EQT Completes Acquisition of PropertyGuru

อีคิวทีและพร็อพเพอร์ตี้กูรู ควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์แล้ว

EQT Completes Acquisition of PropertyGuru

  • PropertyGuru enters into next phase of growth as Southeast Asia’s leading property technology platform, empowering millions of property seekers across the region with innovative solutions
  • EQT to harness its deep expertise in scaling digital marketplace and classifieds businesses to drive technology innovation, operational excellence, and market expansion
  • Sets the stage for PropertyGuru to capitalize on urbanization, middle-class growth, and digitalization trends across the region’s dynamic real estate markets

EQT Private Capital Asia and PropertyGuru Group Limited (NYSE: PGRU) (“PropertyGuru” or the “Company”), Southeast Asia’s leadin  property technology (“PropTech”) company, are pleased to announce the completion of the acquisition (the “Merger”) of PropertyGuru by BPEA Private Equity Fund VIII for USD 6.70 per share in cash in a transaction that values PropertyGuru at an equity value of approximately USD 1.1 billion.

In connection with the closing, PropertyGuru’s common shares ceased trading before the market open on December 13, 2024, and the Company has been delisted from the New York Stock Exchange. PropertyGuru will operate as a privately held company. Following the Merger through January 12, 2025, each unexercised and outstanding warrant will be, upon valid exercise, exchangeable for USD 0.7526 per warrant.

Founded in 2007 and headquartered in Singapore, PropertyGuru is Southeast Asia’s leading property technology platform, connecting over 31 million property seekers with more than 50,000 agents across Singapore, Malaysia, Thailand and Vietnam each month. With a comprehensive suite of offerings, including extensive real estate listings, data-driven insights, and mortgage solutions like PropertyGuru Finance and enterprise client solutions under PropertyGuru for Business, the Company empowers users to make confident property decisions across the region.

EQT’s investment in PropertyGuru aims to support the Company’s ongoing progress by providing resources and expertise to accelerate technology development, expand market reach, and improve operational efficiency. Leveraging its experience with leaders in the digital marketplace and real estate classifieds sectors – including companies such as Idealista and Casa.it – EQT seeks to advance PropertyGuru’s strategic initiatives, strengthen its position in Southeast Asia’s leading PropTech sector, and drive growth in dynamic markets influenced by urbanization, middle-class expansion, and digitalization.

Hari V. Krishnan, Chief Executive Officer, PropertyGuru Group, said, “We are pleased to announce the successful completion of this transaction and we welcome EQT to PropertyGuru. Over the past seventeen years, our growth has been enabled by strong partnerships with our shareholders, led by TPG and KKR. On behalf of everyone at PropertyGuru, I want to thank them for their support and I am proud that we have delivered a solid financial exit for our long-term investors.”

“On behalf of our group leadership team, I thank our Gurus for their hard work and the wonderful business we have built together, and our customers and partners for their continued trust and partnership. EQT shares our commitment to our continued sustainable growth, and we look forward to working with them towards our Group’s vision to power, communities to live, work and thrive in tomorrow’s cities,” Mr. Krishnan added.

Janice Leow, Partner in the EQT Private Capital Asia advisory team and Head of EQT Private Capital Southeast Asia, said, “PropertyGuru has redefined the property technology landscape in Southeast Asia, standing out for its innovation and leadership in delivering solutions that empower millions across the region. Drawing on EQT’s expertise in technology-driven businesses, with a strong focus on marketplace and classifieds platforms, we look forward to supporting PropertyGuru in exploring new opportunities, enhancing its offerings, and driving its next phase of growth while contributing to the evolution of the property market in Southeast Asia.”

อีคิวทีและพร็อพเพอร์ตี้กูรู ควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์แล้ว

อีคิวทีและพร็อพเพอร์ตี้กูรู ควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์แล้ว

อีคิวทีและพร็อพเพอร์ตี้กูรู ควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์แล้ว

  • พร็อพเพอร์ตี้กูรู (PropertyGuru) เดินหน้าสู่การเติบโตเฟสใหม่ ในฐานะแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ช่วยสนับสนุนผู้ที่กำลังหาบ้านหลายล้านคนทั่วภูมิภาคด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย  
  • อีคิวที (EQT) ประกาศนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการขยายธุรกิจด้านดิจิทัล มาร์เก็ตเพลส และธุรกิจโฆษณาอสังหาริมทรัพย์ ในการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยี ความเป็นเลิศทางธุรกิจ ไปจนถึงการขยายตลาดให้เติบโตยิ่งขึ้น
  • พร้อมเร่งเครื่องเต็มสูบผลักดันพร็อพเพอร์ตี้กูรู โตรับการขยายตัวของสังคมเมือง, ฐานผู้บริโภคชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น และเทรนด์ดิจิทัลในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

อีคิวที ไพรเวท แคปิตัล เอเชีย (EQT Private Capital Asia) และพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด (ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE): PGRU) (“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” หรือ “บริษัท”) ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ[1]  (“PropTech”) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นบริษัทแม่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ – แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย และ thinkofliving.com – เว็บไซต์รีวิวและคอนเทนต์ด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้ประกาศผลการดำเนินการควบรวมกิจการ โดยกองทุน บีพีอีเอ ไพรเวท อิควิตี้ ฟันด์ 8 (BPEA Private Equity Fund VIII) ได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมูลค่าต่อหุ้นในการดำเนินการควบรวมครั้งนี้อยู่ที่ 6.70 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 228 บาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 13 ธันวาคม 2567) ส่งผลให้มูลค่าของการควบรวมพร็อพเพอร์ตี้กูรูในครั้งนี้ มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 37.5 หมื่นล้านบาท)

โดยผลจากการควบรวมกิจการในครั้งนี้ ทำให้พร็อพเพอร์ตี้กูรูหยุดการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก่อนการเปิดตลาดของวันที่ 13 ธันวาคม 2567 และบริษัทได้ทำการถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก และกลับมาดำเนินการในรูปแบบบริษัทเอกชนอีกครั้ง  โดยวอร์แรนท์คงค้าง และยังไม่ได้ทำการซื้อขาย ตั้งแต่ช่วงการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น ไปจนถึงวันที่ 12 มกราคม 2568 จะสามารถขายคืนได้ในมูลค่า 0.7526 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 25.67 บาท) ต่อวอร์แรนท์

พร็อพเพอร์ตี้กูรู แพลตฟอร์มเทคโนโลยีอสังหาฯ ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัวครั้งแรกในสิงคโปร์เมื่อปี พ.ศ. 2550 ในแต่ละเดือน แพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นสื่อกลางให้ผู้ที่กำลังหาบ้านกว่า 31 ล้านคนทั่วภูมิภาค ได้ติดต่อกับเอเจนต์อสังหาฯ กว่า 50,000 รายใน 4 ตลาดหลัก ได้แก่ สิงคโปร์, มาเลเซีย, ไทย และเวียดนาม บริษัทมีส่วนในการสนับสนุนให้ลูกค้า และผู้บริโภคในภูมิภาค สามารถตัดสินใจในการซื้อ-ขาย-เช่า-ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมั่นใจ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่ประกาศอสังหาริมทรัพย์, ข้อมูลตลาดเชิงลึก, ผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อ อย่างพร็อพเพอร์ตี้กูรู ไฟแนนซ์ (PropertyGuru Finance) ไปจนถึงโซลูชั่นสำหรับลูกค้าองค์กร ภายใต้แบรนด์ พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส (PropertyGuru for Business)

ทั้งนี้ การลงทุนของอีคิวที ในพร็อพเพอร์ตี้กูรูนั้น มุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทด้วยการเสริมความแกร่งด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญเพื่อเร่งการเติบโตด้านเทคโนโลยี, การขยายตลาดให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ไปจนถึงการพัฒนาประสิทธิภาพของการดำเนินงาน ด้วยประสบการณ์ในการบริหารแพลตฟอร์มชั้นนำในธุรกิจดิจิทัล มาร์เก็ตเพลส และธุรกิจโฆษณาอสังหาริมทรัพย์อย่าง idealista (ในสเปน) และ Casa.it (ในอิตาลี) อีคิวทีจะช่วยส่งเสริมการพัฒนากลยุทธ์ให้กับพร็อพเพอร์ตี้กูรู สร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในภาคอุตสาหกรรมพร็อพเทคแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในตลาดต่าง ๆ ที่ล้อไปกับการขยายตัวของสังคมเมือง, ฐานผู้บริโภคชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น และเทรนด์ดิจิทัลในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

นายแฮร์รี่ วี. คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีที่การควบรวมกิจการในครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ด้วยดีและขอต้อนรับอีคิวทีสู่พร็อพเพอร์ตี้กูรู ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา นับได้ว่าบริษัทของเรามีเส้นทางที่น่าตื่นเต้นและเป็นที่จดจำ ซึ่งความสำเร็จตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่มีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นของเรา โดยก่อนหน้านี้ เราได้มีโอกาสร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างทั้ง TPG และ KKR มาแล้ว ผมขอเป็นตัวแทนของทุก ๆ ท่านที่พร็อพเพอร์ตี้กูรูในการแสดงความขอบคุณต่อการสนับสนุนของพาร์ทเนอร์ของเราทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่กรุ๊ปของเราสามารถที่จะสร้างผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมในการออกจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการปิดฉากในตลาดฯ ที่สร้างความประทับใจให้กับนักลงทุนระยะยาวของเรา”

นายแฮร์รี่กล่าวเสริมว่า “ในนามทีมผู้บริหารของกรุ๊ป ผมขอขอบคุณพวกเราทุกคนสำหรับความทุ่มเทในการทำงาน และผลงานอันเยี่ยมยอดตลอดหลายปีที่ผ่านมา และขอบคุณลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับความไว้ใจและการสนับสนุนที่ดีที่มีต่อบริษัทเราเสมอมา อีคิวทีมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน และเดินหน้าไปพร้อมกับเราในการสร้างวิสัยทัศน์ของบริษัทเรา ในการร่วมส่งเสริมการสร้างชุมชนแห่งการอยู่อาศัย ทำงาน และพัฒนาเป็นเมืองแห่งอนาคตให้เป็นจริงขึ้นมา”

ด้าน เจนิส เลียว หัวหน้าทีมที่ปรึกษา อีคิวที ไพรเวท แคปิตัล เอเชีย และหัวหน้าฝ่ายการลงทุน อีคิวที ไพรเวท แคปิตัล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “พร็อพเพอร์ตี้กูรูได้พลิกโฉมเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์หรือพร็อพเทคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรม และความเป็นผู้นำในการนำเสนอโปรดักส์และบริการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังหาบ้านหลายล้านคนทั่วภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของทีมอีคิวทีในการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสและโฆษณาอสังหาริมทรัพย์ เรามุ่งที่จะสนับสนุนการเติบโตของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ในการขยายโอกาสทางธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมไปถึงขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทในเฟสต่อไป พร้อม ๆ ไปกับการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนวิวัฒนาการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต”

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดตลาดอสังหาฯ ปี 68 ยังคงเผชิญความท้าทายอีกครั้ง หวัง “เศรษฐกิจฟื้นตัว” ช่วยดันกำลังซื้อ สานฝันให้คนพร้อมมีบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดตลาดอสังหาฯ ปี 68 ยังคงเผชิญความท้าทายอีกครั้ง หวัง “เศรษฐกิจฟื้นตัว” ช่วยดันกำลังซื้อ สานฝันให้คนพร้อมมีบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดตลาดอสังหาฯ ปี 68 ยังคงเผชิญความท้าทายอีกครั้ง หวัง “เศรษฐกิจฟื้นตัว” ช่วยดันกำลังซื้อ สานฝันให้คนพร้อมมีบ้าน

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ยังคงไม่ฟื้นตัวตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเผชิญกับความท้าทายทางการเงินที่มีต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้า แม้ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมาเพิ่มเติม แต่ก็ไม่แรงพอที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างชัดเจน แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะดึงดูดใจผู้บริโภคที่ต้องเผชิญความท้าทายทางการเงินและแบกรับภาระหนี้มาอย่างยาวนาน ส่งผลให้กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยรายงาน DDproperty Thailand Property Market Outlook 2568 รวบรวมข้อมูลเชิงวิเคราะห์และสรุปภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เช่า หรือนักลงทุนได้เข้าใจถึงสถานการณ์และความท้าทายในตลาดที่อยู่อาศัย และสามารถประเมินความพร้อมของสถานการณ์รอบด้าน รวมไปถึงตัดสินใจซื้อ/ขาย/เช่าและเดินบนเส้นทางอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

สรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 67 ชะลอตัวตามกำลังซื้อ ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน  

ปี 2567 เป็นอีกปีที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลออย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะในการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและมีระยะเวลาในการผ่อนชำระยาวนาน ผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ทำให้ผู้บริโภคทั้งกลุ่มที่วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยไม่มีความพร้อมทางการเงินเพียงพอ และผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน/คอนโดมิเนียมก็เริ่มประสบปัญหาในการผ่อนชำระเช่นกัน 

สอดคล้องกับรายงานของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร พบว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 หนี้ครัวเรือนในระบบเครดิตบูโร​อยู่ที่​13.6 ล้านล้านบาท (จากหนี้ครัวเรือนไทยทั้งหมด​ 16.3 ล้านล้านบาท) เติบโต​0.5% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยระดับหนี้เสีย (Non-Performing Loan: NPL) อยู่ที่ประมาณ​ 1.2 ล้านล้านบาท​ คิดเป็นสัดส่วน​8.8% ของ​หนี้รวม 13.6 ล้านล้านบาท​ เติบโต​3.4% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และเติบโต 14.1% YoY ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นับจากช่วงไตรมาส 4 ปี 2555) 

ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคจึงเลือกเก็บออมเงินเพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ทุกเมื่อ แม้ในเดือนตุลาคม ปี 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี และเป็นปัจจัยบวกในการซื้อบ้านที่หลายคนรอคอย แต่เมื่อพิจารณาราคาที่อยู่อาศัยปัจจุบันที่ปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการก่อสร้าง พบว่าช่องว่างของราคาที่อยู่อาศัยกับความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงไม่สอดคล้องกันเท่าที่ควร ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ยังคงมีทิศทางชะลอตัว

ความต้องการซื้อ/เช่ายังโต กลายเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่การเงินคืออุปสรรคใหญ่ 

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงมีความต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินพบว่ามีผู้บริโภคเพียง 33% เท่านั้นที่เก็บเงินเพียงพอที่จะซื้อบ้านแล้ว ขณะที่อีก 48% เก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้เพียงครึ่งทาง และ 18% ยังไม่มีแผนเก็บเงินใด ๆ แสดงให้เห็นว่าการวางแผนทางการเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยอาจไม่ใช่เป้าหมายอันดับต้น ๆ อีกต่อไป

  • ดีมานด์ซื้อยังไม่แผ่ว ความสนใจคอนโดฯ ทั่วประเทศพุ่ง 19% แม้จะมีความท้าทายรอบด้าน แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2567 จาก DataSense by PropertyGuru for Business ยังคงปรับเพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบที่อยู่อาศัยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) โดยเฉพาะคอนโดฯ มีความต้องการซื้อมากที่สุด เพิ่มขึ้น 19% YoY ตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยปัจจุบันและมีราคาที่เอื้อมถึง รองลงมาคือที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 10% YoY

สำหรับระดับราคาที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดทั่วประเทศนั้น คอนโดฯ จะอยู่ที่ระดับราคา 1,000,001-2,000,000 บาท โดยเพิ่มขึ้น 7% YoY ทาวน์เฮ้าส์จะอยู่ที่ระดับราคา 1,000,001-2,000,000 บาทเช่นเดียวกัน เพิ่มขึ้น 11% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยวอยู่ที่ระดับราคา 3,000,001-4,000,000 บาท เพิ่มขึ้นถึง 14% YoY ซึ่งเป็นระดับราคาที่อยู่ภายใต้มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์และตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่น่าสนใจคือบ้านเดี่ยวระดับราคา 10,000,001-20,000,000 บาท เพิ่มขึ้น 9% YoY สะท้อนให้เห็นว่าบ้านหรูยังมีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยมีดีมานด์มาจากกลุ่มผู้บริโภคระดับบนซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ 

เมื่อพิจารณาความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ พบว่ามีทิศทางสอดคล้องกับภาพรวมทั่วประเทศ โดยมีความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดฯ ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เพิ่มขึ้นถึง 16% YoY เนื่องจากเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยตามวิถีชีวิตของวัยเรียนและวัยทำงานที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง รองลงมาคือบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ (เพิ่มขึ้น 9% YoY และ 6% YoY ตามลำดับ)

สำหรับระดับราคาที่อยู่อาศัยรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกรุงเทพฯ พบว่าระดับราคาบ้านเดี่ยวที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดอยู่ที่10,000,001-20,000,000 บาท เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 11% YoY ตามมาด้วยคอนโดฯ อยู่ที่ระดับราคา 1,000,001-2,000,000 บาท เพิ่มขึ้น 1% YoY ส่วนทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ระดับราคา 2,000,001-3,000,000 บาท ทรงตัวจากปีก่อนหน้า 

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก DataSense by PropertyGuru for Business พบว่า คอนโดฯ กลายมาเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีผู้ให้ความสนใจมากที่สุดในปี 2567 โดยมีสัดส่วนความต้องการซื้อ 44% ของรูปแบบที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ และครองสัดส่วนถึง 58% ของรูปแบบที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่อยู่อาศัยแนวดิ่งที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เป็นโอกาสอันดีของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในการที่จะเปิดตัวโครงการประเภทนี้เพิ่มเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค

  • ความต้องการเช่ายังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคอนโดฯ ยืน 1 ครองใจคนเช่า สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาเช่าที่อยู่อาศัยแทน เพื่อลดผลกระทบทางด้านการเงิน ทำให้ตลาดเช่าที่อยู่อาศัยในปีนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากความต้องการเช่าทั่วประเทศเพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย แม้ว่าความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยแนวราบมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 25% YoY รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 24% YoY และคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 12% YoY

แต่หากพิจารณาจากสัดส่วนความต้องการเช่าตามรูปแบบที่อยู่อาศัยแล้วพบว่า คอนโดฯ มีสัดส่วนความต้องการเช่าสูงสุด สูงถึง 76% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว 15% และทาวน์เฮ้าส์ 9%

เมื่อแบ่งความต้องการเช่าทั่วประเทศตามระดับค่าเช่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด พบว่า คอนโดฯ ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับค่าเช่า 7,501-10,000 บาท/เดือน ลดลง 12% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ระดับค่าเช่า 12,501-15,000 บาท/เดือนเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้น 8% YoY และ 5% YoY ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นระดับค่าเช่าที่สอดคล้องกับพื้นที่ใช้สอยที่ได้รับ

สำหรับตลาดเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงมีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน โดยคอนโดฯ มีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 10% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยว เพิ่มขึ้น 30% YoY และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 23% YoY 

เช่นเดียวกับภาพรวมทั่วประเทศ คอนโดฯ ยังคงมีความสัดส่วนความต้องการเช่าสูงสุด สูงถึง 84% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ ส่วนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ อยู่ที่ 8% เท่ากัน

สะท้อนให้เห็นเทรนด์การเช่าในเมืองหลวงที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี และยังสามารถโยกย้ายทำเลได้สะดวก สรุปได้ว่าเทรนด์การเช่านั้นเติบโตอย่างชัดเจนในทุกประเภทที่อยู่อาศัย

เมื่อแบ่งตามระดับค่าเช่าในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุด พบว่า คอนโดฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดจะอยู่ที่ระดับค่าเช่า 7,501-10,000 บาท/เดือน ลดลง 18% YoY ด้านทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ระดับค่าเช่า 12,501-15,000 บาท/เดือน ลดลง 11% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยวอยู่ที่ระดับค่าเช่า 100,001-200,000 บาท/เดือน เพิ่มขึ้น 38% YoY โดยนอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกและสไตล์การตกแต่งแล้ว การตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพยังเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ระดับค่าเช่าบ้านเดี่ยวปรับสูงขึ้น ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคระดับบนที่ไม่ต้องการย้ายถิ่นฐานถาวรหรือชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย (Expat)

ตลาดอสังหาฯ ก้าวสู่ศักราชใหม่ปี 68 กับความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม (อีกครั้ง) 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดการณ์ว่า ปัจจัยที่ต้องจับตามองและจะมีผลกับการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ยังคงเป็นความท้าทายที่มาจากความไม่พร้อมทางด้านการเงินของผู้บริโภคเป็นหลัก อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แม้วิกฤติจะผ่านพ้นไปแล้วแต่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ ส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบรูปตัว K (K-Shaped Recovery) ซึ่งเป็นการฟื้นตัวเป็นแบบไม่เท่าเทียม โดยมีทั้งกลุ่มที่ฟื้นตัวได้ดีอย่างผู้บริโภคระดับบนซึ่งผลักดันให้ตลาดบ้านหรูยังคงเติบโต และกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างผู้บริโภคระดับล่าง-กลางที่ยังคงขาดสภาพคล่องทางการเงิน เมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจึงผ่านการอนุมัติจากธนาคารได้ยาก ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เผยว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 มีมูลค่า 419,812 ล้านบาท ลดลง 16.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ขณะเดียวกัน อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ในปีนี้ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 50% เช่นกัน

  • คนหาบ้านยังไม่หลุดพ้น “กับดักหนี้” ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่าแม้ว่าผู้บริโภคยังคงต้องการซื้อที่อยู่อาศัย แต่ยอมรับว่าอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อบ้านนั้นมาจากหน้าที่การงานที่ไม่มั่นคง (56%) และประวัติหนี้เสียในเครดิตบูโร (41%) ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่สะสมเป็นเวลานานจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และจะยังคงอยู่ในปี 2568 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงทรงตัว 

 

ขณะเดียวกันข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 มีแนวโน้มการผิดชำระหนี้บ้านที่เร่งตัวขึ้น ทั้งการขยายตัวของมูลค่าหนี้เสียที่สูงถึง 23.2% จาก 18.2% ของไตรมาสก่อนหน้า และสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 4.34% จาก 3.98% ของไตรมาสก่อนหน้า โดยการผิดนัดชำระหนี้บ้านส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 3 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นการขาดสภาพคล่องทางการเงินในกลุ่มผู้บริโภคระดับล่างที่ยังคงฟื้นตัวได้ยาก เมื่อผู้บริโภคยังคงขาดความพร้อมทางการเงินในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย จะส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มเหลือขายมากขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซับพอสมควร

  • จับตาดีมานด์ที่อยู่อาศัย Upper Class ส่อแววชะลอตัว ที่อยู่อาศัยระดับ Upper Class ราคา 7-15 ล้านบาท อาจมีส่งสัญญาณน่าเป็นห่วงเนื่องจากจำนวนที่อยู่อาศัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น สวนทางกับความต้องการซื้อที่เติบโตน้อยกว่า เช่น บ้านเดี่ยวระดับราคา 9,000,001-10,000,000 บาท (มีจำนวนเพิ่มขึ้น 24% YoY) และทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา ตั้งแต่ 5,000,001-6,000,000 บาท (มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17% YoY) เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการดูดซับอุปทานไปแล้วบางส่วน ประกอบกับการที่ผู้บริโภคบางส่วนยังคาดหวังว่าภาครัฐจะมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ออกมา จึงชะลอแผนการซื้อไว้ก่อน ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยระดับนี้ไม่ได้เติบโตหวือหวาเท่าที่ควร
  • อนาคตตลาดเช่ายังสดใส คนหวังลดภาระทางการเงิน ด้านตลาดเช่าที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2568 เนื่องจากผู้บริโภคยังเผชิญความท้าทายทางการเงินเมื่อต้องกู้ซื้อที่อยู่อาศัย จึงหันมาเลือกเช่าแทน หากพิจารณาในกรุงเทพฯ พบว่าความต้องการเช่ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะคอนโดฯ ดังนั้น คอนโดฯ ให้เช่าในเมืองหลวงจึงยังคงมีโอกาสเติบโตได้ดีกว่า
  • หวังภาครัฐผนึกแบงก์จัดมาตรการอสังหาฯ ที่ตรงจุด ช่วยดันตลาดฟื้นแรง อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 2.8-3% จากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตเพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณบวกที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและดึงดูดให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัวตามไปด้วย นอกจากนี้ ปัจจัยที่จะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปี 2568 คือมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐที่ตอบโจทย์ได้ตรงจุด ซึ่งควรเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและสถาบันทางการเงินเพื่อจัดสรรมาตรการที่เหมาะสมกับสภาพตลาดในปัจจุบัน เนื่องจากหลายธนาคารยังคงมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวด จึงทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ไม่เอื้อให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ตามที่หวัง 

ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรพิจารณาจัดสรรมาตรการบรรเทาภาระหนี้ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตให้กับผู้บริโภค เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงให้ขยายตัวช้าลง ซึ่งหากผู้บริโภคได้รับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ตรงจุดและตอบโจทย์ทางการเงินเข้ามาช่วยสนับสนุนการซื้อบ้านในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว คาดว่าจะเป็นอีกฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

หมายเหตุ: DDproperty Thailand Property Market Outlook เป็นรายงานภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่วิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางตลาดอสังหาฯ จากการรวบรวมข้อมูลดัชนีความต้องการ (Demand  Index) และดัชนีอุปทาน (Supply Index) ของที่อยู่อาศัยประเภทต่าง ๆ ทั้งในตลาดซื้อ-ขาย และตลาดเช่า รวมไปถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Sentiment) ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา นำมาวิเคราะห์ต่อยอด เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เช่าอสังหาฯ หรือนักลงทุนได้เข้าใจถึงสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในตลาดอสังหาฯ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถวางแผนหรือตัดสินใจซื้อ-ขาย-เช่าได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันภัย เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ

5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันภัย เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ

5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันภัย เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ

ปัจจุบันการประกาศขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยสะดวกสบายมากขึ้นเนื่องจากมีหลากหลายช่องทางเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ ขณะที่ผู้บริโภคเองก็สามารถหาข้อมูลบ้าน/คอนโดฯ ที่ต้องการได้ง่ายขึ้นเช่นกันเพียงปลายนิ้วคลิก โดยสิ่งที่ทำให้การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยต่างจากการซื้อขายสินค้าทั่วไปคืออสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ผู้สนใจซื้อจะสามารถเห็นสินค้าจริงและตัดสินใจได้ดีที่สุดเมื่อไปเยี่ยมชมที่โครงการด้วยตนเองเท่านั้น ดังนั้นการตัดสินใจซื้อ/เช่าจากการอ่านประกาศขายเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ และกลายเป็นช่องโหว่ให้ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้หลอกลวงผู้อื่นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ได้เช่นกัน 

รายงานของ ACI Worldwide เรื่อง It’s Prime Time for Real-Time 2023 พบว่า ประเทศที่ใช้ระบบการเงินแบบโอนและรับเงินได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง (Real-time payment) ในอัตราที่สูง มีแนวโน้มจะมีภัยการเงินสูงตามไปด้วย ซึ่งไทยมีอัตราการหลอกลวงเป็นอันดับ 6 ของโลกอยู่ที่ 25.7% เลยทีเดียว และการหลอกให้ซื้อขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ คือ ประเภทคดีที่มีสถิติการแจ้งความออนไลน์สูงที่สุดในปี 2566 สะท้อนให้เห็นว่าภัยการหลอกลวงทางการเงินอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิดและมิจฉาชีพเหล่านี้ต่างพยายามสรรหากลลวงใหม่ ๆ ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่วงการซื้อ/ขายหรือให้เช่าอสังหาฯ ดังนั้นไม่ว่าผู้บริโภคจะทำธุรกรรมทางการเงินใด ๆ ก็ควรตระหนักและระมัดระวังเรื่องการโอนเงินและรับเงินไว้เสมอ

5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันมิจฉาชีพ เช็กให้ชัวร์ไม่ตกเป็นเหยื่อเมื่อต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย

เมื่ออยู่ในขั้นตอนการค้นหาที่อยู่อาศัย บางครั้งผู้วางแผนซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยไม่ได้มีข้อมูลยืนยันตัวตนมากเพียงพอให้นำไปตรวจสอบได้ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความน่าเชื่อถือหรือหวาดระแวงว่าจะตกหลุมพรางของมิจฉาชีพ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ขอแนะนำ 5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันมิจฉาชีพเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย มีประเด็นใดบ้างที่ผู้วางแผนซื้อ/เช่าอสังหาฯ ควรตรวจสอบก่อนทำธุรกรรม เพื่อปิดช่องโหว่ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจนสูญเสียทรัพย์สินและข้อมูลส่วนตัวให้กับผู้ไม่ประสงค์ดี

  1. เช็กความน่าเชื่อถือของแหล่งประกาศขาย/ให้เช่า ปัจจุบันมีหลากหลายช่องทางในการลงประกาศขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งมีจุดเด่นที่แตกต่างกันเพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ดังนั้น ผู้บริโภคที่ต้องการค้นหาที่อยู่อาศัยจึงต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของแหล่งลงประกาศด้วยเช่นกัน หากเห็นป้ายโฆษณาตามที่สาธารณะควรถ่ายภาพเก็บไว้เพื่อนำมาค้นหาข้อมูลทางออนไลน์และเช็กรายละเอียดต่าง ๆ เช่น เปรียบเทียบราคาขาย/ให้เช่าในตลาด ตรวจสอบว่าทำเลที่ตั้งโครงการเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขังหรือไม่ เช็กว่าโครงการนั้นเคยมีข้อพิพาทหรือมีคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดกับชุมชนใกล้เคียงหรือหน่วยงานอื่น ๆ หรือไม่ รวมทั้งเช็กข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการในอดีตเพื่อประกอบการตัดสินใจ หรือไปที่โครงการเพื่อดูประกาศขาย/ให้เช่าเพิ่มเติมจากผู้อยู่อาศัยในโครงการนั้น ๆ โดยตรง

นอกจากนี้ การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยผ่านช่องทางออนไลน์ยังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยว่า 9 ใน 10 ของผู้บริโภคนิยมค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากมีความสะดวกและสามารถเลือกช่องทางค้นหาที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ได้ ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรเลือกค้นหาในช่องทางออนไลน์ที่น่าเชื่อถืออย่างเช่นเว็บไซต์โครงการโดยตรง หรือเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ซึ่งจะรวบรวมทั้งโครงการเปิดใหม่จากผู้พัฒนาอสังหาฯ และโครงการรีเซลหรือโครงการมือสองไว้ในที่เดียวกันอย่าง www.DDproperty.com ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและช่วยประหยัดเวลาสำหรับการซื้อบ้านยุคดิจิทัลนี้ ลดเวลาที่ผู้บริโภคต้องค้นหาโครงการมากมายได้เป็นอย่างดี

  1. เช็กประวัติและผลงานก่อนเลือกใช้เอเจนต์อสังหาฯ หรือเลือกใช้เอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Agent Verification) การซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยต้องใช้เวลาในการดำเนินการต่าง ๆ พอสมควร ทำให้หลายคนเลือกใช้เอเจนต์อสังหาฯ มาเป็นผู้ช่วยเพื่อลดความยุ่งยากในการดำเนินการ ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคกว่า 2 ใน 3 (69%) ใช้ในการพิจารณาเลือกเอเจนต์อสังหาฯ มาจากความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นหลัก เนื่องจากช่วยสร้างความมั่นใจว่าจะได้รับบริการที่ตอบโจทย์ได้ตรงจุดมากขึ้น รองลงมาคือความยาวนานของประสบการณ์ 61% และชื่อเสียงของเอเจนต์ 55% นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญของเอเจนต์อสังหาฯ ที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร 31% รองลงมาคือมีความรู้ด้านกฎหมาย 21% รวมทั้งมีทักษะทางการเงินและมีทักษะด้านการตลาด ในสัดส่วนเท่ากันที่ 16% ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้การเจรจาต่อรองและทำธุรกรรมเป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้บริโภคควรพิจารณาก่อนเลือกใช้เอเจนต์อสังหาฯ คือการนำข้อมูลเบื้องต้นของเอเจนต์มาตรวจสอบประวัติ ผลงานที่ผ่านมา รวมทั้งรีวิวจากลูกค้าท่านอื่นที่เคยใช้บริการ ก่อนจะติดต่อพูดคุยในเบื้องต้นเพื่อขอข้อมูลโครงการในทำเลที่เอเจนต์นั้น ๆ มีความเชี่ยวชาญหรือมีเครือข่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกใช้อีกครั้ง โดยสามารถเลือกใช้ “เอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Agent Verification)” บนเว็บไซต์ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ที่รวบรวมเอเจนต์อสังหาฯ ที่ผ่านการลงทะเบียนเรียบร้อย ซึ่งจะแสดงข้อมูลการติดต่อที่ชัดเจนและความเชี่ยวชาญเบื้องต้นของแต่ละเอเจนต์เป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคได้พิจารณา โดยสามารถสังเกตได้จากป้ายสัญลักษณ์สีเขียว “ยืนยันตัวตน” หรือ “Verified” ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจและคลายกังวลให้ผู้บริโภคที่มองหาเอเจนต์ 

  1. เช็กคุณภาพด้วยการเยี่ยมชมโครงการจริง การไปเยี่ยมชมโครงการจริงเพื่อสำรวจคุณภาพงานก่อสร้างและงานตกแต่งจะช่วยในการตัดสินใจได้ดีที่สุด โดยเมื่อผู้บริโภคได้สัมผัสบรรยากาศจริงของโครงการจะทำให้ประเมินความพึงพอใจควบคู่ไปกับราคาขาย/เช่าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ได้เห็นสภาพแวดล้อมจริงและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของโครงการว่าเหมาะสมกับค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายมากน้อยเพียงใด รวมทั้งยังได้เห็นสภาพแวดล้อมของชุมชมข้างเคียงเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขายและวางเงินมัดจำ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้พบตัวจริงของผู้ขายหรือเอเจนต์เพื่อพูดคุยและเจรจาต่อรองเรื่องราคาอีกด้วย
  2. เช็กเอกสารสิทธิ์และผู้ถือกรรมสิทธิ์ตัวจริง เมื่อได้ที่อยู่อาศัยที่ถูกใจแล้ว ผู้จะซื้อควรตกลงราคาขายและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับผู้จะขายหรือเอเจนต์ให้ชัดเจนก่อนตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งขั้นตอนนี้ถือเป็นโอกาสของผู้จะซื้อในการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์เบื้องต้นจากเอกสารแสดงข้อมูลส่วนตัวที่ผู้จะขายแนบมาพร้อมกับสัญญาจะซื้อจะขาย ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้จะขาย รวมทั้งเอกสารสิทธิ์ที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ต่าง ๆ ดังนี้
  • ตรวจสอบอสังหาริมทรัพย์ที่จะซื้อขาย ผู้จะซื้อควรตรวจสอบว่าอสังหาฯ ที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายนั้นตรงกับที่ปรากฏในเอกสารสิทธิ์หรือไม่ โดยดูจากเลขที่ของเอกสารสิทธิ์ หากเป็นอสังหาริมทรัพย์แนวราบและที่ดินเปล่าให้ดูที่เลขที่โฉนด ซึ่งจะมีเลขที่ดินและที่ตั้งของที่ดินว่าอยู่บริเวณใด ในกรณีที่เป็นคอนโดมิเนียมให้เทียบกับหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2) แทน โดยดูรายละเอียดของห้องชุดและที่ตั้งของโครงการว่าตรงกับยูนิตที่สนใจจะซื้อหรือไม่
  • ตรวจสอบผู้ถือกรรมสิทธิ์ว่าผู้จะขายนั้นเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่จะขายจริง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่จะซื้อจะขายนั้น ๆ โดยตรวจสอบจากการเทียบความตรงกับชื่อผู้จะขาย เลขที่บัตรประชาชนให้ตรงกันทั้งที่ปรากฏบนสัญญาจะซื้อจะขาย บนสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และบนเอกสารสิทธิ์ นอกจากนี้ บนโฉนดที่ดินจะมีชื่อและที่อยู่ของผู้ถือกรรมสิทธิ์คนแรกอยู่ กรณีที่ผู้จะขายไม่ใช่ผู้จะถือกรรมสิทธิ์คนแรกก็จะต้องมีชื่อของผู้จะขายอยู่ในโฉนดที่ดินตัวจริง ซึ่งจะแสดงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ทุกรายในอดีต และระบุวันที่ออกโฉนดเอาไว้ด้วย หากเช็กแล้วเกิดข้อสงสัย ควรไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อขอสำเนาโฉนดที่ดินที่สำนักงานที่ดินเก็บไว้อีกฉบับมาเปรียบเทียบกันเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง
  • ตรวจสอบรายละเอียดของอสังหาฯ ผู้จะซื้อสามารถตรวจสอบข้อมูลจากเอกสารสิทธิ์ที่ดินนั้นว่าตรงกับในประกาศขายหรือไม่ โดยเอกสารสิทธิ์ที่ดินจะแสดงข้อมูลขนาดและรายละเอียดต่าง ๆ ของที่ดิน รวมไปถึงแนวเขตของที่ดินซึ่งติดต่อกับที่ดินข้างเคียง และหมายเลขหลักเขตที่ดินอีกด้วย ส่วนห้องชุดควรตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ ได้แก่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย พื้นที่ในห้อง พื้นที่ระเบียง ผังของห้องชุด สัดส่วนกรรมสิทธิ์ของพื้นที่ห้องชุดต่อทรัพย์สินส่วนกลาง หากซื้อคอนโดฯ พร้อมพื้นที่จอดรถ ก็จะต้องแสดงพื้นที่จอดรถในเอกสารสิทธิ์ด้วย
  • ตรวจสอบภาระต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกหนึ่งประเด็นที่ควรตรวจสอบเพื่อป้องกันการถูกรอนสิทธิคือเรื่องภาระจำยอมที่ผูกพันอยู่กับที่ดิน เช่น เป็นทางสาธารณะที่ถูกใช้เป็นทางผ่านเป็นประจำ เป็นต้น ซึ่งมีระบุไว้ในเอกสารสิทธิ์ที่ดิน นอกจากนี้ควรตรวจสอบเรื่องทางเข้าออกว่าที่ดินนั้นติดถนนหรือทางสาธารณะจริงหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบประวัติว่าที่ดินติดจำนองอยู่หรือไม่ โดยเอกสารสิทธิ์จะแสดงประวัติการจดนิติกรรมที่ผ่านมาไว้ทั้งหมด ในกรณีที่เป็นการซื้อทรัพย์สินรอการขาย (Non-Performing Asset หรือ NPA) ควรตรวจสอบว่าเจ้าของเดิมได้ย้ายออกไปเรียบร้อยแล้วหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาในภายหลัง
  1. เช็กรายละเอียดสัญญาให้รอบคอบก่อนทำธุรกรรม ผู้บริโภคควรใส่ใจอ่านรายละเอียดที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายให้รอบคอบเนื่องจากจะมีผลผูกมัดและเกี่ยวเนื่องกับการทำธุรกรรมซื้อขายในอนาคต โดยในสัญญาจะซื้อจะขายต้องระบุรายละเอียดการจัดทำสัญญา รายละเอียดของคู่สัญญา รายละเอียดอสังหาฯ ที่ทำการซื้อ ราคาขายที่ตกลงกันและการชำระเงิน รายละเอียดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และการส่งมอบอสังหาฯ รวมไปถึงเงื่อนไขต่าง ๆ หากผิดสัญญาหรือเกิดการระงับสัญญา

โดยในวันที่ทำสัญญาจะต้องมีผู้จะซื้อและผู้จะขายลงนามในสัญญา พร้อมทั้งพยานอีกฝ่ายละ 1 คนร่วมลงชื่อรับทราบ โดยสัญญาจะซื้อจะขายจะทำขึ้น 2 ฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกันและมอบให้คู่สัญญาเก็บไว้ฝ่ายละ 1 ฉบับ ซึ่งหากมีการผิดสัญญาเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นผู้จะซื้อหรือจะขาย จะได้รับผลทางกฎหมายตามเงื่อนไขในสัญญาที่ระบุไว้

สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคควรให้ความสำคัญคือการตรวจสอบข้อมูลและเอกสารสัญญากรรมสิทธิ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนจะทำการวางมัดจำหรือชำระเงิน โดยควรตรวจสอบชื่อบัญชีที่จะโอนให้ตรงกับชื่อเจ้าของบ้าน/คอนโดฯ ตัวจริง โดยสอบถามจากนิติบุคคลหรือขอเช็กกับชื่อในเอกสารการไฟฟ้าหรือค่าส่วนกลางของนิติบุคคล หลีกเลี่ยงการจ่ายเป็นเงินสดเพื่อให้มีหลักฐานในการทำธุรกรรม และจ่ายตรงให้กับเจ้าของอสังหาฯ หรือผู้ถือกรรมสิทธิ์ตัวจริงเท่านั้น ไม่ผ่านคนกลางหรือเอเจนต์เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง 

“รอบคอบ – ไม่ประมาท” คาถาศักดิ์สิทธิ์ปิดช่องโหว่กันภัยหลอกลวงเมื่อเป็นผู้ขาย

อย่างไรก็ดี ในมุมของผู้ขาย/ให้เช่านั้นก็ไม่ควรละเลยการปิดช่องโหว่เพื่อป้องกันไม่ไห้ตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพเช่นกัน โดยควรเลือกประกาศขาย/ให้เช่าอสังหาฯ ในเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมในหมู่คนหาบ้านเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มากขึ้น และเพิ่มความรอบคอบในทุกขั้นตอน ดังนี้

  • อ่านนโยบายอย่างละเอียดก่อนลงประกาศ ก่อนตัดสินใจลงทะเบียนประกาศขาย/ให้เช่าในเว็บไซต์ใด ๆ ควรอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวให้เข้าใจชัดเจนก่อนว่าเว็บไซต์นั้นจะนำข้อมูลส่วนตัวที่กรอกไปใช้ทำอะไรบ้าง โดยเว็บไซต์นั้นไม่ควรนำข้อมูลของคุณไปให้แก่บุคคลอื่นใดโดยเด็ดขาด เพื่อปิดความเสี่ยงที่ข้อมูลนั้นจะถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม 
  • ลงประกาศโดยระบุข้อมูลพื้นฐานของอสังหาฯ นั้นเป็นหลัก เช่น ราคาขาย สถานที่ตั้งโครงการ สภาพแวดล้อม ส่วนกลาง เป็นต้น พร้อมทั้งบอกจุดเด่นที่ดึงดูดความสนใจ อาทิ แถมเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือออกแบบและตกแต่งใหม่ด้วยเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน (Built-in) ฯลฯ โดยลงรายละเอียดของผู้ประกาศและช่องทางติดต่อให้ชัดเจน และควรลงรูปภาพบ้าน/คอนโดฯ ที่ถ่ายเองโดยใส่ลายน้ำและข้อมูลการติดต่อไว้เพื่อป้องกันการโดนผู้อื่นนำไปแอบอ้าง หรือหากมีการนำภาพของโครงการมาใช้ประกอบก็ควรระบุรายละเอียดของแหล่งที่มาให้ครบถ้วนเช่นกัน
  • ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป ผู้ประกาศไม่ควรเปิดเผยรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวจนมากเกินไป เนื่องจากมิจฉาชีพอาจนำไปใช้สร้างบัญชีโซเชียลมีเดียปลอมเพื่อหลอกลวงคนอื่นต่อได้ รวมทั้งไม่ควรเผยแพร่ข้อมูลเอกสารสำคัญและเอกสารทางราชการโดยเด็ดขาด เช่น สัญญาและโฉนดที่ดิน 
  • ติดตามประกาศอัปเดตจากเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้งานหรือนโยบายของเว็บไซต์นั้น ๆ หากเจอลิงก์ไปยังหน้าเว็บไซต์แปลก ๆ หรือลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ให้รายงานไปยังแพลตฟอร์มและบล็อกการติดต่อทันที 
  • หลีกเลี่ยงการฝากกุญแจไว้กับเอเจนต์ที่ไม่มีข้อมูลยืนยันตัวตนที่ชัดเจน ผู้ประกาศขาย/ให้เช่าไม่ควรฝากกุญแจหรือคีย์การ์ดบ้าน/คอนโดฯ ไว้กับเอเจนต์อสังหาฯ ที่ไม่มีข้อมูลยืนยันตัวตนที่ชัดเจนหรือไม่มีสังกัดรับรอง เนื่องจากมิจฉาชีพบางคนได้ใช้กลโกงแอบอ้างเป็นเอเจนต์อสังหาฯ มาเสนอตัวเพื่อติดต่อหาผู้ซื้อ/ผู้เช่าให้ เมื่อเก็บกุญแจหรือคีย์การ์ดไว้กับตัวเองก็แอบเข้าพักอาศัยในบ้าน/คอนโดฯ ที่ประกาศขาย/ให้เช่าโดยที่เจ้าของไม่ทราบ และบางครั้งก็ขโมยสิ่งของภายในที่พักนั้น ๆ ก่อนหลบหนีไป ดังนั้น ผู้ขาย/ให้เช่าจึงไม่ควรฝากกุญแจหรือคีย์การ์ดไว้ที่เอเจนต์นานจนเกินไป รวมทั้งควรเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยของอสังหาฯ ที่ประกาศขาย/ให้เช่าอย่างสม่ำเสมอ หรือหมั่นตรวจสอบบิลค่าน้ำและค่าไฟว่าสูงผิดปกติจากเดือนอื่นหรือไม่ หรือเปลี่ยนมาใช้กลอนประตูดิจิตอล (Digital Door Lock) และตั้งค่ารหัสผ่านใหม่ทุกครั้งหลังจากเอเจนต์พาผู้สนใจมาขอดูห้อง

ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แหล่งรวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ให้ความสำคัญกับนโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานและดำเนินงานภายใต้กฎหมายความเป็นส่วนตัวในประเทศในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ใช้งานทุกคนสามารถมั่นใจได้ว่าทุกเส้นทางการค้นหาที่อยู่อาศัยบนเว็บไซต์จะได้รับความคุ้มครองอยู่เสมอ 

สำหรับการลงประกาศขาย/ให้เช่ากับทางดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ผู้ที่สนใจจะต้องกรอกแบบฟอร์มผ่านแพลตฟอร์มของดีดีพร็อพเพอร์ตี้หรือติดต่อทางโทรศัพท์ผ่านเบอร์ 0 2-204-9555 เพื่อแจ้งความประสงค์ในการใช้งาน โดยเจ้าหน้าที่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้จะติดต่อกลับผ่านเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเท่านั้น หากจำเป็นต้องมีการส่งข้อความ SMS จะแสดงชื่อผู้ส่งในนาม DDproperty เสมอ ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ไม่มีนโยบายให้พนักงานติดต่อเพื่อเรียกเก็บเงินจากการใช้งานที่เกิดขึ้นผ่านช่องทางอื่นนอกเหนือจากช่องทางที่กล่าวมาข้างต้น

และในกรณีที่เป็นผู้ที่สนใจจะซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยจะดำเนินการซื้อ-ขายโดยติดต่อกับเจ้าของประกาศอสังหาฯ โดยตรงเท่านั้น จะไม่มีเจ้าหน้าที่จากดีดีพร็อพเพอร์ตี้ดำเนินการในส่วนนี้แต่อย่างใด หากพบผู้แอบอ้างเรียกเก็บเงินเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการดังกล่าวหรือเรียกรับผลประโยชน์อื่นใด ผู้ใช้ไม่ต้องดำเนินการใด ๆ ตามที่มิจฉาชีพแจ้งโดยเด็ดขาด สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ support@ddproperty.com 

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) โดยประชากรเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง  ด้วยความท้าทายหลายด้านจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงทำให้เกิดความกังวลในการสร้างครอบครัว หลายคนเลือกจะครองตัวเป็นโสดมากขึ้นส่งผลกระทบต่อมิติเศรษฐกิจในอนาคต ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 พบว่า 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นโสด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 23.9% และหากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) พบว่า มีคนโสดอยู่ที่ 40.5% สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว โดยกรุงเทพฯ มีสัดส่วนคนโสดต่อประชากรในพื้นที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ถึง 50.4% 

ขณะเดียวกัน สัดส่วนการแต่งงานในปัจจุบันก็มีแนวโน้มลดลง ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยพบว่าสถิติการจดทะเบียนสมรสลดลงและการหย่าร้างมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าความท้าทายในการใช้ชีวิตคู่เป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ Solo Economy หรือเศรษฐกิจของครัวเรือนที่อาศัยอยู่คนเดียว (Single person household) มีการขยายตัวมากขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในไทย โดยคนโสดเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงเนื่องจากมีภาระทางการเงินน้อยกว่ากลุ่มมีครอบครัวหรือมีบุตร และมีอิสระในการใช้จ่ายเพื่อความสุขมากกว่า จึงกลายเป็นโอกาสของหลายธุรกิจในการปรับตัวเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้

เกาะติดเทรนด์ที่อยู่อาศัยวิถีชาว Solo Economy 

การขยายตัวของ Solo Economy ในไทยส่งผลให้วิถีชีวิตผู้บริโภคปรับเปลี่ยนตามไปด้วยในหลายมิติ ซึ่งรวมทั้งเทรนด์การค้นหาที่อยู่อาศัย หลังจากก่อนหน้านี้วัยทำงานมักเริ่มวางแผนซื้อบ้านเมื่อต้องการสร้างครอบครัวเป็นอันดับต้น ๆ อย่างไรก็ดี คนโสดยังคงต้องการบ้านในฝันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เช่นกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยเทรนด์ที่อยู่อาศัยตอบโจทย์คนโสดหรือผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียว ปัจจัยใดบ้างที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพื่อให้มาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่เน้นดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่

  • การเช่าตอบโจทย์ ลดภาระในอนาคต ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) พบว่า ผู้ทำแบบสอบถามที่มีสถานะโสดวางแผนจะเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้า 14% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้บริโภคทั่วไป (สัดส่วน 10%) และสูงกว่าผู้บริโภคในสถานภาพสมรสอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นว่า เทรนด์การเช่าบ้าน/คอนโดฯ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนโสดมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องการแบกรับภาระหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน และมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการบำรุงรักษาตามมามากกว่าการเช่า ขณะที่ปัจจุบันธนาคารมีเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดการเกิดหนี้เสีย ทำให้หลายคนเลือกใช้วิธีกู้ร่วมกับคนรักเพื่อให้ได้วงเงินที่สูงขึ้นและครอบคลุมราคาบ้านที่ต้องการแทน

อย่างไรก็ดี แม้คนโสดจะสามารถกู้ซื้อบ้านร่วมกับคนในครอบครัวได้ แต่หลายคนมักให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินในระยะยาว และเน้นใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่าต้องมากังวลกับภาระหนี้ การซื้อบ้านจึงอาจไม่ใช่เป้าหมายสำคัญอันดับต้น ๆ เนื่องจากยังสามารถเลือกการเช่าแทนได้และยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน อีกทั้งยังสะดวกในการโยกย้ายหากต้องการเปลี่ยนงานหรือย้ายทำเลมากกว่า นอกจากนี้ คนโสดยังไม่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่มากเกินความจำเป็น ทำให้มักจะเลือกที่อยู่อาศัยที่มีขนาดเหมาะสมกับการอยู่อาศัยจริงที่ค่าเช่าไม่สูงจนเกินไป

  • ระบบรักษาความปลอดภัยต้องรัดกุม ที่อยู่อาศัยในฝันของหลายคนคือโครงการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มายกระดับความปลอดภัยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้อยู่อาศัยทุกคนโดยเฉพาะคนที่อยู่เพียงลำพัง โดยผู้บริโภคสามารถสอบถามนิติบุคคลถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่โครงการมีให้ เช่น มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงและมีการเดินตรวจตราครอบคลุมทุกพื้นที่ มีกล้องวงจรปิดทั่วทั้งโครงการ ใช้ระบบลิฟต์ล็อกชั้นสำหรับคอนโดฯ ผู้อยู่อาศัยเข้า-ออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด มีการตรวจสอบ/คัดกรองบุคคลที่มาติดต่อในโครงการอย่างเคร่งครัด และมีมาตรฐานการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้พักอาศัยให้สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถเพิ่มความปลอดภัยได้ด้วยการติดตั้งกลอนประตูดิจิตอล (Digital Door Lock) ที่สามารถปรับรูปแบบการปลดล็อกได้ด้วยตนเอง รวมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยว่าแต่ละประเภทมีความคุ้มครองแบบใดบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่คอนโดฯ อาจพิจารณาซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากประกันภัยส่วนกลางเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวภายในห้อง ช่วยเพิ่มความมั่นใจและป้องกันความเสียหายหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น น้ำรั่วซึมหรือไฟไหม้ 

  • โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ช่วยคลายเหงา การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่องในหมู่คนโสดและผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างปรับตัวเพื่อเจาะตลาดนี้เช่นกัน ข้อมูลจากผลสำรวจของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด พบว่า ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวนอาคารชุดประเภทที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600% เมื่อเทียบกับปี 2554

สอดคล้องกับแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า 33% ของคนโสดต้องการฟิลเตอร์ช่วยคัดกรองโครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) เมื่อค้นหาที่อยู่อาศัยออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถค้นหาที่อยู่อาศัยที่ออกแบบเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของสัตวเลี้ยงโดยเฉพาะ และได้อยู่ท่ามกลางคอมมูนิตี้ของคนรักสัตว์เหมือนกัน ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว นอกจากนี้ โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) ยังติดอันดับ 1 ใน 5 ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของคนโสดอีกด้วย

  • พื้นที่ส่วนกลางเสริมสุขภาพกายและใจ พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ผู้พักอาศัยสามารถใช้เวลาพักผ่อนตามไลฟ์สไตล์ที่ตนชื่นชอบได้ โดยคนโสดส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองจึงต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสายรักสุขภาพอย่างพื้นที่ออกกำลังกาย เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องโยคะ เลนปั่นจักรยาน หรือสนามกีฬาประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้การดูแลสุขภาพจิตใจให้สมดุลก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โครงการจึงควรมีพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสวนพักผ่อนหรือสวนลอยฟ้ารองรับการพักผ่อนพร้อมชมวิว พื้นที่ Co-Working Space ห้องดูหนัง หรือห้องเล่นเกม ซึ่งรองรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของคนโสดให้สามารถทำกิจกรรมที่หลากหลายได้ภายในโครงการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางออกไปข้างนอก  
  • ทำเลต้องปัง เดินทางสะดวก การเดินทางเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน ดังนั้นโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีระบบสาธารณูปโภคครบครันและมีความเจริญในพื้นที่จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยระยะยาวของคนโสดได้มากกว่า เช่น อยู่ใกล้สถานพยาบาล ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ นอกจากนี้ไลฟ์สไตล์ยังมีความสำคัญกับการเลือกทำเลโครงการเช่นกัน หากเป็นคนโสดที่ชื่นชอบการสังสรรค์ อาจพิจารณาโครงการที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและสถานบันเทิง เพื่อช่วยลดเวลาในการเดินทางลง โดยมีหัวใจสำคัญในการเลือกคือโครงการควรตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางได้สะดวกทั้งในการไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวัน ไม่อยู่ในซอยเปลี่ยว ควรตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักที่เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่าย หรือใกล้ทางด่วน หรือใกล้รถไฟฟ้า BTS/MRT ซึ่งจะช่วยให้สามารถเดินทางรวดเร็วยิ่งขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน เพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางของคนโสด อีกทั้งยังลดการปล่อยมลพิษจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวเมื่อเดินทางเพียงลำพังได้อีกด้วย

แม้เทรนด์การเติบโตของ Solo Economy จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันได้ช่วยลดช่องว่างของการอยู่คนเดียวลง คนโสดจึงกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพและน่าจับตามอง มีความพร้อมในการใช้จ่ายเพื่อความสุขและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้นำเสนอโครงการที่มีจุดเด่นหลากหลายตอบโจทย์ทั้งด้านราคาให้คนโสดหรือผู้ที่อาศัยคนเดียว ได้เป็นเจ้าของบ้านในฝันตามความต้องการที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัย ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ได้รวบรวมบทความน่ารู้และข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ ที่น่าสนใจ เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับคนที่มองหาบ้านในฝัน พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าโครงการบ้าน/คอนโดฯ ในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ ช่วยให้คนที่อยากมีบ้านในทุกสถานะหรือผู้ที่ต้องการขยับขยายไปสู่บ้านหลังใหม่สามารถค้นหาและเตรียมความพร้อมก่อนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น