วัดชีพจรอสังหาฯ ไทย ฝ่าสุญญากาศทางการเมือง ดีมานด์ผู้ซื้อยังไม่ฟื้น สวนทางตลาดเช่าพุ่งต่อเนื่อง

วิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้

วัดชีพจรอสังหาฯ ไทย ฝ่าสุญญากาศทางการเมือง ดีมานด์ผู้ซื้อยังไม่ฟื้น สวนทางตลาดเช่าพุ่งต่อเนื่อง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยตรง คนหาบ้านเลือกชะลอแผนซื้อบ้านหรือใช้เวลาตัดสินใจนานขึ้น เพื่อรอดูสถานการณ์ที่ชัดเจนในอนาคต ขณะที่ภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น แม้ความต้องการซื้อยังคงชะลอตัว โดยปรับลดลง 4% ในไตรมาสล่าสุด สวนทางตลาดเช่าที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นทั้งที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบ ส่วนความต้องการเช่าเพิ่มขึ้นถึง 13% สะท้อนให้เห็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยยุคนี้ที่ผู้บริโภคเน้นเช่ามากกว่าซื้อ คาดว่าปัจจัยท้าทายหลักของคนอยากมีบ้านในปีนี้ยังมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย​

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q3 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty เผยภาพรวมดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน (QoQ) แต่ยังลดลง 6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) โดยเป็นการปรับลดลงถึง 10% จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (ไตรมาส 2 ปี 2562) สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยในระยะยาวยังคงไม่ฟื้นตัวดีดังเดิม

อย่างไรก็ดี ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในทุกประเภท เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งราคาที่ดิน วัสดุก่อสร้าง และค่าแรง ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าตามไปด้วย โดยทยอยปรับขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อผู้บริโภคในขณะนี้ ส่งผลให้ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวปรับเพิ่มมากที่สุด 2% QoQ ขณะที่ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 1% QoQ ทั้งนี้ หากเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า ที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยดัชนีราคาของบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ปรับเพิ่มขึ้น 13% และ 6% ตามลำดับ มีเพียงคอนโดฯ ที่ดัชนีราคาลดลงมากที่สุดถึง 25%

นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า “ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้มีสัญญาณเติบโต แต่ไม่หวือหวาอย่างที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีปัจจัยท้าทายรอบด้าน ทั้งจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 15 ปี ขณะที่ข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 55.6 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 14 เดือน ประกอบกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการวางแผนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ผู้บริโภคกังวลต่อดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ที่กำลังผ่อนบ้านก็มีภาระเพิ่มขึ้นและต้องใช้ระยะเวลาผ่อนชำระนานขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ผันผวนได้เสมอ”

“ภาพรวมดัชนีราคาในตลาดอสังหาฯ ไตรมาสล่าสุดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยตามกลไกตลาดในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ให้สอดคล้องกับต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้น สวนทางกับความต้องการซื้อที่ลดลงจากปัจจัยแวดล้อมที่กระทบด้านการเงิน ซึ่งสร้างความท้าทายและกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงเลือกชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ที่ชัดเจนมากขึ้นในอนาคต 

ดังนั้น หากผู้บริโภคต้องการจะซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในเวลานี้ควรเช็กสภาพคล่องทางการเงินก่อนเป็นอันดับแรก ต้องมีการวางแผนการเงินที่รัดกุมและรอบคอบ รวมทั้งมีการสำรองเงินเก็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน และลดการสร้างรายจ่ายที่ไม่จำเป็นที่อาจก่อให้เกิดหนี้สินเพิ่ม หรือเลือกซื้อโครงการบ้านมือสองซึ่งมีต้นทุนราคาที่ถูกกว่า หรือเลือกเช่าที่อยู่อาศัยซึ่งตอบโจทย์ทางการเงินมากกว่าแทน” นายวิทยา กล่าวเสริม

เทรนด์เช่ายังโตต่อเนื่อง จับตานโยบายเศรษฐกิจดันคนซื้อบ้าน

“จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงที่มีการแพร่ระบาดฯ ส่งผลให้เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยความต้องการเช่าล่าสุดเพิ่มขึ้นถึง 108% ขณะที่ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นเพียง 7% เท่านั้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ Generation Rent ที่พฤติกรรมคนรุ่นใหม่เน้นเช่ามากกว่าซื้อ ส่งเสริมให้ดีมานด์ในตลาดเช่าสูงมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในตลาดอสังหาฯ เช่นกัน แต่ด้วยความไม่พร้อมทางการเงิน จึงไม่อยากมีภาระผูกพันระยะยาวจากการเป็นหนี้จากการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย จึงเลือกการเช่าที่มีความยืดหยุ่นและประหยัดรายจ่ายมากกว่าแทน” 

“ปีนี้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวอีกครั้ง รวมทั้งกำลังซื้อชาวต่างชาติจะช่วยขับเคลื่อนให้ตลาดอสังหาฯ โตตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องจับตามองว่าวิกฤติอสังหาฯ ในประเทศจีนจะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจจีนมากน้อยเพียงใด 

นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตามองปัจจัยท้าทายภายในประเทศอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้ซื้อและนักลงทุน แต่คาดว่าจะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากประเทศไทยผ่านความไม่แน่นอนทางการเมืองมานานหลายทศวรรษ แต่ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ก็ยังคงกลับมาเดินหน้าและเติบโตต่อไปได้อย่างค่อนข้างมั่นคง คาดว่าเมื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เสร็จสิ้นและมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน จะช่วยปลุกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนให้กลับมาอีกครั้ง และหากภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการซื้อ-ขายในตลาดอสังหาฯ ออกมา ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่ม Real Demand สามารถเข้าถึงสินเชื่อและเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาโตอย่างคึกคักอีกครั้งในช่วงปลายปี” นายวิทยา กล่าวสรุป

อัปเดตทิศทางตลาดอสังหาฯ ดีมานด์ซื้อระยะสั้นหดตัว สวนทางดีมานด์เช่าพุ่งต่อเนื่อง

รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q3 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาฯ ไทยในไตรมาสล่าสุด พร้อมสรุปภาพรวมดัชนีราคา และความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งในตลาดซื้อและเช่า รวมทั้งอัปเดตทำเลศักยภาพที่ดัชนีราคาและดัชนีค่าเช่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ

  • ดีมานด์ผู้ซื้อชะลอตัว ที่อยู่อาศัยราคา 1-3 ล้านบาท มีจำนวนมากสุด ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในระยะสั้นมีการปรับตัวลดลง 4% QoQ และลดลงถึง 32% YoY เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเผชิญความท้าทายทางการเงินรอบด้านต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี เมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า ทาวน์เฮ้าส์เป็นที่อยู่อาศัยรูปแบบเดียวที่ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยเพิ่มขึ้น 1% QoQ (ลดลง 24% YoY) ขณะที่ความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวลดลง 2% QoQ (ลดลง 32% YoY) ส่วนความต้องการซื้อคอนโดฯ ลดลงมากที่สุด 4% QoQ (ลดลง 33% YoY)

หากเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ จะพบว่า ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นถึง 7% สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มดีมานด์ผู้ซื้อในระยะยาวยังคงเติบโต แม้จะไม่หวือหวา ที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยทาวน์เฮ้าส์มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 27% ตามมาด้วยบ้านเดี่ยวที่เพิ่มขึ้น 20% มีเพียงคอนโดฯ ที่ความต้องการซื้อในระยะยาวยังคงหดตัวและลดลง 1% สะท้อนให้เห็นว่าแม้ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ จะคลี่คลายลง แต่ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่ได้เปลี่ยนไปแล้ว จึงยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นในราคาที่เอื้อมถึงได้ ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงตอบโจทย์ผู้ซื้อและมีสัญญาณบวกในระยะยาว

ขณะที่ภาพรวมที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่มีราคาขายอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนถึง 27% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ เมื่อพิจารณาตามประเภทอสังหาฯ พบว่า คอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท (สัดส่วน 29% และ 41% ตามลำดับ) ขณะที่บ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ (43%) มีราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้หันมาทำตลาดสินค้าในกลุ่มบ้านระดับพรีเมียมและบ้านหรูมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้บริโภคระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงและมีความพร้อมทางการเงินมากกว่า จึงเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อตามไปด้วย และยังมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารและสถาบันการเงินที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและล่าง

เมื่อแบ่งประเภทที่อยู่อาศัยตามทำเลยอดนิยมพบว่า “เขตวัฒนา” ถือเป็นทำเลที่มีจำนวนคอนโดฯ มากที่สุดด้วยสัดส่วนถึง 16% ของจำนวนคอนโดฯ ทั้งหมดในกรุงเทพฯ เนื่องด้วยเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) ที่เป็นทั้งแหล่งธุรกิจและแหล่งงานขนาดใหญ่ จึงมีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงตามไปด้วย ขณะที่ที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก โดย “เขตประเวศ” เป็นทำเลที่มีจำนวนบ้านเดี่ยวมากที่สุด มีสัดส่วน 8% ของจำนวนบ้านเดี่ยวทั้งหมดในกรุงเทพฯ และทำเลที่มีจำนวนทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด ได้แก่ เขตคลองสามวา สัดส่วนอยู่ที่ 10% ของจำนวนทาวน์เฮ้าส์ทั้งหมดในกรุงเทพฯ 

  • ดีมานด์ผู้เช่าพุ่งทุกประเภท ดันดัชนีค่าเช่าโตต่อเนื่อง ภาพรวมดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยที่อยู่อาศัยแนวสูงอย่างคอนโดฯ และอะพาร์ตเมนต์มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 4% YoY) ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 8% QoQ แต่ยังทรงตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า มีเพียงที่อยู่อาศัยแนวราบเท่านั้นที่มีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยดัชนีค่าเช่าบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้นถึง 51% สวนทางกับดัชนีค่าเช่าคอนโดฯ และอะพาร์ตเมนต์ที่ลดลง 9% สะท้อนให้เห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาผู้ให้เช่าได้ปรับลดราคาให้สอดคล้องกับความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพื่อดึงดูดการตัดสินใจเช่า ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันในตลาดเช่าที่สูงมากขึ้น

ด้านภาพรวมค่าเช่าที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่พบว่า 51% ของที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ทั้งหมดจะอยู่ที่ระดับ 10,000-30,000 บาท/เดือน เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าคอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่จะมีค่าเช่าอยู่ที่ 10,000-30,000 บาท/เดือน (สัดส่วน 53% และ 36% ตามลำดับ) ขณะที่ 50% ของบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่นั้นมีค่าเช่า 100,000 บาทขึ้นไป/เดือน สะท้อนให้เห็นว่าบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ที่มีฟังก์ชั่นครอบคลุมการใช้งาน หรือตั้งอยู่ในทำเลทองมีการนำมาปล่อยเช่ามากขึ้น ซึ่งกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้งผู้บริโภคที่มีความสามารถในการใช้จ่ายสูงซึ่งมีแผนย้ายถิ่นฐานในอนาคต และชาวต่างชาติที่มาพำนักในไทย

สำหรับภาพรวมดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้นถึง 13% QoQ แม้จะลดลง 30% YoY ก็ตาม เมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าความต้องการเช่าในระยะสั้นปรับขึ้นทุกประเภท โดยความต้องการเช่าคอนโดฯ เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 14% QoQ (ลดลง 30% YoY) ตามมาด้วยบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 6% QoQ (ลดลง 33% YoY) และทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 4% QoQ (ลดลง 30% YoY) 

อย่างไรก็ดี ความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในระยะยาวยังคงมีทิศทางเติบโตเป็นบวก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่าภาพรวมดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นถึง 108% โดยเฉพาะคอนโดฯ ที่ถือเป็นอสังหาฯ เพื่อเช่าที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีความต้องการเช่าโตต่อเนื่อง ปรับเพิ่มขึ้นถึง 143% ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 2% มีเพียงบ้านเดี่ยวเท่านั้นที่ความต้องการเช่ายังทรงตัวจากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ จากแนวโน้มความต้องการเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดเช่ายังคงมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคยังไม่มีความพร้อมทางการเงินเพียงพอ รวมทั้งไม่อยากมีภาระผูกพันระยะยาวจากการซื้อที่อยู่อาศัย    

ทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจและพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก ซึ่งมีที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นหลัก และตั้งอยู่ใกล้เส้นทางที่รถไฟฟ้าพาดผ่าน ได้แก่ 

  • เขตคันนายาว ถือเป็นทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นถึง 15% QoQ แม้จะเป็นพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจก็ตาม เป็นทำเลที่มีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นส่วนใหญ่ และอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2567 
  • ตามมาด้วย เขตบางคอแหลม มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 8% QoQ อีกหนึ่งทำเลนอกเขตศูนย์กลางธุรกิจที่เป็นแหล่งงานย่านพระราม 3 ใกล้กับสาทร-สีลม ปัจจุบันยังมีโครงการพัฒนาต่อเนื่อง เช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่
  • เขตสะพานสูง มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 7% QoQ พื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ อีกหนึ่งทำเลบ้านแนวราบใกล้เมือง โดยเฉพาะโครงการหรูย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม และยังใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิอีกด้วย
  • เขตบางเขน มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 7% QoQ พื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรีที่กำลังจะเปิดให้บริการ อีกทั้งยังอยู่ใกล้สนามบินดอนเมือง เชื่อมต่อการเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น
  • เขตบึงกุ่ม มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 6% QoQ พื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอกที่อยู่ใกล้แหล่งงาน และเป็นทำเลที่มีที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นจำนวนมาก ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาบ้านที่มีพื้นที่มากขึ้น

ทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก และพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจเช่นกัน รวมทั้งอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบันและอนาคต ได้แก่

  • เขตทุ่งครุ เป็นทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุด 24% QoQ โดยเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอกที่ใกล้แหล่งงานและสถานศึกษา ตั้งอยู่ใกล้พระราม 2 และไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงต่อขยาย เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) จึงมีความสะดวกในการเดินทาง
  • ตามมาด้วย เขตทวีวัฒนา ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 21% QoQ พื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอกที่เป็นทำเลของที่อยู่อาศัยแนวราบ ถือเป็นอีกทำเลที่เดินทางได้สะดวก ทั้งอยู่ใกล้ทางด่วน รถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน รวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ที่มีแผนก่อสร้างในอนาคต
  • เขตลาดพร้าว ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 16% QoQ พื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจใกล้ใจกลางเมืองและศูนย์การค้าขนาดใหญ่ จึงมีความเป็นย่านเชิงพาณิชย์แบบแหล่งช้อปปิ้ง นอกจากนี้ยังมีรถไฟฟ้า 2 สายพาดผ่าน ทั้งสายสีน้ำเงิน และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง
  • เขตหนองแขม ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 13% QoQ พื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก แม้เป็นทำเลชานเมืองแต่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าและศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โดยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามแผนการสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหลักสอง-พุทธมณฑลสาย 4 ในอนาคต
  • เขตบางเขน ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 10% QoQ พื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ อีกหนึ่งทำเลใกล้เมือง ใกล้สถานศึกษาชื่อดังและศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อานิสงส์จากการที่มีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และอยู่ใกล้สนามบินดอนเมือง ส่งผลให้เป็นเขตเดียวที่ติด 5 อันดับทำเลที่มีดัชนีราคาและดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส

Demand for homes picked up after elections as property seekers remain confident of long term prospects

พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ชี้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปสิ้นสุดลง ในขณะที่ผู้ซื้อยังมีความมั่นใจในระยะยาวต่อตลาดโดยรวม

Demand for homes picked up after elections as property seekers remain confident of long term prospects

Elections invariably usher in a climate of economic uncertainty, as the fiscal and regulatory policies of the incoming administration largely hinge on party ideologies. These policies could significantly impact tax rates for both individuals and corporations, as well as affect public programs. 

A study conducted by Professor Canes-Wrone from Princeton University and Park Jee-Kwang in 2014 indicated a downturn in housing transactions in the United States due to the policy uncertainty engendered by elections. The extent of this uncertainty, however, was dependent on the competitiveness of the race and the variance in policy agendas.

We observe a similar trend in Thailand as well during the recent election. We calculated an index based on daily visitor views on listings, employing a 30-day moving average to temper the time series. The base date was January 1, 2022. Post the dissolution of the Thai parliament on March 20, 2023, there was a slight upturn in views, which subsequently maintained a steady state.

Views for landed residential properties followed a more consistent trend, gradually tapering off until the elections drew nearer, when we noticed a slight increase in May 2023. 

“It appears that property seekers, especially those considering high-value investments, generally adopt a “wait-and-see” stance during elections, pending more lucidity on prospective policy directions. Further, a subdued global economy likely augments this cautious attitude, resulting in diminished demand.” noted Dr.Lee Nai Jia, Head of Real Estate Intelligence, Data and Software Solutions, PropertyGuru Group

Figure 1: Index for number of views of residential property in Bangkok before and after election  

Elections invariably usher in a climate of economic uncertainty, as the fiscal and regulatory policies of the incoming administration largely hinge on party ideologies. These policies could significantly impact tax rates for both individuals and corporations, as well as affect public programs. A study conducted by Professor Canes-Wrone from Princeton University and Park Jee-Kwang in 2014 indicated a downturn in housing transactions in the United States due to the policy uncertainty engendered by elections. The extent of this uncertainty, however, was dependent on the competitiveness of the race and the variance in policy agendas. We observe a similar trend in Thailand as well during the recent election. We calculated an index based on daily visitor views on listings, employing a 30-day moving average to temper the time series. The base date was January 1, 2022. Post the dissolution of the Thai parliament on March 20, 2023, there was a slight upturn in views, which subsequently maintained a steady state. Views for landed residential properties followed a more consistent trend, gradually tapering off until the elections drew nearer, when we noticed a slight increase in May 2023. “It appears that property seekers, especially those considering high-value investments, generally adopt a "wait-and-see" stance during elections, pending more lucidity on prospective policy directions. Further, a subdued global economy likely augments this cautious attitude, resulting in diminished demand.” noted Dr.Lee Nai Jia, Head of Real Estate Intelligence, Data and Software Solutions, PropertyGuru Group. Figure 1: Index for number of views of residential property in Bangkok before and after election
Source: DataSense by PropertyGuru for Business

Intriguingly, a similar trend was observed in Kuala Lumpur, Malaysia, albeit potentially exacerbated by the surge in travel during December.

Figure 2: Index for number of views of non-landed residential property in Kuala Lumpur before and after election 

Index for number of views of non-landed residential property in Kuala Lumpur before and after election
Source: DataSense by PropertyGuru for Business

Following the announcement of the Thai election results on May 14, 2023, we noted a rebound in property interest, as evidenced by a rise in the Thai index to a new equilibrium level. This resurgence likely signifies increased confidence in the long-term economic outlook, given that property purchases typically have a longer investment horizon than equity markets.

“Nevertheless, signs of demand easing were observed towards the end of June, possibly due to uncertainties surrounding the election of the Prime Minister by the Thai Senate and House of Representatives. We expect the market to bounce back once the Prime Minister’s appointment is finalized, and then macroeconomic trends are likely to regain dominance in shaping market behavior.”, noted Dr.Lee.

พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ชี้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปสิ้นสุดลง ในขณะที่ผู้ซื้อยังมีความมั่นใจในระยะยาวต่อตลาดโดยรวม

พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ชี้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปสิ้นสุดลง ในขณะที่ผู้ซื้อยังมีความมั่นใจในระยะยาวต่อตลาดโดยรวม

พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปชี้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปสิ้นสุดลง ในขณะที่ผู้ซื้อยังมีความมั่นใจในระยะยาวต่อตลาดโดยรวม

โดยทั่วไปการเลือกตั้งส่วนใหญ่มักจะนำไปสู่บรรยากาศของความผันผวนทางเศรษฐกิจอย่างหนีไม่พ้น เนื่องจากนโยบายการเงิน และกฎระเบียบต่าง ๆ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดหรือนโยบายของพรรคการเมืองที่จะมาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งนโยบายเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่ออัตราภาษี ทั้งภาษีส่วนบุคคลและนิติบุคคลอย่างชัดเจน รวมทั้งกระทบต่อนโยบายของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ 

ตัวอย่างจากผลการศึกษา[1]โดย ศาสตราจารย์ เคนส์-รอน จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และ นางสาวปาร์ค จี-กวาง ในปี พ.ศ. 2557 พบว่า การซื้อขายที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาลดลง เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายอันเกิดจากการเลือกตั้งทั่วไป อย่างไรก็ดี ความผันผวนจะมีความยืดเยื้อต่อไปนานเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นในการแข่งขัน และความหลากหลายของนโยบายของแต่ละพรรคที่ร่วมลงสมัครนั่นเอง

ดร.ลี ไนเจีย หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ของหน่วยธุรกิจดาต้า แอนด์ ซอฟต์แวร์ โซลูชั่น (DSS) ของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มของการซื้อบ้านของผู้บริโภคไทยในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมานี้ว่า “เราสังเกตเห็นแนวโน้มที่คล้ายคลึงกันในเมืองไทยในช่วงหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลังจากที่เราได้คำนวณตัวเลขดัชนี ซึ่งคิดจากยอดผู้เข้าชมประกาศบนเว็บไซต์ DDproperty.com เป็นรายวัน โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ในช่วง 30 วันเป็นตัวควบคุมข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวันของช่วงเวลาดังกล่าว และนับวันเริ่มต้น (Base Date) จากวันที่ 1 มกราคม 2565 อย่างไรก็ดี ภายหลังการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 กลับเห็นสัญญาณของยอดเข้าชมประกาศบนเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น และยังคงอยู่ในระดับที่ทรงตัวในเวลาต่อมา

จากฐานข้อมูลของ ดาต้าเซนส์ โดยพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส (DataSense by PropertyGuru for Business) พบว่ายอดเข้าชมที่อยู่อาศัยแนวราบมีแนวโน้มค่อนข้างทรงตัวกว่าอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่น โดยค่อย ๆ ลดลงเมื่อใกล้วันเลือกตั้ง และกลับมามีแนวโน้มการเข้าชมที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 

ดูเหมือนว่าผู้ที่กำลังหาบ้าน โดยเฉพาะผู้ที่มีกำลังซื้อสูงหรือคิดจะลงทุนในตลาดบน จะเลือก ‘รอดูสถานการณ์’ ในช่วงเลือกตั้ง มากกว่าที่จะตัดสินใจซื้อหรือลงทุนทันที เนื่องจากต้องการดูความชัดเจนของทิศทางนโยบายของรัฐบาลใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ยิ่งทำให้ผู้ซื้อเพิ่มความระมัดระวังในการตัดสินใจมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการซื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัด” ดร.ลี กล่าว 

ภาพที่ 1: ดัชนียอดเข้าชมประกาศที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งทั่วไป 

โดยทั่วไปการเลือกตั้งส่วนใหญ่มักจะนำไปสู่บรรยากาศของความผันผวนทางเศรษฐกิจอย่างหนีไม่พ้น เนื่องจากนโยบายการเงิน และกฎระเบียบต่าง ๆ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดหรือนโยบายของพรรคการเมืองที่จะมาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งนโยบายเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่ออัตราภาษี ทั้งภาษีส่วนบุคคลและนิติบุคคลอย่างชัดเจน รวมทั้งกระทบต่อนโยบายของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ ตัวอย่างจากผลการศึกษา โดย ศาสตราจารย์ เคนส์-รอน จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และ นางสาวปาร์ค จี-กวาง ในปี พ.ศ. 2557 พบว่า การซื้อขายที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาลดลง เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายอันเกิดจากการเลือกตั้งทั่วไป อย่างไรก็ดี ความผันผวนจะมีความยืดเยื้อต่อไปนานเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นในการแข่งขัน และความหลากหลายของนโยบายของแต่ละพรรคที่ร่วมลงสมัครนั่นเอง ดร.ลี ไนเจีย หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ของหน่วยธุรกิจดาต้า แอนด์ ซอฟต์แวร์ โซลูชั่น (DSS) ของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มของการซื้อบ้านของผู้บริโภคไทยในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมานี้ว่า “เราสังเกตเห็นแนวโน้มที่คล้ายคลึงกันในเมืองไทยในช่วงหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลังจากที่เราได้คำนวณตัวเลขดัชนี ซึ่งคิดจากยอดผู้เข้าชมประกาศบนเว็บไซต์ DDproperty.com เป็นรายวัน โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ในช่วง 30 วันเป็นตัวควบคุมข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวันของช่วงเวลาดังกล่าว และนับวันเริ่มต้น (Base Date) จากวันที่ 1 มกราคม 2565 อย่างไรก็ดี ภายหลังการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 กลับเห็นสัญญาณของยอดเข้าชมประกาศบนเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น และยังคงอยู่ในระดับที่ทรงตัวในเวลาต่อมา จากฐานข้อมูลของ ดาต้าเซนส์ โดยพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส (DataSense by PropertyGuru for Business) พบว่ายอดเข้าชมที่อยู่อาศัยแนวราบมีแนวโน้มค่อนข้างทรงตัวกว่าอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่น โดยค่อย ๆ ลดลงเมื่อใกล้วันเลือกตั้ง และกลับมามีแนวโน้มการเข้าชมที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ดูเหมือนว่าผู้ที่กำลังหาบ้าน โดยเฉพาะผู้ที่มีกำลังซื้อสูงหรือคิดจะลงทุนในตลาดบน จะเลือก ‘รอดูสถานการณ์’ ในช่วงเลือกตั้ง มากกว่าที่จะตัดสินใจซื้อหรือลงทุนทันที เนื่องจากต้องการดูความชัดเจนของทิศทางนโยบายของรัฐบาลใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ยิ่งทำให้ผู้ซื้อเพิ่มความระมัดระวังในการตัดสินใจมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการซื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัด” ดร.ลี กล่าว ภาพที่ 1: ดัชนียอดเข้าชมประกาศที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งทั่วไป
แหล่งที่มา: DataSense by PropertyGuru for Business

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสนใจว่าแนวโน้มดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ถึงแม้ว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะกระเตื้องขึ้นเป็นอย่างดีในช่วงเดือนธันวาคม 2565 ก็ตาม

ภาพที่ 2: ดัชนียอดเข้าชมประกาศที่อยู่อาศัยแนวสูง (คอนโดมิเนียม และอะพาร์ตเมนต์) ในกัวลาลัมเปอร์ ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งทั่วไป

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสนใจว่าแนวโน้มดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ถึงแม้ว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะกระเตื้องขึ้นเป็นอย่างดีในช่วงเดือนธันวาคม 2565 ก็ตาม ภาพที่ 2: ดัชนียอดเข้าชมประกาศที่อยู่อาศัยแนวสูง (คอนโดมิเนียม และอะพาร์ตเมนต์) ในกัวลาลัมเปอร์ ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งทั่วไป
แหล่งที่มา: DataSense by PropertyGuru for Business

หลังจากการประกาศผลการเลือกตั้งทั่วไปของไทยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ความสนใจในอสังหาริมทรัพย์ได้กลับมาอีกครั้ง โดยมีหลักฐานชี้ชัดว่าดัชนียอดเข้าชมประกาศที่อยู่อาศัยของไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าสู่ระดับสมดุลใหม่ ซึ่งการฟื้นตัวของดีมานด์ในลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้บริโภคที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะยาว เนื่องจากการซื้ออสังหาฯ นั้นถือเป็นการลงทุนระยะยาวกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น

“อย่างไรก็ดี เรายังคงเห็นสัญญาณหลาย ๆ อย่างที่สะท้อนถึงดีมานด์ความสนใจในการค้นหาอสังหาฯ ที่ค่อนข้างลดลงจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการที่ลดลงนี้คาดว่าน่าจะมาจาก ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เรายังต้องรอลุ้นว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยจะเป็นใคร ทั้งนี้ เราคาดว่าตลาดอสังหาฯ จะกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากผลการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ข้อสรุปออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหลังจากนั้นคาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคจะกลับมาเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดต่อไป” ดร.ลี กล่าวสรุป

ส่องกำลังซื้อต่างชาติกับการฟื้นตัวตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

ส่องกำลังซื้อต่างชาติกับการฟื้นตัวตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

ส่องกำลังซื้อต่างชาติกับการฟื้นตัวตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับปัจจัยบวกทั้งจากกำลังซื้อต่างชาติที่เริ่มกลับมา เห็นได้ชัดหลังจากจีนประกาศเปิดประเทศเมื่อต้นปี ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่าง ๆ มีแนวโน้มฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอีกครั้ง และภาวะเงินเฟ้อที่ไม่ร้อนแรงเหมือนในปีที่ผ่านมา แต่กำลังซื้อผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ยังไม่กลับมา มีทั้งปัจจัยท้าทายหลัก ๆ จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ทำให้กำลังซื้อต่างชาติกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้

กำลังซื้อชาวต่างชาติกับบทบาทในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ไทย

ข้อมูลล่าสุดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (1 มกราคม – 31 มีนาคม) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้ในประเทศมากกว่า 250,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมากเป็นอันดับ 1 ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงถึง 7-8 ล้านคน 

ล่าสุด กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ยังได้ออกกฎกระทรวงซึ่งเอื้อต่อการนำที่อยู่อาศัยมาให้บริการในรูปแบบของโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อหารายได้ โดยได้รับการผ่อนผัน ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับที่ว่างของอาคาร, ช่องทางเดินในอาคาร, ความกว้างของบันได และระยะถอยร่นแนวอาคาร ฯลฯ แต่ทั้งนี้ อาคารที่จะเปลี่ยนการใช้ดังกล่าวต้องมีความมั่นคงแข็งแรงและมีระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว

ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 3.6% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 29.5 ล้านคน และจะมีรายได้จากกลุ่มนี้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ รวมไปถึงการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศขยายตัว 79.2% ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 67.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นทิศทางการฟื้นตัวที่ดีในตลาดอสังหาฯ หลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ ทำให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไทยได้ดังเดิม

ฟื้นหรือฟุบ? เกาะติดความเคลื่อนไหวอสังหาฯ หัวเมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดว่าในปี 2566 สัดส่วนชาวต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาจจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 15% ของมูลค่าทั้งหมด หลังจากที่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 14.6% ดังนั้น กำลังซื้อชาวต่างชาติจึงอาจไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทยอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ 

นอกจากนี้ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ยังคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นตลาดที่เอื้อให้ชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในไทยอย่างถูกกฎหมายให้มีมากขึ้น โดยไม่ผ่านตัวแทนหรือนอมินี (Nominee) ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com และแอปพลิเคชัน DDproperty ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2566) อัปเดตเทรนด์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, ชลบุรี และนครราชสีมา สะท้อนให้เห็นทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ไทย หลังกำลังซื้อต่างชาติกลับมาอีกครั้งหลังจากเปิดประเทศเต็มรูปแบบ

ส่องกำลังซื้อต่างชาติกับการฟื้นตัวตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

กรุงเทพฯ

ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ยังมีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม 

ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า คอนโดมิเนียมมีทิศทางการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 6% จากเดือนมกราคม ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ยังทรงตัว

เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความต้องการซื้อคอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด (เพิ่มขึ้น 10% และ 4% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) ซึ่งสอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทจะได้รับความนิยมมากที่สุด (ลดลง 3% จากเดือนมกราคม)

ในส่วนทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 หากเป็นคอนโดฯ จะอยู่ในแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง ส่วนทำเลยอดนิยมที่ผู้ซื้อบ้านเดี่ยวให้ความสนใจจะอยู่ในแขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง ขณะที่แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวงถือเป็นทำเลที่มีความต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์สูงที่สุด 

ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเชียงใหม่

เชียงใหม่

อีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 14% MoM แต่ลดลงถึง 28% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม เนื่องจากปัจจัยลบที่มีอย่างต่อเนื่องของปัญหาฝุ่นควัน รวมถึงตลาดท่องเที่ยวที่เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร และปรับลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ ปรับลดลงมากที่สุดในสัดส่วนเท่ากันที่ 35% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ (ลดลง 25% จากเดือนมกราคม)

เมื่อพิจารณาตามระดับราคา พบว่า ระดับราคาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในทุกประเภทที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดฯ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว คือ 1-3 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6%, ลดลง 28% และลดลง 45% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) 

ทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในเชียงใหม่ส่วนใหญ่จะอยู่ในตัวเมือง โดยทำเลที่ผู้บริโภคสนใจซื้อคอนโดฯ มากที่สุด คือตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ส่วนทำเลฝั่งทาวน์เฮ้าส์ที่ได้รับความนิยมจะอยู่ในตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ ขณะที่ทำเลยอดนิยมของบ้านเดี่ยวจะอยู่ในตำบลสันผักหวาน อำเภอหางดง

ตลาดที่อยู่อาศัยของภูเก็ต

ภูเก็ต

ตลาดที่อยู่อาศัยของภูเก็ตในเดือนพฤษภาคมยังคงทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า เมื่อพิจารณาภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า ลดลง 13% จากเดือนมกราคม 

โดยคอนโดฯ เป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 10% สวนทางกับที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวที่ลดลงถึง 26% ส่วนทาวน์เฮ้าส์ลดลง 15% จากเดือนมกราคม

เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดฯ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว (เพิ่มขึ้น 7%, ลดลง 4% และลดลงถึง 62% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) 

ขณะที่ทำเลที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่าความนิยมกระจายไปในพื้นที่อำเภอเมืองภูเก็ตเป็นหลัก โดยทำเลที่ได้รับความนิยมในการซื้อคอนโดฯ อยู่ที่ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต ด้านบ้านเดี่ยวจะได้รับความนิยมในเขตตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีคนสนใจซื้อในตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ตมากที่สุด

ตลาดอสังหาฯ ในชลบุรี

ชลบุรี 

ตลาดอสังหาฯ ในชลบุรีมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ประกอบกับมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมไปถึงการพัฒนาระบบคมนาคมและนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงทำให้ชลบุรีโดดเด่นทั้งด้านท่องเที่ยวและด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเติบโต 9% MoM 

นอกจากนี้ ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม โดยทาวน์เฮ้าส์ได้รับความสนใจ มีการความต้องการซื้อเพิ่มถึง 21% ตามมาด้วยคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 9% โดยมีเพียงบ้านเดี่ยวเท่านั้นที่ความต้องการซื้อลดลง 4% 

เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดฯ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว (เพิ่มขึ้น 11%, เพิ่มขึ้น 20% และลดลง 6% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) 

สำหรับทำเลยอดนิยมในชลบุรีนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง ที่เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ EEC จึงทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยบ้านเดี่ยวจะได้รับความต้องการซื้อมากที่สุดในตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา ทาวน์เฮ้าส์จะเป็นที่นิยมในตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา ขณะที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุงจะเป็นทำเลยอดนิยมในการซื้อคอนโดฯ

ตลาดอสังหาฯ ในนครราชสีมา

นครราชสีมา

นครราชสีมามีศักยภาพในการเป็นเมืองศูนย์กลางของระบบการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่สำคัญในอนาคต โดยมีโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา หรือมอเตอร์เวย์ (M6) รวมทั้งแผนพัฒนารถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และท่าเรือบกในอนาคต 

แม้ว่าจะมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองยังต้องพึ่งพาความชัดเจนจากความคืบหน้าของโครงการคมนาคมต่าง ๆ ด้วย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมายังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า 

ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 นั้นลดลง 27% จากเดือนมกราคม และปรับตัวลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยทาวน์เฮ้าส์ลดลงมากที่สุดถึง 55% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว และคอนโดฯ (ลดลง 28% และลดลง 11% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ)

โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจมากที่สุด พบว่า คอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท (ลดลง 19% และลดลง 46% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ มากกว่าเน้นความหรูหราแบบบ้านพักตากอากาศ ส่วนบ้านเดี่ยวอยู่ในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท ลดลง 45% จากเดือนมกราคม 

ด้านทำเลที่อยู่อาศัยยอดนิยมนั้น อำเภอปากช่องยังคงเป็นทำเลยอดนิยมที่ผู้คนให้ความสนใจค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยทำเลที่มีความต้องการซื้อคอนโดฯ และบ้านเดี่ยวมากที่สุดอยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์จะได้รับความนิยมซื้อในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา 

ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ความหวังปลดล็อกความเสมอภาค ในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคู่รัก LGBTQIAN+

ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ความหวังปลดล็อกความเสมอภาค ในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคู่รัก LGBTQIAN+

ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ความหวังปลดล็อกความเสมอภาค ในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคู่รัก LGBTQIAN+

กลุ่ม LGBTQIAN+ (หรือกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ) เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพในการใช้จ่าย อีกทั้งแนวโน้มการขยายตัวของประชากรกลุ่มนี้ จากการวิเคราะห์ของ GAY TIMES (โดยใช้ข้อมูลของ IPSOS และ UN Population ร่วมกัน) คาดว่าประชากร LGBTQIAN+ จะมีจำนวนถึง 1 พันล้านคนทั่วโลกภายในปี 2593 ขณะที่ข้อมูลจาก LGBT Capital ณ สิ้นปี 2562 ระบุว่าผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIAN+ มีอำนาจการใช้จ่ายรวมกันถึง 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่น่าจับตามองอย่างมาก 

นอกจากนี้ในด้านความเท่าเทียม อ้างอิงจาก รายงาน “Brand Purpose in Asia” ของ BBDO Asia เผยมุมมองที่น่าสนใจว่าผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ให้การยอมรับเรื่องของ LGBTQIAN+ อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เห็นได้จากการที่องค์กรภาคเอกชนมากมายได้ขับเคลื่อนนโยบายที่ตระหนักถึงกลุ่มพนักงานที่มีความหลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สังคมยังคงรอความชัดเจนในประเด็นการรับรองความเท่าเทียมทางเพศตามกฎหมาย

DDproperty-LGBTQIAN-00

ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เปิดโอกาสให้คู่สมรส LGBTQIAN+ เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้อย่างไร 

ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับ พ.ศ. … หรือ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมเป็นร่างกฎหมายที่เปิดโอกาสให้บุคคลเพศเดียวกันสามารถสมรสกันได้ตามกฎหมาย พร้อมมีสิทธิในการสมรสไม่ต่างจากคู่สมรสชายหญิง โดยมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์มากกว่าร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ทั้งในเชิงหลักการและในเชิงปฏิบัติ อย่างไรก็ดี หลังจากคณะรัฐมนตรีและที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมในวาระที่ 1 ในเดือนมิถุนายน 2565 ปัจจุบันยังรอพิจารณาวาระที่ 2-3 ต่อไป

นอกจากหลักการของ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะสนับสนุนความเสมอภาคทางเพศให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้ว หากมีการบังคับใช้เป็นกฎหมายในอนาคต จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยในหลากหลายบริบท รวมทั้งในตลาดอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนจับตาความน่าสนใจของร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เมื่อผ่านเป็นกฎหมายแล้วจะช่วยคู่สมรส LGBTQIAN+ ให้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยร่วมกันได้อย่างไรบ้าง 

    • เปิดโอกาสในการกู้ซื้ออสังหาฯ ร่วมกัน แม้ปัจจุบันบางธนาคารจะเปิดโอกาสให้คู่รักชาว LGBTQIAN+ สามารถกู้ร่วมซื้อบ้านได้เช่นเดียวกับคู่รักต่างเพศ หรือมีแคมเปญรองรับคู่รักกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะแล้ว อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะทลายกรอบทางเพศลง เปิดทางให้คู่รักทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้และมีสถานะทางกฎหมายเป็นคู่สมรส ซึ่งจะสามารถยื่นกู้ร่วมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในนามคู่สมรส และมีกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยร่วมกันเช่นเดียวกับคู่สมรสชาย-หญิง 
    • มีสิทธิ์การจัดการทรัพย์สินหรือสินสมรสร่วมกัน ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะช่วยให้คู่สมรส LGBTQIAN+ มีสิทธิในการบริหารจัดการสินสมรสร่วมกันตามกฎหมาย ได้แก่ ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส หรือทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือโดยระบุว่าเป็นสินสมรส รวมทั้งทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว ในกรณีที่ผู้บริโภคมีการซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมตั้งแต่ตอนยังโสดจะถือว่าที่อยู่อาศัยนั้นเป็นสินส่วนตัว หากมีการจดทะเบียนสมรสในภายหลัง และต้องการเพิ่มชื่อคู่สมรสเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ดังนี้
      • ค่าใช้จ่ายในการให้ 0.5% ของราคาประเมิน
      • ภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ผู้ให้เปรียบเสมือนเป็นผู้ขายจึงต้องนำเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะในส่วนที่ให้คู่สมรส
      • ค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของราคาซื้อขาย แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาประเมินที่ดิน โดยต้องครอบครองมากกว่า 5 ปีขึ้นไป หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปี หากไม่ตรงตามเกณฑ์นี้ จะเข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 3.3% ของราคาซื้อขายแทน

ในกรณีซื้อบ้าน/คอนโดฯ หลังจดทะเบียนสมรสแล้วจะถือว่าเป็นสินสมรส หากต้องการเพิ่มชื่อคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสเรียบร้อยแล้วเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อีกคน จะเสียค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 75 บาท หรือหากต้องการเพิ่มชื่อคู่สมรสในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนจากการกู้เดี่ยวมาเป็นการกู้ร่วมนั้น ธนาคารจะนำรายได้และภาระหนี้ของคู่สมรสที่กู้ร่วมมาพิจารณาด้วยอีกครั้ง 

    • สิทธิในการรับมรดกจากคู่สมรส พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ได้รับมรดกที่มีมูลค่าสุทธิรวมเกิน 100 ล้านบาท โดยทรัพย์สินมรดกที่จะต้องเสียภาษีมี 5 ประเภท ได้แก่ 1. อสังหาริมทรัพย์ 2. หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3. เงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกันซึ่งอยู่ในประเทศไทย 4. ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน และ 5. ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา 

อย่างไรก็ดี หากผู้ที่ได้รับมรดกเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องของเจ้าของมรดกนั้น ๆ คู่สมรสจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมรดก ซึ่งร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะทำให้คู่สมรส LGBTQIAN+ ได้รับสิทธินี้เช่นกัน หรือหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตและไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ คู่สมรส LGBTQIAN+ ที่ยังมีชีวิตจะถือเป็นทายาทโดยธรรมอันมีสิทธิรับมรดกของคู่สมรสที่เสียชีวิตได้ตามกฎหมาย โดยไม่ต้องเสียภาษีมรดกเช่นกัน 

ส่องเทรนด์ที่อยู่อาศัยน่าจับตามองของชาว LGBTQIAN+

เนื่องในเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (Pride Month) ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ชวนมาอัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วิถีชาว LGBTQIAN+ ที่น่าจับตามองในยุคนี้+

    • Pet Humanization รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก ผลสำรวจตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงในไทยของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผยว่า 49% ของกลุ่มตัวอย่างนิยมเลี้ยงสัตว์เป็นลูก (Pet Parent) มากที่สุด โดยมีค่าใช้จ่ายในการดูแลเสมือนลูกเฉลี่ยอยู่ที่ 14,200 บาท/ตัว/ปี นอกจากนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงจะมีมูลค่าสูงถึง 66,748 ล้านบาทในปี 2569 เติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% ซึ่งเป็นปัจจัยบวกให้กับธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน

สอดคล้องกับเทรนด์การใช้ชีวิตปัจจุบันที่คนไทยมีแนวโน้มครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือแต่งงานแต่ไม่มีบุตร โดยเฉพาะในกลุ่ม LGBTQIAN+ ที่มักให้ความสนใจเลี้ยงสัตวเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนยามเหงา หรือดูแลอย่างดีเหมือนเป็นลูก ส่งผลให้มองหาโครงการที่อยู่อาศัยที่มาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบนี้มากขึ้น โดยบ้านหรือคอนโดฯ ไม่เพียงแต่ต้องอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ แต่ควรมาพร้อมสวัสดิการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับการดำเนินชีวิตของสัตว์เลี้ยงอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งด้วยวัสดุหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทนรอยขีดข่วน มีพื้นที่ออกกำลังกายหรือสระว่ายน้ำของสัตว์เลี้ยง ก่อสร้างด้วยผนังห้องที่ช่วยเก็บเสียง มีเครื่องฟอกอากาศกำจัดเชื้อโรค รวมไปถึงการตั้งอยู่ใกล้คลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์

    • พื้นที่ออกกำลังกายครบครัน เสริมสุขภาพกาย-ใจ อีกปัจจัยที่กลุ่ม LGBTQIAN+ ให้ความสำคัญคือการดูแลสุขภาพ โครงการที่อยู่อาศัยในฝันจึงต้องมาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางรองรับการออกกำลังกายได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่กลางแจ้ง เช่น ลู่วิ่ง เลนปั่นจักรยาน สระว่ายน้ำ รวมทั้งห้องออกกำลังกายส่วนกลาง (Fitness Center) ที่มาพร้อมเครื่องออกกำลังกายที่ทันสมัย มีจำนวนอุปกรณ์เพียงพอรองรับการใช้งานได้อย่างครบครัน 

นอกจากนี้ การมีสระว่ายน้ำวารีบำบัด หรือมีเครื่องออกกำลังกายในน้ำยังถือเป็นเทรนด์การดูแลสุขภาพที่น่าจับตามอง เนื่องจากเป็นอีกทางเลือกในการลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายได้อีกด้วย ตอบโจทย์คนรักสุขภาพทุกเพศทุกวัย ขณะเดียวกัน ภายในพื้นที่ส่วนกลางควรมีสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวเพียงพอ รองรับการพักผ่อนหย่อนใจ และทำกิจกรรมไลฟ์สไตล์สุขภาพต่าง ๆ สภาพแวดล้อมที่รายล้อมด้วยธรรมชาติจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพใจให้แข็งแรง และผ่อนคลายความเครียดได้เป็นอย่างดี 

    • เทรนด์ DINK ดันคู่รักไม่มีลูกมุ่งลงทุน ปัจจุบันเทรนด์ DINK (Double Income No Kid) กำลังได้รับความนิยมในไทย โดยเป็นแนวคิดของคู่รักรุ่นใหม่ที่ต่างทำงานทั้งคู่แต่ยังไม่มีลูก หรือวางแผนไม่มีลูก ซึ่งรวมทั้งคู่รักกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศด้วย ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีรายได้สองทาง โดยไม่มีภาระในส่วนค่าเลี้ยงดูบุตร ส่งผลให้มีกำลังซื้อสูงและมีความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อตัวเองมากขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันผู้บริโภคกลุ่ม DINK ก็มีโอกาสเก็บออมเงินได้มากกว่าคนทั่วไป จึงนิยมวางแผนบริหารการเงินให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์ด้วยการนำไปลงทุน ซึ่งการลงทุนอสังหาฯ ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจในการสร้างผลตอบแทนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากมีความผันผวนน้อยกว่า และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น ๆ โดยการลงทุนอสังหาฯ ที่น่าสนใจมีหลากหลายรูปแบบ ดังนี้
      • การลงทุนแบบเก็งกำไร เช่น การทำกำไรจากการขายใบจองคอนโดฯ เป็นการลงทุนระยะสั้นที่ใช้เงินลงทุนน้อย แต่ได้ผลตอบแทนเร็ว 
      • การลงทุนแบบปล่อยเช่ารายเดือน เหมาะกับนักลงทุนแบบเสือนอนกินที่มีเงินเก็บหรือมีเงินเย็นพร้อมในการลงทุน 
      • การลงทุนในกองทุนอสังหาฯ มีความเสี่ยงต่ำ สามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก แต่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว 
      • การลงทุนรีโนเวท เป็นการซื้อบ้าน/คอนโดฯ มือสองมาตกแต่งใหม่ให้สวยงามแล้วขายต่อในราคาที่เพิ่มขึ้น

แม้ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะต้องรอการพิจารณาในวาระอื่น ๆ แต่ถือได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่จะสร้างแรงกระเพื่อมที่สำคัญในสังคมไทยอีกครั้ง ปัจจุบันคู่รัก LGBTQIAN+ ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยสามารถศึกษาเงื่อนไขการกู้ร่วมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในแคมเปญต่าง ๆ ของหลายธนาคารที่มีออกมารองรับได้เช่นกัน ทั้งนี้เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข้อมูลข่าวสารและเรื่องราวน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกที่อยู่อาศัยในฝัน พร้อมเป็นแหล่งรวมประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยสามารถศึกษาหาข้อมูลทุกเรื่องที่สนใจ เตรียมความพร้อมในทุกด้านก่อนเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น