“เพย์ โซลูชั่น” จับมือ “ทรูมันนี่” ขยายฐานร้านค้า เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท หนุนธุรกิจรับ Cashless สู้โควิด

“เพย์ โซลูชั่น” จับมือ “ทรูมันนี่” ขยายฐานร้านค้า เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท หนุนธุรกิจรับ Cashless สู้โควิด

บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์แห่งแรกของเมืองไทย ร่วมกับ ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายฐานร้านค้าที่เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่นทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อสนับสนุนธุรกิจออนไลน์ในยุคสังคมไร้เงินสด และช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายและขยายกิจการให้เข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่รวมถึงผู้ใช้ทรูมันนี่มากกว่า 19 ล้านราย

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เผยว่า ‘โควิด-19’ เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายไปสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างรวดเร็ว พร้อมระบุในอีก 12 เดือนหลังจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยจะเพิ่มการใช้จ่ายออนไลน์อีกถึง 43% นับเป็นโอกาสท่ามกลางวิกฤติสำหรับผู้ประกอบการในการเร่งมองหาและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเสริมช่องทางการขายเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซ ซึ่งช่องทางการรับชำระเงินผ่านอีวอลเล็ทถือเป็นหัวใจสำคัญในการซื้อ-ขายสินค้าผ่านออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงการแพร่ระบาด

เพย์ โซลูชั่น_ทรูมันนี่

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า “การร่วมมือกับทรูมันนี่ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการพัฒนาบริการชำระเงินใหม่ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อพร้อมสร้างความได้เปรียบในการทำธุรกิจแก่ผู้ประกอบการและร้านค้า เนื่องจากการซื้อขายสินค้าและการชำระเงินของผู้บริโภควันนี้เปลี่ยนไปใช้จ่ายแบบอีเพย์เม้นต์มากขึ้น เราจึงเพิ่มช่องทางรับชำระผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อให้ร้านค้าสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่และคุ้นเคยกับการช้อปปิ้งแบบ Cashless ได้อย่างง่ายดาย เพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายใหม่ ๆ ผ่านช่องทางชำระเงินที่รวดเร็วในแบบที่ต้องการ”

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การจับมือกับ เพย์ โซลูชั่น จะช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจและร้านค้าเชื่อมต่อธุรกิจกับแพลตฟอร์มอีเพย์เม้นต์ของทรูมันนี่ที่มอบทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ร้านค้าจึงสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงผู้ใช้มากกว่า 19 ล้านรายของเรา อีกทั้งเพิ่มศักยภาพธุรกิจและโอกาสปิดการขายได้รวดเร็ว”

4 ขั้นตอนการ “ชำระเงิน” ด้วยแอปฯ TrueMoney Wallet กับ เพย์ โซลูชั่น

ทรูมันนี่_ทรูมันนี่ วอลเล็ท

พลิกโฉม 360 องศาประสบการณ์ความตื่นเต้นเร้าใจของการดูกีฬาไปกับเทคโนโลยี 5G

Ericsson_อีริคสัน

พลิกโฉม 360 องศาประสบการณ์ความตื่นเต้นเร้าใจของการดูกีฬาไปกับเทคโนโลยี 5G

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวนับว่าเป็นมหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติที่ค่อนข้างแปลกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ช่างเป็นการแข่งขันกีฬาที่เงียบเหงา เพราะคณะผู้จัดงานไม่ได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าร่วมชมเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ซึ่งน่าจะอยู่กับพวกเราไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง

เทคโนโลยี 5G จะนำความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลมายังทุกภาคส่วนในสังคม รวมทั้งวงการกีฬา เพราะเทคโนโลยี 5G สามารถรองรับการใช้งาน Digital Application, Video on Demand และ Immersive User Experience (ประสบการณ์การรับชมที่เสมือนจริงและล้ำลึก) เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกของการดูกีฬาที่ใกล้ชิด พร้อมพรั่งด้วยข้อมูลเชิงลึกเพียงปลายนิ้วสัมผัส และ Interactive สุด ๆ ไม่ว่าแฟนกีฬาเหล่านั้นจะเข้าชมที่สนามหรือดูจากที่บ้าน

มีการคาดการณ์ว่าผู้บริโภคไม่น้อยกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกจะปรับเปลี่ยนเข้าใช้งานเทคโนโลยี 5G ภายในปี 2564 นี้ โดยในรายงาน ConsumerLab ที่จัดทำขี้นโดยบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีสื่อสารอย่างอีริคสันได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคว่า ผู้ใช้งานเทคโนโลยี 5G จะใช้เวลาเพิ่มเติมอีก 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการรับชมวิดีโอความคมชัดระดับ HD ผ่านมือถือ และอีก 1 ชั่วโมงเพิ่มขึ้นเพื่อใช้งานเทคโนโลยีความจริงเสมือน (AR-Augmented Reality) เมื่อเทียบกับยุค 4G

ด้วยเทคโนโลยี 5G ที่นั่งที่ดีที่สุดในการดูกีฬาอยู่ในบ้านของคุณนั่นเอง อีริคสันเผยแพร่ผ่าน 5G in Sports Blog ว่า สิ่งที่ 5G จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่การจัดงานอีเว้นต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการแข่งขันกีฬา และจะเป็นช่องทางการหารายได้ใหม่ ๆ ของค่ายมือถือนั่นคือ 5G จะเสริมประสบการณ์การดูกีฬาของผู้บริโภคทั้งจากสนามแข่งขันที่ผู้ชมจะสามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันและนักกีฬาแบบเรียลไทม์ และนำผู้ชมทางบ้านเข้าใกล้แบบเกาะสนามแข่งขัน อีกทั้งยังสามารถบูรณาการประสบการณ์การรับชมแบบองค์รวมทั้งก่อนและหลังการแข่งขัน

ชาติที่ตื่นตัวที่สุดในการนำเอาเทคโนโลยี 5G มาเสริมประสบการณ์การชมกีฬาคือ การ์ต้า เจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 2022 Ooredoo ผู้นำค่ายมือถือในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจับมือกับอีริคสัน เพื่อนำเอาขีดความสามารถของเทคโนโลยี 5G มาเพื่อสร้างให้ฟุตบอลโลกที่จะจัดขึ้นมีความยิ่งใหญ่ที่สุด โดยการ์ต้าไม่เพียงแต่การทุ่มเงินมหาศาลถึงกว่าสองแสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในการสร้างสนามแข่งขันใหม่ถึง 8 สนาม Ooredoo ยังได้เตรียมความพร้อมด้านการถ่ายทอดการแข่งขัน โดยได้พัฒนาเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมสนามหลัก ๆ เช่น สนาม Al Wakrah สนาม Al Janoub รวมทั้งสนามกีฬาเสมือนจริงในศูนย์การค้าชั้นนำอย่าง Mall of Qatar

การ์ต้าเอาจริงเอาจังมากกับการเตรียมความพร้อม ด้วยการทดลองระบบกับการแข่งขันฟุตบอลลีกในประเทศอย่าง Amir Cup 2021 ซึ่งผู้ชมในสนามจริงและแบบเสมือนจริงสามารถรับชมการแข่งขันได้อย่างใกล้ชิดและมีอารมณ์ร่วมไปกับการแข่งขัน (Immersive Experience) ด้วยเทคโนโลยี 5G ที่พีคสุดของการดูกีฬาแบบเสมือนจริงของการ์ต้าคือผู้ชมสามารถเลือกจุดการรับชมได้อย่างอิสระและไม่จำกัดระหว่างการชมการแข่งขัน กล่าวคือสามารถเป็นผู้กำกับภาพได้ด้วยตัวเอง

อีกความน่าสนใจของการนำเอาเทคโนโลยี 5G มาใช้เพื่อชมการแข่งขันกีฬาในแบบ Immersive การแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกาในปี 2020 ของเยอรมันนี ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือของ Vodafone, Sky Sport Channel และอีริคสัน ในการร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่ของผู้ชมในสนาม Merkul Spiel ในเมือง Düsseldorf แน่นอนว่าสิ่งที่เพิ่มเติมสำหรับผู้ชมในสนามคือ เสียงบรรยายและการวิเคราะห์การแข่งขัน ที่ให้ผู้ชมในสนามสามารถเลือกที่จะฟังได้

ยิ่งไปกว่านั้น AR Technology ยังสามารถช่วยให้ผู้ชมในสนามเข้าถึงข้อมูลการแข่งขันและนักกีฬาได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นสถิติการครองบอล ความเร็วในการวิ่งและข้อมูลรอบด้านของนักฟุตบอล การชมวิดีโอย้อนหลังทั้งแบบปกติและ Slow Motion เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของผลการตัดสิน และเลือกฟังเสียงการสนทนาในสนามระหว่างผู้เล่น กรรมการ และผู้จัดการทีม ซึ่งเติมเต็มประสบการณ์การชม ณ สนามแข่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เทคโนโลยี 5G จะนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจมาสู่ค่ายมือถือ ผู้จัดการแข่งขันกีฬา ผู้พัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นต่าง ๆ ที่จะมาสนับสนุนการสร้าง Immersive Experience ให้กับผู้ชม มีประมาณการว่าผู้ชมกีฬากว่า 160 ล้านคนต่อเดือนในสหรัฐอเมริกาจะใช้งาน 5G for Immersive Experience ในปี 2567  โดย 1 ใน 4 จะเป็นการใช้งาน AR rendering service ทั้งจากในสนามแข่งขันและจากทางบ้าน และจะก่อให้เกิดรายได้ใหม่จาก 5G for immersive experience กว่า 4 พันล้านเหรียญต่อปี

อีริคสัน คาดว่ายอดผู้ใช้งาน 5G ทั่วโลกจะพุ่งขึ้นเกินกว่า 580 ล้านรายภายในสิ้นปี 2564 โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 ล้านรายต่อวัน จากรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับที่ 20 ตอกย้ำให้เห็นว่า 5G จะกลายเป็นเจนเนอเรชั่นเครือข่ายไร้สายที่มีการใช้เร็วที่สุด โดยภายในสิ้นปี 2569 จะมีผู้ใช้ 5G แตะระดับ 3.5 พันล้านราย และจะครอบคลุมถึง 60% ของประชากร 5G ทั้งหมด

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 1.1 พันล้านราย ในขณะที่ยอดผู้ใช้งาน 5G ยังต่ำกว่าระดับ 2 ล้านราย อย่างไรก็ตามคาดว่าการสมัครใช้ 5G จะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยจะมียอดรวมพุ่งขึ้นถึง 400 ล้านราย ภายในปี 2569

คาดการณ์ว่าปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตต่อสมาร์ทโฟนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะมีอัตราการเติบโตรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับทั่วโลกโดยจะแตะ 39 กิกะไบท์ (GB) ต่อเดือน ภายในปี 2569 – โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 36% ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ เฉลี่ยเติบโตต่อปีที่ 42% เพิ่มขึ้นถึง 39 เอกซะไบต์ (EB) ต่อเดือน อันเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผู้สมัครใช้ 4G และการเปลี่ยนมาใช้เครือข่าย 5G ในประเทศที่มีการเปิดตัว 5G แล้ว

เร้ดแฮท เปิดตัวบริการใหม่ Managed Cloud Services ขับเคลื่อนคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรมด้าน Cloud-Native Application

Red Hat

เร้ดแฮท เปิดตัวบริการใหม่ Managed Cloud Services ขับเคลื่อนคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรมด้าน Cloud-Native Application

บริการคลาวด์ที่โฮสต์และมีการบริหารจัดการให้ด้วยอย่างเต็มรูปแบบชุดใหม่นี้ช่วยเพิ่มทางเลือกในการใช้โอเพ่นไฮบริดคลาวด์คอมพิวติ้งให้กับลูกค้า
ลดความซับซ้อน และทำให้การลงทุนด้านไอทีเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

กรุงเทพฯ – 10 สิงหาคม 2564 – เร้ดแฮท อิงค์ ผู้นำด้านโซลูชั่นโอเพ่นซอร์สระดับโลกประกาศขยายผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ ด้วยการให้บริการคลาวด์ที่มาพร้อมการบริหารจัดการ(managed cloud services) สามบริการคือ Red Hat OpenShift API Management, Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka และ Red Hat OpenShift Data Science ซึ่งบริการทั้งสามนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้บริการอย่างครบวงจร และให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การทำงานที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง การติดตั้งการบริหารจัดการ และปรับขยายการใช้คลาวด์-เนทีฟแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด บริการเหล่านี้ได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ Red Hat OpenShift Dedicated และช่วยลดความยุ่งยากของสภาพแวดล้อมไอทียุคใหม่ที่มีความซับซ้อนมากได้โดยที่ประสิทธิภาพการทำงานของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่ลดทอนตามไปด้วย ทั้งยังมอบชุดของความสามารถต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกันได้ทั้งบนไฮบริดคลาวด์และมัลติคลาวด์ที่หลากหลาย

ปี 2563 เป็นปีที่เน้นย้ำให้ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (CIO) และผู้นำด้านไอทีได้เห็นถึงความสำคัญของการนำไฮบริดคลาวด์มาใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับความต้องการบริการที่ขยายตัวมากขึ้น ในขณะที่ยังคงต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมที่มีอยู่ เพื่อจัดการความความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนี้ ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างต้องการความยืดหยุ่นในการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้บริการหรือใช้แอปพลิเคชั่นใด ๆ ก็ได้จากทุกที่ โดยไม่ซับซ้อนและไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม บริการคลาวด์พื้นฐานเหล่านี้จะเข้ามาเปลี่ยนบทบาทความรับผิดชอบในการดำเนินงานและสนับสนุนโดยเร้ดแฮท ทั้งยังช่วยให้ลูกค้าสร้างแอปพลิเคชั่นใหม่ ๆ โดยเน้นไปที่การกระจายข้อมูลและการทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นผ่าน API บริการใหม่เหล่านี้ได้แก่

Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka
Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka สร้างขึ้นจากโครงการโอเพ่นซอร์สที่ชื่อว่า Apache Kafka ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถรวบรวมการสตรีมข้อมูลมาไว้ในแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ของตนได้ง่ายขึ้น ในการออกแบบแอปพลิเคชั่นไฮบริดคลาวดต่าง ๆ นั้นการสตรีมข้อมูลเป็นหลักสำคัญในการตรวจจับ การสื่อสาร และประมวลผลเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้กับสถาปัตยกรรมแบบดิสทริบิวเต็ดแอปพลิเคชั่นข้อมูลแบบเรียลไทม์เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำงานของแอปพลิเคชั่นไฮบริดคลาวด์ และช่วยมอบประสบการณ์ดิจิทัลไปยังทุกแห่งที่ให้บริการได้ทันทีด้วยการให้บริการอย่างครบวงจร ของ Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka นี้ จะช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชั่นที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องกังวลกับข้อกำหนดพื้นฐานในการเก็บรวบรวมและการประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ

Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka มีพร้อมใช้ในรูปแบบพรีวิวสำหรับนักพัฒนาแล้ว และคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานได้ทั่วไปปลายปีนี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka ได้ที่นี่

Red Hat OpenShift Data Science
Red Hat OpenShift Data Science สร้างขึ้นจากโครงการโอเพ่นซอร์สที่ชื่อว่า Open Data Hub บริการนี้ช่วยให้การพัฒนา สร้างการเรียนรู้ และการทดสอบโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่งทำได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องกังวลกับโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง Red Hat OpenShift Data Science ใช้เครื่องมือด้านการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล (data science) ที่เป็นมาตรฐานทั่วไปเป็นพื้นฐานให้กับแพลตฟอร์ม AI-as-a-Service และทำงานร่วมกับพันธมิตรผู้ให้บริการคลาวด์ที่เลือกสรรแล้ว รวมถึงโซลูชั่น ISV ต่าง ๆ จาก Red Hat Marketplace

Red Hat OpenShift Data Science ที่พร้อมใช้งานนี้เป็นรุ่นเบต้า โดยเป็นส่วนเสริมของ OpenShift Dedicated และ Red Hat OpenShift Service on AWS ทั้งนี้คาดว่าจะพร้อมให้ใช้งานได้ทั่วไปปลายปีนี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Hat OpenShift Data Science ได้ที่นี่

Red Hat OpenShift API Management
Red Hat OpenShift API Management ให้บริการการบริหารจัดการ API (application programming interface) เต็มรูปแบบให้กับ Red Hat OpenShift Dedicated และ Red Hat OpenShift Service on AWS ด้วยการประสานการบริหารจัดการกับ technology ของ OpenShift จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และการพัฒนาด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง การจัดการ และการปรับขยายแอปพลิเคชั่นที่เป็น API-first, microservices-based ได้มากกว่าการที่จะต้องติดอยู่กับเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน

Red Hat OpenShift API Management ยังช่วยให้ลูกค้าสร้างโปรแกรมบริหารจัดการ API ได้ด้วยตัวเอง ด้วยความสามารถในการควบคุม การเข้าถึง ติดตามตรวจสอบการใช้งาน แชร์ APIs ทั่วไป และพัฒนาแลนด์สเคปแอปพลิเคชั่นทั้งหมดของตนเองได้ผ่าน DevOps

Red Hat OpenShift API Management พร้อมใช้เต็มรูปแบบแล้ว โดยเป็นส่วนเสริมของ Red Hat OpenShift Dedicated และบน Red Hat OpenShift Service on AWS เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Hat OpenShift API Management ได้ที่นี่

Red Hat OpenShift: การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่มาพร้อมการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นสำหรับโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ บริการจัดการคลาวด์บริการใหม่ ๆ ที่กล่าวมานี้ สร้างบนพอร์ตโฟลิโอของ Red Hat OpenShift ซึ่งให้บริการ Kubernetes ที่มีการบริหารจัดการแบบครบวงจรและจัดการได้ด้วยตัวเองกับพับลิคคลาวด์ชั้นนำต่าง ๆ บริการใหม่เหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรของเร้ดแฮทสามารถจัดทำกลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ที่ทำงานบนแพลตฟอร์มเอ็นเตอร์ไพรส์ Kubernetes ชั้นนำของอุตสาหกรรมได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ภายในองค์กรหรือจะต้องมีบุคลากรที่คอยปฏิบัติงาน

การประกาศครั้งนี้ยังเป็นการเปิดให้พันธมิตรของเร้ดแฮทผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (independent software vendors: ISVs) และผู้ให้บริการรวมระบบ (systems integrators: SIs) ได้นำเสนอบริการใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าของเขา ลูกค้าสามารถใช้บริการเหล่านี้ร่วมกับข้อเสนออื่น ๆ ของพันธมิตรด้านเทคโนโลยีรวมถึงโซลูชั่นที่มีอยู่บน Red Hat Marketplace ที่ได้รับการทดสอบเรียบร้อยแล้วได้รับการรับรอง และรองรับการใช้งานบน Red Hat OpenShift

คำกล่าวสนับสนุน

"เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้นำด้านไอทีต้องสามารถใช้เทคโนโลยีที่พวกเขาต้องการ
และเห็นว่าเหมาะสมกับองค์กรของตน บริการคลาวด์ที่มาพร้อมการบริหารจัดการของเร้ดแฮท ช่วยขจัดอุปสรรคจำนวนมากได้
อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรนำประสิทธิภาพของไฮบริดคลาวด์มาใช้ได้อย่างเต็มที่ เราเชื่อว่าการขจัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์-สเกลที่เคยเกิดขึ้นออกไป จะกระตุ้นให้เกิดการเริ่มต้น
และทำให้ความเป็นไปไม่ได้จากการที่ถูกขวางกั้นโดยอุปสรรคเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้"
แมตท์ ฮิกซ์
รองประธานบริหาร, ฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี, เร้ดแฮท
“ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ ต้องการเพิ่มความเร็วในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นของตน องค์กรหลายแห่งกำลังมองหาวิธีการลดภาระงาน
ของทีมพัฒนาด้วยการนำบริการคลาวด์ที่มีการบริหารจัดการให้ด้วยมาใช้ ซึ่งช่วยให้สามารถมุ่งความสำคัญไปที่การมองมูลค่าทางธุรกิจ
มากกว่าการใช้ทรัพยากรที่มีค่าไปกับการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เร้ดแฮท มุ่งมั่นเพิ่มศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีให้กับลูกค้า
ด้วย Red Hat OpenShift และชุดของบริการที่บูรณาการเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งสามารถใช้งานได้กับมัลติเพิลคลาวด์ทุกระบบ”
สตีเฟ่น โอแกรดี
หัวหน้านักวิเคราะห์, RedMonk

Red Hat และ Nutanix ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ในการให้บริการโซลูชัน Open Hybrid Multicloud

Red Hat และ Nutanix ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ในการให้บริการโซลูชัน Open Hybrid Multicloud

    • Red Hat OpenShift คือทางเลือกที่แนะนำสำหรับการใช้โซลูชัน Kubernetes อย่างเต็มรูปแบบขององค์กรบน Nutanix Cloud Platform ที่มาพร้อมอะโครโพลิสไฮเปอร์ไวเซอร์ (AHV)
    • ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้ลูกค้าสร้าง ปรับขยาย และบริหารจัดการแอปพลิเคชัน เช่น คอนเทนเนอร์ไลซ์และเวอร์ชวลไลซ์คลาวด์-เนทีฟ ได้ง่ายขึ้น

Red Hat (เร้ดแฮท) ผู้ให้บริการโซลูชันเอ็นเตอร์ไพรส์โอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก และ Nutanix (นูทานิคซ์) (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริด-มัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เปิดใช้งานโซลูชันสมรรถนะสูงสำหรับการสร้าง ปรับขยาย และจัดการคลาวด์-เนทีฟ แอปพลิเคชันที่ติดตั้งใช้งานอยู่ในระบบภายในองค์กรและบนไฮบริดคลาวด์ ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการนำเทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรมมาทำงานร่วมกัน ด้วยการนำ Red Hat OpenShift และ Red Hat Enterprise Linux เพื่อติดตั้ง ทำงานเป็นมาตรฐานเดียวกัน และบริหารจัดการด้วย Nutanix Cloud Platform ซึ่งมาพร้อมระบบปฏิบัติการอะโครโพลิส (AOS) และอะโครโพลิสไฮเปอร์ไวเซอร์ (AHV) 

องค์ประกอบหลักของความร่วมมือในครั้งนี้ประกอบด้วย

    • Red Hat OpenShift คือทางเลือกที่แนะนำสำหรับการใช้ Kubernetes อย่างเต็มรูปแบบขององค์กรบน Nutanix Cloud Platform: ลูกค้าที่มองหาการนำ Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat OpenShift ไปใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) จะสามารถใช้แพลตฟอร์มคลาวด์ประสิทธิภาพชั้นนำจาก Nutanix ซึ่งมีระบบปฏิบัติการอะโครโพลิส (AOS) และอะโครโพลิสไฮเปอร์ไวเซอร์ (AHV) ที่ติดตั้งมาพร้อมสรรพ 
    • Nutanix Cloud Platform เป็นทางเลือกที่แนะนำในการใช้งาน Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat OpenShift บน HCI ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าใช้เวอร์ชวลไลซ์และ
      คอนเทนเนอร์ไลซ์เวิร์กโหลดบนโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จได้ โดยลูกค้าจะได้ประโยชน์จากทั้งเทคโนโลยีโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ของ Red Hat และไฮเปอร์คอนเวิร์จของ Nutanix
    • Nutanix AHV เป็นไฮเปอร์ไวเซอร์ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก Red Hat และให้การสนับสนุนการใช้ Red Hat Enterprise Linux และ OpenShift บน Nutanix Cloud Platform อย่างเต็มรูปแบบ การที่ Red Hat ให้การรับรอง AHV ของ Nutanix ให้ใช้งานกับ Red Hat Enterprise Linux และ OpenShift ในครั้งนี้ ช่วยให้ลูกค้าองค์กรได้รับโซลูชันครบวงจรที่ใช้งานกับแอปพลิเคชันคอนเทนเนอร์ไลซ์และเวอร์ชวลไลซ์คลาวด์-เนทีฟ ได้อย่างไม่ยุ่งยาก และเป็นการมอบทางเลือกในการใช้ไฮเปอร์ไวเซอร์ให้กับลูกค้าของ Red Hat โดยเฉพาะกับองค์กรจำนวนมากที่มองหาเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชันที่ทันสมัยใหม่ต่าง ๆ 
    • โรดแมปด้านวิศวกรรมที่บริษัทสองแห่งทำร่วมกันทำให้เกิดการผสานประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง Red Hat และ Nutanix จะให้ความสำคัญและเน้นเรื่องการทดสอบการใช้ Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat OpenShift กับ Nutanix AHV อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบความสามารถในการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้บริษัททั้งสองแห่งจะร่วมมือกันให้บริการสนับสนุนหลังการขายที่ทันท่วงทีมากขึ้นด้วยการจัดโรดแมปผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำงานร่วมกันได้มากขึ้น
    • ความเชี่ยวชาญด้านการสนับสนุนหลังการขายที่สอดคล้องกันมากขึ้น ช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าของทั้งสองบริษัทได้เร็วขึ้น ลูกค้าสามารถติดต่อบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็ได้เมื่อต้องการความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาต่าง ๆ บริษัททั้งสองแห่งจะร่วมมือกันเพื่อมอบความช่วยเหลือที่ดีที่สุดที่มีอยู่ให้กับลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองการทำงานร่วมกัน

Nutanix Cloud Platform เป็นสถาปัตยกรรมแบบกระจาย (distributed architecture) จึงให้บริการสภาพแวดล้อมไอทีที่มีความสามารถในการสเกลและมีความยืดหยุ่นสูง และเหมาะสมมากที่จะใช้กับ Red Hat OpenShift ได้ตามขนาดการใช้งานที่องค์กรต้องการ แพลตฟอร์มนี้ยังประกอบด้วยสตอเรจที่ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งช่วยแก้ความท้าทายที่ยากมากหลายประการในการคอนฟิกและบริหารจัดการสตอเรจสำหรับ stateful containers ที่ผู้ปฏิบัติงานต้องเผชิญอยู่เป็นประจำ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรครั้งนี้ได้ที่นี่

 

คำกล่าวสนับสนุน

"ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการนำโซลูชันคลาวด์-เนทีฟระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรมของ Red Hat มาทำงานร่วมกับ Nutanix Cloud Platform ที่มีความเรียบง่าย คล่องตัว และยืดหยุ่น ทำให้โซลูชันของเราสามารถให้บริการแพลตฟอร์มครบวงจรให้กับลูกค้าที่สามารถสร้าง ปรับขยาย และบริหารจัดการแอปพลิเคชันแบบคอนเทนเนอร์ไลซ์และเวอร์ชวลไลซ์คลาวด์-เนทีฟ ที่อยู่บนสภาพแวดล้อมไฮบริด มัลติคลาวด์ ได้อย่างเต็มรูปแบบ"
นายราจีฟ รามาสวามี
ประธานและซีอีโอ, Nutanix
"องค์กรทั่วโลกกำลังใช้คลาวด์-เนทีฟ เวิร์กโหลดที่ทันสมัยร่วมกันอย่างหลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ การเป็นพันธมิตรกันของ Red Hat และ Nutanix ครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลงในการให้การสนับสนุนหลังการขายร่วมกันของทั้งสองบริษัท ช่วยให้สามารถนำเวอร์ชวลไลซ์แอปพลิเคชัน และคอนเทนเนอร์ไลซ์เวิร์กโหลดต่าง ๆ ที่อยู่บน OpenShift มาทำงานร่วมกันกับ Cloud Platform ของ Nutanix ในแนวทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร และช่วยขับเคลื่อนให้เกิดความเรียบง่าย คล่องตัว ปรับขยายขนาดการทำงานได้ตามต้องการ ในโลกของไฮบริด-คลาวด์ที่ซับซ้อนในปัจจุบัน"
นายอีริค เชพพาร์ด
รองประธานฝ่ายวิจัย, IDC
"Red Hat มีวิสัยทัศน์ในการผลักดันให้ไฮบริดคลาวด์เป็นตัวเลือกและความคล่องตัวให้แก่ลูกค้า การร่วมเป็นพันธมิตรกับ Nutanix เป็นการนำเทคโนโลยีไฮเปอร์คอนเวิร์จมาใช้กับโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ ซึ่งขับเคลื่อนให้เกิดทางเลือกที่ยิ่งใหญ่ในการใช้คอนเทนเนอร์ไลซ์เวิร์กโหลดให้กับลูกค้าของทั้งสองบริษัท ทั้งยังได้รับการสนับสนุนหลังการขายจากทั้งสองบริษัท"
นายพอล คอร์เมียร์
ประธานและซีอีโอ, Red Hat
"เราตื่นเต้นที่ได้เห็นพันธมิตรทางเทคโนโลยีของเราทั้งสองแห่ง ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้ เราเชื่อว่าความร่วมมือนี้จะปลดล็อกทางเลือกในการโฮสต์และการใช้งาน VM และคอนเทนเนอร์เวิร์กโหลดท่ามกลางความซับซ้อนของไฮบริดคลาวด์ที่เราต้องบริหารจัดการ นอกจากนี้ทางเลือกใหม่ ๆ เหล่านี้จะสนับสนุนให้เป้าหมายต่าง ๆ ของเราสำเร็จเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพและไม่ติดขัดในเวลาที่เรามอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าของเรา"
นายริทช์ ฮาวเดค
รองประธานอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยี, Kohl’s
"อุตสาหกรรมประกันภัยอยู่ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า เราให้การปกป้องชีวิตลูกค้า 39 ล้านรายทั่วโลกด้วยผลิตภัณฑ์และบริการของเรา เราทำงานเพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยเพื่อรองรับการมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ราบรื่นให้กับลูกค้าและพนักงานของบริษัท Nutanix และ Red Hat ช่วยทำให้การใช้เทคโนโลยีของเราง่ายขึ้นและช่วยให้เราเปลี่ยนไปใช้คลาวด์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ"
นายเกาตัม รอย
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี, Unum

ทรูมันนี่ เปิดแคมเปญ #เติมใจ ร่วมเติม ”พลังใจ” และ ”พลังกาย” ให้กันในยามวิกฤติ

ทรูมันนี่_เติมใจ

ทรูมันนี่ เปิดแคมเปญ #เติมใจ ร่วมเติม ”พลังใจ” และ ”พลังกาย” ให้กันในยามวิกฤติ

ทรูมันนี่ ชวนผู้ใช้ “เติมพลังใจ” ให้กันด้วยการส่งข้อความให้กำลังใจผ่านแอปฯ พร้อมร่วม “เติมพลังกาย” โดยกดรับสิทธิพิเศษ เพื่อรับสินค้าเครื่องดื่มและขนม ผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ ซึ่งรับชำระด้วย TrueMoney Wallet ที่ร่วมรายการ พร้อมรับเงินคืน 100%* สูงสุด 40 บาท

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดแคมเปญ #เติมใจ ชวนผู้ใช้ร่วมส่งกำลังใจผ่านการสร้างสรรค์ข้อความในภาพผ่านแอปฯ และแชร์เพื่อ “เติมพลังใจ” ให้กันในยามวิกฤติ พร้อมขอเชิญร่วม “เติมพลังกาย” โดยกดรับสิทธิพิเศษ เพื่อรับสินค้าเครื่องดื่มและขนมผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติซึ่งรับชำระด้วย TrueMoney Wallet ที่ร่วมรายการ พร้อมรับเงินคืน 100%* สูงสุด 40 บาท โดยก่อนหน้านี้ ทรูมันนี่ ได้สานกิจกรรม “เติมน้ำใจ” โดยบริจาคเงิน 1 ล้านบาท เพื่อสมทบทุนซื้อเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์กับมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทยในโครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน” ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ #เติมใจ เช่นกัน

ทั้งนี้ แคมเปญ #เติมใจ ประกอบไปด้วย 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่

    • เติมพลังใจ” : เชิญชวนผู้ใช้ส่งกำลังใจดี ๆ ให้กันโดยใส่ข้อความในภาพเพื่อทำเป็นอีการ์ดแชร์ต่อให้เพื่อน ๆ ครอบครัว หรือคนรักผ่านฟีเจอร์พิเศษในแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท ด้วยทรูมันนี่เชื่อว่าเวลานี้ “กำลังใจ” คือสิ่งสำคัญที่ช่วยเติมพลังบวกให้ทุกคนยืนหยัดต่อสู้กับวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน
    • “เติมพลังกาย” : ทรูมันนี่ จับมือ 6 พันธมิตรผู้ผลิตและจำหน่ายตู้ขายสินค้าอัตโนมัติซึ่งรับชำระด้วยทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่ร่วมรายการได้แก่ Bluemart, Sun Vending, Vending Plus, True Vending Machine, CP Retailink และ CP Ram รวมกว่า 10,000 ตู้ทั่วประเทศ ชวนผู้ใช้เติมพลังกายด้วยการกดรับสิทธิ์เพื่อไปรับสินค้าเครื่องดื่มและขนมจากตู้ และรับเงินคืน 100%* สูงสุด 40 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม ศกนี้ (หรือจนกว่าสิทธิ์จะเต็ม)
    • เติมน้ำใจ” : ทรูมันนี่ รวบรวมรายชื่อมูลนิธิและโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยโควิด-19 รวมทั้งเปิดช่องทางบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือมูลนิธิและโครงการเหล่านี้ผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท อาทิ การระดมทุนจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์และอุปกรณ์การแพทย์เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในการใช้ต่อลมหายใจผู้ป่วย ภายใต้โครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน” โดยมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ซึ่งได้ส่งมอบเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดไปแล้วบางส่วน โดยทรูมันนี่ยังเปิดรับบริจาคเพื่อซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมเนื่องจากยังคงมีโรงพยาบาลที่ขาดแคลน ทั้งนี้ ผู้มีจิตศรัทธาสามารถเข้าไปในแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อดูรายชื่อมูลนิธิและโครงการต่าง ๆ ที่สนใจเพื่อร่วมบริจาคได้

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1240 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.truemoney.com/termjai/

*หมายเหตุ:  

    • สิทธิมีจำนวนจำกัด
    • 1 บัตรประชาชน (เจ้าของบัญชีที่ได้รับการยืนยันตัวตน) ต่อ 1 สิทธิ์
    • ข้อกำหนดและเงื่อนไขการรับสิทธิ์เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ดูเพิ่มเติมได้ทาง https://www.truemoney.com/vending-termjai-terms-condition/
แคมเปญเติมใจ