การปรับปรุงประสิทธิภาพคลังสินค้าให้เหมาะสมในช่วงการแพร่ระบาด

infor

การปรับปรุงประสิทธิภาพคลังสินค้าให้เหมาะสมในช่วงการแพร่ระบาด

Infor_นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน ประจำภูมิภาคอาเชียน บริษัท อินฟอร์
บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน ประจำภูมิภาคอาเชียน บริษัท อินฟอร์

การแพร่ระบาดในขณะนี้ได้ผลักดันให้มีการเร่งนำเทคโนโลยีไปใช้งานในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก  จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าบางธุรกิจอาจไม่ทันได้เตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดโควิด-19 ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดูได้จากปริมาณอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มสูงขึ้น การลดจำนวนพนักงานให้เหลือน้อยที่สุดสำหรับการทำงานในบางพื้นที่ และการปิดธุรกิจเป็นระยะ ๆ  ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดจำหน่ายมืออาชีพผลิตภัณฑ์เพื่อการค้าและการอุตสาหกรรม หรืออุปกรณ์ความปลอดภัยและการแพทย์  ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้หมายความว่าจะต้องมีการปรับปรุงการดำเนินงานคลังสินค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด  แต่การปรับปรุงนี้แท้จริงแล้วหมายถึงอะไร

 

ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา

สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ผู้จัดจำหน่ายต้องคำนึงถึง คือ กิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในคลังสินค้าส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งความท้าทายในที่นี้ คือ เป้าหมายและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ได้ทำให้การดำเนินงานคลังสินค้าเกิดความท้าทายหลายอย่างขึ้นพร้อม ๆ กัน  ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การแพร่ระบาดทำให้เกิดความไม่แน่นอนด้านกำลังคน เนื่องจากสมาชิกในทีมต้องรับมือกับความเจ็บป่วย ต้องถูกกักตัว หรือต้องดูแลบุตรหลาน ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อทีมและทำให้เกิดความล่าช้าในการผลิต

อีกปัจจัยหนึ่ง คือ การเติบโตของอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้นมาก จนแซงหน้ายอดประมาณการสูงสุดที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ จากการที่ลูกค้าได้สร้างมาตรฐานประสบการณ์ด้าน omni-channel ไว้ค่อนข้างสูง  ในปี 2564 นี้ หากคุณไม่มีกลยุทธ์การตลาดแบบ omni-channel ที่ได้ผล คุณก็เสี่ยงต่อการสูญเสียธุรกิจจำนวนมาก ดังนั้นกุญแจสำคัญ คือ คุณจะต้องมีคลังสินค้าที่สามารถรองรับการขายแบบหลายช่องทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความท้าทายนี้นับว่าตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากระบบจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management Systems – WMS) จำนวนมากที่ภาคการผลิตใช้กันอยู่ขณะนี้ค่อนข้างเก่า และไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Infor_การปรับปรุงประสิทธิภาพคลังสินค้าให้เหมาะสมในช่วงการแพร่ระบาด

ความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อย คือ ความคิดที่ว่าการนำสินค้าออกจากคลังให้ตรงเวลาคือการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ถึงแม้เรื่องนี้จะสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจะเกี่ยวกับการเพิ่มคุณค่าให้กับปฏิบัติงานนั้น ๆ แม้จะไม่สามารถให้บริการแบบเห็นหน้ากันก็ตาม  อนึ่ง หากต้องการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีก ภาคการผลิตจำเป็นต้องมีรากฐานด้านดิจิทัลที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ความพยายามเหล่านี้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

การควบคุมต้นทุน

ในช่วงเวลาที่ธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ เราพบว่าผู้จัดจำหน่ายจำนวนมากได้ตั้งหลักเตรียมรับมือกับสถานการณ์ และพยายามลดค่าใช้จ่ายจากกระบวนการทำงานที่กระชับที่ดำเนินการอยู่แล้วลงอีก  ซึ่งหากเพิ่มการจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากขึ้นทั่วทั้งองค์กร ก็เท่ากับช่วยประหยัดเงินได้อย่างมหาศาล

ระบบจัดการคลังสินค้า WMS ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน ผ่านข้อมูลอัจฉริยะเชิงลึกด้านสินค้าคงคลัง ช่วยให้ผู้จัดจำหน่ายสินค้ามีความมั่นใจมากขึ้นว่าพวกเขาจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยไม่ต้องซื้อหรือสต็อกสินค้ามากเกินความจำเป็น  ดังนั้น การดำเนินงานด้านคลังสินค้าจึงเป็นวิธีควบคุมการจัดซื้อ และป้องกันสินค้าสูญหายหรือการนำสินค้าออกนอกคลังสินค้า อันเนื่องมาจากไม่มีการจัดการหรือการติดตามที่เหมาะสมอีกด้วย

 

ประสิทธิภาพของคลาวด์

ระบบที่ติดตั้งในองค์กร (on-premise) เคยเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระบบค้าส่ง แต่ไม่ได้ให้ความยืดหยุ่น และนวัตกรรมที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจปัจจุบันอีกต่อไป  จุดเด่นของคลาวด์ คือ การจัดการกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในคลังสินค้า  โดยคลาวด์สามารถคำนวณปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เพิ่มพลังการประมวลผลที่จำเป็นสำหรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นนั้นได้โดยอัตโนมัติ  ความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และการกู้คืนระบบที่ติดตั้งไว้ภายในทั้งหมดมีพร้อมอยู่ในระบบ แต่ทว่า ความสามารถในการจัดการกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตามต่างหาก ที่เพิ่มคุณค่าให้กับระบบคลาวด์อย่างแท้จริง

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าด้านนี้ คือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในปีที่ผ่านมา ลูกค้าที่ใช้โซลูชันระบบคลาวด์อยู่แล้ว มีเวลาในปรับตัวได้ง่ายขึ้น โดยสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นได้เท่าที่ต้องการ

Infor_การปรับปรุงประสิทธิภาพคลังสินค้าให้เหมาะสมในช่วงการแพร่ระบาด

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม

การเพิ่มประสิทธิภาพของอีคอมเมิร์ซนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการเพิ่มประสิทธิภาพบริการหยิบ-แพ็ค-ส่ง (pick-pack-ship) ซึ่งเป็นบริการช่วยจัดการออเดอร์เพื่อส่งให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ  เนื่องจากมีตัวแปรใหม่ ๆ ที่ต้องคำนึงถึง รวมถึงตัวแปรที่เกิดขึ้นหลังผลิตภัณฑ์ออกจากท่าเรือ ซึ่งผู้จัดจำหน่ายจำนวนมากไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือกับสินค้าตีคืนจำนวนมาก

ในฐานะผู้บริโภคในโลกอีคอมเมิร์ซ ลูกค้าอาจซื้อของบางอย่างไปสามขนาดหรือสามสีแตกต่างกันไป หลังจากนั้นก็คืนของกลับมาสองชิ้น  เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่คล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นกับตัวแทนขายส่งเช่นกัน  ดังนั้น ผู้จัดจำหน่ายจึงต้องมีระบบที่ช่วยให้การรับคืนสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น และนำของชิ้นนั้นกลับคืนสู่ชั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ผู้จัดจำหน่ายไม่เพียงแต่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจเท่านั้น แต่จะต้องออกแบบกลยุทธ์รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นด้วย

อีริคสันเผยยอดผู้ใช้งาน 5G ทั่วโลกจะทะลุ 500 ล้านรายภายในสิ้นปีนี้

Ericsson_อีริคสัน

อีริคสันเผยยอดผู้ใช้งาน 5G ทั่วโลกจะทะลุ 500 ล้านรายภายในสิ้นปีนี้

    • ในไตรมาสแรกปี 2564 พบมีผู้ใช้งาน 5G บนอุปกรณ์ที่รองรับเครือข่าย 5G เพิ่มขึ้นถึง 70 ล้านราย และคาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นถึง 580 ล้านรายภายในสิ้นปี
    • ภายในปี 2569 ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตต่อสมาร์ทโฟนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะเติบโตรวดเร็วสุดเมื่อเทียบกับทั่วโลก และจะมีผู้ใช้งาน 5G แตะ 400 ล้านราย
    • อีริคสันสนับสนุนประเทศไทยขับเคลื่อนแผนพัฒนาระบบนิเวศเครือข่ายไร้สาย (Wireless Ecosystem) เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม 0 ในฐานะพันธมิตรเครือข่าย 5G ที่ได้รับความไว้วางใจจากทั่วโลก
Ericsson_EMR ConsumerLab

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) คาดว่ายอดผู้สมัครใช้ 5G จะพุ่งขึ้นเกินกว่า 580 ล้านรายภายในสิ้นปี 2564 โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 ล้านรายต่อวัน

จากการคาดการณ์ตามรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับที่ 20 ตอกย้ำให้เห็นว่า 5G จะกลายเป็นเจนเนอเรชั่นเครือข่ายไร้สายที่มีการใช้เร็วที่สุดตลอดกาล โดยภายในสิ้นปี 2569 จะมีผู้ใช้ 5G แตะระดับ 3.5 พันล้านราย และจะครอบคลุมถึง 60% ของประชากร 5G ทั้งหมด

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียมีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 1.1 พันล้านราย ในขณะที่ยอดผู้ใช้งาน 5G ยังต่ำกว่าระดับ 2 ล้านราย อย่างไรก็ตามคาดว่าการสมัครใช้ 5G จะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยจะมียอดรวมพุ่งขึ้นถึง 400 ล้านราย ภายในปี 2569

คาดการณ์ว่าปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตต่อสมาร์ทโฟนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะมีอัตราการเติบโตรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับทั่วโลกแตะ 39 กิกะไบท์ (GB) ต่อเดือน ภายในปี 2569 – โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 36% ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ เฉลี่ยเติบโตต่อปีที่ 42% เพิ่มขึ้นถึง 39 เอกซะไบต์ (EB) ต่อเดือน อันเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผู้สมัครใช้ 4G และการเปลี่ยนมาใช้เครือข่าย 5G ในประเทศที่มีการเปิดตัว 5G แล้ว

นางนาดีน อัลเลน ประธาน บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้บุกเบิกเปิดตัวบริการ 5G เชิงพาณิชย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะพัฒนาระบบนิเวศไร้สายสำหรับ Industry 4.0 ที่มีศักยภาพของประเทศ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานมือถือของผู้บริโภคและสนับสนุนการเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมไปสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เช่น ภาคการผลิต พลังงาน และการดูแลสุขภาพ อีริคสันดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาถึง 115 ปีแล้ว และเราทำหน้าที่พันธมิตร 5G ระดับโลกที่ได้รับความเชื่อถืออย่างกว้างขวาง เพื่อสนับสนุนประเทศไทยให้บรรลุถึงวิสัยทัศน์นั้นอย่างเป็นรูปธรรม”

ตามรายงาน ความเร็วของการนำเครือข่าย 5G ไปใช้จะแตกต่างกันไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยกลุ่มประเทศในทวีปยุโรปเริ่มช้ากว่าและตามหลังตลาดจีน สหรัฐอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น และประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางอยู่มาก

คาดว่าการสมัครใช้ 5G จะพุ่งเกินหนึ่งพันล้านรายเร็วกว่าไทม์ไลน์ของ 4G LTE ถึงสองปี โดยมีปัจจัยเบื้องหลังสำคัญ ได้แก่ ความมุ่งมั่นในการพัฒนา 5G ของจีน ตั้งแต่ในช่วงแรก ๆ และความพร้อมใช้งานที่มาเร็วขึ้นประกอบกับการวางจำหน่ายของอุปกรณ์ดีไวซ์ที่รองรับ 5G เพิ่มขึ้น ซึ่ง ณ เวลานี้มีการเปิดตัวหรือวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนที่รองรับเครือข่าย 5G มากกว่า 300 รุ่นแล้ว

ความเคลื่อนไหวของ 5G เชิงพาณิชย์นี้คาดว่าจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป โดยมีบทบาทเพิ่มขึ้นในด้านการเชื่อมต่อ และยังเป็นองค์ประกอบสำคัญพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19

คาดว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือจะมีสัดส่วนผู้สมัครใช้ 5G มากที่สุด ถึงประมาณ 1.4 พันล้านรายภายในปี 2569 ในขณะที่ทวีปอเมริกาเหนือและกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับคาดว่าจะมีสัดส่วนการใช้ 5G สูงสุดที่ 84% และ 73% ตามลำดับ

นาดีน อัลเลน

5G เปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้สมาร์ทโฟนในไทยแล้ว

จากรายงาน Five Ways to a Better 5G พบว่า ในปี 2030 ตลาด 5G สำหรับผู้บริโภคทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 31 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการให้บริการ 5G ของผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) จะมีมูลค่ารวมสูงถึง 3.7 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

ตามรายงาน Ericsson ConsumerLab ฉบับล่าสุด ตอกย้ำให้เห็นความตั้งใจของผู้บริโภคที่ต้องการอัปเกรดเป็น 5G ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแม้จะมีการระบาดของ Covid-19  สำหรับประเทศไทยในปีนี้มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนประมาณ 5 ล้านรายสามารถใช้ 5G ได้แล้ว นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีพฤติกรรมใหม่ ๆ จากการใช้ 5G ของผู้ใช้กลุ่มแรก ๆ โดยพวกเขาใช้เวลามากกว่า 1.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ไปกับแอป AR และเล่นเกมบนคลาวด์ ซึ่งมากกว่าผู้ใช้ 4G ประมาณ 1 ชั่วโมง ขณะที่ 57% ของผู้ใช้ 5G เริ่มสตรีมวิดีโอ HD หรือมีการใช้งานมากขึ้น โดย 14% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนใช้ Wi-Fi น้อยลงหลังอัปเกรดเป็น 5G

ผู้ใช้งาน 5G ที่เป็นกลุ่มแรก ๆ ในประเทศไทยพึงพอใจกับความเร็วของ 5G แต่ก็คาดหวังให้มีนวัตกรรมมากขึ้นเช่นกัน ผู้บริโภคระบุว่าพวกเขายินดีจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้น 50% สำหรับใช้แพ็กเกจ 5G ที่รวมบริการดิจิทัลที่มีบทบาทสูงสำหรับธุรกิจเชิงพาณิชย์ สำหรับบริการอื่น ๆ เช่น ทีวี 5G ที่มาพร้อมกับบรอดแบนด์ 5G ระบบ Fixed Wireless Network (FWA) คลาวด์ความเร็วสูง เพลงคุณภาพสูงระดับ Hi-Fi เทคโนโลยี AR ที่สามารถโต้ตอบได้  ประสบการณ์ทั้งในสถานที่จริงและประสบการณ์เสมือนจริงสำหรับการแข่งขันกีฬาและมหกรรมคอนเสิร์ตผ่านทางไกลมีแนวโน้มให้ผู้บริโภคอัปเกรดเป็นแพ็กเกจระดับพรีเมียม 5G ซึ่งการเพิ่มรายได้ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะมาจากการรับรู้และจัดการกับความท้าทายของความพร้อมใช้งาน 5G รวมถึงแผนและบริการใหม่ ๆ ที่ทำให้เห็นคุณค่าของ 5G

อีริคสัน 5G

คลายข้อสงสัย LGBTQ+ อยากกู้ซื้อบ้าน เผชิญความท้าทาย-โอกาสมากน้อยแค่ไหน?

DDproperty_LGBTQ+ กู้ซื้อบ้าน

คลายข้อสงสัย LGBTQ+ อยากกู้ซื้อบ้าน เผชิญความท้าทาย-โอกาสมากน้อยแค่ไหน?

เดือนมิถุนายนของทุกปีถือเป็นเดือนแห่งความเท่าเทียมทางเพศที่เรียกกันว่า Pride Month ของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 28 มิถุนายน 1969 ซึ่งนำมาสู่การเรียกร้องสิทธิของชาว LGBTQ+ ทั่วโลก และการเดินขบวนเรียกร้องสิทธิ LGBT Pride March ในปีถัดมา ปัจจุบันสังคมทั่วโลกตระหนักรู้และยอมรับความเสมอภาคทางเพศและได้ให้ความสำคัญไปจนถึงนำเสนอสินค้าหรือบริการที่เจาะกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น อย่างไรก็ดีผู้บริโภคชาว LGBTQ+ ต้องการการยอมรับจากสังคมด้วยความเข้าใจที่แท้จริง และความต้องการของเขาเหล่านี้ก็ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างจากกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเพศชายและหญิงมากนัก แต่สิ่งที่ชัดเจนคือการยอมรับในความเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม

ข้อมูลจากรายงาน LGBT GDP, WEALTH & TRAVEL DATA 2018 โดย LGBT Capital คาดการณ์ว่าทั่วโลกมีจำนวนประชากรกลุ่ม LGBTQ+ ประมาณ 6.5% หรือประมาณ 496 ล้านคน อยู่ในแถบเอเชียประมาณ 293 ล้านคน โดยประชากร LGBTQ+ ชาวไทยมีถึง 4.5 ล้านคน ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้มีกำลังซื้อและพฤติกรรมการใช้เงินในระดับดี มีการประมาณส่วนแบ่งความมั่งคั่งในครัวเรือนของผู้บริโภค LGBTQ+ ชาวไทยอยู่ที่ 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ งานวิจัยของเอาท์ นาว คอนซัลติ้ง ร่วมกับ เวิลด์ ทราเวล มาร์เก็ต (WTM) เผยว่าชาว LGBTQ+ ใช้จ่ายไปกับการท่องเที่ยวสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเลยทีเดียว เนื่องจากการที่ชาว LGBTQ+ ส่วนใหญ่มักไม่มีบุตรจึงไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ จึงเลือกวางแผนชีวิตอย่างเป็นรูปแบบและใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเองตามไลฟ์สไตล์ที่สนใจมากขึ้นแทน

DDproperty_LGBTQ กู้ซื้อบ้าน_01

ทางด้านตลาดอสังหาฯ นั้น ความต้องการของชาว LGBTQ+ ยังสอดคล้องกับผู้บริโภคส่วนใหญ่ ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า ปัจจัยภายในที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญเมื่อต้องเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การพิจารณาขนาดที่อยู่อาศัยมาก่อนถึง 48% ตามมาด้วยความครบครันของสิ่งอำนวยความสะดวก (44%) และความคุ้มค่าของราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย (38%) ในขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น ผู้บริโภคเกินครึ่ง (54%) ให้ความสำคัญเรื่องทำเลที่ตั้งมากที่สุด ตามมาด้วยความสะดวกสบายจากการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ (50%) และความปลอดภัยในโครงการ (45%)

 

ความท้าทายของชาว LGBTQ+ เมื่ออยากเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย

แม้สังคมไทยปัจจุบันจะเปิดรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่ยังไม่มีการรับรองความสัมพันธ์แบบคู่ชีวิตอย่างเป็นทางการ จึงส่งผลต่อการทำธุรกรรมของชาว LGBTQ+ เมื่อต้องการซื้ออสังหาฯ ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญของคู่รักชาว LGBTQ+ ที่ต้องการใช้สิทธิกู้ร่วมไม่น้อย โดยทั่วไปแล้วการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของชาว LGBTQ+ หากเป็นการกู้เพียงลำพังก็สามารถดำเนินการยื่นขอสินเชื่อได้ทันทีไม่ต่างจากเพศชายและเพศหญิง แต่ไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในฐานะผู้กู้ร่วมได้เฉกเช่นคู่รักทั่วไปได้ เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขของธนาคารที่ระบุว่าผู้กู้ร่วมนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกัน เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ร่วมเชื้อสายเดียวกัน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือเป็นชายหญิงที่เป็นคู่สมรสกัน ซึ่งจะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้ ในขณะที่ปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่รองรับการจดทะเบียนสมรสของคู่รัก LGBTQ+ จึงทำให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่มีผลทางนิตินัยไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ ธนาคารประเมินว่าความเสี่ยงของการกู้ร่วมของกลุ่ม LGBTQ+ สูงกว่าของคู่สมรสชายหญิง และก็สูงกว่าการกู้ร่วมของชายหญิงที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส การรับรู้ความเสี่ยงที่สูงกว่านี้เป็นปัจจัยที่ธนาคารอาจพิจารณาให้วงเงินกู้ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการกู้ร่วมของคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรส ทำให้ชาว LGBTQ+ อาจไม่ได้รับวงเงินสินเชื่อตามที่ตั้งเป้าไว้ หรือต้องปรับลดสเปกที่อยู่อาศัยที่ต้องการลงมา ซึ่งชาว LGBTQ+ ต่างรอติดตามความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … ว่าจะเข้ามาช่วยลดช่องว่างของปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง

Mix & Match หลากไลฟ์สไตล์ ค้นหาที่อยู่อาศัยโดนใจชาว LGBTQ+

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยไลฟ์สไตล์โดดเด่นของชาว LGBTQ+ ที่น่าสนใจ และน่าจับตามอง เพื่อนำมาค้นหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของชาว LGBTQ+ ที่เต็มที่ทุกเรื่องแบบ ‘Work hard, play harder’ ได้อย่างลงตัว ที่หลายคนจะมองว่าคอนโดฯ เหมาะกับการใช้ชีวิตมากกว่า แต่แท้จริงแล้วมีไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจกว่านั้น

    • พื้นที่ใช้สอยคุ้มค่า รองรับชีวิตแบบมัลติไลฟ์สไตล์ ชาว LGBTQ+ มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลากหลาย จะเห็นได้จากกิจกรรมยามว่างที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการร่วมสังสรรค์/ปาร์ตี้เพื่อเข้าสังคม พักผ่อนภายในบ้านกับงานอดิเรกไม่ว่าจะเป็นสร้างมุมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว แยกมุมทำงานเป็นสัดส่วน โซนอเนกประสงค์ไว้เล่นเกมหรือทำกิจกรรมสานสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง นอกจากนี้ การที่ส่วนใหญ่ชาว LGBTQ+ มักจะไม่มีบุตร จึงนิยมมีงานอดิเรก เช่น เลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนแก้เหงา ที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ในการทำกิจกรรมนอกบ้านจึงจำเป็นไม่แพ้กัน บ้านหรือคอนโดฯ ที่มีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายเหล่านี้ รวมทั้งการมีพื้นที่ส่วนกลางที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจึงเป็นตัวแปรลำดับแรก ๆ
    • สุขนิยม สุขภาพดีทั้งกายและใจต้องมา ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และรูปร่าง จึงให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพมาเป็นอันดับต้น ๆ โครงการอสังหาฯ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่ตอบโจทย์พฤติกรรมเพื่อสุขภาพนี้จะได้คะแนนจากผู้บริโภคที่อยู่ระหว่างการเลือกหรือตัดสินใจซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย สอดคล้องกับข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ล่าสุด เผยว่า สิ่งอำนวยความสะดวกยอดนิยมในคอนโดมิเนียมหรืออะพาร์ตเมนต์ที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการบ่อยที่สุดจะเน้นไปที่การออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพมาเป็นอันดับต้น ๆ โดยเกือบครึ่งของผู้บริโภค (47%) เลือกใช้บริการที่ออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพเป็นประจำ ตามมาเกือบ 1 ใน 3 ใช้บริการสระว่ายน้ำ (32%) และห้องโถงอเนกประสงค์ 13% 
    • ชอบการท่องโลกออนไลน์ อินเทอร์เน็ตต้องพร้อมใช้ ข้อมูลจากผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2562 ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA พบว่า LGBTQ+ เป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดถึง 11 ชั่วโมง 20 นาทีต่อวัน ถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเพศชายและหญิง เมื่อรวมกับเทรนด์ในปัจจุบันประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมของชาว LGBTQ+ มีการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในหลายมิติมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์คอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ ฝึกฝนและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือใช้เป็นช่องทางในทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานสัญญาณอินเทอร์เน็ตของโครงการที่มีคุณภาพและเสถียรต้องตอบโจทย์นี้ ไม่ว่าจะอยู่ภายในที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ส่วนกลาง
    • ใส่ใจการออกแบบ สะท้อนตัวตนผู้อยู่ ความพิถีพิถันใส่ใจทุกรายละเอียดเป็นอีกอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของชาว LGBTQ+ ซึ่งรวมถึงเรื่องที่อยู่อาศัยที่สะท้อนตัวตนได้เป็นอย่างดีพอ ๆ กับการดูแลรูปลักษณ์ภายนอกหรือเครื่องแต่งกาย ผู้บริโภคจะพิจารณาการออกแบบและตกแต่งที่สะท้อนบุคลิกอย่างมีสไตล์ การออกแบบเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน รวมถึงการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากันกับบ้าน

แม้ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … จะยังไม่รับรองสถานะของคู่รัก LGBTQ+ ทำธุรกรรมกู้ร่วมตามกฎหมายเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ในเวลานี้ อย่างไรก็ดีเวลานี้มีสถาบันการเงินหลายแห่งที่เปิดโอกาสให้คู่ LGBTQ+ สามารถยื่นเรื่องกู้สินเชื่อร่วมกันได้ภายใต้เงื่อนไขในการพิจารณาของแต่ละสถาบันฯ ทั้งนี้เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข้อมูลธนาคารที่ให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยระหว่างผู้กู้ร่วมที่มีความหลากหลายทางเพศไว้ให้ชาว LGBTQ+ ได้ศึกษาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเบื้องต้น พร้อมทั้งรวบรวมข่าวสาร เรื่องน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ และประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยมากมาย เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยสามารถเข้ามาศึกษาหาข้อมูลและเตรียมความพร้อมก่อนมีบ้านได้อย่างมั่นใจ

เทคโนโลยี Open Hybrid Cloud ของเร้ดแฮท ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกก้าวล้ำไปอีกขั้น

Red Hat

เทคโนโลยี Open Hybrid Cloud ของเร้ดแฮท ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกก้าวล้ำไปอีกขั้น

โซลูชั่นคลาวด์-เนทีฟของเร้ดแฮท ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารทั่วโลก โดยเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการข้อมูลรูปแบบใหม่ ๆ ที่มากมายมหาศาล ให้มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การให้บริการในรูปแบบใหม่ในยุค 5G

เร้ดแฮท อิงค์ ผู้ให้บริการโซลูชั่นโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก ประกาศว่าผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSPs) ทั่วโลกเลือกเร้ดแฮทไปใช้ในการปรับปรุงระบบโครงข่ายให้ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของตลาดที่มีการแข่งขัน มีความเคลื่อนไหว และมีการเติบโตสูงอย่างไม่น่าเชื่อ การเกิดขึ้นของ 5G ทำให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารมีหน้าที่จัดหาระบบโครงข่ายที่ทันสมัยที่สามารถเชื่อมต่อองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมทุกประเภท ตั้งแต่องค์กรด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ไปจนถึงรถยนต์อัจฉริยะและอื่น ๆ 

เทคโนโลยีโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ของเร้ดแฮทให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถต่าง ๆ ที่ผู้ให้บริการด้านนี้จำนวนมากต้องการ เพื่อทำให้ระบบเน็ตเวิร์กเป็นเวอร์ชวลไลซ์และคอนเทนเนอร์ไรซ์ ช่วยให้สามารถให้บริการแอปพลิเคชั่นที่ทันสมัยและบริการใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น ดังตัวอย่างการนำไปใช้ดังนี้

HKT ผู้ให้บริการและเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกแถวหน้าด้านโทรคมนาคมของฮ่องกง ตระหนักอย่างรวดเร็วว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเร่งให้การทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลขององค์กรดำเนินไปเร็วขึ้น เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ HKT ได้ทำงานร่วมกับเร้ดแฮทเพื่อสร้างความหลากหลายและขยายบริการต่าง ๆ บน Club Shopping ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์แบบครบวงจรของบริษัทฯ ที่สร้างและทำงานอยู่บน Red Hat OpenShift อีกหนึ่งตัวอย่างคือการเปิดตัว DrGo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่นที่ให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ DrGo ให้บริการด้านการแพทย์ทางไกลโดยการเชื่อมต่อผู้ใช้บริการกับแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนในฮ่องกงและผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพอื่น ๆ ผ่านแอปพลิเคชั่น ทั้งนี้ด้วยความยืดหยุ่นและความเชื่อถือได้ของโซลูชั่น OpenShift ช่วยให้ HKT สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เร็วขึ้น มีความคล่องตัวมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังคงสามารถนำเสนอบริการใหม่ ๆ ที่ทันสมัยให้กับลูกค้าได้

Proximus ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของเบลเยี่ยม เคยมองหาแนวทางการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และมองหาฟังก์ชั่นโครงข่ายเสมือน (network function virtualization: NFV) เพื่อใช้ทดแทนโครงข่ายแบบเดิมที่มีค่าใช้จ่ายสูง ปัจจุบัน Proximus วางมาตรฐานกลยุทธ์ NFV ของบริษัทไว้บน Red Hat OpenStack Platform ที่ทำงานร่วมกับ Red Hat Ceph Storage ซึ่งช่วยให้ใช้งานฟังก์ชั่น บริการสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างคุ้มค่าเงินลงทุน สามารถปรับขนาดการทำงานได้ และลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องลงได้ 20% นอกจากนี้ Proximus ยังใช้ web properties และการพัฒนาแบบคลาวด์-เนทีฟของบริษัทบน Red Hat OpenShift ช่วยให้สามารถใช้งานและเรียกใช้ไมโครเซอร์วิสบนคอนเทนเนอร์ได้ตามขนาดที่ต้องการ และยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานได้ประมาณ 35,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน

Samsung หนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมการสื่อสารผ่านอุปกรณ์โมบาย ได้ร่วมกับเร้ดแฮทเพิ่มทางเลือกต่าง ๆ ในการใช้งานโซลูชั่น 5G ของบริษัท โดยการนำ 5G Core และโครงข่ายอุปกรณ์สถานีฐาน (Radio Access Network: RAN) มาทำงานบน Red Hat OpenShift ทั้งนี้ Samsung ได้ทดสอบและตรวจสอบความสมบูรณ์ในการทำงานของ 5G core CNF บน Red Hat OpenShift สำหรับให้ลูกค้าร่วมของทั้งสองบริษัทได้ใช้งานเสร็จสิ้นแล้ว และกำลังวางแผนทดสอบและตรวจสอบความสมบูรณ์ของการใช้ 5G vRAN ของบริษัทบน Red Hat OpenShift ต่อไป

Telecom Argentina หนึ่งในผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและความบันเทิงระดับแนวหน้าในอาร์เจนตินา นำโซลูชั่น Kubernetes ที่เสถียรและปรับขนาดการทำงานได้มากขึ้น Red Hat OpenShift กำลังช่วยให้ Telecom Argentina ปรับปรุง Flow ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มความบันเทิงแบบดิจิทัลให้ทันสมัยขึ้น แพลตฟอร์มนี้นำเสนอเนื้อหาสด ซีรีย์ และการแสดงทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เกม และเพลง แบบ on demand การใช้แพลตฟอร์มคลาวด์-เนทีฟนี้ ช่วยให้ Telecom Argentina พัฒนาแพลตฟอร์ม Flow อย่างล้ำหน้า เพื่อรองรับความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคต นอกจากนี้โมเดลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่ง และปลูกฝังแนวคิด DevOps ให้กับการทรานส์ฟอร์มด้านดิจิทัลและวัฒนธรรมองค์กรที่บริษัทกำลังดำเนินการอยู่

 

คำกล่าวสนับสนุน

Honoré LaBourdette, global vice president of telco, media and entertainment, Red Hat

“ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร กำลังช่วยองค์กรต่าง ๆ ด้วยการให้บริการนวัตกรรมที่ก้าวล้ำที่ใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ทำงานเพื่อช่วยให้โครงข่ายขององค์กรเหล่านี้ทันสมัยขึ้น เพื่อให้สามารถตอบรับกับตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นได้ Red Hat OpenShift ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารทั้งหลายสามารถให้ความสำคัญและเน้นไปที่การรับมือกับเรื่องใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในอุตสาหกรรม เช่น เอดจ์คอมพิวติ้ง, standalone 5G core และอื่น ๆ อีกมาก” 

 

Eric Wong, senior vice president, Technical Service, Operation and Security, HKT

“ความเชื่อถือได้และความยืดหยุ่นที่เราได้รับเพิ่มขึ้นจาก Red Hat OpenShift ช่วยให้ HKT สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เร็วขึ้น และมีความคล่องตัวมากขึ้น ในขณะเดียวกันเรายังคงสามารถให้บริการใหม่ ๆ กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง”

 

แหล่งข้อมูล

 

 ช่องทางติดต่อเร้ดแฮท

ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยปิดช่องว่างทักษะด้านดิจิทัลในองค์กร

ระบบอัตโนมัติปิดช่องทางด้านทักษะดิจิทัล_นูทานิคซ์_04

ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยปิดช่องว่างทักษะด้านดิจิทัลในองค์กร

ทวิพงศ์_Nutanix_นูทานิคซ์
บทความโดย ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

การเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลจะประสบความสำเร็จ และเป็นไปได้อย่างครอบคลุม องค์กรจำเป็นต้องมีคนเก่งที่มีความรู้ความสามารถด้านดิจิทัลอยู่ในองค์กร แต่ปัญหาการขาดแคลนทักษะด้านดิจิทัลอย่างรุนแรงก็มีอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นับเป็นความท้าทายหนึ่งขององค์กรที่กำลังมุ่งทรานส์ฟอร์มและขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ

ผลสำรวจการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลของประเทศไทย ประจำปี 2020 จากการสำรวจของดีลอยท์ ประเทศไทย พบว่าความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลที่องค์กรไทยพบเป็นอันดับแรก คือ การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ (49%) ตามมาด้วย วัฒนธรรมดิจิทัลที่ยังไม่หยั่งรากลึกเต็มที่ (45%) และกระบวนการทำงานที่แยกส่วนไม่ประสานกัน (silo) ทำให้ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน (37%) 

ความตื่นตัวด้านทักษะด้านดิจิทัลเกิดขึ้นเป็นวงกว้างในประเทศไทย ล่าสุดกระทรวงแรงงานได้เปิดตัวสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล (DISDA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับแรงงาน โดยเป็นหน่วยงานกลางในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาระบุว่า ผู้สำเร็จการศึกษาในปี 2563 จำแนกตามกลุ่มสาขาวิชาที่รวบรวมจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศจำนวน 154 สถาบันพบว่ามีผู้สำเร็จการศึกษาสาขา Information and Communication Technologies (ICTs) ในระดับปริญญาตรีเพียง 13,984 คน คิดเป็น 5.09% ของผู้สำเร็จการศึกษาในระดับนี้ทั้งหมด

ระบบอัตโนมัติปิดช่องทางด้านทักษะดิจิทัล_นูทานิคซ์_01

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เขมะฑัต วิภาตะวนิช รองคณบดีฝ่ายสื่อสารและพัฒนาดิจิทัล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่าความต้องการของตลาดงานในปัจจุบันแยกเป็น 5 ส่วนสำคัญคือ 1) Software Engineering ประกอบด้วยโปรแกรมเมอร์ และ โปรเจคเมเนเจอร์ 2) Networking and Security Engineer และ Networking and Security Manager 3) ด้านดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ รวมถึง เวอร์ชวลไลเซชั่น เน็ตเวิร์ค และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4) กลุ่มบริหารจัดการระบบไอทีเดิมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ต้องมีความรู้ด้าน IT Governance, Data Governance, Security Governance และ 5) กลุ่มที่มีความรู้และเข้าใจในการนำซอฟต์แวร์มาใช้ซึ่งอาจไม่ได้จบสาขาเทคโนโลยีโดยตรง 

ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมทั้งห้าข้อนี้มีรายละเอียดที่เหมือนหรือต่างกันบ้าง แต่ในภาพรวมนิสิตนักศึกษาที่จบการศึกษาไป ต้องบูรณาการและสร้างสมดุลของตนเองในการใช้เทคโนโลยี มีความรู้ความเข้าใจกฎหมายที่มีผลกระทบต่อการทำงานและดำเนินชีวิตของตน ไม่สร้างปัญหา และรู้จักสิทธิหน้าที่ของตนเอง ผู้อื่น และหน่วยงาน

ระบบอัตโนมัติปิดช่องทางด้านทักษะดิจิทัล_นูทานิคซ์_02

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ปัจจุบันคลาวด์และระบบอัตโนมัติมีความสำคัญมาก เช่น การใช้เวอร์ชวลไลเซชั่นและกระแสการใช้งาน Software-Defined (almost) Everything เครือข่ายการเชื่อมโยงของระบบคอมพิวเตอร์จากดาต้าเซ็นเตอร์ไปยัง edge computing เป็นต้น ระบบนิเวศเหล่านี้ช่วยให้นิสิตนักศึกษาได้เรียนรู้และฝึกทักษะได้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกันก็ทำให้ตลาดแรงงานได้บุคลากรที่มี digital mindset และสามารถใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลได้แบบบูรณาการ

สำหรับภาคธุรกิจ การสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นในการทำงานให้กับพนักงาน (up-skill) และการยกระดับทักษะเดิมของพนักงานให้ดีขึ้น (re-skill) เป็นเรื่องสำคัญ นายพิเชฐ ศรีวงษ์ญาติดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ระบุว่าการที่ภาคการเงินมีการนำเทคโนโลยีมาใช้แบบก้าวกระโดดนั้น นอกจากการแสวงหาโซลูชั่นที่เหมาะสมแล้ว การปรับตัวของบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญมาก องค์กรต้องกระตุ้นให้บุคลากรมีความพร้อมและปรับตัวให้ทันตามแผนงานด้านไอทีที่วางไว้ เทคโนโลยีจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อบุคลากรเห็นถึงประโยชน์และนำไปใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้งานจริงควบคู่กับกระบวนการทำงานเดิม เพื่อเป็นการเรียนรู้ในระหว่างปฏิบัติงาน (learning by doing) จะทำให้บุคลากรเห็นประโยชน์ของการเรียนรู้ทักษะใหม่กับผลลัพธ์ที่ได้เมื่อเทียบกับกระบวนการเดิม ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบุคลากรของบริษัท เพราะสามารถนำทักษะใหม่มาใช้กับงานได้จริง

ระบบอัตโนมัติปิดช่องทางด้านทักษะดิจิทัล_นูทานิคซ์_03

กล่าวได้ว่าแทบไม่มีธุรกิจใดที่จะไม่รับเอาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเช่น คลาวด์และระบบอัตโนมัติมาใช้งาน ผลสำรวจ Enterprise Cloud Index (ECI) ของนูทานิคซ์พบว่าองค์กรไทยให้เหตุผลในการเปลี่ยนไปใช้คลาวด์เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดี (67%) ตามมาด้วยเรื่องของความปลอดภัย (62%) และสามารถรองรับการทำงานจากระยะไกล (62%) และไฮบริดคลาวด์เป็นประเภทของคลาวด์ที่ธุรกิจให้ความสำคัญมากที่สุด

สำหรับ KTBST ระบบคลาวด์เข้ามาช่วยวางโครงสร้างระบบงานไอทีในด้านการจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อธุรกิจ บริษัทยังได้นำระบบอัตโนมัติมาช่วยต่อยอดในการลดข้อผิดพลาดของ บุคคลากร รวมถึงช่วยให้การทำงานร่วมกันดีขึ้น โดยพนักงานมีเวลาจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญมากขึ้น แทนการทำในสิ่งเดิมซ้ำ ๆ ทั้งนี้คลาวด์และระบบอัตโนมัติยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท

การระบาดของโควิด-19 ทำให้การเคลื่อนย้ายบุคลากรที่มีทักษะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในขณะนี้ และในอนาคตอันใกล้ องค์กรต่าง ๆ จึงหันไปใช้เทคโนโลยีเกิดใหม่เพื่อคงความสามารถในการแข่งขัน คงความต่อเนื่องทางธุรกิจ และแก้ปัญหาความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถสูง

ระบบไอทีแบบเดิมที่ใช้คนจำนวนมากและทำงานแบบแมนนวล เป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการผลิต และกระทบต่อความสามารถของธุรกิจที่จะต้องตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงให้ได้อย่างรวดเร็ว ระบบอัตโนมัติที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองในแง่ลบว่าจะเข้ามาแย่งงานของคน กำลังได้รับความเข้าใจมากขึ้นว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการเปลี่ยนไปใช้รูปแบบไอทีแบบ as a service และ on-demand ได้มากขึ้น ข้อเท็จจริงจากการสำรวจ ECI ของนูทานิคซ์ล่าสุดที่สำรวจเมื่อปลายปี 2020 ระบุว่า 31 % ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าระบบอัตโนมัติเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในอีก 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า 

นายพิเชฐให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ระบบอัตโนมัติจะเป็นตัวช่วยเพิ่มขีดความสามารถของคน โดยช่วยให้คนเน้นความสามารถเชิงคิดวิเคราะห์เพื่อนำไปปรับใช้ร่วมกับระบบอัตโนมัติให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่คนและระบบทำงานร่วมกัน มากกว่ามองว่าระบบจะแย่งงานคน การที่ KTBST นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์ แสดงรายงาน ฯลฯ ช่วยลดเวลาในการดำเนินงานได้ถึง 80% และช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายกว่า 30% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบแมนนวล

เอเชียแปซิฟิกเป็นศูนย์กลางของโลกที่มีการเร่งนำระบบอัตโนมัติมาใช้อย่างรวดเร็วในขณะนี้เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นทั่วโลก
ข้อมูลจาก
International Federation of Robotics ระบุว่าสิงค์โปร์เป็นประเทศที่มีการใช้ระบบอัตโนมัติมากที่สุดในโลก
โดยมีการติดตั้งใช้งานหุ่นยนต์
918 ยูนิตต่อพนักงานทุก ๆ 10,000 คน อันดับสองคือประเทศเกาหลีใต้ (868 ยูนิต)
และอันดับสามคือประเทศญี่ปุ่น (
364 ยูนิต)

การทำให้บุคลากรด้านไอทีมีเวลาโฟกัสกับโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน  ทั้งยังได้เพิ่มพูนทักษะของตนเองตลอดเวลาสำหรับธุรกิจในภาพรวม นอกจากประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับแล้ว ยังสามารถรักษาพนักงานไว้กับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปี 2021 นี้องค์กรต่าง ๆ ยังคงต้องมองหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อจัดการกับความท้าทายเดิม ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการทางธุรกิจและระบบอัตโนมัติคือเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ  ได้ เช่น ปิดช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลที่ขาดแคลน ประหยัดค่าใช้จ่าย หรือเพื่อให้บริษัทได้รับประโยชน์ในระยะยาวมากขึ้น