อะไรซ่อนอยู่ใน Metaverse

Metaverse

อะไรซ่อนอยู่ใน Metaverse

Selina Yuan

บทความโดย เซลินา หยวน ผู้จัดการทั่วไป หน่วยงานด้านธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์

เมตาเวิร์ส (metaverse) คือโลกแห่งความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุด ที่เราเคยเห็นได้จากนวนิยายทางวิทยาศาสตร์ วิธีการง่ายที่สุดที่จะเข้าใจ metaverse ได้ดีคือการชมภาพยนตร์ฮอลลีวูดยอดนิยม เช่น Avatar และ Ready, Player One

Metaverse

เมตาเวิร์ส (metaverse) คือโลกแห่งความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุด ที่เราเคยเห็นได้จากนวนิยายทางวิทยาศาสตร์ วิธีการง่ายที่สุดที่จะเข้าใจ metaverse ได้ดีคือการชมภาพยนตร์ฮอลลีวูดยอดนิยม เช่น Avatar และ Ready, Player One

ในภาพยนตร์เหล่านี้ metaverse คือจักรวาลดิจิทัลสามมิติที่นักแสดงสามารถหลีกหนีจากความจริงทางกายภาพ สามารถมีส่วนร่วมกับผู้อื่นผ่านตัวตนจำลองในโลกเสมือนจริง (avatar: อวาตาร์) ของตนที่สร้างขึ้นมา และสามารถหาประสบการณ์จากทุกสิ่งที่ต้องการได้ โดยมีข้อจำกัดเพียงจินตนาการของมนุษย์และเทคโนโลยีเท่านั้น

นอกจาก metaverse จะเป็นคู่แฝดทางดิจิทัลของความเป็นจริงในโลกทางกายภาพที่ยอดเยี่ยมของเราแล้ว ยังมีศักยภาพที่แท้จริงซ่อนอยู่ นั่นคือความสามารถในการใช้ความชาญฉลาดทางดิจิทัลที่เราใช้ประโยชน์อยู่แล้วให้มีประสิทธิผลมากขึ้น และทำให้มองเห็นแนวทางการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่ไม่เช่นนั้นก็อาจยังคงซ่อนอยู่ออกมา และนี่อาจเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาต่าง ๆ ของโลกแห่งความเป็นจริง และสร้างโลกที่เขียวชอุ่มมากขึ้น มีความเสมอภาคและมีส่วนร่วมซึ่งกันและกันมากขึ้น และเป็นโลกที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

การจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

Metaverse ไม่เพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโลกเวอร์ชวลที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปใช้จัดการปัญหาเร่งด่วนมากมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น

การคาดการณ์ด้านต่าง ๆ จากรายงานของ Institute of Chartered Accountants in England and Wales และ British Chamber of Commerce Singapore แสดงให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความสุ่มเสี่ยงมากที่สุดในโลก โดยหกในยี่สิบประเทศทั่วโลกที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศอยู่ในภูมิภาคนี้ คือ ประเทศอินโดนีเซีย ไทย เมียนมาร์ มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์

อุทกภัยคร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 250,000 ราย และสร้างความเสียหายมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2523 คิดเป็นประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว เป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อหมู่เกาะจำนวนมากตามชายฝั่งทะเลที่อยู่ในภูมิภาคนี้และที่มีพื้นที่ลุ่มต่ำ ภัยธรรมชาติเหล่านี้อาจทำลายบ้านเรือนจนอยู่อาศัยไม่ได้ และสร้างความกดดันต่อเนื่องมายังเรื่องของการจัดหาเสบียงอาหารและระบบเศรษฐกิจต่าง ๆ

ในเบื้องต้นอาลีบาบา คลาวด์ ได้สร้างแพลตฟอร์มที่มีการนำข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น (nowcasting platform) เพื่อใช้คาดการณ์สภาพอากาศในช่วงสั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ภูมิภาคนี้สามารถควบคุมและรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสภาพอากาศได้ เทคโนโลยีที่ทำงานโดยการดึงภาพถ่ายดาวเทียมด้านอุตุนิยมวิทยาด้วยความแม่นยำสูงและในเวลาเรียลไทม์นี้ สามารถช่วยติดตามปริมาณน้ำฝน ความเร็วลม และสภาพอากาศที่รุนแรงต่าง ๆ เพื่อลดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรและปศุสัตว์ให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งยังช่วยให้ผู้จัดส่งผลผลิตสามารถจัดเส้นทางการจัดส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่หากเราสามารถแปลงความชาญฉลาดนี้ให้กลายเป็น metaverse ได้ จะมีประโยชน์มหาศาล เช่น การแปลงและทำแผนที่ข้อมูลสาธารณะที่เกี่ยวกับสภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดในรูปแบบต่าง ๆ หรือความถี่ของการเกิดภัยธรรมชาติให้เป็น metaverse จะช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่การเก็บข้อมูลฝนที่ตกหนักเพียงอย่างเดียวโดยลำพัง จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จะเกิดน้ำท่วมรุนแรงได้เท่านั้น

ผลกระทบอันเนื่องมาจากภัยที่เกิดจากสภาพอากาศต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะเป็นเรื่องหนักหนาขึ้นมาทันที หากภัยเหล่านั้นเกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยของใครสักคน เช่น ที่บ้าน หรือที่โรงเรียนของบุตรหลาน การสร้างสถานที่ต่าง ๆ ที่จำลองโลกจริงแบบสามมิติ (3D) ช่วยให้เราเห็นภาพภัยพิบัติจริงที่จะเกิดขึ้นในแต่ละสถานที่ที่เราคุ้นเคย โดยที่เหตุการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้นบนโลกจริง ซึ่งหากเกิดขึ้นอาจถึงกับต้องแลกด้วยชีวิต ผลกระทบแบบเสมือนจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน metaverse จะเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจที่จริงจังว่ามนุษย์ควรดำเนินชีวิตและปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างไร

ปรับปรุงการดำเนินงานและการออกแบบสิ่งต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นไว้ในสภาพแวดล้อมและในภาคการผลิต ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

metaverse มีความเกี่ยวข้องทันทีกับเมืองต่าง ๆ ที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ การที่เราก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเทคโนโลยีคลาวด์และ IoT ต่าง ๆ มีอิทธิพลสูง metaverse จะเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการและทดสอบสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในอนาคต ก่อนที่จะนำไปใช้ในโลกจริง

ลองจินตนาการถึงฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงมากแห่งหนึ่งที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เป็นรูปทรงเรขาคณิตได้อย่างรวดเร็ว ถอดผลการคำนวณ และแสดงผลได้แบบเรียลไทม์ ผ่านแผนที่สามมิติที่สื่อสารกันได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ฐานข้อมูลของอาลีบาบา คลาวด์ได้คำนึงถึงเมื่อตอนสร้าง GanosBase ขึ้นมาเป็นครั้งแรก GanosBase เป็นกลไกฐานข้อมูลแบบคลาวด์-เนทีฟ ที่สามารถวิเคราะห์และแปลข้อมูล 3D และ 4D เพื่อสร้างฝาแฝดดิจิทัล ทำการจำลองโลกทางกายภาพ

ในส่วนของการสร้างสภาพแวดล้อมนั้น การใช้ประโยชน์จากความเข้าใจเชิงลึกที่จำลองมาด้วยความชาญฉลาดแบบเรียลไทม์ จะช่วยสร้างโอกาสในการผสมผสานการออกแบบที่ยั่งยืนได้ดีกว่า ผู้ออกแบบสามารถเห็นภาพเสมือนจริงของโครงสร้างในการก่อสร้างอาคารหนึ่ง ๆ ใน metaverse และนำมาใช้ประโยชน์ เช่น เพื่อหาอัตราส่วนที่ลงตัวระหว่างหน้าต่างและผนัง, ใช้แสงจากธรรมชาติให้มากที่สุด, คาดการณ์วัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ว่าจะทนทานและยั่งยืนเพียงใด และเพื่อวางแผนแนวทางใหม่ ๆ ในการสร้างพื้นที่สีเขียวและอนุรักษ์ธรรมชาติ

Metaverse

การสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สอดคล้องกับแผนการผลิตจริงผ่านเทคโนโลยี AR/VA และโฮโลแกรม (holographic) สามารถทรานส์ฟอร์มอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตได้ โรงงานที่มีการนำเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อถึงกัน หรืออุปกรณ์อินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (Internet of Things: IoT) มาใช้ จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถจำลองการตั้งค่าการผลิตจริงใน metaverse ก่อนได้ เพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานได้ฝึกฝนวิธีควบคุมการทำงานแบบเสมือนจริง และตรวจหาข้อผิดพลาดที่เกิดกับการตั้งค่าการผลิตต่าง ๆ ได้ โดยยังไม่ต้องสร้างสิ่งใดจริง ๆ เลย เช่นในสถานการณ์โควิด-19 ที่มีข้อจำกัดในการเดินทาง พนักงานที่อยู่ต่างประเทศจะได้รับการฝึกอบรมจากระยะไกล เพื่อให้ได้รู้จักและคุ้นเคยกับการทำงานแบบเสมือน ก่อนที่จะได้ทำงานกับเครื่องจักรจริง โดยไม่ต้องเสียเวลารอให้สถานการณ์ดีขึ้นจนเดินทางเข้าอบรมด้วยตนเองได้

เชาวน์ปัญญาที่เกิดใน metaverse นี้ สามารถถ่ายโอนไปยังโลกแห่งความจริงได้ เพื่อนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ AI algorithms, เพื่อสนับสนุนการทรานส์ฟอร์มที่ชาญฉลาด และอัปเกรดโรงงานต่าง ๆ ทั้งยังใช้เพื่อทำเวิร์กช็อปและกำหนดสายการผลิตโดยไม่ต้องเสียเวลาที่ต้องเดินทางเข้าปฏิบัติงานด้วยตนเอง และลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร

เพิ่มสมรรถนะ metaverse ในอนาคต

การเพิ่มสมรรถนะให้กับสี่เทคโนโลยีเลเยอร์ของ metaverse ต้องใช้ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก เลเยอร์ที่ 1 จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี AI, คลาวด์ และ IoT ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อสร้างแบบจำลองทางเรขาคณิตของสภาพแวดล้อมทางกายภาพ และแสดงผลผ่านอุปกรณ์ปลายทางที่หลากหลาย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สมจริง

เทคโนโลยีอื่น เช่น การเรนเดอร์จากระยะไกล ซึ่งทำการสตรีมอินพุตแบบเสมือนไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างโลกเสมือนให้ใกล้เคียงกับโลกทางกายภาพ และทำให้มั่นใจว่าผู้คนและวัตถุในโลกเสมือนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางกายภาพที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง

การสลายแนวแบ่งเขตของโลกเสมือนและโลกจริงให้หมดไป จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี AR และ VR เพื่อสร้างแผนที่สามมิติที่มีความแม่นยำสูง ในขณะเดียวกันก็มอบประสบการณ์ที่เป็นการเฉพาะให้ด้วย เช่น การบริการลูกค้าและการให้คำแนะนำแบบเสมือน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อเชื่อมสองโลกเข้าด้วยกัน

แม้ว่า metaverse เป็นการพัฒนาที่น่าตื่นเต้น แต่ก็ชัดเจนว่าจะทำให้เกิดความต้องการใช้พลังงานและมีการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก องค์กรต่าง ๆ สามารถจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ได้ด้วยการพิจารณาใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการออกแบบ สร้าง และดำเนินงาน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด โดยผสานกับเทคโนโลยีหลักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การระบายความร้อนด้วยของเหลวเพื่อลดการใช้พลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลเพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้า การใช้ระบบติดตามตรวจสอบที่เป็นอัตโนมัติ การบำรุงรักษาและการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานอื่น ๆ ที่ใช้พลังงานมาก

การที่เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงการใช้ metaverse ที่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ทำให้เราต้องยึดมั่นกับแนวทางการทำงานเพื่อความยั่งยืนและมีความรับผิดชอบทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

อาลีบาบา คลาวด์ เผยนวัตกรรมที่ใช้ในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 เน้นการทำธุรกรรมซื้อขายอย่างยั่งยืน และ เข้าถึงคนทุกกลุ่ม

Alibaba Cloud

อาลีบาบา คลาวด์ เผยนวัตกรรมที่ใช้ในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 เน้นการทำธุรกรรมซื้อขายอย่างยั่งยืน และ เข้าถึงคนทุกกลุ่ม

    • เป็นครั้งแรกที่ธุรกรรมในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลกใช้งานบนระบบคลาวด์ 100%
    • ลดการใช้ทรัพยากรด้านการประมวลผลลงครึ่งหนึ่งในการทำธุรกรรมทุก ๆ 10,000 รายการเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    • ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 26,000 ตัน ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน
Alibaba Cloud2

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้ยกระดับระบบและการดำเนินงานทั้งหมดของอาลีบาบา กรุ๊ป ขึ้นไปทำงานบนระบบคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ ก่อนมหกรรมช้อปปิ้งครั้งใหญ่ที่สุดในโลกจะเริ่มขึ้น ได้มีการนำเทคโนโลยีคลาวด์-เนทีฟ (Cloud Native) ต่าง ๆ มาใช้ในช่วง 11.11 ซึ่งเป็นมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรด้านการประมวลผลลงได้ 50% ต่อธุรกรรมทุก ๆ 10,000 รายการเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การประมวลผลมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยที่ประสิทธิภาพในการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 20% และการใช้ทรัพยากรที่เป็นหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 30%

หลี่ เจิ้ง หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “เรามีพันธะสัญญาในการนำเสนอ ‘สมรรถนะด้านการประมวลผลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ที่ต้องการใช้ระบบดิจิทัลที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ และเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนทั่วถึงและครบทุกด้าน มหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ของอาลีบาบา กรุ๊ป นับเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนการให้บริการต่าง ๆ ของเราอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมที่ทำงานอย่างอัจฉริยะ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถให้บริการลูกค้าในทุกอุตสาหกรรมและทุกภาคส่วนได้มากขึ้นด้วยเทคโนโลยีเหนือชั้นที่ได้รับการทดสอบแล้วเหล่านี้

ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมคลาวด์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจับจ่ายใช้สอยที่ยั่งยืน

อาลีบาบา คลาวด์ ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (green technology) เช่น ไฮเปอร์-สเกล ดาต้าเซ็นเตอร์ (Hyperscale Data center) ของอาลีบาบา คลาวด์ มีการใช้ระบบระบายความร้อนด้วยสารเหลวและพลังงานลม เพื่อให้ 11.11 เป็นมหกรรมช้อปปิ้งที่มาพร้อมกับความยั่งยืนมากขึ้น และในปีนี้ การใช้พลังงานหมุนเวียนในดาต้าเซ็นเตอร์ของอาลีบาบาที่เมืองจางเป่ย ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 26,000 ตัน ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ต้นไม้จำนวนหนึ่งล้านต้นดูดซับต่อปี

การนำ Hanguang 800 ซึ่งเป็นชิป AI inference ตัวแรกที่อาลีบาบา คลาวด์ ทำขึ้นเองและเปิดตัวเมื่อปี 2562 มาใช้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาผลิตภัณฑ์และการแนะนำสินค้าต่าง ๆ ระหว่างมหกรรม 11.11 เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ประสิทธิภาพของอัลกอริธึมในฟังก์ชันการค้นหาบนตลาดซื้อขายสินค้าออนไลน์หรือ e-Marketplace Taobao เพิ่มขึ้นถึง 200% และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ 58%

นอกจากนี้ ได้มีการนำ M6 ซึ่งเป็นโมเดล AI ขนาดใหญ่ของอาลีบาบาคลาวด์ มาใช้งานเป็นครั้งแรกในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งปีนี้ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการที่ต้องใช้ AI ได้อย่างมาก เช่น การออกแบบเครื่องแต่งกายโดยอาศัย AI และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสายการผลิต โดย M6 ช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าใหม่ ๆ จากเดิมที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน เหลือเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ จึงเป็นที่คาดการณ์ได้ว่างานออกแบบที่ใช้ M6 ควบคู่กับการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากการผลิตเสื้อยืดได้กว่า 30% เลยทีเดียว

เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการช้อปปิ้ง

อาลีบาบาคลาวด์มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ร้านค้าสามารถนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดึงดูดใจและเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มมากขึ้น โดยอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

มีการนำเทคโนโลยีการจดจำเสียงพูด (speech recognition) ที่พัฒนาโดย Alibaba DAMO Academy มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของโหมดการใช้งานสำหรับผู้สูงวัย หรือ ‘senior mode’ ในแอปพลิเคชัน Taobao เทคโนโลยีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้สูงวัยในจีนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปรับตัวใช้รูปแบบการดำเนินชีวิตแบบดิจิทัลได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ได้มีการติดตั้ง Taoxiaobao ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจริยะที่สั่งงานด้วยเสียงที่ใช้อัลกอลิธึมของ DAMO ในการจดจำเสียงพูดไว้ใน ‘senior mode’ ของ Taobao เพื่อรองรับการค้นหาด้วยเสียงพูด ทั้งนี้ Taoxiaobao สามารถจดจำคำสั่งเสียงที่เป็นภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่นได้หลากหลาย มีความแม่นยำสูง แม้กระทั่งในกรณีที่มีเสียงรบกวนรอบข้างที่ซับซ้อน ทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องพิมพ์ป้อนข้อความด้วยตนเอง เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ติดขัดด้านการพิมพ์ข้อความบนอุปกรณ์มือถือเป็นอย่างมาก

ในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งปีนี้ ยังมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “การค้นหายาด้วยภาพ” ในแอปพลิเคชัน Taobao ซึ่งนับว่ามีประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ กล่าวคือ ผู้ใช้จะสามารถค้นหายาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ด้วยการถ่ายหรือสแกนภาพบรรจุภัณฑ์หรือขวดยาโดยใช้ Pailitao ซึ่งเป็นเอนจิ้น การค้นหาภาพของแอป Taobao การค้นหาสินค้าโดยใช้ภาพถ่ายช่วยให้ผู้สูงวัยไม่ต้องพิมพ์ชื่อยาที่ยาวหรือซับซ้อน ผลลัพธ์การค้นหาจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับยาและสรรพคุณ การค้นหาสินค้าในระบบที่ใหญ่และซับซ้อนนี้ โดยอาศัยเทคโนโลยี AI แบบ Multi-modal ซึ่งบูรณาการเทคโนโลยี Optical Character Recognition (OCR) สำหรับการจดจำข้อความในรูปภาพ และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการประมวลผลภาพถ่ายยา Taobao ได้ผนวกรวมเทคโนโลยี OCR เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 โดยทำหน้าที่ประมวลผลรูปภาพหลายล้านรูป เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ช้อปปิ้งให้กับผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น

ประยุกต์ใช้งานนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม

มีการนำหุ่นยนต์ขนส่งสินค้า “Xiaomanlv” ของอาลีบาบาไปใช้งานในกว่า 200 เขตพื้นที่ทั่วประเทศจีน เพื่อรองรับการจัดส่งสินค้าในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งของปีนี้ โดยยานพาหนะหุ่นยนต์ขนส่ง Xiaomanlv จำนวน 350 คันได้นำส่งสินค้ากว่า 1 ล้านชิ้นถึงมือผู้รับในช่วง 10 วันแรกของมหกรรม ช้อปปิ้งนี้ แซงหน้าปริมาณการจัดส่งสินค้าทั้งหมดในช่วง 12 เดือนนับตั้งแต่ที่มีการเปิดตัวหุ่นยนต์ขนส่งเมื่อเดือนกันยายน 2563

เครื่องมือต่าง ๆ ที่พัฒนาโดย DAMO ทำหน้าที่แปลภาษาของข้อมูลสินค้าหลายสิบล้านรายการเพื่อรองรับการซื้อขายระหว่างประเทศในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งครั้งนี้ และในขณะเดียวกัน DingTalkซึ่งเป็นแพลตฟอร์การทำงานร่วมกันผ่านระบบดิจิทัลของอาลีบาบา ได้ทำการประมวลผลข้อความมากถึง 606,900 ข้อความต่อวินาทีในช่วงที่มีการใช้งานสูงสุดระหว่างที่จัดมหกรรมช้อปปิ้งในปีนี้โดยเป็นการรองรับการติดต่อสื่อสารอย่างฉับไวและราบรื่นให้กับผู้ใช้บนแอปต่าง ๆ มากกว่า 30 แอปในระบบนิเวศ (ecosystem) ของอาลีบาบา

อาลีบาบา คลาวด์ เดินหน้าพันธสัญญาต่อประเทศไทย เสริมแกร่งโครงการด้านพันธมิตรและเสริมศักยภาพทักษะดิจิทัล

อาลีบาบา คลาวด์ เดินหน้าพันธสัญญาต่อประเทศไทย เสริมแกร่งโครงการด้านพันธมิตรและเสริมศักยภาพทักษะดิจิทัล

พร้อมแผนเปิดไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของอาลีบาบา คลาวด์ ในไทยปีหน้า

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เดินหน้าสานต่อพันธกิจในประเทศไทย เพิ่มความช่วยเหลือ เสริมความแข็งแกร่งด้านกลยุทธ์ในไทยด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้งาน พร้อมให้การสนับสนุนระบบนิเวศ การฝึกอบรมบุคลากรที่มีทักษะความสามารถ และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน

อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดอันดับจากการ์ทเนอร์ให้เป็นผู้บริการคลาวด์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดตัว Thailand Partner Alliance 100 ระบบนิเวศที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนพันธมิตรในท้องถิ่นและส่งเสริมการทำงานร่วมกันในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านการตลาด การขายและสนับสนุนทางด้านเทคนิค องค์กรธุรกิจสามารถเข้าใช้งานเครื่องมือดิจิทัลที่สำคัญต่าง ๆ ในระบบนิเวศนี้ได้ และพันธมิตรด้านโซลูชัน (solution partners) จะได้รับผลกำไรที่แข่งขันได้ในระดับสูงเมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หลักต่าง ๆ เช่น ECS, Database, Content Delivery Networks and Short Message Services รวมถึงการให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและเงินทุนด้านการผสานรวมเทคโนโลยีสำหรับพันธมิตรด้านโซลูชันที่ต้องการสร้างสรรค์นวัตกรรมบนอาลีบาบา คลาวด์ สำหรับพันธมิตรด้านบริการ (service partners) จะสามารถเข้าใช้การสนับสนุนด้านการโยกย้ายการทำงานระหว่างระบบต่าง ๆ และได้รับคลาวด์เครดิตฟรี

เซลินา หยวน ผู้จัดการทั่วไปด้านธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าการเติบโตของผู้ใช้งานบริการพับลิคคลาวด์ทั่วโลกจะอยู่ที่ 23.1 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ. 2564 เมื่อเทียบกับในปี พ.ศ. 2563[1] ด้วยอัตราการใช้คลาวด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก และโอกาสต่าง ๆ ที่ธุรกิจในท้องถิ่นจะได้รับจากระบบคลาวด์ ทำให้หนึ่งในพันธกิจหลักของเราคือการทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรไทย เพื่อเสริมศักยภาพการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้กับลูกค้า ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจที่ทรงคุณค่าของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นสามารถรองรับและสนับสนุนได้หลากหลายภาคอุตสาหกรรม เมื่อใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีโซลูชันชั้นนำที่เราให้บริการลูกค้าทั่วโลก จะสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับพันธมิตรของเราในการพัฒนาความสามารถใหม่ ๆ และขยายความสำเร็จทางธุรกิจไปพร้อมกับเรา”

ตัวอย่างผู้ค้าปลีกไทย จะได้ประโยชน์จากโซลูชันของอาลีบาบา คลาวด์ ที่รองรับการใช้งานกับลาซาด้า (Lazada) ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอาลีบาบา กรุ๊ป และจะสามารถเข้าใช้งานชุดโซลูชันต่าง ๆ ตั้งแต่โซลูชันในการผสานการทำงานระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์ และเครื่องมือที่ใช้สนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ บนเส้นทางการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของผู้บริโภค ไปจนถึงบริการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และการตลาดที่เจาะลูกค้าเป็นรายบุคคล นอกจากนี้อาลีบาบา คลาวด์ ยังให้บริการด้านต่าง ๆ กับบริษัทด้านการเงินของไทย เช่นบริการที่รองรับเทคโนโลยี eKYC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการยืนยันพิสูจน์ตัวตนและการทำความรู้จักลูกค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการที่รองรับการหาลูกค้าใหม่ผ่านอุปกรณ์โมบาย และโซลูชันการให้สินเชื่อดิจิทัลที่ใช้ AI เป็นต้น

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Academic Empowerment Program ซึ่งเป็นโครงการเสริมศักยภาพทางวิชาการให้กับนักศึกษา นักวิชาการ และนักวิจัย เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลของประเทศไทยในอนาคต ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับทรัพยากรด้านคลาวด์คอมพิวติ้งฟรี รวมถึงโอกาสในการฝึกอบรม และความช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งเป็นกลยุทธ์ 20 ปีของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมนวัตกรรมด้านดิจิทัลและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้กับผู้เข้าร่วมโปรแกรมจำนวน 20,000 คนภายในปี พ.ศ. 2566 โดยมีมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในประเทศไทยที่เข้าร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ ในโครงการด้านนี้

ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลและอาลีบาบา คลาวด์ เป็นการปูพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้นักศึกษาได้มีโอกาสสร้างสรรค์สิ่งใหม่และเรียนรู้ทักษะดิจิทัลที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด เพื่อร่วมกันสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ”

อาลีบาบา คลาวด์ ยังวางแผนจะเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งในขณะนี้ตั้งเป้าหมายจะเปิดตัวในปี พ.ศ. 2565 เพื่อรองรับการเติบโตด้านคลาวด์ของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น[2]  และความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีผลพวงมาจากการระบาดของโควิด-19

นายไทเลอร์ ชิว ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ขณะนี้อาลีบาบา คลาวด์ มีแผนตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย เพราะเล็งเห็นถึงความต้องการของธุรกิจไทยในการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำของโลก เราเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลสำคัญต่อประเทศมากเพียงใด และประเทศจะได้ประโยชน์อะไรบ้างในระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงนี้ อาลีบาบา คลาวด์ได้ทุ่มเทเพื่อให้โซลูชันต่าง ๆ ของเราพร้อมใช้สำหรับทุกคน รวมถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรไทย เพื่อสร้างระบบนิเวศที่รองรับอนาคตทางดิจิทัล”

ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ในประทศไทยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ และโซลูชันที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจไทยและธุรกิจจากต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สนับสนุนการดำเนินงานในระดับสากลของอาลีบาบา กรุ๊ปเอง ในด้านค้าปลีก โลจิสติกส์ Fintech สื่อและความบันเทิง และการตลาดดิจิทัล

ข้อมูลจากรายงาน BOI’s Data Center and Cloud Service in Thailand[3] ได้คาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2570 เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะมีสัดส่วน 25% ของ GDP ของประเทศ ตัวขับเคลื่อนที่สำคัญคืออีคอมเมิร์ซ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและการใช้โทรศัพท์มือถือ รวมถึงระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ต่าง ๆ เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจดิทัลทั่วโลก และเป็นที่คาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของอาเซียนจะมีมูลค่าสูงถึง 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2567 ปัจจุบันผู้บริโภคไทยและในอาเซียนได้รับแรงจูงใจให้ใช้บริการดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็กำลังปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างมาก ซึ่งจะเพิ่มความต้องการดาต้าสตอเรจและบริการดิจิทัลต่าง ๆ ที่ทำงานบนคลาวด์ และอาลีบาบา คลาวด์ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของบริษัทในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จตามนโยบาย Thailand 4.0 ของประเทศไทย

[1] https://www.gartner.com/en/newsroom/press-releases/2021-04-21-gartner-forecasts-worldwide-public-cloud-end-user-spending-to-grow-23-percent-in-2021

[2] Source: https://techwireasia.com/2021/05/public-cloud-spending-set-to-spike-in-thailand/

[3] https://www.boi.go.th/upload/content/DataCenterANdCloudService.pdf