นูทานิคซ์คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในปี 2566

Nutanix Predicts Technology Trends

นูทานิคซ์คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในปี 2566

    • รูปแบบการใช้งานคลาวด์จะมีการพัฒนาขึ้นอย่างมา
    • กระบวนการและเครื่องมือที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันแบบอะซิงโครนัส (ไม่ต้องการโต้ตอบสื่อสารกลับทันที) จะทวีความสำคัญมากขึ้น
    • จะมีการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
    • การทำงานอย่างไม่มีข้อจำกัดบนเครือข่ายจะมีการใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
    • การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการใช้โซเชียลมีเดียจะกระทบต่อแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างมาก

บทความโดย เวนดี้ เอ็ม. ไฟเฟอร์, CIO/SVP และ ลี แคสเวลล์, SVP of Product and Solutions Marketing ของนูทานิคซ์

นูทานิคซ์เผยแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อธุรกิจในปี 2566 ซึ่งเป็นยุคที่ผ่านพ้นการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับทุกแวดวง ทุกอุตสาหกรรม และทุกระดับ ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เพื่อที่จะช่วยให้ปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้

ความคุ้มค่าในการใช้คลาวด์ (Cloud economics) กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เกิดการตัดสินใจรูปแบบใหม่ ๆ เกี่ยวกับแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานไอที

ธุรกิจกำลังเผชิญกับความกดดันใหม่ ๆ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านไอที องค์กรจำนวนมากตระหนักว่าไม่สามารถเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันไปยังคลาวด์ได้เร็ว และคุ้มค่าใช้จ่ายเหมือนที่คิดไว้ตั้งแต่แรก และต้องใช้เวลาและความสามารถสูงมาก เพื่อปรับแอปพลิเคชันที่ใช้อยู่ในระบบภายในองค์กรให้สามารถนำไปใช้งานบนคลาวด์ได้ แต่สิ่งที่จะยังไม่เปลี่ยนแปลงในอีกหลายปีข้างหน้า คือการใช้คลาวด์มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ ธุรกิจจะเน้นกลยุทธ์ว่าจะนำเวิร์กโหลดใดไปใช้งานบนคลาวด์และเวิร์กโหลดใดที่ยังคงใช้อยู่ในไพรเวทคลาวด์ภายในองค์กร และจะให้ความสำคัญมากขึ้นกับโซลูชันในรูปแบบมัลติคลาวด์ที่สามารถเคลื่อนย้ายเวิร์กโหลดไปใช้งานกับทุกสภาพแวดล้อมได้ 

การใช้กระบวนการทำงานแบบอะซิงโครนัสที่ไม่จำเป็นต้องทำงานในเวลาเดียวกัน และรองรับการทำงานร่วมกันจากบุคลากรทั่วโลกจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของงาน

แนวทางการทำงานร่วมกันแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันจากหลายแห่งที่มีโซนเวลาต่างกัน จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมในปี 2566 นั่นคือบริษัทต่าง ๆ ควรทบทวนแนวทางในการทำงานร่วมกันแบบอะซิงโครนัสที่ไม่ต้องการการตอบกลับแบบทันที รวมทั้งเครื่องมือและนโยบายต่าง ๆ ที่จะสนับสนุนแนวทางนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการจะบรรลุผลสำเร็จได้นั้น องค์กรจะต้องแทนที่ความซับซ้อนด้วยความเรียบง่าย และระบบอัตโนมัติจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น

วิกฤตด้านพลังงานของโลกจะส่งผลให้องค์กรต่าง ๆ ทบทวนรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานและปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมามากขึ้น

องค์กรต่าง ๆ ได้รับนโยบายให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมันไม่เพียงเป็นประเด็นเรื่องความยั่งยืนเท่านั้น ในขณะที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และเป็นเรื่องที่ลูกค้าเป้าหมายใช้ประกอบการพิจารณาเมื่อจะเลือกใช้บริการต่าง ๆ บริษัทจำนวนมากกำลังรับรู้ถึงผลกระทบของการใช้คลาวด์ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการใช้พลังงานกับผลกำไรที่เกิดขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติของคลาวด์คือความเร็วและประสิทธิภาพ ไม่ใช่ความคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่ายและพลังงาน ดังนั้นบริษัทต่าง ๆ ควรพิจารณาว่างานที่กำลังจะนำขึ้นไปรันอยู่บนคลาวด์นั้น สามารถนำไปรันในสภาพแวดล้อมอื่นที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากกว่าได้อย่างไร

รูปแบบการทำงานบนเครือข่ายแบบไม่จำกัดขอบเขต (Untethered edge) จะแพร่หลายมากขึ้น

ปัจจุบันมีความคาดหมายว่าต้องสามารถรันแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมีการเชื่อมต่อหรือไม่ก็ตาม รูปแบบการทำงานจะต้องไม่จำกัดขอบเขต (untethered operating model)
ซึ่งรูปแบบการทำงานแบบปิด (closed-out models) ไม่สามารถรองรับการทำงานแบบนี้ได้ องค์กรด้านไอทีที่ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ปรับขนาดเพิ่มได้ง่าย และรองรับเวิร์กโหลดหลากหลาย จะค้นพบอย่างรวดเร็วว่าวิธีการที่ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์แบบเดียวกันเหมาะกับเอดจ์ ด้วยความสามารถในการปรับขนาดลดลงได้ง่ายดาย สามารถทำงานในขณะที่เชื่อมต่อหรือไม่เชื่อมต่อกับคลาวด์ส่วนกลาง และด้วยการแนะนำแนวทางการบริหารจัดการที่ครอบคลุมจากเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ไปถึงพับลิคคลาวด์ ผ่านวิธีการบริหารจัดการคลาวด์ที่สอดคล้องกัน 

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปสู่โซเชียลมีเดียจะส่งผลกระทบอย่างมากไม่เฉพาะกับแพลตฟอร์มเหล่านั้นเท่านั้น

ปี 2565 เป็นปีทองของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหลายที่มีจำนวนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และแนวโน้มก็น่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อองค์กรหลายแห่ง ประการแรก  องค์กรจำนวนมากที่พึ่งพาข้อมูลที่ซื้อจากบริษัทด้านโซเชียลมีเดียเพื่อปรับอัลกอริทึมของตนอาจบรรลุผลได้น้อยลง เพราะชุดข้อมูลโซเชียลมีเดียล้าสมัยและถูกต้องน้อยลง ประการที่สอง ชุดข้อมูลเหล่านั้นมักเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ป้อนให้กับเครื่องมือที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ได้เรียนรู้ ดังนั้นการที่ชุดข้อมูลล้าสมัยจึงคาดการณ์ได้ว่า AI และ ML ที่พึ่งพาข้อมูลเหล่านั้นก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลงมากตามไปด้วย

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

 Awards presented less than 18 months after Nutanix and Red Hat announced strategic partnership to deliver open hybrid multicloud solutions

 Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, today announced it has been recognized as Top Independent Software Vendor Partner in APAC and Japan as part of the Red Hat Asia Pacific Partner Awards 2022.

The awards recognize Red Hat’s commercial and public sector partners for their continued efforts to develop innovative solutions using Red Hat technologies to meet customer needs and improve business outcomes. The winners are selected based on their commitment to innovation, dedication to driving change with open source, and demonstration of collaborative and transparent working ecosystems.

“Nutanix has not only acted as a catalyst for customer success, it has been an important multiplier of enterprise open source by adopting Red Hat solutions, from emerging technologies to hybrid cloud infrastructure. In today’s evolving marketplace, it is more important than ever to work openly and collaboratively to generate meaningful results for organizations throughout their cloud journey,” said Andrew Habgood, Vice President, Partner Ecosystem, Red Hat APAC

For Nutanix, its focus is to simplify cloud complexity with an open, software-defined hybrid multicloud platform. The approach involves powering mission-critical applications and services for the world’s most advanced organizations, and this enables them to put their workloads in the environments that make the most sense, whether private, public or hybrid clouds.

“We are honored to receive the award for Red Hat Top Independent Software Vendor Partner in APAC and Japan this year. Our collaboration has been successful because it brings together cloud-native solutions with the simplicity, flexibility and resilience of the Nutanix Cloud Platform. Together, we have been providing customers across the region and worldwide with a full stack platform. This enables them to more easily build, scale, and manage containerized and virtualized cloud-native applications in a hybrid multicloud environment,” said Aaron White, VP & GM – APJ Sales, Nutanix.

“The partnership is a significant opportunity for Nutanix’s customers in Thailand as Thai enterprises are accelerating transitions from traditional infrastructure to hybrid multicloud and cloud-native applications. Our partnership with Red Hat will enable customers to adapt and evolve their infrastructure and applications quickly and seamlessly, said Thawipong Anotaisinthawee, country manager, Nutanix Thailand.

Nutanix ได้รับรางวัล Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award APAC and Japan

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

Nutanix ได้รับรางวัล Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award APAC and Japan

รางวัลนี้ ได้รับหลังการประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Red Hat ในการนำเสนอโซลูชันไฮบริด มัลติคลาวด์ ได้ไม่ถึง 18 เดือน

Nutanix (NASDAQ: NTNX), ผู้นำด้านไฮบริด มัลติคลาวด์ คอมพิวติ้ง ได้รับเลือกเป็น Top Independent Software Vendor Partner ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น จากงาน Red Hat Asia Pacific Partner Awards 2022

รางวัลดังกล่าวเป็นการยกย่องพันธมิตรทั้งทางธุรกิจและภาครัฐที่ทุ่มเทพัฒนาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้เทคโนโลยีของ Red Hat เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจ โดยพิจารณาจากพันธสัญญาในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความทุ่มเทในการใช้โอเพ่นซอร์สเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และการแสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศของการทำงานที่โปร่งใสและร่วมมือกันของแต่ละองค์กร

นายแอนดรูว์ แฮปกู๊ด รองประธาน ฝ่ายระบบนิเวศพันธมิตร ของ Red Hat APAC กล่าวว่า “Nutanix ไม่เพียงมีบทบาทช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการใช้โอเพ่นซอร์สในองค์กรต่าง ๆ ผ่านการใช้โซลูชันของ Red Hat ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่ต่าง ๆ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ การทำงานร่วมกันและการทำงานแบบเปิดกว้างมีความสำคัญมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนในมาร์เก็ตเพลสที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ ได้รับผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญตลอดเส้นทางการใช้คลาวด์ของตน”

Nutanix เน้นลดความซับซ้อนในการใช้คลาวด์ด้วยแพลตฟอร์มไฮบริด มัลติคลาวด์ ที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ และเป็นแพลตฟอร์มระบบเปิด ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนและรองรับแอปพลิเคชัน และบริการที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้กับองค์กรที่ทันสมัยทั่วโลก ทั้งยังช่วยให้องค์กรเหล่านั้นสามารถเลือกวางเวิร์กโหลดของตนไว้บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นไพรเวท พับลิค หรือ ไฮบริดคลาวด์ ได้ตามต้องการ

นายแอรอน ไวท์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป, APJ Sales, Nutanix กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล Red Hat Top Independent Software Vendor Partner in APAC and Japan ประจำปีนี้ ความสำเร็จของความร่วมมือนี้ เกิดจากการนำคลาวด์-เนทีฟ โซลูชัน มาทำงานร่วมกับ Nutanix Cloud Platform ที่ยืดหยุ่น ปรับการทำงานได้อย่างรวดเร็ว และใช้งานง่าย เราร่วมมือกันให้บริการลูกค้าในภูมิภาคนี้และทั่วโลกด้วยแพลตฟอร์มแบบฟูลสแตกที่เพียบพร้อมด้วยซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถสร้าง สเกล และบริหารจัดการคอนเทนเนอร์ และเวอร์ชวล คลาวด์-เนทีฟ แอปพลิเคชัน บนสภาพแวดล้อมไฮบริด มัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น”

นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ กล่าวว่า “การเป็นพันธมิตร และความร่วมมือระหว่าง Nutanix กับ Red Hat นั้นส่งผลดีกับลูกค้าในประเทศไทยของบริษัทฯ เป็นอย่างมากในช่วงเวลาที่องค์กรต่างตื่นตัว และเปลี่ยนผ่านการใช้โครงสร้างพื้นฐานมาสู่ยุคของไฮบริด มัลติคลาวด์ และแอปพลิเคชันในรูปแบบคลาวด์เนทีฟ ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทจะช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงแอปพลิเคชันขององค์กรได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น พร้อมกันนี้ Nutanix ประเทศไทยได้ผลักดัน และให้ความรู้ความเข้าใจกับทั้งลูกค้า และคู่ค้าของเราอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด”

Nutanix Launches Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix Launches Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Customers Can Seamlessly Extend Nutanix Environment to Microsoft Azure

Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, announced today the general availability of Nutanix Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure, extending its hybrid cloud environment to Microsoft Azure dedicated bare metal nodes. 

NC2 on Azure offers a seamless hyperconverged infrastructure and unified management spanning private and public cloud environments to accelerate hybrid cloud adoption. NC2 on Azure enables customers to deploy and manage their workloads in their own Azure account and VNet enabling them to keep the operating model simple and consistent between Azure and on-premises.

With license portability of Nutanix term-based software and the ability to leverage all Microsoft Azure benefits, NC2 on Azure provides customers the investment protection and choice to run their workloads in a hybrid cloud environment. NC2 on Azure is now generally available to customers on Azure dedicated bare metal nodes in North America Azure regions, with additional global Azure regions to follow in 2023.

“Organizations are embracing hybrid multicloud to easily scale from on-prem to the public cloud, optimize costs for performant and secure workloads, and tap into a flexible subscription model,” said Rajiv Ramaswami, President and CEO of Nutanix. “NC2 on Azure gives our customers a frictionless on-ramp to Azure with consistent management of apps and data across their hybrid multicloud environment.”  

“While public cloud has solidified as a crucial investment for businesses, many customers need to run and manage workloads across public and private cloud environments,” said Scott Guthrie, Executive Vice President, Cloud + AI Group, Microsoft. “NC2 on Azure provides consistent management for businesses’ infrastructure across on-premises and cloud, reduces network latency, and increases cost efficiency.”

Customers can now run workloads on NC2 on Azure and manage Azure instances from Nutanix’s management interface. This enables customers to run hybrid workloads seamlessly across private clouds and Microsoft Azure without needing to re-architect their applications. The expected result is simplified and consistent IT operations across clouds, hybrid cloud adoption in hours, and lower total cost of ownership when compared to other cloud deployment solutions.

Customers can also take advantage of Azure Hybrid Benefit as well as Extended Security Updates to improve cost, security, and efficiency. Nutanix customers will be able to port their existing term licenses to NC2 on Azure or get on-demand consumption of Nutanix software through the Azure Marketplace, enabling frictionless movement between private clouds and Microsoft Azure. 

“Customers are struggling with the reality of managing workloads across private and public clouds, and this challenge is not going away,” said Paul Nashawaty, Senior Analyst at The Enterprise Strategy Group. “This Nutanix and Azure solution addresses key challenges many enterprises are facing by providing unified management across clouds with applications, data and license portability.”

 Customers can leverage NC2 on Azure to:

    • Simplify and optimize disaster recovery, eliminating the need to maintain a secondary site by utilizing Microsoft Azure’s on-demand capacity for failover.
    • Access on-demand capacity bursting to Microsoft Azure, rapidly scaling capacity while leveraging existing applications and tooling.
    • Migrate and modernize their datacenters by easily moving their existing applications and data as-is without costly and time-consuming refactoring or retooling.

“As we strive to financially protect 39 million customers around the world with our products and services, we continue to see hybrid cloud as a key milestone in our digital transformation journey,” said David Fitzgerald, Assistant Vice President of IT Delivery at Unum. “With NC2 on Azure, we are excited about leveraging a seamless hybrid cloud platform for disaster recovery as well as to migrate and run workloads in Azure to handle a myriad of hosting scenarios. We can now, on-demand, expand our Nutanix Cloud Platform to Azure regions without having to re-factor our applications. We look forward to continuing our strong partnership with Microsoft and Nutanix.”

“TCS has a long track record of embracing technology innovations to satisfy customer demand and enable them to focus on business outcomes,” said Dinanath Kholkar, SVP and Global Head of Partner Ecosystems & Alliances at TCS. “Microsoft Azure and Nutanix have been popular technology choices of TCS customers looking for digital transformation, and NC2 on Azure is an attractive option for us to help our customers extend and migrate their on-prem workloads into a cloud space more easily. The ability to rapidly deploy and burst workloads through NC2 on Azure is vital to our customer’s hybrid and multicloud strategy.” Dina added, “TCS Microsoft Business Unit (MBU) is looking forward to taking this solution to our joint customers.”

For more information on NC2 on Microsoft Azure, please visit: nutanix.com/azure    

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

ลูกค้าสามารถนำ Nutanix ไปใช้งานร่วมกับ Microsoft Azure ได้อย่างลงตัว

 Nutanix (NASDAQ: NTNX), ผู้นำด้านไฮบริดมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศว่า Nutanix Cloud Clusters (NC2) พร้อมให้ใช้งานบน Microsoft Azure แล้ว โดยขยายสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ของ Nutanix ไปใช้งานกับ Dedicated bare metal nodes ของ Microsoft Azure

NC2 on Azure มีโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จที่ทำงานอย่างไร้รอยต่อ และมีการจัดการแบบ รวมศูนย์ รองรับการใช้งานได้ทั้งบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์ เพื่อให้ลูกค้าใช้ไฮบริดคลาวด์ได้เร็วขึ้น ทั้งยังช่วยให้ลูกค้าใช้และจัดการเวิร์กโหลดที่อยู่บนแอคเค้าท์ Azure ของตน และ VNet ช่วยให้ลูกค้าสามารถคงรูปแบบการทำงานระหว่าง Azure และระบบที่อยู่ภายในองค์กร (on-premises) ได้ด้วยความเรียบง่ายและด้วยการทำงานที่สอดคล้องกัน

NC2 on Azure มีความสามารถในการย้ายไลเซนส์ซอฟต์แวร์ที่เป็นไปตามเงื่อนไขของ Nutanix และสามารถใช้ประโยชน์ต่าง ๆ จาก Microsoft Azure  ความสามารถเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าลงทุนได้อย่างคุ้มค่า และเป็นทางเลือกให้ลูกค้าในการรันเวิร์กโหลดบนสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ NC2 on Azure มีวางจำหน่ายแล้วบน Azure dedicated bare metal nodes ของ Azure ที่ให้บริการอยู่ในอเมริกาเหนือ และจะมีวางจำหน่ายตามบริการของ Azure ทั่วโลกตามมาในปี 2566

นายราจีฟ รามาสวามี ประธานและซีอีโอของ Nutanix กล่าวว่า “องค์กรจำนวนมากนำไฮบริดมัลติคลาวด์ไปใช้ เพื่อให้สามารถสเกลจากระบบที่อยู่ในองค์กรไปยังพับลิคคลาวด์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก เพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพตามต้องการ และรันเวิร์กโหลดอย่างปลอดภัยไร้กังวลด้วยต้นทุนที่เหมาะสม รวมถึงการใช้งานในรูปแบบ subcription ที่ยืดหยุ่น  NC2 on Azure ช่วยให้ลูกค้าของเราเข้าใช้งาน Azure ได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด ผ่านการบริหารจัดการแอปพลิเคชัน และข้อมูลบนสภาพแวดล้อมไฮบริด
มัลติคลาวด์ของลูกค้าได้อย่างลงตัว”

นายสก็อตต์ กูธรี รองประธานบริหารกลุ่ม Cloud และ AI ของ Microsoft กล่าวว่า “แม้ว่าธุรกิจจะให้ความสำคัญและลงทุนด้านพับลิคคลาวด์มากขึ้น แต่ยังมีลูกค้าจำนวนมากที่จำเป็นต้องรัน และจัดการเวิร์กโหลดทั้งบนพับลิคและไพรเวทคลาวด์  NC2 on Azure มอบการบริหารจัดการที่สอดคล้องกันให้กับโครงสร้างพื้นฐานไอทีขององค์กรทั้งที่อยู่บนระบบภายในและบนคลาวด์ ช่วยลดระยะเวลาในการตอบสนองของเน็ตเวิร์ค และเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุน”

ลูกค้าสามารถรันเวิร์กโหลดที่อยู่บน NC2 on Azure และบริหารจัดการ Azure instances ได้จากหน้าจออินเทอร์เฟซการบริหารจัดการของ Nutanix ซึ่งช่วยให้ลูกค้ารันไฮบริดเวิร์กโหลดได้ทั้งบนไพรเวทคลาวด์ และ Microsoft Azure ได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องออกแบบแอปพลิเคชันใหม่  ผลลัพธ์ที่คาดไว้คือการทำงานด้านไอทีที่คงเส้นคงว่าไม่ซับซ้อนบนคลาวด์ทุกประเภท การใช้ไฮบริดคลาวด์ได้ในไม่กี่ชั่วโมง และการลดต้นทุนรวม (TCO) เมื่อเทียบกับการใช้โซลูชันคลาวด์อื่น ๆ

ลูกค้ายังได้ใช้ประโยชน์จาก Azure Hybrid Benefit และ Extended Security Updates เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และมีความปลอดภัยมากขึ้น ลูกค้าของ Nutanix จะสามารถย้ายไลเซนส์ที่เหลือ อยู่ไปใช้บน NC2 on Azure หรือใช้ซอฟต์แวร์ของ Nutanix แบบออนดีมานด์ผ่าน Azure Marketplace ซึ่งช่วยให้การเคลื่อนย้ายการทำงานไปมาระหว่างไพรเวทคลาวด์ และ Microsoft Azure เป็นไปอย่างราบรื่นคล่องตัว

นายพอล นัชวาตี นักวิเคราะห์อาวุโสของ Enterprise Strategy Group กล่าวว่า “ลูกค้าต่างยังคงต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก เพื่อบริหารจัดการเวิร์กโหลดที่เกิดขึ้นจริงบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์ โซลูชัน Nutanix และ Azure นี้ช่วยขจัดความท้าทายใหญ่ ๆ ที่องค์กรจำนวนมากเผชิญอยู่ ด้วยฟังก์ชันการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์หนึ่งเดียวที่ใช้ได้กับคลาวด์ทุกประเภท รวมถึงการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันข้อมูล และนำไลเซนส์ไปใช้งานได้ทั้งบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์”

ประโยชน์ของ NC2 on Azure ที่ลูกค้าจะได้รับ

    • ลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการกู้คืนระบบ และไม่จำเป็นต้องบำรุงรักษาไซต์สำรอง ด้วยการใช้ระบบสำรองเพื่อปัองกันความล้มเหลวแบบออนดีมานด์ของ Microsoft Azure
    • เข้าใช้งานทรัพยากรแบบออนดีมานด์บน Microsoft Azure และสามารถปรับขยายทรัพยากร และความสามารถเพื่อรองรับงานต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่ใช้แอปพลิเคชันและเครื่องมือต่าง ๆ
    • โยกย้ายและปรับปรุงดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัย ด้วยการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันและข้อมูลที่ใช้อยู่ได้อย่างง่ายดายในสภาพเดิมโดยไม่ต้องปรับโครงสร้างหรือปรับแต่งเครื่องมือใหม่ ซึ่งการปรับใหม่เหล่านี้มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลามาก

นายเดวิด ฟิตซ์เจอรัลด์ ผู้ช่วยรองประธานฝ่าย IT Delivery ของ Unum กล่าวว่า “บริษัทฯมุ่งมั่นพิทักษ์ประโยชน์ด้านการเงินให้กับลูกค้า 39 ล้านรายทั่วโลก ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ ในขณะเดียวกันเรายังคงเห็นว่าไฮบริดคลาวด์เป็นกุญแจสำคัญในการก้าวไปบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล  ทั้งนี้ NC2 on Azure ช่วยให้เราได้ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มไฮบริดคลาวด์ในด้านการกู้คืนระบบ รวมถึงการเคลื่อนย้ายและรันเวิร์กโหลดบน Azure เพื่อจัดการกับงานด้านโฮสต์ติ้งมากมาย  ปัจจุบันเราสามารถขยายการใช้ Nutanix Cloud Platform ของเราไปใช้บน Azure ที่ให้บริการตามภูมิภาคต่าง ๆ ได้แบบออนดีมานด์ โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างของแอปพลิเคชันที่ใช้อยู่ และบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสานต่อความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับ Microsoft และ Nutanix ต่อเนื่องในอนาคต”

นายดินานัทธ์ โคลคลาร์ Senior Vice President and Global Head of Partner Ecosystems & Alliances at TCS กล่าวว่า “เป็นเวลานานแล้วที่ TCS ได้นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาใช้ตอบสนองความต้องการลูกค้า และช่วยให้ลูกค้าของเราใช้เวลาและให้ความสำคัญกับงานที่สร้างผลตอบแทนทางธุรกิจมากกว่าจะมากังวลเรื่องไอที  ทั้งนี้ Microsoft Azure และ Nutanix ต่างเป็นเทคโนโลยีทางเลือกที่ลูกค้าของ TCS นิยมใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลอยู่แล้ว และ NC2 on Azure เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นที่เราจะนำไปช่วยให้ลูกค้าขยายและโยกย้ายเวิร์กโหลดต่าง ๆ จากระบบภายในองค์กรไปยังคลาวด์ได้ง่ายขึ้น  การที่เราสามารถใช้และขยายเวิร์กโหลดได้อย่างรวดเร็วผ่าน NC2 on Azure นั้นสำคัญต่อกลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์ของลูกค้ามาก  ดังนั้น TCS Microsoft Business Unit (MBU) จึงมุ่งมั่นอย่างมากที่จะนำโซลูชันนี้ไปให้ลูกค้าร่วมของเราได้ใช้งาน”

กรุณาเข้าชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NC2 on Microsoft Azure ได้ที่ลิงก์นี้ nutanix.com/azure