นูทานิคซ์ผสาน Data Services กับการใช้ Hybrid Multicloud มอบการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน

Nutanix releases Starter Kit Bundle to supercharge partner sales cycle

นูทานิคซ์ผสาน Data Services กับการใช้ Hybrid Multicloud มอบการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน

เปิดตัวบริการด้านดาต้าสำหรับ Kubernetes และการเคลื่อนย้ายดาต้าบนคลาวด์

นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริดมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศว่าได้เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ให้กับ Nutanix Cloud Platform โดยเป็นความสามารถที่จะช่วยให้ลูกค้าผสานรวมการบริหารจัดการดาต้าที่อยู่บนคอนเทนเนอร์ และเวอร์ชวลแอปพลิเคชันที่อยู่ในระบบภายในองค์กร บนพับลิคคลาวด์และที่ edge ได้ ซึ่งรวมถึงบริการด้านดาต้าให้กับแอปพลิเคชัน Kubernetes ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม และการเคลื่อนย้ายดาต้าข้ามคลาวด์ประเภทต่าง ๆ

ข้อมูลของ IDC ระบุว่า ภายในปี 2568 จะมี logical applications ใหม่ถึง 750 ล้านรายการ ซึ่งมากกว่างานด้านคอมพิวติ้งตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่าน การเพิ่มขึ้นนี้เป็นการสร้างดาต้าปริมาณมหาศาลบนคลาวด์* และนั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่องค์กรต้องผสานรวมการบริหารจัดการดาต้า ทั้งที่อยู่บนคอนเทนเนอร์และเวอร์ชวลแอปพลิเคชัน รวมถึงสภาพแวดล้อมที่หลากหลายแตกต่างกันเข้าด้วยกัน

นายโธมัส คอร์เนลี รองประธานอาวุโสด้านการจัดการผลิตภัณฑ์ของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “ผลสำรวจ Enterprise Cloud Index ของนูทานิคซ์ พบว่า องค์กรเกือบทั้งหมดได้เริ่มใช้ Kubernetes กับคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชันของตนแล้ว ปัจจุบันทีมงานด้านไอทีจำเป็นต้องหาแนวทางเพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนใช้บริการด้านดาต้าที่พวกเขาสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง (self-service data services) และในขณะเดียวกันแนวทางนั้นต้องให้ความมั่นใจได้ว่า จะมีการนำนโยบายด้านการกำกับดูแลและนโยบายด้านความปลอดภัยมาใช้ในรูปแบบเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ Nutanix Data Services for Kubernetes จะเสริมให้ Nutanix Cloud Platform สามารถเพิ่มการทำงานด้านการเตรียมสตอเรจ, สแน็ปช็อต และการกู้คืนระบบ ให้กับ Kubernetes application ต่าง ๆ ได้ เพื่อช่วยให้การพัฒนาคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชันในองค์กรทำได้รวดเร็วขึ้น”

Data Services for Kubernetes

นักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้ดูแลระบบในปัจจุบันต้องเผชิญกับความแตกต่างและความซับซ้อนที่ stateful Kubernetes® applications ต่าง ๆ มีอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องมือจาก third-party จำนวนมาก หรือใช้โปรเจกต์ DIY ที่ซับซ้อน เพื่อแก้ปัญหาให้กับแอปพลิเคชันและเลเยอร์เนมสเปซต่าง ๆ Nutanix Data Services for Kubernetes™ (NDK) ที่เปิดตัวในคราวนี้ จะช่วยให้ลูกค้าควบคุมคลาวด์-เนทีฟแอปพลิเคชันและดาต้าได้ตามต้องการ

ในเบื้องต้น NDK ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Nutanix Cloud Infrastructure (NCI) จะนำความสามารถอย่างเต็มประสิทธิภาพของสตอเรจ, สแน็ปช็อต, และการกู้คืนระบบ ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานระดับองค์กร ของนูทานิคซ์มาใช้กับ Kubernetes ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชันที่ใช้กับ stateful workloads ทำได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการเพิ่มการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดเตรียมสตอเรจ, สแน็ปช็อต และการกู้คืนระบบให้กับ Kubernetes pods และเนมสเปซแอปพลิเคชันต่าง ๆ NDK จะเสริมให้นักพัฒนา Kubernetes สามารถจัดการสตอเรจและบริการด้านดาต้าต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ควบคู่กับสามารถมองเห็นความเป็นไปและควบคุมการใช้งานได้ นอกจากนี้ NDK ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับ Red Hat OpenShift ได้อีกด้วย

Yongju Jo, Chief Manager, IDC Business Dept, Shinsegae กล่าวว่า “การปรับแอปพลิเคชันให้ทันสมัยเป็นเกณฑ์สำคัญอย่างหนึ่งของเส้นทางทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลของเรา เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่า Nutanix Data Services for Kubernetes มีศักยภาพสูงที่ช่วยให้เราสามารถเตรียมสตอเรจเกรดระดับองค์กรที่ใช้งานง่าย, การทำสแน็ปช็อต และการกู้คืนระบบที่มีประสิทธิภาพให้กับการใช้ Kubernetes ของเรา”

การเคลื่อนย้ายดาต้าข้ามคลาวด์

นูทานิคซ์ ยังได้เปิดตัวความสามารถที่เรียกว่า Multicloud Snapshot Technology™ (MST) เพื่อมอบความสามารถด้านการเคลื่อนย้ายดาต้าข้ามคลาวด์ โดย MST จะขยายบริการไฮบริดมัลติคลาวด์ดาต้าเซอร์วิสของนูทานิคซ์ ด้วยการให้สามารถทำสแน็ปช็อตตรงไปยังที่จัดเก็บคลาวด์เนทีฟออบเจกต์ได้ โดยเริ่มจากบริการออบเจกต์สตอเรจ AWS S3™ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ความสามารถในการปกป้องดาต้าที่อยู่บนสภาพแวดล้อมไฮบริดมัลติคลาวด์ได้ สามารถใช้การกู้คืนดาต้า และการเคลื่อนย้าย เช่น ความสามารถในการปกป้องและโยกย้าย stateful Kubernetes แอปพลิเคชันต่าง ๆ และดาต้าไปบนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นด้วย NDK ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้

MST ใช้ได้ในสถานการณ์หลากหลาย เช่น การกู้คืนระบบ และการสำรองดาต้า ทั้งกับคอนเทนเนอร์และเวอร์ชวลแอปพลิเคชัน, ใช้สร้างสแน็ปช็อตและกู้คืนแบบทันทีทุกที่, ใช้ในการเคลื่อนย้ายดาต้าข้ามคลาวด์, ใช้แชร์ดาต้าให้กับเวิร์กโฟลว์ต่าง ๆ เช่น การทดสอบ/การพัฒนา, การเก็บรักษาดาต้าในระยะยาวเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด และอื่น ๆ อีกมาก สิ่งที่กล่าวมานี้จะช่วยให้ลูกค้าจำนวนมากบริหารค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานหลักของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถจัดเก็บสแน็ปช็อตได้อย่างไม่ยุ่งยาก ด้วยการใช้ที่จัดเก็บในราคาไม่แพง และกู้คืนได้ง่าย กับทุกโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นไพรเวทหรือพับลิคคลาวด์

นอกจากความสามารถใหม่ ๆ ที่กล่าวข้างต้น โซลูชัน Nutanix Objects Storage™ ยังได้ผสานรวมกับ Snowflake ซึ่งเป็นบริษัทด้าน Data Cloud เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ใช้ประโยชน์จาก Snowflake Data Cloud เพื่อวิเคราะห์ดาต้าตรงไปยัง Nutanix Objects ได้ ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าดาต้าจะถูกเก็บอยู่ภายใน ช่วยให้สามารถสร้างมูลค่าได้เร็วขึ้น และมอบข้อมูลเชิงลึกได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ single namespace ใน Nutanix Objects ยังช่วยให้สามารถเข้าถึง distributed data ทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย

NDK แะ MST อยู่ระหว่างการพัฒนา ส่วนการทำงานร่วมกันของ Nutanix ObjectsStorage และ Snowflake ปัจจุบันมีให้บริการลูกค้าแล้ว กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

คำกล่าวสนับสนุน

“สำหรับองค์กรที่กำลังมองหาความสำเร็จของการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลระลอกใหม่ แนวทางข้างหน้าคือต้องสามารถรันเวิร์กโหลดไว้บนโซนที่เหมาะสมที่สุดที่มีโอเพ่นไฮบริดมัลติคลาวด์แพลตฟอร์มเป็นฐานรองรับและมาพร้อมบริการด้านดาต้ามากมาย เพื่อรันและบริหารจัดการแอปพลิเคชันใดก็ได้ ได้ทุกที่ Nutanix Cloud Platform และ Wipro FullStride Cloud ช่วยให้ลูกค้าสร้างไฮบริดมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น เพื่อใช้และมอบการบริหารจัดการมัลติคลาวด์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก สามารถส่งบริการหรือผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น และลดต้นทุนรวมลงได้”

  • Jo Debecker, Head FullStride Cloud, Wipro

“แอปพลิเคชันดาต้ามักเป็นปัจจัยที่ผลักดันการตัดสินใจด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับหลาย ๆ องค์กร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย การกำกับดูแล หรือ locality แต่มักเป็นเลเยอร์ด้านไอทีที่แยกจากโครงสร้างพื้นฐานหลัก ไม่ว่าจะเป็นบนพับลิคคลาวด์หรือระบบที่อยู่ในองค์กร  Nutanix Cloud Platform มอบโมเดลคลาวด์ที่เป็นสากลด้วยบริการด้านดาต้าแบบบูรณาการมาตั้งแต่ต้นให้กับทั้งคอนเทนเนอร์และเวอร์ชวลแอปพลิเคชัน ช่วยให้องค์กรนำนโยบายด้านการกำกับดูแลดาต้าไปใช้กับคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชัน รวมถึงไปใช้กับคลาวด์ต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยุ่งยาก”

  • Paul Nashawaty, Principal Analyst, Enterprise Strategy Group

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

Blog: Nutanix Objects Storage and Snowflake Data Cloud optimize Data Accessibility

The hybrid employee experience – why HR should be involved in IT decision making

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

The hybrid employee experience – why HR should be involved in IT decision making

Article by Han Chon, managing director, Nutanix ASEAN

The pandemic has completely rewritten the rule book when it comes to the workplace. After more than two years of total disruption, it’s clear we’re never going back to ‘business-as-usual’. Although enabling remote workforces might have started out as a temporary measure, the newfound freedom it provided workers means they don’t want to go back to the way things were. Hybrid working is here to stay.

A 2021 McKinsey report showed that work-life balance, flexibility and mental health are now front of mind for employees; and they want these issues prioritised in the workplace. Faced with a plethora of new employee demands, HR Managers are needing to implement new procedures and policies, in addition to new IT solutions, which enable a more flexible working environment. 

IT may not have formed an integral part of the HR role before. But with the growing number of remote and hybrid workers, HR and IT have become inextricably linked. When legacy and poorly designed IT infrastructure compromises the employee experience, it impacts the core HR function. The issue HR Managers are facing, is that many of the IT systems put in place during the pandemic were done so in haste – a temporary, band-aid solution to keep businesses up and running in an emergency. But now, as organisations transition out of crisis mode and into ‘living with the pandemic’, those systems need to be re-evaluated and re-implemented in a way that better suits long-term organisational needs. And because the employee experience must be at the heart of those IT decisions, HR needs to have a say when it comes to IT infrastructure design. 

Designing IT for employee experience 

There is no doubt that a flexible, hybrid working environment will be a hallmark of the new normal. A 2022 PWC report shows that three quarters (74%) of Australian employees now want to work from home at least three days a week, and Gartner reports that organisations who demand employees return to a fully on-site arrangement are at risk of losing up to 39% of their workforce. This new way of working not only offers employees greater flexibility, but removing geographical constraints means businesses can benefit from access to a broader talent pool; plus fewer on-site staff can reduce real estate and operating expenses.

However, a highly effective and agile workforce isn’t quite as simple as letting employees stay home. In order to be productive, employees must have ease of access to corporate applications and resources and the ability to seamlessly collaborate with their teams. This requires an on-demand, secure cloud-based infrastructure that gives organisations the flexibility to scale up and back as needed.

Outdated technology and legacy infrastructure that can’t keep up with the demands of a remote workforce severely impacts the hybrid employee experience. Employees require high-grade solutions that provide an equality of experience no matter where they choose to work. Whether that’s easily accessible virtual workspaces or videoconferencing and collaboration tools, digital connectivity is critical to ensure that employees feel connected to their teams, and are empowered to perform their best. When it comes to catering for a hybrid workforce, there’s no one-size-fits all solution. HR managers need to understand different employee preferences and varying work styles, and use these insights to ensure IT infrastructure is designed with employee experiences in mind.  

Keeping businesses and employees secure 

Because hybrid work can lead to an increase in potential cyberattacks, more complex security measures are needed to keep both employees and critical business IP safe. However, many companies that face challenges with legacy or poorly designed infrastructure, are also faced with major security, business continuity and disaster recovery risks. 

To overcome the security challenges of public cloud and remote environments, many organisations are instead turning toward hyperconverged infrastructures – a type of IT architecture which gives organisations the best of both worlds. Hyperconverged infrastructure allows businesses to continue supporting the agile demands of a remote workforce, without compromising critical data or the hybrid employee experience. For IT teams, it’s easier to manage and can be easily scaled up and down as needed, while for HR Managers, it ensures that employee experiences remain at the heart of the solution. 

A people-centric digital transformation

In the future, there is no doubt we will look back on 2020 as one of the most pivotal years in modern history. Not only did the pandemic turn the entire world on its head, it has permanently altered the relationship employees have with their work; shifting the concept of work from ‘somewhere you go’ to ‘something you do’. 

As businesses fast-track their digital transformation strategies to support a remote workforce, it’s important to remember that digital transformation isn’t just about the technology – it’s about improving the way work and the way we communicate. As organisations re-evaluate their IT systems, they should be doing so with a human-centred focus in mind. HR and IT need to join forces to ensure employee experience is at the heart of all IT decisions.

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

บทความโดยฮัน ชอน กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียนของนูทานิคซ์

การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่กินเวลามากกว่าสองปีที่ผ่านมา เป็นปัจจัยที่ทำให้บริบทของคำว่า “สถานที่ทำงาน” เปลี่ยนแปลงไป และแน่นอนว่าจะไม่กลับไปเหมือนเดิม แม้ว่าการให้พนักงานทำงานจากระยะไกลเป็นการเริ่มต้นจากมาตรการชั่วคราวในช่วงการระบาด แต่ความเป็นอิสระของวิถีการทำงานแบบนั้นทำให้พนักงานได้เรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกลับไปใช้ชีวิตการทำงานแบบเดิมที่ต้องเดินทางเข้าไปทำงานที่สำนักงาน และสามารถทำงานได้แบบไฮบริด

รายงานของ McKinsey ในปี 2564 แสดงให้เห็นว่าพนักงานให้ความสำคัญเรื่องความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว ความยืดหยุ่น และสุขภาพจิตที่ดี เป็นลำดับแรก ๆ และต้องการได้สิ่งเหล่านี้จากสถานที่ทำงาน เมื่อฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องเผชิญกับความต้องการใหม่ ๆ จำนวนมากเหล่านี้จากพนักงาน ผู้ดูแลด้านนี้จึงต้องนำกระบวนการและนโยบายใหม่รวมถึงโซลูชันด้านไอทีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

ในอดีตฝ่ายไอทีอาจไม่เชื่อมโยงกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลโดยตรง แต่เมื่อมีพนักงานทำงานแบบไฮบริดและทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น ทำให้ฝ่ายไอทีและฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องทำงานร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ออกแบบมาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและล้าสมัยทำให้ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับเป็นไปในทางลบ และส่งผลกระทบต่อการทำงานหลักของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ทั้งนี้ปัญหาต่าง ๆ ที่ผู้รับผิดชอบด้านทรัพยากรบุคคลกำลังเผชิญ คือการนำระบบไอทีจำนวนมากมาใช้อย่างเร่งรีบระหว่างการระบาดเพื่อทำให้ธุรกิจดำเนินงานต่อไปได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งระบบเหล่านั้นเป็นโซลูชันชั่วคราวที่ไม่ได้แก้ไขต้นตอของปัญหา ในปัจจุบัน การที่องค์กรต่างเปลี่ยนจากการทำงานในภาวะวิกฤตเข้าสู่รูปแบบการทำงานที่ต้องสามารถ “อยู่ร่วมกับการระบาด” ได้นั้น องค์กรจำเป็นต้องประเมินระบบเหล่านี้ใหม่ และนำมาปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะกับความต้องการระยะยาวขององค์กร นอกจากนี้ การที่ประสบการณ์ของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญต่อการตัดสินใจด้านไอที ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจึงควรมีสิทธิ์มีเสียงในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานไอที

การออกแบบไอทีเพื่อประสบการณ์ของพนักงาน

สภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริดที่ยืดหยุ่นเป็นลักษณะเด่นของ new normal อย่างไม่ต้องสงสัย รายงาน PWC ประจำปี 2565 แสดงให้เห็นว่าสามในสี่ของพนักงานชาวออสเตรเลีย (74%) ปัจจุบันต้องการทำงานจากบ้านอย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์ และรายงานของ Gartner ระบุว่า องค์กรที่ต้องการให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงานทุกวันนั้นเสี่ยงต่อการสูญเสียพนักงาน 39% ของพนักงานทั้งหมด รูปแบบการทำงานใหม่นี้ ไม่เพียงช่วยให้พนักงานมีความยืดหยุ่นสูงมากเท่านั้น แต่ยังทำให้ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์หมดไปด้วย โดยธุรกิจจะสามารถเข้าถึงกลุ่มบุคคลที่มีความสามารถสูงได้กว้างขึ้น และการที่พนักงานเข้ามายังสำนักงานน้อยลง ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้

อย่างไรก็ตาม บุคลากรที่ทำงานมีประสิทธิภาพสูงและคล่องตัวนั้น ไม่ใช่เพียงการอนุญาตให้พนักงานนั้น ๆ ทำงานจากที่บ้านได้เพียงอย่างเดียว  เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิผล พนักงานเหล่านี้ต้องเข้าใช้งานแอปพลิเคชันและทรัพยากรขององค์กรได้อย่างไม่ยุ่งยาก และสามารถทำงานร่วมกับทีมงานของตนได้อย่างราบรื่น การจะทำเช่นนี้ได้องค์กรต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทำงานบนคลาวด์ได้อย่างปลอดภัยและเรียกใช้ได้ตามต้องการ ซึ่งช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการปรับเพิ่มหรือลดขนาดการทำงานได้ตามต้องการ

เทคโนโลยีที่ล้าสมัยและโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการต่าง ๆ ให้กับการทำงานจากระยะไกลของบุคลากร และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประสบการณ์การทำงานแบบไฮบริดของพนักงาน พนักงานทุกคนต้องการโซลูชันคุณภาพสูงที่มอบประสบการณ์ที่เท่าเทียมและเหมือนกันไม่ว่าเขาจะทำงานจากที่ใด การเชื่อมต่อทางดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบเวอร์ชวลที่เข้าถึงได้ง่าย หรือการประชุมผ่านวิดีโอและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ทำงานร่วมกัน  เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนรู้สึกเชื่อมต่อถึงกันกับทีมของเขา และมีเครื่องมือพร้อมที่จะสามารถทำงานได้อย่างดีที่สุด ในการจัดเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรที่ทำงานแบบไฮบริด ไม่มีโซลูชันใดเหมาะกับทุกสถานการณ์ ผู้รับผิดชอบฝ่ายทรัพยากรบุคคลจำเป็นต้องเข้าใจความต้องการของพนักงานและสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน และใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เป็นข้อมูลในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ยึดประสบการณ์ของพนักงานเป็นสำคัญ

คงความปลอดภัยให้กับธุรกิจและพนักงาน

การทำงานแบบไฮบริดอาจนำไปสู่โอกาสการโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น เครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อนมากขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อคงความปลอดภัยให้กับพนักงานและ IP ที่สำคัญของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทหลายแห่งที่เผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดจากโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมที่ออกแบบมาไม่ดีเท่าที่ควร ยังพบกับความเสี่ยงสำคัญ ๆ ด้านความปลอดภัย ความต่อเนื่องทางธุรกิจ และการกู้คืนระบบ

องค์กรจำนวนมากหันมาใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมด้านไอทีที่ช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ทั้งจากระบบที่อยู่ในองค์กรและบนพับลิคคลาวด์ แทนโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม เพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้พับลิคคลาวด์และสภาพแวดล้อมการทำงานจากระยะไกล โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จช่วยให้ธุรกิจสามารถรองรับความต้องการด้านความคล่องตัวให้กับบุคลากรที่ทำงานจากระยะไกลได้อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญ และประสบการณ์ที่ดีของพนักงานไว้ได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีมไอทีบริหารจัดการได้อย่างไม่ยุ่งยาก สามารถปรับขนาดการทำงานขึ้นลงได้ง่ายตามต้องการ ในขณะเดียวกัน ผู้รับผิดชอบฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็มั่นใจได้ว่าโซลูชันที่ใช้ยังคงยึดประสบการณ์ของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญ

ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง

ในอนาคต ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจะมองย้อนกลับมายังปี 2563 ว่าเป็นหนึ่งในปีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ไม่เพียงทำให้โลกเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมเท่านั้นแต่ยังเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่พนักงานมีต่องานของตนอย่างถาวร เปลี่ยนคอนเซปต์การทำงานจาก “ไปทำงานที่ไหนสักแห่ง” เป็น “งานที่คุณทำได้”

การประเมินระบบไอทีขององค์กรใหม่ ควรคำนึงถึงและยึดคนเป็นศูนย์กลาง ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและฝ่ายไอทีจำเป็นต้องผนึกพลังกันเพื่อให้ประสบการณ์ที่ดีของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจด้านไอทีทั้งหมด

Micro Leasing Becomes a Leader in Loan Services Using Nutanix to Bolster its Infrastructure

Micro Leasing ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านสินเชื่อครบวงจร เสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้วย Nutanix

Micro Leasing Becomes a Leader in Loan Services Using Nutanix to Bolster its Infrastructure

Nutanix technology enables Micro Leasing to expand and help its customers be successful

Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, today said Micro Leasing PCL. used the Nutanix platform to modernize its datacenter, which enabled it to create a centralized environment to handle applications used by all of its branches across Thailand. 

Micro Leasing PCL (MICRO:BKK) is listed on the Stock Exchange of Thailand and has almost 3 decades of expertise in used truck hire-purchase. It realizes the significance and necessity of incorporating technology to transform its operating procedures to tackle various challenges and embrace the digital age. It also strives to become a market leader offering a complete range of financial loan services by expanding its businesses and product offerings to support the company’s growth and meet customer demands.

Mr. Preeda Iramaneerat, deputy managing director of Business Resources and Investment for Micro Leasing PCL said, “Because we are a financial institution offering hire-purchase services, we must adhere to stringent standards for operational reliability, timeliness, and transparency for all customer services and have robust security for customer data to comply with regulatory requirements.

“Therefore, we require high-performance, flexible, and efficient solutions that are scalable, can handle massive workloads, and provide our branches in 25 locations around the country with simultaneous access to our core applications.  Our hire-purchase sales department also must be able to function seamlessly from anywhere, at any time, enhancing our professional image. 

“We can confidently say Nutanix helps us meet every one of our needs.”

Preeda also noted COVID-19 had presented an unexpected influx of challenges including opportunities to broaden Micro Leasing’s services. The logistics industry became the fastest-growing segment during that time frame, so Micro Leasing seized on the opportunity to expand its offerings in that area. The new offerings include refinancing, loans, motorcycle hire-purchase, insurance brokers, and more. “We are able to be resilient during unexpected situations and achieve our goals because we have a long-term strategy to support technological changes today and in the future, which has included using Nutanix since 2018,” he said. 

Micro Leasing modernized the legacy infrastructure in its datacenter using Nutanix’s hyperconverged infrastructure. Moreover, Nutanix solutions have enabled it to improve its programs and disaster recovery systems, including the virtual desktops that enable its employees to access the company operating system from anywhere, and centralize and simplify the management of its IT from any one of its branches nationwide.  

Micro Leasing also aims to strengthen its IT through automation and cloud computing. Preeda said, “We are currently evaluating Nutanix’s hybrid multicloud solution and expect to install it soon since we are confident it will enable us to utilize the performance and capabilities of the cloud with total efficiency and achieve the security needed to protect our customers’ data.”

Mr. Han Chon, MD Sales – ASEAN, at Nutanix, said, “Having our products and services chosen by Micro Leasing is a tremendous honor for Nutanix. Nutanix’s hyperconverged infrastructure and our extensive solution suite are helping Micro Leasing achieve its current and future objectives”.

“Our hybrid multicloud solution will also help Micro Leasing achieve its goals of embracing private and public clouds. Moreover, it will enable them to develop innovative businesses and customer services, both online and offline, across multiple platforms in a short time with safety and stability.” 

Micro Leasing ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านสินเชื่อครบวงจร เสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้วย Nutanix

Micro Leasing ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านสินเชื่อครบวงจร เสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้วย Nutanix

Micro Leasing ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านสินเชื่อครบวงจร เสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้วย Nutanix

เทคโนโลยีของ Nutanix ช่วยให้ Micro Leasing ขยายธุรกิจ และเสริมความสำเร็จให้ลูกค้า

 นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริดมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศว่า บริษัทไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (Micro Leasing) เลือกใช้แพลตฟอร์มของ Nutanix ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีและดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัย เพื่อรองรับการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานแบบรวมศูนย์ และการใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ จากสาขาทุกแห่งทั่วประเทศ

Micro Leasing (MICRO:BKK) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกใช้แล้วด้วยความเชี่ยวชาญเกือบสามทศวรรษ เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นในการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อรับมือกับความท้าทายนานัปการ และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล โดยตั้งเป้าก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านสินเชื่อครบวงจร ด้วยการขยายธุรกิจและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รองรับการเติบโตของบริษัทฯ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า

นายปรีดา ไอรมณีรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการด้านทรัพยากรและการลงทุน บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เนื่องจากเราเป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ การดำเนินงานต่าง ๆจึงต้องมีการปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินงานด้านบริการลูกค้าทั้งหมดมีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และให้บริการได้สะดวกรวดเร็ว ตลอดจนมีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลลูกค้าอย่างรัดกุมให้เป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ

ดังนั้น เราจึงต้องการใช้โซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูง ยืดหยุ่น และปรับขนาดได้ เพื่อรองรับปริมาณงานจำนวนมหาศาล และให้ผู้ปฏิบัติงานจาก 25 สาขาทั่วประเทศของเราสามารถเข้าใช้งานแอปพลิเคชันหลักของบริษัทฯ ได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังช่วยให้ฝ่ายสินเชื่อเช่าซื้อสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นจากทุกที่ทุกเวลา เสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพขององค์กร”

“เราพูดได้อย่างมั่นใจว่า Nutanix ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ทั้งหมด”

วิกฤตโควิด-19 นำมาซึ่งความท้าทายมากมายที่คาดไม่ถึง และนำมาซึ่งโอกาสที่ Micro Leasing ได้รับประโยชน์จากการขยายบริการเพิ่มขึ้นของลูกค้ากลุ่มโลจิสติกส์ที่กลายเป็นกลุ่มมีอัตราการที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงนั้น และเป็นโอกาสให้บริษัทฯ ขยายผลิตภัณฑ์และบริการเพิ่มขึ้น อาทิ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ บริการนายหน้าประกันภัย เป็นต้น  นายปรีดากล่าวว่า “ในสภาวการณ์วิกฤตนี้ ไมโครลิสซิ่งยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยืดหยุ่น และบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ที่ตั้งไว้ เพราะเรามีการวางกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีในระยะยาว โดยมี Nutanix เป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่อยู่ในกลยุทธ์ของเราตั้งแต่ปี 2561” 

Micro Leasing ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเดิมในศูนย์ข้อมูลให้ทันสมัย โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จของ Nutanix โซลูชันอื่น ๆ ของ Nutanix ได้เปิดใช้งานเพื่อปรับปรุงโปรแกรมและระบบการกู้คืนความเสียหาย พร้อมให้บริการเวอร์ชวลเดสก์ท็อป ที่ช่วยให้พนักงานสามารถทํางานผ่านระบบปฏิบัติการได้จากทุกที่ รวมศูนย์และลดความซับซ้อนของการจัดการแบบบูรณาการได้จากทุกสาขาทั่วประเทศ

Micro Leasing ตั้งเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยระบบอัตโนมัติและคลาวด์คอมพิวติ้ง “ปัจจุบันเรากําลังประเมินโซลูชันไฮบริดมัลติคลาวด์ของ Nutanix และวางแผนที่จะดำเนินการติดตั้งเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากเราเล็งเห็นถึงสมรรถนะและประโยชน์จากการใช้โซลูชันเหล่านี้ที่จะช่วยให้ระบบคลาวด์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีความมั่นใจกับระบบการรักษาความปลอดภัยในการปกป้องข้อมูลของลูกค้าอีกด้วย” นายปรีดากล่าว

นายฮาน ชนม์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาคอาเซียนของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “Nutanix รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ Micro Leasing วางใจเลือกใช้เทคโนโลยีและโซลูชันของเรา โครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จและชุดโซลูชันที่ครอบคลุมของ Nutanix สามารถช่วยให้ Micro Leasing บรรลุเป้าหมายทั้งในปัจจุบันและอนาคต”

“เราเชื่อมั่นว่าโซลูชันไฮบริดมัลติคลาวด์ของบริษัทฯ จะช่วยให้ Micro Leasing บรรลุแผนงานในการใช้ไพรเวทและพับลิคคลาวด์ร่วมกันได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังช่วยให้สร้างนวัตกรรมทั้งด้านบริการและผลิตภัณฑ์ รวมถึงการบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และเสถียร ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ”