ภาคการผลิตตบเท้าขึ้นเป็นผู้นำในการปรับระบบไอทีให้ทันสมัย

ภาคการผลิตตบเท้าขึ้นเป็นผู้นำในการปรับระบบไอทีให้ทันสมัย

ทวิพงศ์_Nutanix_นูทานิคซ์
บทความโดยนายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

อุตสาหกรรมการผลิตเป็นภาคส่วนที่มีความซับซ้อน และมักเข้าใจกันว่าเป็นเพียงสายพานลำเลียงที่ไหลไปตามสายการผลิต และมีพนักงานทำงานอยู่ด้านหลังเครื่องจักรขนาดใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว ภาคการผลิตเป็นตัวกำหนดรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างไรก็ตามระบบซัพพลายเชนต่าง ๆ ที่สนับสนุนการทำงานของภาคการผลิตกำลังถูกกดดันอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ปัจจุบันไอทีมีบทบาทสำคัญในการนำความทันสมัยมาสู่อุตสาหกรรมนี้ และช่วยให้ปรับตัวได้ทันความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

รายงานดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กรของนูทานิคซ์ ซึ่งทำการสำรวจบริษัททั่วโลกเป็นปีที่สาม (ECI report) พบว่า สามในสี่ (75 เปอร์เซ็นต์) ของผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตกล่าวว่าโควิด-19 ทำให้ไอทีได้รับการพิจารณาในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น และยังทำให้องค์กรเพิ่มการลงทุนกับระบบคลาวด์อย่างรวดเร็ว

สำหรับประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ที่มีเป้าหมายภายในปี 2579 ให้ภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ย
ไม่ต่ำกว่า 4.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี มีผลิตภาพการผลิตของปัจจัยการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และมีการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐและเอกชนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10 และ 7.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปีตามลำดับ

 

โควิด-19 เป็นแรงผลักที่เร่งให้นำไฮบริดและมัลติคลาวด์มาใช้เร็วขึ้น

รายงาน ECI ระบุว่า 87% ของผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในภาคการผลิตส่วนใหญ่เชื่อว่า โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์เป็นรูปแบบการทำงานด้านไอทีที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ ทั้งนี้อุตสาหกรรมการผลิตเป็นภาคส่วนที่ใช้ไฮบริดคลาวด์มากกว่าอุตสาหกรรมอื่นในปัจจุบัน (ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์)

ผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตยังได้รายงานว่ามีแผนเพิ่มการใช้งานไฮบริดคลาวด์ขึ้นอีกมากกว่าสองเท่าภายในสามปี และจะเพิ่มการใช้งานเป็นประมาณ 52 เปอร์เซ็นต์ภายในห้าปี การก้าวกระโดดสู่ความทันสมัยนี้จะพลิกโฉมแนวทางการทำงานแบบเดิม ๆ ของภาคการผลิต และเร่งการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นให้เร็วขึ้นในทุกบริบทของภาคอุตสาหกรรม แต่การเดินทางสู่ความสำเร็จนี้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากจากผู้นำด้านไอทีในอุตสาหกรรมนี้

เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ผู้นำในอุตสาหกรรมต่างมีภารกิจสำคัญในการพิจารณากระบวนการทางธุรกิจที่เป็นมาตรฐานต่าง ๆ เสียใหม่ โดยเฉพาะจะทำอย่างไรให้ปกป้องพนักงานจากโรคระบาดด้วยการต้องเว้นระห่างทางสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยังคงรักษาผลการปฏิบัติงานและผลผลิตไว้ให้ได้ด้วย

รายงาน ECI ทำให้เห็นได้ว่าผู้ผลิตต่างเชื่อมั่นว่า ไฮบริดและมัลติคลาวด์จะช่วยการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ได้ และผู้ตอบแบบสำรวจ กำลังใช้โมเดลนี้ด้วยเหตุผลเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจได้ดีขึ้น (62 เปอร์เซ็นต์) เพื่อสามารถควบคุมการใช้ทรัพยากรไอทีได้ดีขึ้น (60 เปอร์เซ็นต์) และเพื่อให้บริการต่อความจำเป็นต่าง ๆ ทางธุรกิจได้เร็วขึ้น (53 เปอร์เซ็นต์) เราอยู่ในยุคที่อุตสาหกรรรม 4.0 หรือการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่สี่กำลังดำเนินไป และการเปลี่ยนไปใช้ไฮบริดคลาวด์จะช่วยทำให้การทำงานหลังบ้านต่าง ๆ ในปัจจุบันเป็นอัตโนมัติ ทำให้ใช้ทรัพยากรไอทีต่าง ๆ น้อยลง และสามารถลงทุนในเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทันสมัยอื่น ๆ ได้

Nutanix_ภาคการผลิต

โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) เป็นบริษัทในเครือของบริษัท โตโย ไซกัน กรุ๊ป โฮลดิ้ง ประเทศญี่ปุ่น บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกทั่วไป, ขวด PET สำหรับเครื่องดื่ม, ออกแบบและดำเนินงานด้านบรรจุภัณฑ์ และให้การสนับสนุนด้านเทคนิค รวมถึงบริการด้านการจัดการแก่กลุ่มบริษัทต่าง ๆ โตโย ไซกันได้เลือกใช้คลาวด์แพลตฟอร์มของนูทานิคซ์ทดแทนโครงสร้างพื้นฐานเดิม เพื่อสนับสนุนการก้าวสู่การผลิตอัจฉริยะ โซลูชันของนูทานิคซ์ช่วยให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงข้อมูลและแอปพลิเคชันจากระยะไกลได้จากทุกอุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถสำรองข้อมูล และคงความต่อเนื่องทางธุรกิจในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งยังช่วยเสริมความปลอดภัย และมอบระบบบริหารจัดการแบบอัตโนมัติ ในภาพรวม โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพไอทีได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ โดยสามารถกู้คืนไฟล์ได้ในเวลาน้อยกว่า 10 นาทีจากเดิมใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารายปีลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ และยังสามารถนำ IoT มาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

 

การเร่งเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและการเดินหน้าสู่ความสำเร็จ

แม้จะมีการเร่งผลักดันให้เปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์ แต่ธุรกิจในอุตสาหกรรมการผลิตยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้ ตัวเลขจากผลสำรวจ ECI ระบุว่า 15 เปอร์เซ็นต์ของผู้ผลิตทั่วโลกยังคงทำงานอยู่บนดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมที่ไม่ได้อยู่บนระบบคลาวด์

การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคการผลิตจะยังไม่สมบูรณ์จนกว่าธุรกิจในภาคส่วนนี้จะปรับวิธีการผลิตที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ การประกอบชิ้นส่วน และการให้บริการหรือส่งมอบผลิตภัณฑ์นั้นให้ถึงมือผู้บริโภค ไฮบริด มัลติคลาวด์มีฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สามารถเข้าไปช่วยกระบวนการดำเนินงานทั้งหมดได้ ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงระบบซัพพลายเชน การนำกระบวนการอัตโนมัติและเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น การนำหุ่นยนต์มาใช้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเพิ่มผลผลิตได้ ซึ่งเป็นการช่วยให้พนักงานมุ่งเน้นการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพอื่น ๆ มากกว่าที่จะต้องมาคอยดูเรื่องปริมาณหรือจำนวนของที่ผลิตได้ การผลิตอัจฉริยะที่มีสถาปัตยกรรมดิจิทัลอยู่เบื้องหลังยังไม่สมบูรณ์แบบมากนัก เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่ใช้เพียงเครื่องมือในการผลิตที่เป็นดิจิทัลเท่านั้น ผู้ตอบแบบสำรวจจากอุตสาหกรรมนี้จะดำเนินการทุกอย่าง และขจัดการติดตั้งใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมออกไป เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ประสบความสำเร็จ โดยผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขาจะเพิ่มการใช้ไฮบริดและมัลติคลาวด์มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ภายในห้าปีข้างหน้า

ข้อมูลจากโครงการศึกษาแนวทางการยกระดับผลิตภาพและสร้างมูลค่าของภาคเศรษฐกิจไทยด้วยหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล ระบุว่า เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล เป็นปัจจัยความสำเร็จหลักต่อการพัฒนา ทั้งนี้ข้อมูลจากการจัดลำดับปริมาณการใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมของ International Federation of Robotic (IFR) สำหรับปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมใหม่จำนวน 2,883 ยูนิต

นอกจากนี้สถาบันวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีผลการศึกษาการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการผลิตจากจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1,260 สถานประกอบการ โดย พบว่ามีผู้ประกอบการเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดและเชื่อมโยงการผลิตตลอดซัพพลายเชนผ่านระบบไอที ในขณะที่ 45 เปอร์เซ็นต์ มีการนำมาใช้บางจุดของกระบวนการผลิตแต่ยังไม่มีการเชื่อมต่อข้อมูล และ 31 เปอร์เซ็นต์ยังไม่มีการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาใช้ในการผลิต

การที่ธุรกิจในภาคการผลิตยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุถึงขีดความสามารถของอุตสาหกรรม 4.0 ธุรกิจต้องปรับปรุงระบบไอทีให้ทันสมัย ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ทรัพยากร และพลังงานที่จะใช้ในการอัปเกรดเครื่องมือทางกายภาพต่าง ๆ ของภาคการผลิต ปัจจุบันมีตัวอย่างหลากหลายที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไฮบริดและมัลติคลาวด์คือกลไกดิจิทัลที่ส่งเสริมให้ความพยายามนี้รุดหน้า

เติม “น้ำใจ” ต่อ “ลมหายใจ” คนไทยไม่ทิ้งกัน ทรูมันนี่บริจาค 1 ล้านบาท พร้อมขยายช่องทางรับบริจาคผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อสมทบทุนจัดซื้อ “เครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์”

ทรูมันนี่_TrueMoney Donation_มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย

เติม “น้ำใจ” ต่อ “ลมหายใจ” คนไทยไม่ทิ้งกัน ทรูมันนี่บริจาค 1 ล้านบาท พร้อมขยายช่องทางรับบริจาคผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อสมทบทุนจัดซื้อ “เครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์” มอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน ผ่านมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ในโครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน”

ขอเชิญร่วมเติมพลังใจให้ทีมบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ขั้นวิกฤติ

ทรูมันนี่ ร่วมกับ มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ในโครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน” ขยายช่องทางรับบริจาคผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อสมทบทุนจัดซื้อ “เครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์” (High-Flow Nasal Cannula Oxygen) และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ส่งมอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศ นำไปช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 โดยในการนี้ ทรูมันนี่ได้บริจาค 1 ล้านบาท ให้กับมูลนิธิฯ พร้อมดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้พนักงานของบริษัทฯ และผู้ใช้ร่วมบริจาคด้วยอีกทางหนึ่ง

นางสาวมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “พวกเราชาวทรูมันนี่ ขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าทุกท่านที่กำลังทำงานกันอย่างหนักเพื่อต่อลมหายใจผู้ป่วย ด้วยการบริจาคสมทบทุนจัดซื้อ “เครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์” (High-Flow Nasal Cannula Oxygen) รวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นเพื่อมอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท ผ่านมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ในโครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน” พร้อมเชิญชวนพนักงานและผู้ที่สนใจร่วมบริจาคผ่านช่องทางต่าง ๆ ของมูลนิธิฯ รวมถึงช่องทางบริจาคผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท โดยเงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์นี้ จะถูกมอบให้มูลนิธิฯ โดยไม่มีการหักค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยให้ทีมแพทย์และคนไทยทุกคนสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน”

คุณโกมล เมฆวัฒนา ประธานโครงการ “ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน” กล่าวว่า “คลื่นการระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ ทั้งรุนแรงและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนเป็นวงกว้าง โครงการ “ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน” จึงต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และภาคเอกชน เช่น ทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่จะอำนวยความสะดวกในการจัดหาช่องทางการบริจาคเพิ่มเติม เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการจัดหาเครื่องช่วยหายใจ ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตนี้ด้วยกันอย่างปลอดภัย โดยในเบื้องต้น ในการจัดหาและส่งมอบเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์ที่ยังจำเป็น เช่น ชุด PPE หน้ากาก N95 ให้กับโรงพยาบาลและหน่วยงานต่าง ๆ จนกว่าวิกฤตนี้จะคลี่คลาย”

นายแพทย์ประจักษวิช เล็บนาค ประธานมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย กล่าวว่า “จากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างเช่นเครื่องช่วยหายใจจึงมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อช่วยในการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลงได้ โดยหวังว่าการระดมทุนของโครงการ “ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน” ในครั้งนี้จะช่วยให้มูลนิธิสามารถนำไปจัดหาเครื่องมือการแพทย์ที่จำเป็นและยังขาดแคลน เพื่อช่วยให้เราทุกคนสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างปลอดภัยต่อไป”

สำหรับผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคให้มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

I) ผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท : สามารถบริจาคได้ตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่ว่าคุณจะใช้มือถือของค่ายใด จะอยู่ที่บ้านหรือต่างจังหวัด ก็สามารถบริจาคได้ง่าย ๆ ผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet ใน 5 ขั้นตอนดังนี้

    1. ล็อกอินเข้าแอปฯ TrueMoney Wallet ในหมวด “บริการอื่น ๆ” เลือก “บริจาค”
    2. เลือกมูลนิธิที่ต้องการบริจาค (เลือก มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย)
    3. กรอกหมายเลขโทรศัพท์ และจำนวนเงินที่ต้องการบริจาค
    4. เลือกช่องทางการชำระเงิน กดยืนยันการชำระเงิน
    5. ทำรายการสำเร็จ รับใบเสร็จ

โดยผู้ใช้สามารถบริจาคโดยการเติมเงินเข้าวอลเล็ท ผูกบัญชีธนาคาร หรือผูกบัตรเครดิตกับบัญชีทรูมันนี่

II) บริจาคผ่านบัญชีออมทรัพย์ มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย : ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เลขที่ 020198528890

สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ “ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน” เพิ่มเติม กรุณาติดต่อผ่านทาง LINE OA: ทุกข์ภัยไทยช่วยกัน (https://lin.ee/WLd3xpj) หรือโทร 084-439-0105 และ 090-236-6515

เมืองไทยประกันชีวิต” ผนึก “ทรูมันนี่” ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีล่วงหน้า ผ่านแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” จ่ายเบี้ยครั้งเดียว คุ้มครองชีวิตนาน 11 ปี

ทรูมันนี่_MTL

เมืองไทยประกันชีวิต” ผนึก “ทรูมันนี่” ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีล่วงหน้า ผ่านแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” จ่ายเบี้ยครั้งเดียว คุ้มครองชีวิตนาน 11 ปี

ออมสบาย จ่ายสะดวก แบบ Cashless พร้อมรับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ มูลค่าสูงสุด 2,000 บาท

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) จับมือ ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สานต่อแคมเปญ “ออมสบาย จ่ายสะดวก ที่ TrueMoney Wallet ปีที่ 2”(1) ชวนคนไทยออมเงินและวางแผนลดหย่อนภาษี พร้อมอุ่นใจจากความคุ้มครองชีวิตผ่านแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” จ่ายเบี้ยครั้งเดียวแบบไร้เงินสดผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท รับความคุ้มครองชีวิต 11 ปี และผลประโยชน์รวมสูงสุด 112%(2) ตลอดสัญญา พร้อมรับสิทธิพิเศษ 2 ต่อภายหลังชำระเบี้ยประกัน มูลค่ารวมสูงสุด 2,000 บาท

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หลังจากความสำเร็จและการตอบรับที่ดีจากโครงการ “ออมสบาย จ่ายสะดวก ที่ TrueMoney Wallet” ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงสานต่อการมอบประสบการณ์ Cashless ในการชำระค่าเบี้ยประกันภัยผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท ในแคมเปญ “ออมสบาย จ่ายสะดวก ที่ TrueMoney Wallet ปีที่ 2”(1) โดยนำเสนอแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” ที่ให้ทั้งความคุ้มครองชีวิต ผลประโยชน์จากสัญญา และสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ให้สามารถวางแผนการออม(1) และวางแผนลดหย่อนภาษีได้อย่างเหมาะสม”

ทั้งนี้ แบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” เหมาะสำหรับคนที่ชอบความสะดวกสบาย จ่ายเบี้ยครั้งเดียว ได้รับความคุ้มครองชีวิต 11 ปี ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท(3) รับเงินจ่ายคืน 2%(2) ทุก 2 ปีกรมธรรม์ และรับผลประโยชน์รวมสูงสุดตลอดสัญญา 112%(2) โดยสามารถเลือกแผนความคุ้มครองย่อยได้ตามความต้องการได้ถึง 4 แผน ค่าเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 25,000 ไปจนถึง 100,000 บาท โดยสามารถชำระได้ทั้งวิธีการเติมเงินเข้าวอลเล็ทและผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ วอลเล็ท

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “นวัตกรรมในการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มจ่ายค่าเบี้ยประกันแบบไร้เงินสดของทรูมันนี่ วอลเล็ท กับ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ช่วยให้ผู้ใช้กว่า 19 ล้านรายของเราได้รับความสะดวกสบาย และสามารถเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการเลือกซื้อแบบประกันที่คุ้มค่า พร้อมรับสิทธิพิเศษอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งช่วยตอกย้ำความสำเร็จของทรูมันนี่ ในการขยายแพลตฟอร์มของเราไปสู่บริการด้านการเงินที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ต้องการออมเงิน(1) และสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการให้แก่ผู้ใช้ของเราได้อย่างตรงจุด”

ทั้งนี้ ลูกค้าที่สนใจแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” ของเมืองไทยประกันชีวิต สามารถ Log in เข้าแอปฯ TrueMoney Wallet และคลิกหมวด “ประกันภัย ออนไลน์” เลือกหมวด “ประกันสะสมทรัพย์” จะพบแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” จากนั้นเลือกแผนความคุ้มครอง กรอกข้อมูลส่วนตัว และชำระค่าเบี้ยประกันภัย โดยสามารถชำระได้ทั้งวิธีการเติมเงินเข้าวอลเล็ทและชำระผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับ TrueMoney Wallet พร้อมสิทธิพิเศษ 2 ต่อ

    • ต่อที่ 1: บัตรกำนัลเซ็นทรัล(4) มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท จัดส่งตรงถึงบ้านภายใน 60 วันหลังชำระเบี้ยประกันผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฎาคม 2564
    • ต่อที่ 2: รับเครดิตเงินคืน 1%(5) ของยอดชำระเบี้ยประกัน หรือสูงสุด 1,000 บาท เข้าบัญชีทรูมันนี่ วอลเล็ทภายใน 25 วัน หลังชำระเบี้ยประกันผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 ธันวาคม 2564

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดย บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โทร. 1766 หรือ สอบถามรายละเอียดสิทธิพิเศษการรับเครดิตเงินคืนเข้าบัญชีทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ที่ TrueMoney Call Center โทร. 1240

หมายเหตุ

(1) เป็นการออมในรูปแบบประกันชีวิต

(2) ผลประโยชน์เป็น % ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มมีผลคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย

(3) หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด

(4) เงื่อนไขการส่งเสริมการขายเป็นไปตามที่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กำหนด

(5) เงื่อนไขการส่งเสริมการขายเป็นไปตามที่ บริษัท ทรูมันนี่ จํากัด กำหนด

– เงื่อนไขการส่งเสริมการขายเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

– เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด

– การพิจารณารับประกันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กำหนด

คำเตือน: ผู้สนใจควรศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้น ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

เตรียมพร้อมก่อนตัดสินใจ เปิดเช็กลิสต์เช่าบ้านอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบ

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้_DDproperty_Checklist for renters

เตรียมพร้อมก่อนตัดสินใจ เปิดเช็กลิสต์เช่าบ้านอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบ

บ้านเช่า ห้องเช่า เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมานาน เพราะเป็นการลดภาระผูกพันระยะยาวสำหรับคนที่ยังไม่พร้อมจะซื้อบ้านเป็นของตัวเอง นอกจากนั้นยังตอบโจทย์เรื่องความสะดวกเมื่อต้องโยกย้ายที่อยู่ให้เหมาะสมตามความจำเป็นต่าง ๆ การเช่าบ้านเหมาะสำหรับคนที่กำลังเริ่มต้นเก็บเงินเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวและยังไม่ได้มีแผนลงหลักปักฐานที่ใดที่หนึ่งอย่างถาวร อย่างไรก็ดี การเช่าก็มีความแตกต่างจากการซื้อขาดในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น การเช่าบ้านนอกจากต้องพิจารณาทำเล ประเภทและราคาค่าเช่าแล้ว การเช่าบ้านยังเป็นนิติกรรมที่ผู้บริโภคจะต้องศึกษาอย่างรอบคอบทั้งในส่วนรายละเอียดสัญญาเช่า และต้องวัดดวงกับการเจอผู้ให้เช่าหรือเจ้าของบ้านที่มาในหลายรูปแบบ ซึ่งมีหลายกรณีที่เกิดความไม่เข้าใจระหว่างผู้เช่ากับเจ้าของบ้าน จึงต้องมีการบังคับใช้ข้อกฎหมายที่ทันสมัยและเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้

ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2562 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองผู้เช่าและผู้ให้เช่าฉบับล่าสุดที่ปรับให้มีความชัดเจนสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ ลดความขัดแย้งและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า โดยควบคุมผู้ประกอบ “ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย” ซึ่งหมายความถึงผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย โดยมีสถานที่ที่จัดแบ่งให้เช่าตั้งแต่ 5 หน่วยขึ้นไป ไม่ว่าจะอยู่ในอาคารเดียวกันหรือหลายอาคารรวมกัน ได้แก่ ห้องพัก บ้าน อาคารชุด อะพาร์ตเมนต์ แต่ไม่รวมถึงหอพักและโรงแรมที่มีกฎหมายควบคุมแยกต่างหาก

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้_DDproperty_Checklist for renters

“ผู้เช่า-ผู้ให้เช่า” มีข้อผูกพันกันมากน้อยแค่ไหน

ผู้เช่าและผู้ให้เช่ามีบทบาทต่อกันอย่างชัดเจน หน้าที่หลักของ “ผู้เช่า” นั้นนอกจากจะต้องมีความรับผิดชอบในการชำระค่าเช่าแก่ผู้ให้เช่าตามจำนวนและเวลาที่กำหนดตามที่ระบุไว้ในสัญญาแล้ว ยังมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาที่อยู่อาศัยที่ตนเองเช่าให้เหมือนกับที่ปฏิบัติกับบ้านของตัวเองอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้เช่าต้องไม่ลืมว่าตนไม่มีสิทธิในการต่อเติมหรือปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่ส่งผลต่อโครงสร้างหลักตามใจชอบโดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบ และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ตกลงกันเพิ่มเติมในสัญญาอย่างเคร่งครัด

ในขณะที่ “ผู้ให้เช่า” มีหน้าที่มอบสิทธิในการครอบครองใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้เช่าตลอดระยะเวลาของการเช่า โดยสามารถกำหนดในสัญญาว่าสิทธิการให้เช่านั้นมีผลเฉพาะผู้ให้เช่าเท่านั้น หากผู้ให้เช่าเสียชีวิตระหว่างที่สัญญาเช่ายังไม่หมดจะทำให้สัญญาเช่านั้นระงับลง หรือระบุให้สิทธิการให้เช่าตกทอดไปสู่ทายาทได้เช่นกัน นอกจากนี้ผู้ให้เช่ายังมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและตั้งกฎเพื่อจัดระเบียบผู้เช่าให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข พร้อมทั้งสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อย ไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิที่กระทบต่อผู้เช่าอื่น ๆ ในชุมชน

เช่าบ้าน_DDproperty_Things to Think About Before Renting

เปิดเช็กลิสต์เช่าบ้านอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบทั้งผู้เช่า-ผู้ให้เช่า

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ขอแนะนำเช็กลิสต์ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้เช่าและผู้ให้เช่ามีปัญหากันในภายหลัง พร้อมทั้งเผยมุมมองผู้ให้เช่าที่อยู่อาศัยในอุดมคติที่ผู้เช่าส่วนใหญ่มองหา เพื่อเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทั้งทางกายและใจ ในขณะที่ผู้ให้เช่ายังสามารถนำไปปรับใช้เพื่อลดปัญหาคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก จนทำให้มีการย้ายออกของผู้เช่าได้อีกด้วย

    • สัญญาระบุรายละเอียดชัดเจน ไม่หมกเม็ด รายละเอียดในสัญญาควรมีการระบุระยะเวลาให้เช่า ค่าเช่า อัตราค่าสาธารณูปโภค และค่าบริการต่าง ๆ เพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายเบื้องต้นก่อนย้ายเข้ามาอยู่ โดยผู้เช่าต้องดูความสมเหตุสมผลของรายละเอียดเงื่อนไขเพิ่มเติมในสัญญาด้วย เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสเบื้องต้นของผู้ให้เช่า เช่น การเรียกเก็บค่าเช่าล่วงหน้า การขึ้นค่าเช่าในอนาคต เงื่อนไขการยกเลิกสัญญาเช่า ความคุ้มครองจากเงินประกัน ฯลฯ ซึ่งจุดนี้มีความสำคัญเพราะตามกฎหมายแล้ว ผู้ให้เช่าจะเรียกเก็บค่าเช่าล่วงหน้าและเงินประกันรวมกันแล้วไม่เกิน 3 เดือนของอัตราค่าเช่ารายเดือน 
    • ใบแจ้งหนี้ให้ข้อมูลครบถ้วน ตรวจสอบเองได้ ผู้ให้เช่าควรส่งใบแจ้งหนี้ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วันก่อนถึงกำหนดชำระค่าเช่า พร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายรายเดือนและวิธีการคำนวณไว้อย่างชัดเจน เช่น ค่าสาธารณูปโภคและจำนวนหน่วยที่ใช้ ค่าบริการต่าง ๆ แต่ละเดือน เพื่อให้ผู้เช่าสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง ป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นและสร้างความสบายใจให้กับทั้งสองฝ่าย โดยผู้ให้เช่าเรียกเก็บค่าน้ำ ค่าไฟ เกินอัตราการใช้งานจริงไม่ได้และไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงอัตราค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค และค่าบริการต่าง ๆ ก่อนสัญญาเช่าสิ้นสุด
    • ต้องชัดเจนว่าใครรับผิดชอบซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพ เมื่อมีการเช่าที่อยู่อาศัยเป็นระยะเวลาหนึ่งหรือมีการเปลี่ยนผู้เช่ามาไม่น้อย ย่อมมีการชำรุดสึกหรอของเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ โดยความเสียหายนั้นอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากการใช้งานของตัวผู้เช่าเอง ซึ่งหากเป็นกรณีนี้ เจ้าของหรือผู้ให้เช่าต้องเปิดใจยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และมีมาตรการที่ชัดเจน อาทิ ตรวจสอบความเรียบร้อยของเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ และชี้แจ้งให้ผู้เช่าทราบก่อนรับผู้เช่ารายใหม่ หรือให้ผู้เช่าสามารถเข้ามาตรวจเช็กความเรียบร้อยต่าง ๆ พร้อมกับผู้ให้เช่าได้เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน นอกจากนี้ ผู้ให้เช่าควรระบุอย่างชัดเจนว่าความเสียหายประเภทใดจากอุปกรณ์ใดบ้างที่ผู้ให้เช่าจะรับผิดชอบเอง หรือรูปแบบใดที่ผู้เช่าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้าง ในขณะเดียวกัน ผู้เช่าก็ต้องมีความรับผิดชอบและระมัดระวังเมื่อใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ส่วนกลางเช่นกัน
    • เคารพสิทธิส่วนบุคคล ไม่บุกรุกโดยพลการ ผู้เช่าและผู้ให้เช่านั้นจำเป็นต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน แม้ผู้ให้เช่าจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยตรง แต่ผู้เช่าก็มีสิทธิของผู้เช่าด้วยเช่นกัน ผู้ให้เช่าจึงต้องเคารพในสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้เช่า ทั้งนี้ตามกฎหมายผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิเข้าไปตรวจสอบที่พักโดยพลการหรือไม่แจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าและไม่ได้รับอนุญาต ยกเว้นมีเหตุฉุกเฉินที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวมหรือมีผลกระทบต่อผู้ให้เช่าหรือผู้เช่ารายอื่นเท่านั้น นอกจากนี้แม้ผู้เช่าจะไม่จ่ายค่าเช่าตามกำหนด ผู้ให้เช่าก็ไม่มีสิทธิปิดกั้นไม่ให้ผู้เช่าเข้าใช้และไม่สามารถบุกรุกเข้าไปเพื่อยึดทรัพย์สินหรือขนย้ายทรัพย์สินของผู้เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้_DDproperty_Checklist for renters

คนจำนวนไม่น้อยยังต้องการมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยตรง ทำให้ต้องชะลอแผนการใช้จ่ายที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนไว้ และเลือกเช่าที่อยู่อาศัยไปก่อน ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า คนเช่าบ้านมากกว่าครึ่ง (64%) ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ ผู้เช่าส่วนใหญ่มองว่ามาตรการขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ จากภาครัฐจะเข้ามามีบทบาทและเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้สามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น โดย 58% คาดหวังให้ภาครัฐมีมาตรการลดดอกเบี้ยให้ทั้งสินเชื่อบ้านใหม่และสินเชื่อเดิมที่มีอยู่ ตามมาด้วยการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก (53%) และลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินเชื่อบ้าน (48%) เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในช่วงนี้ และช่วยผลักดันให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) เข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น

โดยสรุปการอยู่ร่วมกันของผู้เช่าและผู้ให้เช่านั้นทั้งสองฝ่ายต้องทำความเข้าใจในข้อตกลงต่าง ๆ และบทบาทของตนอย่างถี่ถ้วน เมื่อเจอผู้ให้เช่าที่มีคุณสมบัติครบตามที่ต้องการ ผู้เช่าก็ต้องไม่ลืมที่จะปฏิบัติตนในฐานะผู้เช่าที่ดีเช่นกัน พร้อมทั้งรักษามารยาทในการอยู่ร่วมกันในชุมชน ไม่ก่อให้เกิดความรำคาญที่ละเมิดสิทธิผู้เช่ารายอื่นเช่นกัน ทั้งนี้เว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข้อมูลประกาศให้เช่า/ซื้อ (Listings for rent/sale) ในหลากหลายทำเลครอบคลุมทั่วประเทศ ช่วยให้ผู้บริโภคที่กำลังมองหาบ้าน/คอนโดฯ ให้เช่าสามารถค้นหาและติดต่อกับผู้ให้เช่าผ่านช่องทางออนไลน์ได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมาพร้อมแหล่งรวมข่าวสารและความรู้ด้านอสังหาฯ ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ในการซื้อ-ขาย-เช่า เพื่อให้ทุกคนสามารถเตรียมความพร้อมก่อนการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุด

Related post

การปรับปรุงประสิทธิภาพคลังสินค้าให้เหมาะสมในช่วงการแพร่ระบาด

infor

การปรับปรุงประสิทธิภาพคลังสินค้าให้เหมาะสมในช่วงการแพร่ระบาด

Infor_นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน ประจำภูมิภาคอาเชียน บริษัท อินฟอร์
บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน ประจำภูมิภาคอาเชียน บริษัท อินฟอร์

การแพร่ระบาดในขณะนี้ได้ผลักดันให้มีการเร่งนำเทคโนโลยีไปใช้งานในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก  จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าบางธุรกิจอาจไม่ทันได้เตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดโควิด-19 ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดูได้จากปริมาณอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มสูงขึ้น การลดจำนวนพนักงานให้เหลือน้อยที่สุดสำหรับการทำงานในบางพื้นที่ และการปิดธุรกิจเป็นระยะ ๆ  ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดจำหน่ายมืออาชีพผลิตภัณฑ์เพื่อการค้าและการอุตสาหกรรม หรืออุปกรณ์ความปลอดภัยและการแพทย์  ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้หมายความว่าจะต้องมีการปรับปรุงการดำเนินงานคลังสินค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด  แต่การปรับปรุงนี้แท้จริงแล้วหมายถึงอะไร

 

ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา

สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ผู้จัดจำหน่ายต้องคำนึงถึง คือ กิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในคลังสินค้าส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งความท้าทายในที่นี้ คือ เป้าหมายและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ได้ทำให้การดำเนินงานคลังสินค้าเกิดความท้าทายหลายอย่างขึ้นพร้อม ๆ กัน  ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การแพร่ระบาดทำให้เกิดความไม่แน่นอนด้านกำลังคน เนื่องจากสมาชิกในทีมต้องรับมือกับความเจ็บป่วย ต้องถูกกักตัว หรือต้องดูแลบุตรหลาน ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อทีมและทำให้เกิดความล่าช้าในการผลิต

อีกปัจจัยหนึ่ง คือ การเติบโตของอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้นมาก จนแซงหน้ายอดประมาณการสูงสุดที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ จากการที่ลูกค้าได้สร้างมาตรฐานประสบการณ์ด้าน omni-channel ไว้ค่อนข้างสูง  ในปี 2564 นี้ หากคุณไม่มีกลยุทธ์การตลาดแบบ omni-channel ที่ได้ผล คุณก็เสี่ยงต่อการสูญเสียธุรกิจจำนวนมาก ดังนั้นกุญแจสำคัญ คือ คุณจะต้องมีคลังสินค้าที่สามารถรองรับการขายแบบหลายช่องทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความท้าทายนี้นับว่าตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากระบบจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management Systems – WMS) จำนวนมากที่ภาคการผลิตใช้กันอยู่ขณะนี้ค่อนข้างเก่า และไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Infor_การปรับปรุงประสิทธิภาพคลังสินค้าให้เหมาะสมในช่วงการแพร่ระบาด

ความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อย คือ ความคิดที่ว่าการนำสินค้าออกจากคลังให้ตรงเวลาคือการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ถึงแม้เรื่องนี้จะสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจะเกี่ยวกับการเพิ่มคุณค่าให้กับปฏิบัติงานนั้น ๆ แม้จะไม่สามารถให้บริการแบบเห็นหน้ากันก็ตาม  อนึ่ง หากต้องการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีก ภาคการผลิตจำเป็นต้องมีรากฐานด้านดิจิทัลที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ความพยายามเหล่านี้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

การควบคุมต้นทุน

ในช่วงเวลาที่ธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ เราพบว่าผู้จัดจำหน่ายจำนวนมากได้ตั้งหลักเตรียมรับมือกับสถานการณ์ และพยายามลดค่าใช้จ่ายจากกระบวนการทำงานที่กระชับที่ดำเนินการอยู่แล้วลงอีก  ซึ่งหากเพิ่มการจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากขึ้นทั่วทั้งองค์กร ก็เท่ากับช่วยประหยัดเงินได้อย่างมหาศาล

ระบบจัดการคลังสินค้า WMS ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน ผ่านข้อมูลอัจฉริยะเชิงลึกด้านสินค้าคงคลัง ช่วยให้ผู้จัดจำหน่ายสินค้ามีความมั่นใจมากขึ้นว่าพวกเขาจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยไม่ต้องซื้อหรือสต็อกสินค้ามากเกินความจำเป็น  ดังนั้น การดำเนินงานด้านคลังสินค้าจึงเป็นวิธีควบคุมการจัดซื้อ และป้องกันสินค้าสูญหายหรือการนำสินค้าออกนอกคลังสินค้า อันเนื่องมาจากไม่มีการจัดการหรือการติดตามที่เหมาะสมอีกด้วย

 

ประสิทธิภาพของคลาวด์

ระบบที่ติดตั้งในองค์กร (on-premise) เคยเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระบบค้าส่ง แต่ไม่ได้ให้ความยืดหยุ่น และนวัตกรรมที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจปัจจุบันอีกต่อไป  จุดเด่นของคลาวด์ คือ การจัดการกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในคลังสินค้า  โดยคลาวด์สามารถคำนวณปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เพิ่มพลังการประมวลผลที่จำเป็นสำหรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นนั้นได้โดยอัตโนมัติ  ความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และการกู้คืนระบบที่ติดตั้งไว้ภายในทั้งหมดมีพร้อมอยู่ในระบบ แต่ทว่า ความสามารถในการจัดการกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตามต่างหาก ที่เพิ่มคุณค่าให้กับระบบคลาวด์อย่างแท้จริง

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าด้านนี้ คือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในปีที่ผ่านมา ลูกค้าที่ใช้โซลูชันระบบคลาวด์อยู่แล้ว มีเวลาในปรับตัวได้ง่ายขึ้น โดยสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นได้เท่าที่ต้องการ

Infor_การปรับปรุงประสิทธิภาพคลังสินค้าให้เหมาะสมในช่วงการแพร่ระบาด

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม

การเพิ่มประสิทธิภาพของอีคอมเมิร์ซนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการเพิ่มประสิทธิภาพบริการหยิบ-แพ็ค-ส่ง (pick-pack-ship) ซึ่งเป็นบริการช่วยจัดการออเดอร์เพื่อส่งให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ  เนื่องจากมีตัวแปรใหม่ ๆ ที่ต้องคำนึงถึง รวมถึงตัวแปรที่เกิดขึ้นหลังผลิตภัณฑ์ออกจากท่าเรือ ซึ่งผู้จัดจำหน่ายจำนวนมากไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือกับสินค้าตีคืนจำนวนมาก

ในฐานะผู้บริโภคในโลกอีคอมเมิร์ซ ลูกค้าอาจซื้อของบางอย่างไปสามขนาดหรือสามสีแตกต่างกันไป หลังจากนั้นก็คืนของกลับมาสองชิ้น  เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่คล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นกับตัวแทนขายส่งเช่นกัน  ดังนั้น ผู้จัดจำหน่ายจึงต้องมีระบบที่ช่วยให้การรับคืนสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น และนำของชิ้นนั้นกลับคืนสู่ชั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ผู้จัดจำหน่ายไม่เพียงแต่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจเท่านั้น แต่จะต้องออกแบบกลยุทธ์รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นด้วย