ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

ถอดรหัสการวางเวิร์กโหลดไว้บนสภาพแวดล้อมไอทีที่ไม่เหมาะสม

Fetra Syahbana

บทความโดยนายเฟตรา ชาห์บานา ผู้จัดการประจำกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เติบโต (GEMs), นูทานิคซ์

รูปแบบของการประมวลผลแบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่งผลให้องค์กรในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) กำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของการนำคลาวด์คอมพิวติ้งมาใช้ ปัจจุบันองค์กรจำนวนมากตระหนักแล้วว่าการนำคลาวด์มาใช้อย่างเร่งรีบในช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นการใช้เทคโนโลยีแบบผิดฝาผิดตัวกับงานแต่ละประเภท องค์กรเหล่านี้จึงหันมาโฟกัสกับการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับข้อมูลและการวางแอปพลิเคชันไว้ให้ถูกที่ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากที่สุดควบคู่กับการลดค่าใช้จ่ายและลดความซับซ้อน

วางไข่ไว้ในตะกร้าที่เหมาะสม

เบื้องต้นการนำคลาวด์มาใช้ทำให้องค์กรต้องประเมินกลยุทธ์ใหม่ องค์กรบางแห่งที่นำคลาวด์มาใช้อย่างเร่งรีบ อาจละเลยความสำคัญของการใช้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับข้อมูลและเวิร์กโหลดต่าง ๆ การจับคู่แหล่งทรัพยากรและการใช้จ่ายเข้ากับความต้องการทางธุรกิจ จะช่วยให้องค์กรลดการจัดเตรียมล่วงหน้าที่เกินจำเป็น และลดการใช้งานที่เปล่าประโยชน์ไปพร้อม ๆ กับลดต้นทุนด้านคลาวด์และเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจจากการใช้คลาวด์ได้

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว องค์กรต้องมีความสามารถในการปรับขนาดทรัพยากรที่ใช้ในการประมวลผลและการจัดเก็บ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานสามารถตอบสนองได้อย่างไดนามิกต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของเวิร์กโหลด ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ การใช้โมเดลการดำเนินงานบนคลาวด์ที่ช่วยให้สามารถปรับขนาดทรัพยากรได้ตามความต้องการ องค์กรต่าง ๆ สามารถปรับโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทให้สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจได้ และจะทำให้ได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าใช้จ่ายมากที่สุด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนมุมมองบทบาทของคลาวด์ให้เป็นทางเลือก มากกว่าจะเป็นเพียงเป้าหมายสำหรับทุกสิ่ง

การดำเนินงานแบบไดนามิก

การนำกลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์มาใช้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กรที่มองหาแนวทางลดผลกระทบจากการตัดสินใจผิดผลาด และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อใช้งานได้ทั้งที่เอดจ์ พับลิคคลาวด์ต่าง ๆ และระบบที่อยู่ในองค์กร ช่วยให้เกิดความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในการปรับเวิร์กโหลดให้เหมาะสม และองค์กรต่าง ๆ สามารถผสมผสานและจับคู่เวิร์กโหลดต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดได้

จุดเด่นสำคัญของการใช้โมเดลไฮบริดมัลติคลาวด์ คือความสามารถในการคงรูปแบบการทำงานที่สอดคล้องกันไว้ได้ไม่ว่าจะใช้สภาพแวดล้อมไอทีที่แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งช่วยขจัดความจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องมือหลายอย่างสลับกันไป เพื่อจัดการกับสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ ทั้งยังลดกระบวนการและการใช้ทักษะเฉพาะทางต่าง ๆ ลดความซับซ้อนและไม่ต้องเสียเวลาในการปรับโครงสร้างของแอปพลิเคชันใหม่เมื่อต้องการนำแอปพลิเคชันนั้นไปใช้กับอีกสภาพแวดล้อมหนึ่งที่ต่างออกไป การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน จะช่วยให้องค์กรลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสามารถในการผลิต และจะได้รับประสบการณ์การทำงานที่เป็นหนึ่งเดียวเหมือนกันไม่ว่าจะทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานใดก็ตาม กลยุทธ์ด้านไอทีแบบองค์รวมที่ผสานการทำงานของระบบที่อยู่ในองค์กร เอดจ์ และไฮบริดมัลติคลาวด์เข้าด้วยกัน จะส่งให้องค์กรต่าง ๆ มีความคล่องตัวและตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศักยภาพของ AI

แอปพลิเคชันที่ทำงานด้วย AI ได้กลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนในระยะยาวให้กับองค์กร ทั้งนี้องค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันสร้างแอปพลิเคชัน AI มากขึ้น และสามารถรันเวิร์กโหลดของตนที่ใดก็ได้ที่พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าเป็นสภาพแวดล้อมไอทีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเวิร์กโหลดนั้น ๆ การจัดการทรัพยากรและการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจ ช่วยให้องค์กรลดการเตรียมการที่ไม่จำเป็นและไม่ต้องใช้ลง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านคลาวด์ลดลง โมเดลไฮบริด มัลติคลาวด์ มอบความยืดหยุ่นที่ต้องใช้เพื่อรันเวิร์กโหลด AI ต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด จึงมั่นใจได้ว่าองค์กรจะได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ไฮบริดมัลติคลาวด์ยังช่วยให้องค์กรมองเห็นและควบคุมข้อมูลของตนได้ เป็นการขจัดความกังวลเกี่ยวกับการกำกับดูแลข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การใช้ศักยภาพของ AI กับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ใช้คุณประโยชน์ที่ AI มีให้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้อยู่ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการประมวลผลเพื่อรัน AI ในระบบที่อยู่ในองค์กร หรือบนพับลิคคลาวด์ ทำให้องค์กรต่าง ๆ ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของการสังเคราะห์ข้อมูล AI ที่อยู่ใกล้กับแหล่งที่มาของข้อมูลมากขึ้น แม้กระทั่งที่เอดจ์ซึ่งอยู่ปลายสุดของเน็ตเวิร์ก

ตัวอย่างองค์กรต่าง ๆ ที่มองหาการใช้กลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์ที่ยืดหยุ่นมาใช้ช่วยคงความคล่องตัวและปรับให้ทันกับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

  • Diskominfosan ในเมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ได้ร่วมมือกับ Nutanix เพื่อผสานรวมแอปพลิเคชันของภาครัฐทั้งหมด 229 รายการเข้ากับ Jogja Smart Service (JSS) การบูรณาการนี้ได้ช่วยปรับปรุงการให้บริการประชาชนและความโปร่งใสอย่างมาก และตั้งเป้ารองรับผู้ใช้ JSS มากกว่า 217,000 ราย 
  • Universal Storefront Services Corporation (USSC) ใช้โซลูชันของนูทานิคซ์ในการสร้างคาราวานเงินสด, สร้างความมั่นใจในการปฏิบัติตาม KYC, การยืนยันตัวตน และประมวลผลการชำระเงินที่รวดเร็วขึ้น เพื่อกระจายความช่วยเหลือทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดไปยังครอบครัวชาวฟิลิปปินส์ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการธนาคารที่เป็นออฟไลน์ได้ ความร่วมมือกับนูทานิคซ์นี้ช่วยเสริมให้ USSC มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และมีความสามารถในด้านนวัตกรรมมากขึ้น
  • Future Generali India พิจารณาเลือกใช้คลาวด์ แต่ได้พบว่าการใช้คลาวด์เพียงอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้ในเชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากข้อมูลลูกค้ายังวางอยู่ในระบบภายในองค์กรเพราะติดขัดเรื่องกฎระเบียบ บริษัทฯ จึงเลือก Nutanix Cloud Platform ให้เป็นโซลูชันที่เหมาะสมที่สุดที่ช่วยให้เกิดความคล่องตัว ปลอดภัย และสามารถเชื่อมต่อกับพับลิคคลาวด์โดยที่ยังคงความสามารถในการปฏิบัติตามกฎหมายของอินเดียไว้ได้ และการใช้ Nutanix Cloud Platform นี้ส่งผลให้ระยะเวลาในการตอบสนองของแอปพลิเคชันดีขึ้น 91% ช่วยให้ผู้ขายประกันภัยให้บริการลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นในปัจจุบัน อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง จากการที่องค์กรต่าง ๆ กำลังประเมินกลยุทธ์ด้านคลาวด์ของตนใหม่ การวางเวิร์กโหลดไว้บนสภาพแวดล้อมไอทีที่เหมาะสม การใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์ และใช้ความยืดหยุ่นสูงสุดของคลาวด์เพื่อรันเวิร์กโหลด AI จะช่วยให้ธุรกิจได้ผลลัพธ์สูงสุด ลดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด และปรับตัวเข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นูทานิคซ์เป็นผู้นำในการทรานส์ฟอร์มลักษณะดังกล่าวนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเสริมศักยภาพให้องค์กรต่าง ๆ นำรูปแบบของคลาวด์ที่เหมาะสมมาใช้ และเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ

How the Era of Hybrid Multicloud Will Unlock the Potential of the Public Sector

How the Era of Hybrid Multicloud Will Unlock the Potential of the Public Sector

How the Era of Hybrid Multicloud Will Unlock the Potential of the Public Sector

Article by Fetra Syahbana, country manager for Growth and Emerging Market’s (GEMS), Nutanix

In today’s increasingly interconnected world, the role of the public sector is even more important. This is because it is entrusted with the crucial responsibility of delivering essential services to the public, addressing societal challenges, preventing and responding to security threats, and fostering economic growth. As a result, in an era of rapid technological advancements, public sector organisations are increasingly recognising the need to embrace digital transformation to enhance their operational efficiency, improve service delivery, and meet the ever-growing expectations of citizens.

Many governments have chosen cloud service providers due to anticipated cost savings and greater efficiency in delivering on their mission, as well as improving employee and citizen experiences. In fact, IDC estimates that by 2025 public cloud spending by governments across Asia Pacific will hit US$12.6 billion.

Indeed, public sector organisations are adopting new technologies and strategies to drive innovation. The fifth annual Nutanix Enterprise Cloud Index report by Vanson Bourne, a UK-based research firm, reveals that public sector organisations plan to increase hybrid multicloud deployments by nearly five-fold over the next 3 years, projecting a penetration rate of 39 per cent – slightly ahead of the cross-industry global average. This signifies a proactive approach in gaining agility, within a diverse IT environment, to avoid vendor lock-in and to be ready to embrace technological advancements needed to enhance the delivery of public services. As the public sector embraces the era of hybrid multicloud deployments, a new realm of possibilities opens, promising to unlock its full potential and revolutionise the way the public service operates.

Global Public Sector: IT Models in Use and Planned
Global Public Sector: IT Models in Use and Planned

A Unified Approach to Drive Innovation in The Public Sector

In the digital era, citizens expect services to be easily accessible, personalised, and efficient. They demand seamless interactions, quick response times, security, and transparency. On the other hand, the public sector needs the capabilities to quickly respond to emerging challenges, ensure continuity of services during emergencies, and adapt quickly to evolving circumstances.

One of the key enablers in the public sector driving its digital transformation and delivery of services is the growing adoption of hybrid multicloud deployments. Findings from the same Nutanix report found that public sector organisations expect to more than double their use of multicloud as their exclusive IT infrastructure by 2026. The adoption of increased infrastructure diversity and a heightened emphasis on data storage, management, security, and services has prompted IT professionals to express a strong desire for a single, unified place to manage applications and data across diverse environments.

The significance of this unified approach cannot be overstated, as it empowers public sector organisations to gain comprehensive visibility into the location of their data. This newfound visibility enables IT teams to seamlessly manage applications and data while facilitating real-time adjustments to meet evolving requirements related to data security, backup, compliance, performance, and cost. Public sector entities can enhance operational efficiency, accelerate innovation, and deliver seamless citizen experiences. From streamlining administrative processes to providing personalised and accessible services, hybrid multicloud deployments offer immense potential for the sector to transform its service delivery models.

Making Data Work for Public Good

One of the key advantages of hybrid multicloud for the public sector is its ability to unlock the full potential of data. Governments are increasingly reliant on vast amounts of data to make informed decisions and optimise resource allocation. By leveraging hybrid multicloud deployments, public sector organisations can consolidate and analyse data from a variety of sources, gaining valuable insights that inform evidence-based policymaking and service improvements. From identifying patterns and trends to predicting outcomes, data-driven decision-making becomes a reality, enabling governments to address complex societal challenges with agility and precision.

In the same vein, data security and compliance are paramount concerns for the public sector. 47 per cent of the survey respondents cited a desire to improve their organization’s security posture and their ability to meet regulatory requirements as a reason for moving applications between IT infrastructures in the past 12 months.

Reasons for Moving Apps Across Infrastructure in the Past Year
Reasons for Moving Apps Across Infrastructure in the Past Year

For Thailand, the summary report on “Cyber security performance, October 2021 – September 2022” by the National Cyber Security Committee (NCSC) found that there were 551 cyber attack incidents such as website hacking, ransomware, and malware that steal financial information, etc. The report also predicts that the attack by hacking “government and important agencies” websites will be the most detected pattern.

Hybrid multicloud provides public sector organisations with choices to protect sensitive data and ensure regulatory compliance. By leveraging private datacentres for sensitive data and public clouds for less sensitive workloads, public sector organisations can strike the right balance between security, accessibility, and cost-efficiency. This approach enhances agility, with freedom to locate workloads where they best meet strategic priorities such as the mission, security, performance, or compliance. 

This era of hybrid multicloud marks a pivotal moment for the public sector. By embracing this paradigm shift, the public sector can unlock its true potential, drive innovation, embark on successful digital experiences and effectively serve its constituents, missions, and mandates. Especially as digital boundaries continue to be shattered, the hybrid multicloud strategy will enable the sector to thrive in a future where public services need to meet the evolving needs of citizens and also shape a future where public services are agile, resilient, and driven by innovation.

องค์กรภาครัฐจะใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์ ปลดล็อกศักยภาพได้อย่างไร

How the Era of Hybrid Multicloud Will Unlock the Potential of the Public Sector

องค์กรภาครัฐจะใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์ ปลดล็อกศักยภาพได้อย่างไร

บทความโดยนายเฟตรา ชาห์บานา ผู้จัดการประจำกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เติบโต (GEMs), นูทานิคซ์

โลกที่เชื่อมต่อถึงกันมากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ภาครัฐมีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการให้บริการที่จำเป็นแก่สาธารณะ แก้ไขความท้าทายทางสังคมหลากหลาย ป้องกันและตอบสนองต่อภัยคุกคามความปลอดภัยต่าง ๆ และส่งเสริมเศรษฐกิจให้เติบโต ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนี้ องค์กรภาครัฐต่างตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องเปลี่นแปลงตนเองสู่ดิจิทัล เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้บริการได้ดีขึ้น และสามารถตอบสนองความคาดหวังของประชาชนที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา

หน่วยงานภาครัฐจำนวนมากเลือกผู้ให้บริการคลาวด์ด้วยเหตุผลที่คาดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่าย และจะช่วยให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับพนักงานและประชาชน ตามข้อเท็จจริง IDC ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาและวิจัยตลาดชั้นนำของโลกคาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2568 ภาครัฐในเอเชียแปซิฟิกจะใช้จ่ายด้านพับลิคคลาวด์แตะระดับ 12.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ

จริง ๆ แล้ว หน่วยงานภาครัฐมีการใช้เทคโนโลยีและกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อผลักดันให้เกิดนวัตกรรมอยู่แล้ว เห็นได้จากรายงานผลสำรวจ Nutanix Enterprise Cloud Index ประจำปีครั้งที่ 5 โดยแวนสัน บอร์น ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยในสหราชอาณาจักร ได้เผยให้เห็นผลสำรวจที่ว่าองค์กรภาครัฐวางแผนใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์เพิ่มขึ้นเกือบห้าเท่าในช่วงสามปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 39 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั่วโลกเล็กน้อย ผลสำรวจนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการเชิงรุก เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับการใช้สภาพแวดล้อมไอทีที่หลากหลาย เพื่อเลี่ยงที่จะต้องติดอยู่กับผู้ให้บริการเพียงรายเดียว และเพื่อพร้อมนำความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีมาช่วยให้สามารถให้บริการสาธารณะได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเมื่อภาครัฐเข้าสู่โลกของการใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์ จะเป็นการเปิดโอกาสแห่งความเป็นไปได้ใหม่ ๆ จะนำสู่การปลดล็อกศักยภาพทุกแง่มุม และปฏิวัติแนวทางการทำงานเพื่อให้บริการสาธารณะได้ดีขึ้น

เหตุผลในการย้ายแอปพลิเคชันไปมาระหว่างโครงสร้างพื้นฐานไอทีประเภทต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา
เหตุผลในการย้ายแอปพลิเคชันไปมาระหว่างโครงสร้างพื้นฐานไอทีประเภทต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา

ภาครัฐสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยวิธีการแบบรวมศูนย์

ประชาชนในยุคดิจิทัลคาดหวังว่าจะสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้โดยง่าย เป็นบริการที่ตรงตามความต้องการเฉพาะตัว และมีประสิทธิภาพ ต้องการการปฏิสัมพันธ์ที่ราบรื่น เวลาในการตอบสนองที่รวดเร็ว ความปลอดภัย และความโปร่งใส หรืออีกนัยหนึ่งคือ ภาครัฐต้องสามารถตอบสนองความท้าทายใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างฉับไว ให้ความมั่นใจว่าแม้ในระหว่างเกิดเหตุฉุกเฉินจะยังคงให้บริการต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว

การใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์มากขึ้น เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ภาครัฐสามารถผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการให้บริการที่ทันความต้องการของประชาชน ผลสำรวจจากรายงาน Enterprise Cloud Index ของนูทานิคซ์ฉบับนี้ยังพบว่า องค์กรภาครัฐคาดหวังจะใช้มัลติคลาวด์เป็นโครงสร้างพื้นฐานไอทีของตนเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2569 ซึ่งการใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่หลากหลายมากขึ้น และการให้ความสำคัญกับการจัดเก็บข้อมูล การบริหารจัดการ การรักษาความปลอดภัย และบริการต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีต้องการความสามารถในการบริหารจัดการแอปพลิเคชันและข้อมูลที่อยู่บนทุกสภาพแวดล้อมไอทีได้จากจุดเดียว

ความสำคัญของแนวทางที่เป็นหนึ่งเดียวนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะมันช่วยให้องค์กรภาครัฐมองเห็นว่าข้อมูลของตนอยู่ ณ ที่ใดได้อย่างครบถ้วน ซึ่งความสามารถในการมองเห็นนี้ ช่วยให้ทีมไอทีบริหารจัดการแอปพลิเคชันและข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อ สามารถปรับวิธีการให้ตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยของข้อมูล การสำรองข้อมูล การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ประสิทธิภาพที่ต้องการ และค่าใช้จ่าย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาได้แบบเรียลไทม์ หน่วยงานภาครัฐสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สร้างนวัตกรรมได้เร็วขึ้น และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับประชาชนได้อย่างราบรื่น ไฮบริด มัลติคลาวด์มอบศักยภาพมหาศาลให้กับภาครัฐเพื่อเปลี่ยนผ่านรูปแบบการให้บริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการบริหารจัดการที่คล่องตัว ไปจนถึงการให้บริการที่ตรงตามความต้องการเฉพาะบุคคล และประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยุ่งยาก 

ให้ข้อมูลทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์

หนึ่งในข้อได้เปรียบสำคัญที่ภาครัฐจะได้รับจากการใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์ คือ สามารถนำศักยภาพของข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ภาครัฐเพิ่มการใช้ข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อประกอบการตัดสินใจอย่าง

ชาญฉลาดและจัดสรรทรัพยากรได้เหมาะสมมากขึ้น องค์กรภาครัฐสามารถใช้ประโยชน์จากไฮบริดมัลติคลาวด์ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง และได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเพื่อใช้ขับเคลื่อนการวางนโยบายโดยอิงตามหลักฐานที่ปรากฎชัดเจน และปรับปรุงบริการต่าง ๆ ให้ดีขึ้น การใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการระบุรูปแบบและแนวโน้มต่าง ๆ ไปจนถึงการคาดการณ์ผลลัพธ์ที่จะได้นั้นตรงตามความจริง และช่วยให้องค์กรภาครัฐจัดการกับความท้าทายทางสังคมที่ซับซ้อนได้อย่างคล่องตัวและถูกต้อง

เหตุผลในการย้ายแอปพลิเคชันไปมาระหว่างโครงสร้างพื้นฐานไอทีประเภทต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา
เหตุผลในการย้ายแอปพลิเคชันไปมาระหว่างโครงสร้างพื้นฐานไอทีประเภทต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา

ในขณะเดียวกัน ภาครัฐมีความกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดย 47 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ตอบแบบสอบถามอ้างว่าเหตุผลที่ต้องย้ายแอปพลิเคชันไปมาระหว่างโครงสร้างพื้นฐานไอทีประเภทต่าง ๆ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เกิดจากความต้องการเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กร และให้สามารถตอบโจทย์กฎระเบียบต่าง ๆ ได้ สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากรายงานสรุปผลการดำเนินงานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระหว่างเดือนตุลาคม 2564 ถึงเดือนกันยายน 2565 โดยคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) พบว่ามีภัยคุกคามทางไซเบอร์จำนวนทั้งสิ้น 551 เหตุการณ์ เช่น การโจมตีด้วยการแฮ็กเว็บไซต์, มัลแวร์เรียกค่าไถ่ และมัลแวร์ที่มีความสามารถในการขโมยข้อมูลทางการเงิน เป็นต้น  รวมทั้งได้คาดการณ์แนวโน้มภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่จะเกิดขึ้นว่าการโจมตีด้วยการแฮ็กเว็บไซต์ “หน่วยงานราชการและหน่วยงานสำคัญ” เป็นรูปแบบที่ถูกตรวจพบมากที่สุด

ไฮบริดมัลติคลาวด์มอบทางเลือกในการปกป้องข้อมูลที่อ่อนไหวง่าย และมอบความสามารถในการปฏิบัติตามกฎระเบียบให้แก่องค์กรภาครัฐ การเก็บข้อมูลที่อ่อนไหวง่ายไว้ในศูนย์ข้อมูลแบบไพรเวทในองค์กร และวางเวิร์กโหลดที่มีความอ่อนไหวน้อยไว้บนพับลิคคลาวด์ ช่วยให้องค์กรภาครัฐสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยไซเบอร์ การเข้าถึงเพื่อใช้งาน และการประหยัดค่าใช้จ่าย ดังนั้นแนวทางการใช้ไฮบริด มัลติคลาวด์นี้จึงช่วยเพิ่มความคล่องตัวที่เกิดจากสามารถเลือกวางเวิร์กโหลดไว้ ณ โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่เหมาะสมที่สุดตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ เช่น เลือกตามกลยุทธ์ด้านภารกิจ ด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพที่ต้องการ หรือการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ได้อย่างอิสระ

ยุคของไฮบริดมัลติคลาวด์นี้เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับภาครัฐ การนำกระบวนทัศน์นี้มาใช้จะช่วยให้ภาครัฐสามารถปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริง ขับเคลื่อนนวัตกรรม สร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จ ให้บริการประชาชน ทำภารกิจต่าง ๆ และสั่งการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อขอบเขตทางดิจิทัลยังคงไม่มีที่สิ้นสุด การใช้กลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์จะช่วยให้ภาครัฐก้าวหน้าต่อไปในอนาคตที่บริการสาธารณะต่าง ๆ จำเป็นต้องตอบสนองความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาให้ได้ และยังช่วยกำหนดอนาคตให้บริการสาธารณะมีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

Navigating the intersection of sustainability and technology

เส้นทางที่ความยั่งยืนและเทคโนโลยีมาทับซ้อนกัน

Navigating the intersection of sustainability and technology

Article by Fetra Syahbana, country manager for Growth and Emerging Market’s (GEMS), Nutanix

We know the technology industry’s footprint on the environment is significant. As ever larger swaths of information are generated, and organizations amass even more data, the demand for datacenters and the energy to run them will continue to grow. Datacenters are estimated to be responsible for up to 3 percent of global electricity consumption today, the equivalent of supplying 10 New York cities over a year. They consume more power per capita than the whole UK, with their impact on electricity consumption projected to reach 4 percent by 2030.)

But energy consumption is just part of the impact since issues such as water consumption and e-waste generation need to be considered. Fortunately, most of the IT community is aware of these issues and agrees that sustainable growth is climbing to the top of organisations’ priority lists.   

In fact, Nutanix’s 2023 Enterprise Cloud Index (ECI) research found that almost all (92 percent) respondents agreed sustainability is more important to their organisation than it was a year ago. This illustrates how the integration of sustainable practices into technology operations has become increasingly important for enterprises.

However, the same survey showed that almost nine in 10 executives acknowledged that meeting corporate sustainability goals is challenging.

Taking the right turn towards sustainability

One of the main challenges businesses faces is managing the complex and diverse technology environments in which they operate. The ECI report shows that in the Asia-Pacific region, 44 percent of companies have relocated applications in the last 12 months to meet sustainability goals, far outpacing the Americas or EMEA.

Thus, delivering sustainable business strategies that include IT operations is becoming increasingly crucial for businesses. As businesses expand their technology infrastructure, they must find ways to manage their carbon footprint and reduce their environmental impact.

Most organisations would love it if there was one comprehensive guide that acted like a compass in guiding them on how to best navigate the complex and ever-changing landscape of sustainability in technology. The reality is every organisation is different and requires a nuanced approach to develop and bring such strategies to life. To make impactful, positive change, organisations should think holistically and consider the environmental impact of technology as well as the social and economic dimensions of sustainability.

Paving an impactful sustainability strategy

Sustainability in technology requires a combination of technological innovation and strategic planning. By leveraging cutting-edge technology solutions such as hyperconverged infrastructure, businesses may be able to reduce their energy consumption and carbon footprint while also striving for greater efficiency and performance.

The manufacturer Natures Organics is a good example of what can be done.  The company wanted to overhaul its energy-hungry and power-lacking IT infrastructure. Business reporting was impacted because of database timeouts which in turn limited the company’s ability to make data-driven decisions. For a business operating in the fast moving consumer goods sector where business agility is a key factor, the situation was less than optimal.

Working with Nutanix partner Australian Sentinel, Natures Organics deployed Nutanix hyperconverged infrastructure and began moving applications and databases across. What’s more, IT costs overall were cut 32 percent and energy use by 55 percent.

Beyond this, companies must work to develop a comprehensive sustainability strategy that considers the broader social and economic impacts of technology. This requires a deep understanding of the needs and priorities of all stakeholders, from customers and employees to investors and regulators. By engaging with these stakeholders and working collaboratively to develop a shared vision of sustainability, businesses can become a guiding light for their industries and help to drive positive change.

That said, no business can solve the world’s ESG challenges. There needs to be a concerted effort across industries to enact actual change and drive impactful sustainability outcomes. Technology-focused companies, for example, must work with suppliers and partners to promote responsible sourcing and reduce the environmental impact of our supply chain footprint. 

Regulations are also shaping the focus on sustainability in the tech industry. Many countries are introducing regulations that require businesses to reduce their carbon footprint and adopt more sustainable practices. Governments are also leading by example. For instance, the Australian government announced a $1.2 billion investment in digital technology and cybersecurity, focusing on reducing carbon emissions and improving energy efficiency.

Thailand has announced a goal of carbon neutrality by 2050 and net zero greenhouse gas emissions (Net Zero) by 2065. The government has therefore accelerated the policy, roll out various incentives such as tax incentive measures, and encouraged all parties to leverage green technological innovations, to make the industrial and service sectors operate in a more environmentally friendly manner.

At the same time, it is important to recognise that sustainability is not just an environmental issue – it is also a social and economic issue. The industry’s commitment to sustainability must extend beyond our operations to the communities where we operate. Beyond their processes, organisations must also look at investing in local communities, supporting sustainable development, and promoting social responsibility. By investing in the well-being of our communities, we can help to create a more sustainable future for all.

Sustainability in the technology industry is now a necessary consideration that must be adopted into all aspects of business operations. The challenges of integrating sustainability practices into technology operations are significant, but the benefits are even greater. More sustainable practices can lead to cost savings, increased efficiency, and improved brand reputation. Furthermore, businesses prioritising sustainability are likely to attract and retain customers that want to work with organisations that align with their values and priorities.

เส้นทางที่ความยั่งยืนและเทคโนโลยีมาทับซ้อนกัน

เส้นทางที่ความยั่งยืนและเทคโนโลยีมาทับซ้อนกัน

เส้นทางที่ความยั่งยืนและเทคโนโลยีมาทับซ้อนกัน

บทความโดยนายเฟตรา ชาห์บานา ผู้จัดการประจำกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เติบโต (GEMs), นูทานิคซ์

ทุกคนทราบดีว่าฟุตพริ้นท์ของอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมนั้นมีความสำคัญ การสร้างข้อมูลมากขึ้นและการที่องค์กรเก็บสะสมข้อมูลไว้มากขึ้น ทำให้ความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ และพลังงานที่ต้องใช้เพื่อการทำงานของดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีการใช้ไฟฟ้าในดาต้าเซ็นเตอร์มากถึง 3 เปอร์เซ็นของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกในปัจจุบัน ซึ่งเทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้เมืองนิวยอร์ก 10 เมืองในระยะเวลาหนึ่งปี ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้พลังงานต่อหัวมากกว่าการใช้ทั่วทั้งสหราชอาณาจักร และคาดว่าจะมีการใช้ไฟฟ้าสูงถึง 4 เปอร์เซ็นต์ภายในปี พ.ศ. 2573

แต่ผลกระทบจากการใช้พลังงานเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะยังต้องพิจารณาประเด็นต่าง ๆ เช่น การใช้น้ำ และการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ประกอบกันด้วย นับเป็นความโชคดีที่คอมมิวนิตี้ด้านไอทีส่วนใหญ่ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ และเห็นตรงกันว่า การเติบโตอย่างยั่งยืนกำลังเป็นเรื่องที่องค์กรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ

ผลสำรวจ Enterprise Cloud Index (ECI) ประจำปี 2566 ของนูทานิคซ์พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบทั้งหมด (92 เปอร์เซ็นต์) เห็นตรงกันว่าความยั่งยืนมีความสำคัญกับองค์กรมากกว่าปีที่ผ่านมา ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นว่า ทำไมการนำวิธีปฏิบัติที่ยั่งยืนรวมเข้ากับการดำเนินการทางเทคโนโลยี จึงมีความสำคัญต่อองค์กรมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจเดียวกันพบว่าผู้บริหาร 9 ใน 10 คนยอมรับว่าการบรรลุตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กรเป็นเรื่องที่ท้าทาย

เปลี่ยนสู่ความยั่งยืนอย่างเหมาะสม

หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่ธุรกิจต้องเผชิญคือการจัดการสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและหลากหลาย ผลสำรวจ ECI เผยให้เห็นว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา 44 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทำการย้ายแอปพลิเคชันไปไว้บนสภาพแวดล้อมใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ซึ่งเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่ล้ำหน้าในอเมริกา หรือ EMEA อย่างมาก

ดังนั้น การนำเสนอกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืนที่รวมการดำเนินงานด้านไอทีไว้ด้วยจึงมีความสำคัญต่อธุรกิจมากขึ้น เมื่อใดที่ธุรกิจขยายโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของตน ธุรกิจเหล่านั้นจะต้องหาแนวทางบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

องค์กรส่วนใหญ่มักต้องการคำแนะนำหนึ่งเดียวที่ครอบคลุมรอบด้าน และเป็นดั่งเข็มทิศนำทางสู่วิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับความยั่งยืนทางเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง องค์กรทุกแห่งแตกต่างกัน และต้องการวิธีการที่เหมาะกับตนเพื่อพัฒนาและทำให้กลยุทธ์ดังกล่าวเป็นจริงได้ ดังนั้น องค์กรควรคิดแบบองค์รวมและพิจารณาผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมิติทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับความยั่งยืน เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและส่งผลที่มีนัยสำคัญ

กรุยทางสู่การใช้กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ

ความยั่งยืนทางเทคโนโลยี ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ การใช้โซลูชันทางเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เช่น โครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จอาจช่วยให้ธุรกิจลดการใช้พลังงานและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถนะในการทำงานให้ดีขึ้น

บริษัท Natures Organics เป็นผู้ผลิตที่เป็นตัวอย่างที่ดีของความสำเร็จด้านนี้ บริษัทฯ ต้องการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ใช้พลังงานมากและขาดประสิทธิภาพให้ดีขึ้น การรายงานทางธุรกิจได้รับผลกระทบเพราะฐานข้อมูลหมดอายุ ซึ่งเป็นการจำกัดความสามารถในการตัดสินใจที่ต้องพึ่งพาข้อมูล สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลลบต่อการดำเนินธุรกิจในส่วนของสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความเคลื่อนไหวรวดเร็ว และต้องการความคล่องตัวทางธุรกิจอย่างมาก

Natures Organics ติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จของนูทานิคซ์ ผ่านการทำงานร่วมกับ Australian Sentinel ซึ่งเป็นพันธมิตรของนูทานิคซ์ และเริ่มย้ายแอปพลิเคชันและฐานข้อมูลไปไว้บนโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านไอทีโดยรวมลงได้ 32 เปอร์เซ็นต์ และลดการใช้พลังงานลง 55 เปอร์เซ็นต์

นอกจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานไอทีแล้ว บริษัทต้องพัฒนากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุม โดยพิจารณาถึงผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีที่จะมีต่อสังคมและเศรษฐกิจในวงกว้าง การจะทำเช่นนี้ได้จำเป็นต้องเข้าใจความต้องการและลำดับความสำคัญที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าและพนักงานของบริษัท ไปจนถึง ผู้ลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแล และเมื่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมและทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนร่วมกันแล้ว ธุรกิจจะกลายเป็นผู้นำแนวทางด้านนี้ให้กับอุตสาหกรรม และช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดผลเชิงบวก

กล่าวคือ ไม่มีธุรกิจใดสามารถแก้ไขความท้าทายด้าน ESG ของโลกได้เพียงลำพัง แต่จำเป็นต้องผสานความร่วมมือจากทุกอุตสาหกรรม เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง และขับเคลื่อนผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนที่มีนัยสำคัญ เช่น บริษัทด้านเทคโนโลยีต้องทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์และพันธมิตรเพื่อส่งเสริมการให้บริการอย่างมีความรับผิดชอบ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากซัพพลายเชนฟุตพริ้นท์ของบริษัท

กฎระเบียบยังส่งผลต่อรูปแบบของความยั่งยืนของอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี หลายประเทศกำลังออกกฎระเบียบต่าง ๆ ที่กำหนดให้ธุรกิจลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์และใช้แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น เช่น รัฐบาลออสเตรเลีย ประกาศลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ 1.2 พันล้านดอลลาร์ โดยเน้นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 รัฐบาลจึงเร่งผลักดันนโยบาย สร้างแรงจูงใจต่าง ๆ เช่น แรงจูงใจด้านภาษี และส่งเสริมการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ออกมาตรการต่าง ๆ เช่นมาตราการทางภาษีเพื่อจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการของไทยดำเนินการในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ในขณะเดียวกันเราต้องตระหนักว่าความยั่งยืนไม่ได้เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจด้วย พันธสัญญาด้านความยั่งยืนของอุตสาหกรรมต้องขยายไปยังชุมชนที่ธุรกิจนั้น ๆ ดำเนินงานอยู่ด้วย ไม่ใช่เพียงการดำเนินงานขององค์กรเท่านั้น นอกเหนือจากกระบวนการต่าง ๆ แล้ว องค์กรต้องพิจารณาด้านการลงทุนกับชุมชุนในท้องถิ่น สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน และส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม การลงทุนเพื่อให้ชุมชนที่องค์กรดำเนินกิจการอยู่มีความเป็นอยู่ที่ดี จะช่วยให้เราสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกคนได้

ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณานำมาใช้กับทุกแง่มุมของการทำธุรกิจในปัจจุบัน การรวมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงานทางเทคโนโลยีเป็นความท้าทายสำคัญ แต่ประโยชน์ที่ได้นั้นสำคัญกว่ามาก แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนต่าง ๆ จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและเพิ่มชื่อเสียงให้กับแบรนด์ นอกจากนี้ ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความ ยั่งยืนมีแนวโน้มที่จะดึงความสนใจและรักษาลูกค้าที่ต้องการทำงานกับองค์กรที่เห็นคุณค่าและให้ความสำคัญกับแนวทางที่สอดคล้องกับตนไว้ได้