องค์กรเหล่านั้นต้องการ และการตระหนักรู้นี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เกิดการเลิกใช้โซลูชันแพทช์เวิร์คไอทีที่องค์กรเคยนำมาใช้อย่างรีบร้อน

แม้ปัจจุบันการระบาดจะเบาบางลงแต่เรายังต้องเผชิญ และรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาคที่ทำให้ลูกค้าต้องรักษาสมดุลให้ดี เช่นในเวลาที่พยายามกำหนดวิธีสร้างองค์กรให้แข็งแกร่ง ปรับเปลี่ยนองค์กรและปรับขนาดการทำงาน ก็ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายควบคู่กันไปด้วย

ระบบที่ต่าง ๆ ที่สับสน

การยึดติดกับโซลูชันไอทีที่ใช้อยู่และรอว่าจะมีผลอะไรตามมาอาจเป็นสิ่งทำให้สบายใจ แต่เทคโนโลยีจำนวนมากที่เราใช้ในช่วงการระบาดเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงนั้น อาจไม่เหมาะกับวัตถุประสงค์ขององค์กรอีกต่อไป และจะไม่รองรับการขยายตัวของแอปพลิเคชัน และฐานข้อมูลจำนวนมากที่ธุรกิจต้องการ 

ยิ่งองค์กรโหมใช้และทุ่มเทเงินทองให้กับระบบเหล่านี้มากเท่าไร ค่าใช้จ่ายและหนี้สินก็จะยิ่งบานปลาย แพทช์เวิร์คไอทีไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่คุ้นเคยอาจเป็นเรื่องน่ากลัว แต่การไม่ทำอะไรเลยจะส่งผลให้เกิดความถดถอยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

การเพิ่มขึ้นของแอปพลิเคชันอย่างมากมาย และการบริหารจัดการดาต้าด้วยการใช้แนวทางเดียวจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป การขยายตัวของแอปพลิเคชันและฐานข้อมูลบนคลาวด์หลายประเภทและบนสภาพแวดล้อมไอทีที่หลากหลาย ทำให้บริษัทฯ ต่าง ๆ ไม่สามารถรับรู้และมองเห็นว่ามีการใช้งาน ณ จุดใด หรือไม่สามารถจัดการกับข้อมูลที่กระจัดกระจายในวงกว้างได้

สถานการณ์นี้ทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัย การกำกับดูแล และการปฏิบัติงาน ถึงเวลาแล้วที่บริษัทต่าง ๆ ต้องลงมือปฏิบัติและพาตัวเองให้ล้ำหน้ากว่าสถานการณ์นี้ โดยเริ่มด้วยการใช้ไฮบริด มัลติคลาวด์ 

ไฮบริด มัลติคลาวด์ เป็นรูปแบบการใช้คลาวด์เพื่อปรับสมดุลการใช้แอปพลิเคชันและดาต้า ช่วยให้บริษัทรับรู้ มองเห็น และบริหารจัดการคลาวด์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก ทั้งพับลิคและไพรเวทคลาวด์ และเป็นการเตรียมองค์กรให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับอนาคตที่ไม่แน่นอน

นำหน้ากระแส

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นบริษัทจำนวนมากให้ความสำคัญกับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการปรับปรุงศูนย์ข้อมูลให้ทันสมัย มีการพิจารณานำวิธีแก้ปัญหาที่ถาวรและปลอดภัยมากขึ้นมาใช้แทนพับลิคคลาวด์ และดาต้าเบสที่ใช้ระหว่างการแพร่ระบาด 

ในประเทศเกาหลี Nutanix ช่วยเหลือกลุ่มบริษัทค้าปลีก Shinsegae Group ทำให้บริษัทในเครือทั้งหมดดำเนินการได้อย่างราบรื่น และปราศจากข้อผิดพลาดแม้ในช่วงเทศกาลส่งเสริมการขาย โดยรองรับธุรกรรมทางธุรกิจได้มากกว่าปกติถึง 10 เท่า

Straive บริษัทคอนเทนต์เทคโนโลยีในสิงคโปร์พบว่า การใช้ Nutanix Cloud Clusters (NC2) บน AWS ทำให้การย้ายเวิร์กโหลดไปมาระหว่างโครงสร้างพื้นฐานในองค์กรไปยังพับลิคคลาวด์ของ AWS ทำได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังเข้าถึงแอปพลิเคชันที่จำเป็นต่อการทำงานได้เร็วขึ้น

อีกหนึ่งกรณีศึกษาของ NC2 บน AWS คือการที่เมืองซัปโปโรในประเทศญี่ปุ่นสามารถลดความซับซ้อนด้านไอทีและภาระการดำเนินงานได้อย่างมาก ทำให้โครงสร้างพื้นฐานในองค์กรเชื่อมต่อกับ AWS ได้อย่างราบรื่น

ส่วน Jhaveri Securities ในประเทศอินเดีย นับตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ Nutanix Cloud Platform ปัจจุบัน สามารถปรับใช้แอปพลิเคชันได้เร็วขึ้นถึง 60% และเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้รวดเร็วขึ้นกว่าเคย โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้ดีขึ้นหลังจากเปลี่ยนมาใช้ Nutanix ส่งผลให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น

สำหรับ Marist College Canberra ได้ลบการจัดการโครงสร้างพื้นฐานออกจากรายการสิ่งที่ต้องทำแล้ว ทำให้ปัจจุบันนี้มีแบนด์วิธมากขึ้นเพื่อทำโครงการเชิงกลยุทธ์ Nutanix ช่วยให้ทีมไอทีสามารถตั้งค่าสภาพแวดล้อมในการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อทดสอบแนวคิดของบริการใหม่ ๆ ได้โดยไม่ขัดจังหวะการดำเนินงาน

กรณีตัวอย่างที่กล่าวมา และอีกมากมายล้วนแสดงให้เห็นถึงคุณประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับจากการมีสภาพแวดล้อมเป็นหนึ่งเดียว สามารถรับรู้ และเห็นการทำงานบนคลาวด์ทั้งหมดที่ใช้อยู่ และใช้ประโยชน์จากระบบอัตโนมัติ โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานที่ต้องประสบกับภัยคุกคามจากภายนอก และความไม่แน่นอนจำนวนมาก ถึงเวลาแล้วที่องค์กรต้องเลิกใช้แพทช์เวิร์คไอที และหาโซลูชันที่ยั่งยืน ปรับขนาดได้ และสามารถรองรับการใช้งานในอนาคตได้ยาวนาน

 

Nutanix Predicts Technology Trends to carry weight in 2023

Nutanix Predicts Technology Trends to carry weight in 2023

Nutanix Predicts Technology Trends to carry weight in 2023

    • Cloud deployment models will develop significantly
    • Processes and tools that support asynchronous collaboration will be increasingly crucial
    • More consideration will be given to eco-friendly IT infrastructure
    • Unconstrained working at the edge will be more widely leveraged
    • The rapidly expanding use of social media will have a huge impact on various platforms.

Predictions by: Wendy M. Pfeiffer, CIO/SVP at Nutanix, and Lee Caswell, SVP of Product and Solutions Marketing at Nutanix

Nutanix unveils the technological trends that will impact businesses in 2023, the post-pandemic era that affects all aspects, every industry, and level. Companies must pay attention to the following technological changes, which will help them adapt to changes and be ready for the future.

Cloud economics are dramatically changing – which is in turn driving new decision-making around applications and infrastructure. As businesses are facing new pressures around IT spending, many are realizing that they can’t move their applications as fast or as cost-effectively as they originally thought to the cloud. It takes a lot of valuable time and top talent to redo applications that are already running on-prem in the cloud. What won’t change in the years to come is that getting to the cloud is strategically important. But businesses will increasingly become more strategic about which workloads belong in the cloud and which belong in private cloud environments and will prioritize solutions that offer multi-cloud portability across all environments. 

Adoption of asynchronous work processes supporting contributions from workforces across the globe will be necessary in order to increase productivity. New, more effective ways to collaborate, especially across multiple time zones, will drive innovation in 2023. This will mean rethinking companies’ approach to asynchronous collaboration including tooling and policies to better support it. In order to succeed, complexity must be supplanted by simplicity and automation will become even more necessary.

The global pinch on energy supply will cause organizations to rethink their IT infrastructure models with more consideration given to power consumption and carbon footprint. Organizations are being told to be more efficient with power consumption, and it’s not just a sustainability issue. While reducing carbon footprint and going green is commendable and an increased point of consideration for potential customers, companies are feeling the impact of oversized power consumption against their bottom line when it comes to cloud usage. The cloud is built for speed and performance, not for the economy when it comes to cost and power, leaving companies to consider how tasks they’re currently pushing to the cloud might be handled elsewhere more efficiently and economically.

Untethered edge operating models will become more prevalent. In today’s world, it’s become expected that applications have to run all the time. Whether they’re connected or not means that the edge, by definition, will have to have an untethered operating model that’s not supported by closed-out models. IT organizations that valued server-based infrastructure to easily scale up and support mixed workloads will quickly find out that the same software-defined approach suits the edge by scaling down easily, by operating while connected or unconnected to a central cloud, and by introducing a fleet management approach that spans from the edge to the data center to the public cloud with consistent cloud management. 

Seismic shifts to social media as we know it will have a significant impact well beyond those platforms. 2022 has been a rollercoaster of a year for social media platforms, and some of the trends we’re seeing are not likely to reverse direction. This will have a trickle-down effect on multiple organizations. First, many organizations rely on data purchased from social media companies to tune their own targeting algorithms; targeting that will become less refined as social media data sets become outdated and less curated. Second, the data sets are often the basis to train AI and ML tools; as data sets become outdated, I expect AI and ML that rely on them to become much less effective.

นูทานิคซ์คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในปี 2566

Nutanix Predicts Technology Trends

นูทานิคซ์คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในปี 2566

    • รูปแบบการใช้งานคลาวด์จะมีการพัฒนาขึ้นอย่างมา
    • กระบวนการและเครื่องมือที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันแบบอะซิงโครนัส (ไม่ต้องการโต้ตอบสื่อสารกลับทันที) จะทวีความสำคัญมากขึ้น
    • จะมีการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
    • การทำงานอย่างไม่มีข้อจำกัดบนเครือข่ายจะมีการใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
    • การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการใช้โซเชียลมีเดียจะกระทบต่อแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างมาก

บทความโดย เวนดี้ เอ็ม. ไฟเฟอร์, CIO/SVP และ ลี แคสเวลล์, SVP of Product and Solutions Marketing ของนูทานิคซ์

นูทานิคซ์เผยแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อธุรกิจในปี 2566 ซึ่งเป็นยุคที่ผ่านพ้นการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับทุกแวดวง ทุกอุตสาหกรรม และทุกระดับ ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เพื่อที่จะช่วยให้ปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้

ความคุ้มค่าในการใช้คลาวด์ (Cloud economics) กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เกิดการตัดสินใจรูปแบบใหม่ ๆ เกี่ยวกับแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานไอที

ธุรกิจกำลังเผชิญกับความกดดันใหม่ ๆ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านไอที องค์กรจำนวนมากตระหนักว่าไม่สามารถเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันไปยังคลาวด์ได้เร็ว และคุ้มค่าใช้จ่ายเหมือนที่คิดไว้ตั้งแต่แรก และต้องใช้เวลาและความสามารถสูงมาก เพื่อปรับแอปพลิเคชันที่ใช้อยู่ในระบบภายในองค์กรให้สามารถนำไปใช้งานบนคลาวด์ได้ แต่สิ่งที่จะยังไม่เปลี่ยนแปลงในอีกหลายปีข้างหน้า คือการใช้คลาวด์มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ ธุรกิจจะเน้นกลยุทธ์ว่าจะนำเวิร์กโหลดใดไปใช้งานบนคลาวด์และเวิร์กโหลดใดที่ยังคงใช้อยู่ในไพรเวทคลาวด์ภายในองค์กร และจะให้ความสำคัญมากขึ้นกับโซลูชันในรูปแบบมัลติคลาวด์ที่สามารถเคลื่อนย้ายเวิร์กโหลดไปใช้งานกับทุกสภาพแวดล้อมได้ 

การใช้กระบวนการทำงานแบบอะซิงโครนัสที่ไม่จำเป็นต้องทำงานในเวลาเดียวกัน และรองรับการทำงานร่วมกันจากบุคลากรทั่วโลกจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของงาน

แนวทางการทำงานร่วมกันแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันจากหลายแห่งที่มีโซนเวลาต่างกัน จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมในปี 2566 นั่นคือบริษัทต่าง ๆ ควรทบทวนแนวทางในการทำงานร่วมกันแบบอะซิงโครนัสที่ไม่ต้องการการตอบกลับแบบทันที รวมทั้งเครื่องมือและนโยบายต่าง ๆ ที่จะสนับสนุนแนวทางนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการจะบรรลุผลสำเร็จได้นั้น องค์กรจะต้องแทนที่ความซับซ้อนด้วยความเรียบง่าย และระบบอัตโนมัติจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น

วิกฤตด้านพลังงานของโลกจะส่งผลให้องค์กรต่าง ๆ ทบทวนรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานและปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมามากขึ้น

องค์กรต่าง ๆ ได้รับนโยบายให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมันไม่เพียงเป็นประเด็นเรื่องความยั่งยืนเท่านั้น ในขณะที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และเป็นเรื่องที่ลูกค้าเป้าหมายใช้ประกอบการพิจารณาเมื่อจะเลือกใช้บริการต่าง ๆ บริษัทจำนวนมากกำลังรับรู้ถึงผลกระทบของการใช้คลาวด์ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการใช้พลังงานกับผลกำไรที่เกิดขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติของคลาวด์คือความเร็วและประสิทธิภาพ ไม่ใช่ความคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่ายและพลังงาน ดังนั้นบริษัทต่าง ๆ ควรพิจารณาว่างานที่กำลังจะนำขึ้นไปรันอยู่บนคลาวด์นั้น สามารถนำไปรันในสภาพแวดล้อมอื่นที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากกว่าได้อย่างไร

รูปแบบการทำงานบนเครือข่ายแบบไม่จำกัดขอบเขต (Untethered edge) จะแพร่หลายมากขึ้น

ปัจจุบันมีความคาดหมายว่าต้องสามารถรันแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมีการเชื่อมต่อหรือไม่ก็ตาม รูปแบบการทำงานจะต้องไม่จำกัดขอบเขต (untethered operating model)
ซึ่งรูปแบบการทำงานแบบปิด (closed-out models) ไม่สามารถรองรับการทำงานแบบนี้ได้ องค์กรด้านไอทีที่ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ปรับขนาดเพิ่มได้ง่าย และรองรับเวิร์กโหลดหลากหลาย จะค้นพบอย่างรวดเร็วว่าวิธีการที่ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์แบบเดียวกันเหมาะกับเอดจ์ ด้วยความสามารถในการปรับขนาดลดลงได้ง่ายดาย สามารถทำงานในขณะที่เชื่อมต่อหรือไม่เชื่อมต่อกับคลาวด์ส่วนกลาง และด้วยการแนะนำแนวทางการบริหารจัดการที่ครอบคลุมจากเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ไปถึงพับลิคคลาวด์ ผ่านวิธีการบริหารจัดการคลาวด์ที่สอดคล้องกัน 

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปสู่โซเชียลมีเดียจะส่งผลกระทบอย่างมากไม่เฉพาะกับแพลตฟอร์มเหล่านั้นเท่านั้น

ปี 2565 เป็นปีทองของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหลายที่มีจำนวนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และแนวโน้มก็น่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อองค์กรหลายแห่ง ประการแรก  องค์กรจำนวนมากที่พึ่งพาข้อมูลที่ซื้อจากบริษัทด้านโซเชียลมีเดียเพื่อปรับอัลกอริทึมของตนอาจบรรลุผลได้น้อยลง เพราะชุดข้อมูลโซเชียลมีเดียล้าสมัยและถูกต้องน้อยลง ประการที่สอง ชุดข้อมูลเหล่านั้นมักเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ป้อนให้กับเครื่องมือที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ได้เรียนรู้ ดังนั้นการที่ชุดข้อมูลล้าสมัยจึงคาดการณ์ได้ว่า AI และ ML ที่พึ่งพาข้อมูลเหล่านั้นก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลงมากตามไปด้วย

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

 Awards presented less than 18 months after Nutanix and Red Hat announced strategic partnership to deliver open hybrid multicloud solutions

 Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, today announced it has been recognized as Top Independent Software Vendor Partner in APAC and Japan as part of the Red Hat Asia Pacific Partner Awards 2022.

The awards recognize Red Hat’s commercial and public sector partners for their continued efforts to develop innovative solutions using Red Hat technologies to meet customer needs and improve business outcomes. The winners are selected based on their commitment to innovation, dedication to driving change with open source, and demonstration of collaborative and transparent working ecosystems.

“Nutanix has not only acted as a catalyst for customer success, it has been an important multiplier of enterprise open source by adopting Red Hat solutions, from emerging technologies to hybrid cloud infrastructure. In today’s evolving marketplace, it is more important than ever to work openly and collaboratively to generate meaningful results for organizations throughout their cloud journey,” said Andrew Habgood, Vice President, Partner Ecosystem, Red Hat APAC

For Nutanix, its focus is to simplify cloud complexity with an open, software-defined hybrid multicloud platform. The approach involves powering mission-critical applications and services for the world’s most advanced organizations, and this enables them to put their workloads in the environments that make the most sense, whether private, public or hybrid clouds.

“We are honored to receive the award for Red Hat Top Independent Software Vendor Partner in APAC and Japan this year. Our collaboration has been successful because it brings together cloud-native solutions with the simplicity, flexibility and resilience of the Nutanix Cloud Platform. Together, we have been providing customers across the region and worldwide with a full stack platform. This enables them to more easily build, scale, and manage containerized and virtualized cloud-native applications in a hybrid multicloud environment,” said Aaron White, VP & GM – APJ Sales, Nutanix.

“The partnership is a significant opportunity for Nutanix’s customers in Thailand as Thai enterprises are accelerating transitions from traditional infrastructure to hybrid multicloud and cloud-native applications. Our partnership with Red Hat will enable customers to adapt and evolve their infrastructure and applications quickly and seamlessly, said Thawipong Anotaisinthawee, country manager, Nutanix Thailand.

Nutanix ได้รับรางวัล Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award APAC and Japan

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

Nutanix ได้รับรางวัล Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award APAC and Japan

รางวัลนี้ ได้รับหลังการประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Red Hat ในการนำเสนอโซลูชันไฮบริด มัลติคลาวด์ ได้ไม่ถึง 18 เดือน

Nutanix (NASDAQ: NTNX), ผู้นำด้านไฮบริด มัลติคลาวด์ คอมพิวติ้ง ได้รับเลือกเป็น Top Independent Software Vendor Partner ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น จากงาน Red Hat Asia Pacific Partner Awards 2022

รางวัลดังกล่าวเป็นการยกย่องพันธมิตรทั้งทางธุรกิจและภาครัฐที่ทุ่มเทพัฒนาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้เทคโนโลยีของ Red Hat เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจ โดยพิจารณาจากพันธสัญญาในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความทุ่มเทในการใช้โอเพ่นซอร์สเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และการแสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศของการทำงานที่โปร่งใสและร่วมมือกันของแต่ละองค์กร

นายแอนดรูว์ แฮปกู๊ด รองประธาน ฝ่ายระบบนิเวศพันธมิตร ของ Red Hat APAC กล่าวว่า “Nutanix ไม่เพียงมีบทบาทช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการใช้โอเพ่นซอร์สในองค์กรต่าง ๆ ผ่านการใช้โซลูชันของ Red Hat ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่ต่าง ๆ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ การทำงานร่วมกันและการทำงานแบบเปิดกว้างมีความสำคัญมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนในมาร์เก็ตเพลสที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ ได้รับผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญตลอดเส้นทางการใช้คลาวด์ของตน”

Nutanix เน้นลดความซับซ้อนในการใช้คลาวด์ด้วยแพลตฟอร์มไฮบริด มัลติคลาวด์ ที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ และเป็นแพลตฟอร์มระบบเปิด ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนและรองรับแอปพลิเคชัน และบริการที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้กับองค์กรที่ทันสมัยทั่วโลก ทั้งยังช่วยให้องค์กรเหล่านั้นสามารถเลือกวางเวิร์กโหลดของตนไว้บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นไพรเวท พับลิค หรือ ไฮบริดคลาวด์ ได้ตามต้องการ

นายแอรอน ไวท์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป, APJ Sales, Nutanix กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล Red Hat Top Independent Software Vendor Partner in APAC and Japan ประจำปีนี้ ความสำเร็จของความร่วมมือนี้ เกิดจากการนำคลาวด์-เนทีฟ โซลูชัน มาทำงานร่วมกับ Nutanix Cloud Platform ที่ยืดหยุ่น ปรับการทำงานได้อย่างรวดเร็ว และใช้งานง่าย เราร่วมมือกันให้บริการลูกค้าในภูมิภาคนี้และทั่วโลกด้วยแพลตฟอร์มแบบฟูลสแตกที่เพียบพร้อมด้วยซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถสร้าง สเกล และบริหารจัดการคอนเทนเนอร์ และเวอร์ชวล คลาวด์-เนทีฟ แอปพลิเคชัน บนสภาพแวดล้อมไฮบริด มัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น”

นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ กล่าวว่า “การเป็นพันธมิตร และความร่วมมือระหว่าง Nutanix กับ Red Hat นั้นส่งผลดีกับลูกค้าในประเทศไทยของบริษัทฯ เป็นอย่างมากในช่วงเวลาที่องค์กรต่างตื่นตัว และเปลี่ยนผ่านการใช้โครงสร้างพื้นฐานมาสู่ยุคของไฮบริด มัลติคลาวด์ และแอปพลิเคชันในรูปแบบคลาวด์เนทีฟ ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทจะช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงแอปพลิเคชันขององค์กรได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น พร้อมกันนี้ Nutanix ประเทศไทยได้ผลักดัน และให้ความรู้ความเข้าใจกับทั้งลูกค้า และคู่ค้าของเราอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด”