ภาคการผลิตตบเท้าขึ้นเป็นผู้นำในการปรับระบบไอทีให้ทันสมัย

ภาคการผลิตตบเท้าขึ้นเป็นผู้นำในการปรับระบบไอทีให้ทันสมัย

ทวิพงศ์_Nutanix_นูทานิคซ์
บทความโดยนายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

อุตสาหกรรมการผลิตเป็นภาคส่วนที่มีความซับซ้อน และมักเข้าใจกันว่าเป็นเพียงสายพานลำเลียงที่ไหลไปตามสายการผลิต และมีพนักงานทำงานอยู่ด้านหลังเครื่องจักรขนาดใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว ภาคการผลิตเป็นตัวกำหนดรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างไรก็ตามระบบซัพพลายเชนต่าง ๆ ที่สนับสนุนการทำงานของภาคการผลิตกำลังถูกกดดันอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ปัจจุบันไอทีมีบทบาทสำคัญในการนำความทันสมัยมาสู่อุตสาหกรรมนี้ และช่วยให้ปรับตัวได้ทันความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

รายงานดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กรของนูทานิคซ์ ซึ่งทำการสำรวจบริษัททั่วโลกเป็นปีที่สาม (ECI report) พบว่า สามในสี่ (75 เปอร์เซ็นต์) ของผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตกล่าวว่าโควิด-19 ทำให้ไอทีได้รับการพิจารณาในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น และยังทำให้องค์กรเพิ่มการลงทุนกับระบบคลาวด์อย่างรวดเร็ว

สำหรับประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ที่มีเป้าหมายภายในปี 2579 ให้ภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ย
ไม่ต่ำกว่า 4.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี มีผลิตภาพการผลิตของปัจจัยการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และมีการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐและเอกชนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10 และ 7.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปีตามลำดับ

 

โควิด-19 เป็นแรงผลักที่เร่งให้นำไฮบริดและมัลติคลาวด์มาใช้เร็วขึ้น

รายงาน ECI ระบุว่า 87% ของผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในภาคการผลิตส่วนใหญ่เชื่อว่า โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์เป็นรูปแบบการทำงานด้านไอทีที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ ทั้งนี้อุตสาหกรรมการผลิตเป็นภาคส่วนที่ใช้ไฮบริดคลาวด์มากกว่าอุตสาหกรรมอื่นในปัจจุบัน (ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์)

ผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตยังได้รายงานว่ามีแผนเพิ่มการใช้งานไฮบริดคลาวด์ขึ้นอีกมากกว่าสองเท่าภายในสามปี และจะเพิ่มการใช้งานเป็นประมาณ 52 เปอร์เซ็นต์ภายในห้าปี การก้าวกระโดดสู่ความทันสมัยนี้จะพลิกโฉมแนวทางการทำงานแบบเดิม ๆ ของภาคการผลิต และเร่งการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นให้เร็วขึ้นในทุกบริบทของภาคอุตสาหกรรม แต่การเดินทางสู่ความสำเร็จนี้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากจากผู้นำด้านไอทีในอุตสาหกรรมนี้

เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ผู้นำในอุตสาหกรรมต่างมีภารกิจสำคัญในการพิจารณากระบวนการทางธุรกิจที่เป็นมาตรฐานต่าง ๆ เสียใหม่ โดยเฉพาะจะทำอย่างไรให้ปกป้องพนักงานจากโรคระบาดด้วยการต้องเว้นระห่างทางสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยังคงรักษาผลการปฏิบัติงานและผลผลิตไว้ให้ได้ด้วย

รายงาน ECI ทำให้เห็นได้ว่าผู้ผลิตต่างเชื่อมั่นว่า ไฮบริดและมัลติคลาวด์จะช่วยการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ได้ และผู้ตอบแบบสำรวจ กำลังใช้โมเดลนี้ด้วยเหตุผลเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจได้ดีขึ้น (62 เปอร์เซ็นต์) เพื่อสามารถควบคุมการใช้ทรัพยากรไอทีได้ดีขึ้น (60 เปอร์เซ็นต์) และเพื่อให้บริการต่อความจำเป็นต่าง ๆ ทางธุรกิจได้เร็วขึ้น (53 เปอร์เซ็นต์) เราอยู่ในยุคที่อุตสาหกรรรม 4.0 หรือการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่สี่กำลังดำเนินไป และการเปลี่ยนไปใช้ไฮบริดคลาวด์จะช่วยทำให้การทำงานหลังบ้านต่าง ๆ ในปัจจุบันเป็นอัตโนมัติ ทำให้ใช้ทรัพยากรไอทีต่าง ๆ น้อยลง และสามารถลงทุนในเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทันสมัยอื่น ๆ ได้

Nutanix_ภาคการผลิต

โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) เป็นบริษัทในเครือของบริษัท โตโย ไซกัน กรุ๊ป โฮลดิ้ง ประเทศญี่ปุ่น บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกทั่วไป, ขวด PET สำหรับเครื่องดื่ม, ออกแบบและดำเนินงานด้านบรรจุภัณฑ์ และให้การสนับสนุนด้านเทคนิค รวมถึงบริการด้านการจัดการแก่กลุ่มบริษัทต่าง ๆ โตโย ไซกันได้เลือกใช้คลาวด์แพลตฟอร์มของนูทานิคซ์ทดแทนโครงสร้างพื้นฐานเดิม เพื่อสนับสนุนการก้าวสู่การผลิตอัจฉริยะ โซลูชันของนูทานิคซ์ช่วยให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงข้อมูลและแอปพลิเคชันจากระยะไกลได้จากทุกอุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถสำรองข้อมูล และคงความต่อเนื่องทางธุรกิจในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งยังช่วยเสริมความปลอดภัย และมอบระบบบริหารจัดการแบบอัตโนมัติ ในภาพรวม โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพไอทีได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ โดยสามารถกู้คืนไฟล์ได้ในเวลาน้อยกว่า 10 นาทีจากเดิมใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารายปีลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ และยังสามารถนำ IoT มาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

 

การเร่งเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและการเดินหน้าสู่ความสำเร็จ

แม้จะมีการเร่งผลักดันให้เปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์ แต่ธุรกิจในอุตสาหกรรมการผลิตยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้ ตัวเลขจากผลสำรวจ ECI ระบุว่า 15 เปอร์เซ็นต์ของผู้ผลิตทั่วโลกยังคงทำงานอยู่บนดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมที่ไม่ได้อยู่บนระบบคลาวด์

การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคการผลิตจะยังไม่สมบูรณ์จนกว่าธุรกิจในภาคส่วนนี้จะปรับวิธีการผลิตที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ การประกอบชิ้นส่วน และการให้บริการหรือส่งมอบผลิตภัณฑ์นั้นให้ถึงมือผู้บริโภค ไฮบริด มัลติคลาวด์มีฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สามารถเข้าไปช่วยกระบวนการดำเนินงานทั้งหมดได้ ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงระบบซัพพลายเชน การนำกระบวนการอัตโนมัติและเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น การนำหุ่นยนต์มาใช้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเพิ่มผลผลิตได้ ซึ่งเป็นการช่วยให้พนักงานมุ่งเน้นการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพอื่น ๆ มากกว่าที่จะต้องมาคอยดูเรื่องปริมาณหรือจำนวนของที่ผลิตได้ การผลิตอัจฉริยะที่มีสถาปัตยกรรมดิจิทัลอยู่เบื้องหลังยังไม่สมบูรณ์แบบมากนัก เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่ใช้เพียงเครื่องมือในการผลิตที่เป็นดิจิทัลเท่านั้น ผู้ตอบแบบสำรวจจากอุตสาหกรรมนี้จะดำเนินการทุกอย่าง และขจัดการติดตั้งใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมออกไป เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ประสบความสำเร็จ โดยผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขาจะเพิ่มการใช้ไฮบริดและมัลติคลาวด์มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ภายในห้าปีข้างหน้า

ข้อมูลจากโครงการศึกษาแนวทางการยกระดับผลิตภาพและสร้างมูลค่าของภาคเศรษฐกิจไทยด้วยหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล ระบุว่า เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล เป็นปัจจัยความสำเร็จหลักต่อการพัฒนา ทั้งนี้ข้อมูลจากการจัดลำดับปริมาณการใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมของ International Federation of Robotic (IFR) สำหรับปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมใหม่จำนวน 2,883 ยูนิต

นอกจากนี้สถาบันวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีผลการศึกษาการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการผลิตจากจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1,260 สถานประกอบการ โดย พบว่ามีผู้ประกอบการเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดและเชื่อมโยงการผลิตตลอดซัพพลายเชนผ่านระบบไอที ในขณะที่ 45 เปอร์เซ็นต์ มีการนำมาใช้บางจุดของกระบวนการผลิตแต่ยังไม่มีการเชื่อมต่อข้อมูล และ 31 เปอร์เซ็นต์ยังไม่มีการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาใช้ในการผลิต

การที่ธุรกิจในภาคการผลิตยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุถึงขีดความสามารถของอุตสาหกรรม 4.0 ธุรกิจต้องปรับปรุงระบบไอทีให้ทันสมัย ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ทรัพยากร และพลังงานที่จะใช้ในการอัปเกรดเครื่องมือทางกายภาพต่าง ๆ ของภาคการผลิต ปัจจุบันมีตัวอย่างหลากหลายที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไฮบริดและมัลติคลาวด์คือกลไกดิจิทัลที่ส่งเสริมให้ความพยายามนี้รุดหน้า

ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยปิดช่องว่างทักษะด้านดิจิทัลในองค์กร

ระบบอัตโนมัติปิดช่องทางด้านทักษะดิจิทัล_นูทานิคซ์_04

ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยปิดช่องว่างทักษะด้านดิจิทัลในองค์กร

ทวิพงศ์_Nutanix_นูทานิคซ์
บทความโดย ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

การเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลจะประสบความสำเร็จ และเป็นไปได้อย่างครอบคลุม องค์กรจำเป็นต้องมีคนเก่งที่มีความรู้ความสามารถด้านดิจิทัลอยู่ในองค์กร แต่ปัญหาการขาดแคลนทักษะด้านดิจิทัลอย่างรุนแรงก็มีอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นับเป็นความท้าทายหนึ่งขององค์กรที่กำลังมุ่งทรานส์ฟอร์มและขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ

ผลสำรวจการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลของประเทศไทย ประจำปี 2020 จากการสำรวจของดีลอยท์ ประเทศไทย พบว่าความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลที่องค์กรไทยพบเป็นอันดับแรก คือ การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ (49%) ตามมาด้วย วัฒนธรรมดิจิทัลที่ยังไม่หยั่งรากลึกเต็มที่ (45%) และกระบวนการทำงานที่แยกส่วนไม่ประสานกัน (silo) ทำให้ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน (37%) 

ความตื่นตัวด้านทักษะด้านดิจิทัลเกิดขึ้นเป็นวงกว้างในประเทศไทย ล่าสุดกระทรวงแรงงานได้เปิดตัวสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล (DISDA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับแรงงาน โดยเป็นหน่วยงานกลางในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาระบุว่า ผู้สำเร็จการศึกษาในปี 2563 จำแนกตามกลุ่มสาขาวิชาที่รวบรวมจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศจำนวน 154 สถาบันพบว่ามีผู้สำเร็จการศึกษาสาขา Information and Communication Technologies (ICTs) ในระดับปริญญาตรีเพียง 13,984 คน คิดเป็น 5.09% ของผู้สำเร็จการศึกษาในระดับนี้ทั้งหมด

ระบบอัตโนมัติปิดช่องทางด้านทักษะดิจิทัล_นูทานิคซ์_01

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เขมะฑัต วิภาตะวนิช รองคณบดีฝ่ายสื่อสารและพัฒนาดิจิทัล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่าความต้องการของตลาดงานในปัจจุบันแยกเป็น 5 ส่วนสำคัญคือ 1) Software Engineering ประกอบด้วยโปรแกรมเมอร์ และ โปรเจคเมเนเจอร์ 2) Networking and Security Engineer และ Networking and Security Manager 3) ด้านดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ รวมถึง เวอร์ชวลไลเซชั่น เน็ตเวิร์ค และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4) กลุ่มบริหารจัดการระบบไอทีเดิมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ต้องมีความรู้ด้าน IT Governance, Data Governance, Security Governance และ 5) กลุ่มที่มีความรู้และเข้าใจในการนำซอฟต์แวร์มาใช้ซึ่งอาจไม่ได้จบสาขาเทคโนโลยีโดยตรง 

ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมทั้งห้าข้อนี้มีรายละเอียดที่เหมือนหรือต่างกันบ้าง แต่ในภาพรวมนิสิตนักศึกษาที่จบการศึกษาไป ต้องบูรณาการและสร้างสมดุลของตนเองในการใช้เทคโนโลยี มีความรู้ความเข้าใจกฎหมายที่มีผลกระทบต่อการทำงานและดำเนินชีวิตของตน ไม่สร้างปัญหา และรู้จักสิทธิหน้าที่ของตนเอง ผู้อื่น และหน่วยงาน

ระบบอัตโนมัติปิดช่องทางด้านทักษะดิจิทัล_นูทานิคซ์_02

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ปัจจุบันคลาวด์และระบบอัตโนมัติมีความสำคัญมาก เช่น การใช้เวอร์ชวลไลเซชั่นและกระแสการใช้งาน Software-Defined (almost) Everything เครือข่ายการเชื่อมโยงของระบบคอมพิวเตอร์จากดาต้าเซ็นเตอร์ไปยัง edge computing เป็นต้น ระบบนิเวศเหล่านี้ช่วยให้นิสิตนักศึกษาได้เรียนรู้และฝึกทักษะได้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกันก็ทำให้ตลาดแรงงานได้บุคลากรที่มี digital mindset และสามารถใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลได้แบบบูรณาการ

สำหรับภาคธุรกิจ การสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นในการทำงานให้กับพนักงาน (up-skill) และการยกระดับทักษะเดิมของพนักงานให้ดีขึ้น (re-skill) เป็นเรื่องสำคัญ นายพิเชฐ ศรีวงษ์ญาติดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ระบุว่าการที่ภาคการเงินมีการนำเทคโนโลยีมาใช้แบบก้าวกระโดดนั้น นอกจากการแสวงหาโซลูชั่นที่เหมาะสมแล้ว การปรับตัวของบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญมาก องค์กรต้องกระตุ้นให้บุคลากรมีความพร้อมและปรับตัวให้ทันตามแผนงานด้านไอทีที่วางไว้ เทคโนโลยีจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อบุคลากรเห็นถึงประโยชน์และนำไปใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้งานจริงควบคู่กับกระบวนการทำงานเดิม เพื่อเป็นการเรียนรู้ในระหว่างปฏิบัติงาน (learning by doing) จะทำให้บุคลากรเห็นประโยชน์ของการเรียนรู้ทักษะใหม่กับผลลัพธ์ที่ได้เมื่อเทียบกับกระบวนการเดิม ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบุคลากรของบริษัท เพราะสามารถนำทักษะใหม่มาใช้กับงานได้จริง

ระบบอัตโนมัติปิดช่องทางด้านทักษะดิจิทัล_นูทานิคซ์_03

กล่าวได้ว่าแทบไม่มีธุรกิจใดที่จะไม่รับเอาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเช่น คลาวด์และระบบอัตโนมัติมาใช้งาน ผลสำรวจ Enterprise Cloud Index (ECI) ของนูทานิคซ์พบว่าองค์กรไทยให้เหตุผลในการเปลี่ยนไปใช้คลาวด์เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดี (67%) ตามมาด้วยเรื่องของความปลอดภัย (62%) และสามารถรองรับการทำงานจากระยะไกล (62%) และไฮบริดคลาวด์เป็นประเภทของคลาวด์ที่ธุรกิจให้ความสำคัญมากที่สุด

สำหรับ KTBST ระบบคลาวด์เข้ามาช่วยวางโครงสร้างระบบงานไอทีในด้านการจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อธุรกิจ บริษัทยังได้นำระบบอัตโนมัติมาช่วยต่อยอดในการลดข้อผิดพลาดของ บุคคลากร รวมถึงช่วยให้การทำงานร่วมกันดีขึ้น โดยพนักงานมีเวลาจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญมากขึ้น แทนการทำในสิ่งเดิมซ้ำ ๆ ทั้งนี้คลาวด์และระบบอัตโนมัติยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท

การระบาดของโควิด-19 ทำให้การเคลื่อนย้ายบุคลากรที่มีทักษะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในขณะนี้ และในอนาคตอันใกล้ องค์กรต่าง ๆ จึงหันไปใช้เทคโนโลยีเกิดใหม่เพื่อคงความสามารถในการแข่งขัน คงความต่อเนื่องทางธุรกิจ และแก้ปัญหาความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถสูง

ระบบไอทีแบบเดิมที่ใช้คนจำนวนมากและทำงานแบบแมนนวล เป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการผลิต และกระทบต่อความสามารถของธุรกิจที่จะต้องตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงให้ได้อย่างรวดเร็ว ระบบอัตโนมัติที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองในแง่ลบว่าจะเข้ามาแย่งงานของคน กำลังได้รับความเข้าใจมากขึ้นว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการเปลี่ยนไปใช้รูปแบบไอทีแบบ as a service และ on-demand ได้มากขึ้น ข้อเท็จจริงจากการสำรวจ ECI ของนูทานิคซ์ล่าสุดที่สำรวจเมื่อปลายปี 2020 ระบุว่า 31 % ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าระบบอัตโนมัติเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในอีก 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า 

นายพิเชฐให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ระบบอัตโนมัติจะเป็นตัวช่วยเพิ่มขีดความสามารถของคน โดยช่วยให้คนเน้นความสามารถเชิงคิดวิเคราะห์เพื่อนำไปปรับใช้ร่วมกับระบบอัตโนมัติให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่คนและระบบทำงานร่วมกัน มากกว่ามองว่าระบบจะแย่งงานคน การที่ KTBST นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์ แสดงรายงาน ฯลฯ ช่วยลดเวลาในการดำเนินงานได้ถึง 80% และช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายกว่า 30% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบแมนนวล

เอเชียแปซิฟิกเป็นศูนย์กลางของโลกที่มีการเร่งนำระบบอัตโนมัติมาใช้อย่างรวดเร็วในขณะนี้เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นทั่วโลก
ข้อมูลจาก
International Federation of Robotics ระบุว่าสิงค์โปร์เป็นประเทศที่มีการใช้ระบบอัตโนมัติมากที่สุดในโลก
โดยมีการติดตั้งใช้งานหุ่นยนต์
918 ยูนิตต่อพนักงานทุก ๆ 10,000 คน อันดับสองคือประเทศเกาหลีใต้ (868 ยูนิต)
และอันดับสามคือประเทศญี่ปุ่น (
364 ยูนิต)

การทำให้บุคลากรด้านไอทีมีเวลาโฟกัสกับโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน  ทั้งยังได้เพิ่มพูนทักษะของตนเองตลอดเวลาสำหรับธุรกิจในภาพรวม นอกจากประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับแล้ว ยังสามารถรักษาพนักงานไว้กับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปี 2021 นี้องค์กรต่าง ๆ ยังคงต้องมองหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อจัดการกับความท้าทายเดิม ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการทางธุรกิจและระบบอัตโนมัติคือเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ  ได้ เช่น ปิดช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลที่ขาดแคลน ประหยัดค่าใช้จ่าย หรือเพื่อให้บริษัทได้รับประโยชน์ในระยะยาวมากขึ้น

ในภาวะที่ต้องรักษาระยะห่างทางสังคม เทคโนโลยีช่วยนำการปฏิสัมพันธ์กันของคนกลับสู่ธุรกิจอีกครั้ง

ในภาวะที่ต้องรักษาระยะห่างทางสังคม เทคโนโลยีช่วยนำการปฏิสัมพันธ์กันของคนกลับสู่ธุรกิจอีกครั้ง

บทความโดยนายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

ปี 2563 ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่การห้ามการเดินทางยังคงอยู่ ทำให้การประชุมธุรกิจแบบออนไลน์ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไปเช่นกัน  ข้อมูลล่าสุดจากผลสำรวจดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กรของนูทานิคซ์ (Nutanix Enterprise Cloud Index: ECI) พบว่า 68% ขององค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นตั้งใจจะดำเนินธุรกิจโดยใช้การประชุมผ่านวิดีโอมากขึ้น และจำกัดการเดินทางให้เหลือเท่าที่จำเป็น

โลกใหม่ของการทำธุรกิจลักษณะนี้ได้เปลี่ยนความเชื่อในการทำธุรกิจต่าง ๆ ที่ฝังแน่นมานาน ผู้นำธุรกิจคุ้นเคยกับประสิทธิภาพของการประชุมแบบพบหน้ากันและกันมาหลายทศวรรษ เป็นนัยว่าการพบกันเป็นทางเดียวที่จะสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความเชื่อใจกันได้ เอเชียเป็นภูมิภาคที่เชื่อในแนวทางนี้มากที่สุด ซึ่งรวมถึงความเชื่อที่ว่าการเดินทางทางธุรกิจเป็นวิถีชีวิตปกติ การพบปะพูดคุยกันเป็นเรื่องสำคัญที่จะดึงให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วม และเป็นการแสดงถึงการให้เกียรติต่อพันธมิตร รวมถึงการได้พบกันช่วยให้สามารถหาวิธีจัดการกับความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ทางวัฒนธรรมและการทำธุรกิจได้

วัฒนธรรมในการดำเนินธุรกิจขององค์กรไทยก็เช่นกัน ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการคิดว่าการได้พบหน้ากันจะทำให้การเจรจาต่าง ๆ ราบรื่น และในระหว่างพบปะกันก็สามารถสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับต่าง ๆ ได้ทันที แต่โควิด-19 ได้เข้ามาเร่งการเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่เคยมีมา ธุรกิจหันมาใช้เครื่องมือการประชุมออนไลน์มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต่างแสวงหาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์องค์กรของตนมากที่สุด ตัวอย่างของภาครัฐ เช่น สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ได้ให้บริการระบบประชุมทางไกลออนไลน์แบบ web conference ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีชื่อว่า GIN Conference (Government Information Network: GIN) ให้กับหน่วยงานภาครัฐ และได้มีการปรับปรุงระบบเพื่อให้รองรับกับการใช้งานในภาวะเร่งด่วนและรองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และจากภาวะวิกฤต
ทำให้ขยายการใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น

 

ปรับตัวสู่โลกใหม่

หากไม่มีการระบาดของโควิด-19 เราจะยังไม่รู้และไม่เข้าใจถึงพลังของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง หากไม่มีเทคโนโลยี โควิด-19 จะต้อนเราเข้ามุมที่โดดเดี่ยวในช่วงเวลาที่ไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ แต่เทคโนโลยีช่วยให้เรายังคงติดต่อถึงกัน รักษาและสร้างความสัมพันธ์ใหม่ไว้ได้ 

บริษัทต่าง ๆ ที่นำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมืออย่างจริงจังเพื่อให้ธุรกิจ “ดำเนินต่อไป” เป็นบริษัทที่มีวิธีคิดที่เต็มไปด้วยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างแท้จริง บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST SEC เป็นบริษัทไทยที่ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานทั้งหมด มีการวางแผนที่รัดกุมทั้งด้านบุคลากรและเทคโนโลยีที่จะเลือกใช้ บริษัทใช้เวลาในการให้ความรู้ความเข้าใจและปรับวิธีคิดของพนักงาน และศึกษาโซลูชั่นอย่างจริงจังก่อนลงมือปรับเปลี่ยน โดยเริ่มต้นจากโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดปรับเป็นแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ ซึ่งการดำเนินการตามแผนเป็นไปอย่างราบรื่นและต่อเนื่อง ได้ผลลัพธ์เร็วกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าด้วยบริการที่สะดวกรวดเร็วไม่สะดุดแม้ในเวลาอัปเกรดระบบหรือต้องขยายระบบเพื่อรองรับธุรกรรมเร่งด่วนต่าง ๆ

 

ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

บางประเทศได้ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ นี้อย่างเต็มที่ ข้อมูลจากผลสำรวจ ECI ของนูทานิคซ์ ทำให้เราได้เห็นว่าบริษัทหลายแห่งให้ความสำคัญกับการจัดสรรสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานจากบ้านอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จาก 46 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรทั่วโลก และ 62 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรในไทยที่ตอบแบบสำรวจระบุว่า พวกเขาได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานไอทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรองรับการทำงานจากระยะไกล การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกิดขึ้นได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น ไฮบริดคลาวด์ ซึ่งช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถทำให้พนักงานที่ทำงานจากระยะไกลสามารถเข้าถึงเวอร์ชวลแอปพลิเคชั่น เวอร์ชวลเดสก์ท็อป และข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 

ปัจจุบัน ผู้นำธุรกิจจำเป็นต้องใช้การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันนี้กับสัมพันธภาพทางธุรกิจต่าง ๆ ภายนอกองค์กรด้วย

เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เมื่อผู้บริหารของบริษัทที่แทบจะหาเวลาเข้าร่วมประชุมแบบพบหน้ากันไม่ได้เลย จู่ ๆ ก็พร้อมที่จะเข้าร่วมประชุมแบบออนไลน์ในวาระการประชุมที่ในอดีตผู้บริหารเหล่านี้เคยบอกว่าต้องประชุมแบบพบหน้ากันเท่านั้น และเมื่อพวกเขารู้แน่ในข้อเท็จจริงแล้วว่าไม่สามารถทำการประชุมแบบพบหน้ากันได้อีกต่อไป ผู้บริหารเหล่านี้จึงยอมรับและใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้จากการประชุมแบบเวอร์ชวล ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้มีเวลามากขึ้นเพื่อทำธุรกิจที่เป็นชิ้นเป็นอัน มากกว่านั่งจมอยู่บนท้องถนนกับการจราจรที่ติดขัด หรือรถไฟฟ้าที่แน่นขนัดในเวลาเช้าอันเร่งด่วนเพื่อเดินทางไปร่วมประชุม และเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนการประชุมที่เกี่ยวกับ ‘งานเอกสาร’ ต่าง ๆ ไปเป็นการใช้อีเมล์หรือการส่งข้อความแทน นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถทำธุรกิจกับคนทั่วโลกได้จากบ้านที่มีทั้งความปลอดภัยและสะดวกสบาย

 

ความขัดแย้งที่เห็นชัดเจน เมื่อการเว้นระยะห่างทำให้เกิดความผูกพันมากขึ้น

การทำธุรกิจแบบเวอร์ชวล ยังมีสิ่งดีงามที่ฉายออกมา นั่นคือ เทคโนโลยีช่วยให้เราทุกคนได้รับเชิญให้เข้ามาในบ้านของเพื่อนร่วมงานอย่างไม่ตั้งใจ และได้เห็นเด็ก ๆ สัตว์เลี้ยงของคนที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเรา เดินเข้าออกผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์  สิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ได้อย่างจริงใจ และบนพื้นฐานของประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จะได้แบ่งปันกันได้มากกว่าสิ่งที่เราแสดงออกต่อกันในการพบปะทางธุรกิจอย่างเป็นทางการในระยะเวลาสั้น ๆ

นอกจากนี้ การที่ทุกคนทำงานจากระยะไกล ทำให้เราต่างเผชิญกับการที่ต้องพยายามศึกษาและใช้งานการประชุมผ่านวิดีโอหรือการโทรศัพท์แบบกลุ่ม ในขณะที่ในอดีตห้องประชุมห้องหนึ่ง ๆ มักเต็มไปด้วยผู้เข้าประชุม และมีสปีกเกอร์โฟนตั้งอยู่กลางโต๊ะ อาจมีวิดีโอฉายอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ แล้วเชื่อมต่อการประชุมในห้องนี้ไปยังพนักงานหนึ่งหรือสองคนที่ทำงานจากระยะไกล ปัจจุบัน ความท้าทายของพนักงานที่ทำงานจากระยะไกลคือความท้าทายของทุกคน นั่นคือ การสร้างพื้นฐานที่ใช้ร่วมกันที่เอื้อให้สร้างการปฏิสัมพันธ์ทางธุรกิจรูปแบบใหม่ได้ นอกจากนี้เมื่อทุกคนอยู่ไกลกันและมักสื่อสารกันแบบไม่ต้องโต้ตอบทันที จึงสามารถใช้เครื่องมือในการแปลภาษาต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วมในงานต่าง ๆ ไปได้ทั่วภูมิภาค

การระบาดของโควิด-19 เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเราทุกคนมีประสบการณ์แล้วว่าการระบาดครั้งนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบของสังคมทุกอณูไปแล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผู้บริหารต้องหยุดติดต่อกับพนักงาน ลูกค้า และพันธมิตร ในทางตรงกันข้าม การที่ผู้บริหารได้นั่งประจำที่อยู่แห่งเดียว และมีตารางงานที่คาดการณ์ได้มากกว่า ช่วยให้เขาเหล่านั้นสามารถจัดการงานได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์หาผู้อื่นแบบตัวต่อตัวได้มากขึ้น ช่วยให้ได้พูดคุยกับทีมงานที่ทำงานภาคสนามมากขึ้น และช่วยให้มีการประชุมออนไลน์กับพันธมิตรจำนวนมากเกินกว่าที่จะทำได้หากต้องเดินทางไปประชุมแบบพบหน้ากัน ความสามารถในการมารวมตัวกันแม้จะมีระยะห่างและมีความท้าท้ายต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีขีดความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และพร้อมปรับตัว ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา การที่เราทุกคนยอมรับความยืดหยุ่นที่เพิ่งค้นพบนี้ และสร้างวิธีการที่ดีขึ้นในการทำธุรกิจในอนาคตอันใกล้เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

นูทานิคซ์เพิ่มความสามารถในการป้องกัน Ransomware เพื่อมอบความปลอดภัยให้กับระบบไอทีของลูกค้า

นูทานิคซ์เพิ่มความสามารถในการป้องกัน Ransomware เพื่อมอบความปลอดภัยให้กับระบบไอทีของลูกค้า

บริษัทผู้นำด้านไฮบริดและมัลติคลาวด์ตอกย้ำความแข็งแกร่งการให้บริการระบบเครือข่าย สตอเรจ และเวอร์ชวลไลเซชั่น

นูทานิคซ์

Nutanix (นูทานิคซ์) (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไพรเวท ไฮบริด และมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศเพิ่มการป้องกัน ransomware บนแพลตฟอร์มคลาวด์ของบริษัทฯ รวมถึงการตรวจสอบและการตรวจจับภัยคุกคามแบบใหม่ ตลอดจนการทำสำเนาข้อมูล (data replication) แบบเรียลไทม์ ที่ลงลึกถึงรายละเอียด และการควบคุมการเข้าถึงที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้มีติดตั้งไว้ในนูทานิคซ์สแต็คเรียบร้อยแล้ว  ความสามารถใหม่เหล่านี้สร้างขึ้นบนบริการด้านข้อมูลต่าง ๆ ที่พรั่งพร้อมของนูทานิคซ์ในการรักษาความปลอดภัยระบบเน็ตเวิร์ก, ระบบสตอเรจแบบไฟล์และแบบอ็อปเจกต์, เวอร์ชวลไลเซชั่น และด้านความต่อเนื่องทางธุรกิจ ช่วยองค์กรปกป้อง, ตรวจจับ และกู้คืนข้อมูลจากการโจมตีของ ransomware ในสภาพแวดล้อมคลาวด์ที่หลากหลาย  การทำงานระยะไกลที่เพิ่มขึ้นทำให้การโจมตีกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากขึ้นทุกวัน ความสามารถเหล่านี้จะช่วยให้การนำแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัยและความต่อเนื่องทางธุรกิจไปใช้ในระดับโครงสร้างพื้นฐาน ได้ง่ายกว่าการพึ่งพาระบบเมทริกซ์ที่ซับซ้อนของผลิตภัณฑ์รักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลัง

รายงานล่าสุดของการ์ทเนอร์ เปิดเผยว่า “เฉพาะในปี 2563 ภัยคุกคามได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับการทำงานระยะไกลที่เพิ่มขึ้น และภัยคุกคามฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นโควิด-19  ทั้งนี้ ransomware ได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าจะเป็นแค่การโจมตีแบบเน้นปริมาณ (commodity) มาเป็นการโจมตีแบบครอบคลุม ที่ประสงค์ให้เกิดการติดไวรัสที่อุปกรณ์ปลายทางเดี่ยว ๆ  เน้นการใช้เทคนิคขั้นสูงเช่นภัยคุกคามแบบไร้ไฟล์ (fileless malware) และการขโมยข้อมูลออกจากระบบ (data exfiltration) ransomware สายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ทำให้การป้องกันและการวางแผนยิ่งทวีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมาเพื่อป้องกันการโจมตีของ ransomware”  องค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่มีผู้ใช้งานระยะไกลจำนวนมาก หรือมีสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด ไม่อาจพึ่งพาปฏิบัติการหรือใช้เครื่องมือเพียงแบบเดียวในการปกป้องตนเองได้อีกต่อไป  พวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของตนจะช่วยให้รับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างดีที่สุด

 

ตรวจจับและกู้คืนจากระบบเครือข่ายและภัยคุกคามข้อมูล

ปัจจุบันแพลตฟอร์มคลาวด์ของนูทานิคซ์นำเสนอการตรวจจับความผิดปกติโดยอาศัยการเรียนรู้ของอุปกรณ์ และบริการ IP reputation ด้วยปฏิบัติการระบบเครือข่ายรักษาความปลอดภัย และโซลูชั่นการตรวจสอบของบริษัทฯ Flow Security Central ซึ่งเป็นฟีเจอร์ของ Nutanix Flow  ทั้งนี้ Flow Security Central จะช่วยระบุถึงวิธีการที่แฮ็กเกอร์ใช้ในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ที่รู้จัก รวมถึง ransomware ที่อาจเกิดขึ้นในชั้นเน็ตเวิร์กก่อนที่จะเข้าถึงชั้นแอปพลิเคชั่นและชั้นข้อมูลต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ฟีเจอร์ Flow Security Central สามารถตรวจสอบเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อหาความผิดปกติ, พฤติกรรมอันตราย รวมถึงการโจมตีเน็ตเวิร์กที่เกิดขึ้นทุกวัน ทำการค้นหาเป้าหมายต่าง ๆ ที่มีช่องโหว่เพิ่มมากขึ้น  นอกจากนี้ฟีเจอร์ Flow Security Central ยังตรวจสอบอุปกรณ์ปลายทางเพื่อระบุการรับส่งข้อมูลที่มาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการป้องกันการใช้โครงสร้างพื้นฐานเวอร์ชวลเดสก์ท็อป ที่เป็นเป้าหมายหลักในการเริ่มติดไวรัสและการแพร่กระจายของ ransomware

 

นูทานิคซ์
ภาพ: Flow Security Central

เมื่อมองลึกลงไปถึงชั้นแอปพลิเคชั่น จะเห็นได้ว่าขณะนี้แพลตฟอร์มคลาวด์ของนูทานิคซ์ได้เพิ่มการตรวจจับransomware ไว้สำหรับบริการด้านการจัดเก็บไฟล์ไว้ในโซลูชั่น Nutanix Files อีกด้วย ฟีเจอร์ File analytics ที่อยู่ใน Nutanix Files สามารถตรวจพบรูปแบบการเข้าถึงที่ผิดปกติและน่าสงสัย พร้อมทั้งระบุรูปแบบของ ransomware ที่รู้จัก เพื่อบล็อกการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์  ขณะนี้ฟีเจอร์ Nutanix Files analytics สามารถระบุการแชร์ไฟล์ที่ไม่ได้กำหนดค่าการทำสำเนา และการทำ snapshots อย่างเหมาะสม และจะทำการแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบไอทีถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อช่วยให้แน่ใจว่ามีการทำ snapshots พร้อมให้ใช้งานได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ Nutanix Files ทำให้การ snapshots ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงและการลบข้อมูล ซึ่งเป็นวิธีประจำที่แฮ็กเกอร์ใช้ในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ในการส่ง ransomware เข้าโจมตีเป้าหมาย (ransomware payloads) เพื่อสกัดกั้นความพยายามในการกู้คืนข้อมูล  ด้วยความสามารถต่าง ๆ เหล่านี้ที่บูรณาการรวมอยู่ใน Nutanix Files ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีไม่เพียงแต่จะตรวจจับได้เท่านั้น แต่ยังสามารถกู้คืนข้อมูลจากการโจมตีของ ransomware ได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เครื่องมือที่ติดตั้งมาพร้อมสรรพ

 

ปกป้องข้อมูลและแอปพลิเคชั่น

ปัจจุบันแพลตฟอร์มคลาวด์ของนูทานิคซ์ได้รวมฟีเจอร์ใหม่ ๆ ไว้ในโซลูชั่น Nutanix Objects เพื่อเสริมการปกป้องข้อมูลแอปพลิเคชั่นจากการโจมตีของ ransomware ต่าง ๆ  Nutanix Objects กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นในระบบจัดเก็บข้อมูลหลัก (primary storage) และระบบจัดเก็บข้อมูลสำรอง (secondary storage) ที่พิเศษยิ่งขึ้นคือขณะนี้ Nutanix Objects มีความสามารถในการกำหนดค่าการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่อนุญาตให้เขียนซ้ำ (Write Once Read Many – WORM) สำหรับไฟล์และข้อมูลที่ทีมไอทีเลือกไว้ เพื่อช่วยป้องกันการลบหรือการเข้ารหัสข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และขัดขวางการโจมตีจาก ransomware จำนวนมากที่เกิดขึ้นเป็นประจำ  การป้องกันแบบ WORM เหล่านี้สามารถดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ เพียงแค่จัดประเภทข้อมูลภายใต้ “การระงับทางกฎหมาย (legal hold)” เพื่อป้องกันการบุกรุกหรือมุ่งร้ายทำลายให้เสียหาย  นอกจากนี้ฟีเจอร์ของ Objects ในการควบคุมความปลอดภัยยังได้รับการตรวจสอบและรับรองจาก Cohasset Associates ว่าเป็นไปตามข้อกำหนดการจัดเก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบไม่สามารถเขียนซ้ำได้ และไม่สามารถลบทิ้งได้ตามที่ระบุไว้ภายใต้กฎข้อบังคับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC), องค์กรการกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงิน (FINRA) และ คณะกรรมาธิการการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์แห่งสหรัฐอเมริกา (CFTC)

นอกจากนี้ Nutanix Objects ยังให้สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลในระดับที่ลงลึกถึงรายละเอียด เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถรักษาความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมที่มีผู้ใช้หลายคนได้ดีขึ้น  และท้ายที่สุดขณะนี้แพลตฟอร์มนูทานิคซ์ให้การสนับสนุน Microsoft Windows Credential Guard สำหรับใช้งานเวอร์ชวลแมชชีนและเวอร์ชวลเดสก์ท็อปบนอะโครโพลิสไฮเปอร์ไวเซอร์ โดย Credential Guard เพิ่มการป้องกันระบบปฏิบัติการ (OS) จาก malware ที่ใช้วิธีการโจมตีโดยการขโมยข้อมูลสำคัญในระบบ Microsoft OS ซึ่งเป็นวิธีการทั่วไปที่ผู้โจมตีใช้ในการได้มาซึ่งสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ

 

เพื่อให้มั่นใจในความต่อเนื่องของธุรกิจ

ในขณะที่การตรวจจับและการป้องกันเป็นสองสิ่งสำคัญของกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน malware และ ransomware แต่ทุกบริษัทควรมีแผนรองรับเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจจะสามารถดำเนินต่อไปได้เมื่อมีการโจมตีเกิดขึ้น  ขณะนี้ Nutanix Mine ซึ่งเป็นโซลูชั่นสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลสำรองของบริษัทฯ สามารถทำการสำรองข้อมูลโดยตรงไปยัง Nutanix Objects เมื่อมีการใช้ Nutanix Mine ร่วมกับโซลูชั่นจากพันธมิตรเช่น HYCU Inc. หมายความว่าการป้องกัน ransomware ทั้งหมดที่มีอยู่ใน Objects เช่น ความเสถียรและ WORM จะถูกนำมาปรับใช้ในโซลูชั่นสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลสำรองนี้ด้วย  นอกจากนี้นูทานิคซ์ยังนำคุณสมบัติใหม่ ๆ สำหรับทำงานร่วมกัน ซึ่งรวมถึง Veeam® Object Immutability ตลอดจนถึงการรับรองจากผู้จำหน่ายโซลูชั่นสำรองข้อมูลชั้นนำต่าง ๆ เพื่อขยายการป้องกัน ransomware ไปยังระบบจัดเก็บข้อมูลสำรองอีกด้วย

นายราจีฟ มิรานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของนูทานิคซ์กล่าวว่า “ผู้บริหารฝ่ายสารสนเทศ (CIOs) และผู้บริหารด้านการรักษาความปลอดภัยสารสนเทศ (CISOs) ต่างรู้ดีว่าไม่มีโซลูชั่นใดเพียงหนึ่งเดียวที่จะสามารถป้องกัน ransomware หรือการโจมตีของ malware ประเภทอื่น ๆ ได้ 100% และรูปแบบของการทำงานระยะไกลและแบบไฮบริดผสมผสานในขณะนี้ก็เพิ่มพื้นที่การถูกโจมตีขององค์กรให้มากขึ้น  องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องมีแนวทางการป้องกันในเชิงลึกเพื่อความปลอดภัย โดยเริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของตน  อย่างไรก็ตามเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมนั้นจะต้องใช้งานได้ง่ายและช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น  นูทานิคซ์นำเสนอแพลตฟอร์มคลาวด์ที่แข็งแกร่ง พร้อมชุดป้องกัน ransomware ที่เพียบพร้อมยิ่งขึ้นสำหรับให้บริการแล้วในขณะนี้”

ฟีเจอร์ใหม่ท้้งหมดพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าแล้วในขณะนี้  กรุณารับชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการที่นูทานิคซ์สามารถช่วยป้องกัน ransomware ได้ที่นี่