ทรูมันนี่ จับมือ ลาซาด้า ผนึกกำลังพันธมิตรระดับกลยุทธ์ ชู TrueMoney Wallet เป็นอีวอลเล็ทหลักบนแอป Lazada

TMN x Lazada

ทรูมันนี่ จับมือ ลาซาด้า ผนึกกำลังพันธมิตรระดับกลยุทธ์ ชู TrueMoney Wallet เป็นอีวอลเล็ทหลักบนแอป Lazada

เตรียมผสานฟีเจอร์ “Smart Pay” และบริการทางการเงินอื่น ๆ เพื่อมอบอิสระการช็อปให้ลูกค้าเลือกชำระเงินผ่านหลากรูปแบบที่ต้องการผ่านแพลตฟอร์ม ทรูมันนี่ วอลเล็ทพร้อมมอบส่วนลด + โค้ดส่งฟรี! มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท ต้อนรับเทศกาล 11.11 นี้

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศจับมือ ลาซาด้า ผู้นำอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพันธมิตรระดับกลยุทธ์ (Strategic Partner) พร้อมชู TrueMoney Wallet เป็นอีวอลเล็ทหลักบนแอปพลิเคชันลาซาด้าและเตรียมผสานฟีเจอร์บริการทางการเงิน รวมถึงแคมเปญและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อีกมากมาย

นางสาวจิตติมา จันทรมโรภาส ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจออนไลน์เพย์เม้นต์และดิจิทัลเพย์เมนท์ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “การสานต่อความร่วมมือระหว่างทรูมันนี่ และ ลาซาด้า ไปสู่พันธมิตรระดับกลยุทธ์ในครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทฯ ในการผสานความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มอีวอลเล็ทและอีคอมเมิร์ซเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ ด้วยช่องทางชำระเงินที่หลากหลายสะดวกสบาย และปลอดภัย จากนี้ เราพร้อมเดินหน้าพัฒนาบริการทางการเงินใหม่ๆ ร่วมกันเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งรวมถึงการสร้างแคมเปญการตลาดที่มอบความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง”

คุณธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “จากการขยายตัวและเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้ทำให้อีเพย์เมนต์เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการพัฒนาแพลตฟอร์ม รวมไปถึงช่วยยกระดับประสบการณ์ช็อปและยังเพิ่มความสะดวกให้แก่ทั้งลูกค้าและผู้ขายอีกด้วย จากความสำเร็จในการเปิดมินิแอปพลิเคชันลาซาด้า ใน TrueMoney Wallet เมื่อปีที่ผ่านมา ลาซาด้าจึงเล็งเห็นโอกาสในการต่อยอดความร่วมมือกับ ทรูมันนี่ ในการก้าวเป็นพันธมิตรระดับกลยุทธ์ และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้นักช็อปสามารถเลือกช่องทางจับจ่ายแบบออนไลน์ที่หลากหลายและตรงตามความต้องการมากที่สุด ผ่านนวัตกรรมทางการเงินของ TrueMoney Wallet ที่ผสานอยู่ในแพลตฟอร์มของลาซาด้า”

โดยภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ ทรูมันนี่ และ ลาซาด้า จะร่วมกันผลักดันนวัตกรรมการชำระเงินที่อำนวยความสะดวกและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่แบบนิวนอร์มัล ผ่านฟีเจอร์บริการทางการเงินต่างๆ ของ TrueMoney Wallet บนแอปลาซาด้า ที่พัฒนาร่วมกัน อาทิ ‘Smart Pay’ ฟีเจอร์ที่จะเข้ามาเพิ่มทางเลือกในการชำระเงินออนไลน์ให้แก่ลูกค้าและช่วยให้สามารถตั้งค่าจัดเรียงลำดับการชำระเงินอัตโนมัติได้ตามที่ต้องการ ซึ่งรวมถึงการเลือกชำระผ่านบัญชีธนาคาร เพื่อใช้จ่ายกับร้านค้าชั้นนำมากมายบนแพลตฟอร์ม โดยไม่ต้องเสียเวลาเติมเงิน ซึ่งจากการสำรวจของทรูมันนี่ พบว่าการเพิ่มช่องทางการชำระเงินได้อย่างอิสระ จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าที่ต้องการได้ง่ายขึ้น สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนบนแพลตฟอร์ม และสร้างโอกาสในการปิดการขายให้กับร้านค้า นอกจากนี้ ยังมีบริการทางการเงินอื่น ๆ อีกมากมายที่จะตามมาในอนาคต

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก We Are Social ระบุคนไทยช็อปออนไลน์สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก (83.6%) มากกว่าค่าเฉลี่ยของโลก (76.8%) และช็อปผ่านมือถือสูงติดอันดับ 2 ของโลก (74.2%) สอดคล้องกับผลสำรวจของ ETDA ที่คาดการณ์ว่าในปีนี้มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยจะเติบโตแตะ 4.01 ล้านล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นเทรนด์การช็อปปิ้งออนไลน์ได้กลายเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคชาวไทย และยังเป็นทางรอดของการทำธุรกิจในยุคนี้ โดยที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและอีเพย์เม้นต์ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม e-Commerce ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

โดยในช่วง ม.ค.- ต.ค. ปีนีั พบว่าปริมาณการชำระเงิน เมื่อต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน TrueMoney Wallet เพิ่มขึ้นเกือบ x2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และจำนวนผู้ใช้ที่ชำระเงินเพื่อช็อปผ่านแอปลาซาด้า เพิ่มขึ้นมากกว่า x3.4 เท่า

นอกเหนือจากความร่วมมือระดับกลยุทธ์ ทรูมันนี่ และ ลาซาด้า ยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ ต้อนรับเทศกาล Lazada 11.11 Our Biggest One-Day Sale ถูกสุดในรอบปี วันนี้วันเดียว เพื่อเอาใจนักช็อป โดยการมอบส่วนลดและโค้ดส่งฟรีมูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท พิเศษ! นักช็อปสามารถกดรับคูปองส่วนลดมูลค่าสูงสุด 1,111 บาท เมื่อเลือกชำระเงินผ่าน TrueMoney Wallet ในแอปลาซาด้าวันที่ 11 พฤศจิกายน 64 นี้เท่านั้น คลิกอ่านรายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://tmn.co/tmnlpinlzd

 

กรุงศรี และ KTBCS รับรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2021

Red Hat APAC Innovation Awards 2021

กรุงศรี และ KTBCS รับรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2021

ยกย่องความสำเร็จของการทำ Digital Transformation ที่ใช้โซลูชัน Open Source ของ Red Hat

Red Hat Innovation Awards 2021

เร้ดแฮท อิงค์ (Red Hat) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์ส (open source) ประกาศรายชื่อผู้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Red Hat APAC Innovation Awards) ประจำปี 2564 โดยในส่วนของประเทศไทย กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) และบริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด (KTBCS) ได้รับรางวัลดังกล่าวในงาน Red Hat APAC Forum Virtual Experience จากความสำเร็จในการนำโซลูชันของ Red Hat ไปใช้ในการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล (digital transformation) และการสร้างสรรค์นวัตกรรม

ซอฟต์แวร์ open source ยังคงทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับองค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยช่วยให้องค์กรเหล่านี้สามารถปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย พัฒนาแอปพลิเคชัน และปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่รูปแบบดิจิทัล รายงาน State of Enterprise Open Source ของ Red Hat ระบุว่าในปัจจุบัน 92 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารไอทีในภูมิภาคนี้ใช้โอเพ่นซอร์สระดับองค์กร (enterprise open source) สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 90 เปอร์เซ็นต์

การจัดงาน Red Hat APAC Forum Virtual Experience ภายใต้ธีม “Open Your Perspective”มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นให้องค์กรต่าง ๆ เพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน พลิกโฉมองค์กรตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าโดยอาศัยเทคโนโลยี open source สำหรับในปีนี้ รางวัล Red Hat APAC Innovation Awards ยกย่องความสำเร็จทางด้านเทคโนโลยีของ 24 องค์กรในภูมิภาคนี้ โดยเน้นพิจารณาเรื่องความคิดสร้างสรรค์ การแก้ไขปัญหาอย่างมุ่งมั่น และการใช้โซลูชันของ Red Hat ในเชิงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ

เกณฑ์การพิจารณาผู้ได้รับรางวัลดูจากผลที่ได้จากการนำโซลูชันของ Red Hat ไปปรับใช้เพื่อรองรับเป้าหมายทางธุรกิจ วัฒนธรรมองค์กร อุตสาหกรรม ชุมชน และวิสัยทัศน์ของโครงการที่ไม่เหมือนใคร โดยผู้ได้รับการคัดเลือกต้องแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือและวัฒนธรรมด้าน open source ช่วยให้องค์กรปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มความคล่องตัว และประหยัดค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการรับมือกับปัญหาท้าทายและเทรนด์ใหม่ ๆ ในอนาคตได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ

รางวัลในปีนี้แบ่งเป็น 5 สาขา ได้แก่ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น (Digital Transformation), โครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud Infrastructure), การพัฒนาคลาวด์-เนทีฟ (Cloud-native Development), ระบบอัตโนมัติ (Automation) และความยืดหยุ่น (Resilience) สำหรับประเทศไทยมีองค์กรได้รับรางวัล 2 สาขา คือ สาขา Cloud-native Development และสาขา Hybrid Cloud Infrastructure

Krungsri

สาขา: Cloud-native Development
ผู้ได้รับรางวัล: กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน))

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของไทยในด้านของมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินฝาก และเป็นหนึ่งในหกสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (Domestic Systemically Important Banks – D-SIBs) ของไทย มีประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานกว่า 76 ปี กรุงศรีเป็นบริษัทในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (Mitsubishi UFJ Financial Group – MUFG) ซึ่งเป็นกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

กรุงศรีมุ่งมั่นตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดดิจิทัลแบงกิ้งของไทย ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางปี 2564-2566 ธนาคารตั้งเป้าที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ และมอบประสบการณ์ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ด้วยการยกระดับแผนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลของธนาคาร โดยกรุงศรีได้สร้างระบบที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และเชื่อมต่อได้ง่าย เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของระบบนิเวศด้านพันธมิตรทั้งหมด นอกจากนี้ ธนาคารยังจำเป็นต้องย้ายจากแอปพลิเคชันรุ่นเดิม ๆ ไปเป็นการใช้งานแอปพลิเคชันแบบคอนเทนเนอร์ไรซ์ โดยใช้สถาปัตยกรรมไมโครเซอร์วิส ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวประสบความสำเร็จ กรุงศรีจำเป็นต้องใช้แพลตฟอร์มที่สมบูรณ์พร้อมที่มาพร้อมแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อให้การปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบคอนเทนเนอร์เป็นไปอย่างราบรื่น

กรุงศรีทำงานร่วมกับ Red Hat และ IBM GBS เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม Open banking API ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนระบบนิเวศ API ที่มีลักษณะเฉพาะทั่วภูมิภาค ธนาคารได้ติดตั้งใช้งาน Red Hat OpenShift ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและมีความปลอดภัยที่รัดกุม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงานที่ระบบจะต้องไม่มีการหยุดชะงักเลย (zero downtime) นอกจากนี้ยังลดระยะเวลาของวงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

ด้วยเหตุนี้ กรุงศรีจึงสามารถสร้างและนำเสนอแอปพลิเคชันและบริการใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยการปรับใช้สถาปัตยกรรมคลาวด์-เนทีฟและคอนเทนเนอร์ นอกจากนี้การใช้แพลตฟอร์มไมโครเซอร์วิสที่ขับเคลื่อนด้วย Red Hat ช่วยให้ธนาคารมีความพร้อมที่จะปรับใช้แนวทาง DevSecOps เพื่อผลักดันวัฒนธรรมด้านระบบงานอัตโนมัติและการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล และยังช่วยขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ที่ขัดขวางการทำงานและบูรณาการระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้แก่ผู้ใช้งาน

KTBCS

สาขา: Hybrid Cloud Infrastructure
ผู้ได้รับรางวัล: บริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด (KTBCS)

KTBCS เป็นบริษัทในเครือของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำด้านการให้บริการไอทีแก่ภาคธุรกิจธนาคารและภาครัฐ KTBCS ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐาน, บริการให้เช่าพื้นที่เพื่อติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ และการบริหารจัดการระบบคอมพิวเตอร์, บริการด้านพัฒนาระบบงานและแอปพลิเคชันตามความต้องการของลูกค้า รวมถึงบริการให้คำปรึกษาด้านไอที

KTBCS ได้รับมอบหมายจากบริษัทแม่คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ให้ดำเนินการย้ายระบบงานจากเดิมไปใช้ระบบคลาวด์ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ระบบดิจิทัลอีกทั้งตอบสนองนโยบายของกระทรวงการคลังที่ให้ธนาคารเพิ่มศักยภาพการบริการธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าธนาคารเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ดังนั้น KTB จึงสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้าควบคู่ไปกับการควบคุมค่าใช้จ่าย KTBCS ได้ใช้ Red Hat OpenStack Platform, Red Hat OpenShift, Red Hat Ceph Storage และ Red Hat Enterprise Linux สร้างระบบ private cloud สำหรับ KTB เพื่อการพัฒนาดิจิทัลแอปพลิเคชันใหม่ ๆ และให้มีผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่า

ระบบ private cloud ที่ดำเนินการโดย KTBCS ทำให้ KTB ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจการเงิน มีอัตราการเติบโตของธุรกิจสูงขึ้น สามารถให้บริการด้านการเงินดิจิทัลที่ทันสมัยตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพิ่มความปลอดภัยและพร้อมใช้งานร่วมกับดิจิทัลแอปพลิเคชันอื่น ๆ KTB สามารถลดระยะเวลาของวัฏจักรการพัฒนาบริการ จากเดิมที่เคยใช้เวลาหลายสัปดาห์เหลือเพียงไม่กี่วัน ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยให้ KTB ลดขั้นตอนการทำงานโดยการการสร้างระบบและสภาพแวดล้อมไอทีในองค์กร สามารถลดต้นทุน และแรงงานส่วนโครงสร้างพื้นฐานได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เช่น แอปพลิเคชัน global transaction และแอปพลิเคชัน One Krungthai สำหรับพนักงานใช้ภายในองค์กร นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานของ KTB มีความคล่องตัวมากขึ้น และสามารถรองรับปริมาณงานที่จะเพิ่มขึ้นหรือการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

เพื่อต่อยอดความสำเร็จของธนาคาร KTBCS มีแผนงานจะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ร่วมกับดิจิทัลแอปพลิเคชัน เพื่อรองรับปริมาณงานของหน่วยงานภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เทคโนโลยีของ Red Hat ทำให้ KTBCS มั่นใจว่าจะสามารถสร้างระบบ national private cloud ให้กับหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รางวัลสาขาการพัฒนาคลาวด์-เนทีฟนี้ มอบให้แก่องค์กรที่มีการพัฒนาการบริการอยู่ตลอดเวลาเพื่อตอบสนองผู้ใช้งานหรือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงองค์กรที่เป็นต้นแบบเรื่องการสร้างสรรค์ การดูแลรักษา และการปรับใช้แอปพลิเคชันเพื่อการดำเนินธุรกิจจนประสบผลสำเร็จ

คำกล่าวสนับสนุน

คุณมาร์เจ็ต แอนดรีสส์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานของเร้ดแฮทประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ Red Hat
“ปี 2564 ยังคงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่องค์กรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีการใช้เทคโนโลยี open source เพื่อทำ digital transformation และสร้างสรรค์นวัตกรรมทางด้านธุรกิจอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น องค์กรเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย เช่น ไฮบริดคลาวด์ ระบบวิเคราะห์ข้อมูล และเอดจ์คอมพิวติ้ง เพื่อรับมือกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงประสบการณ์ให้กับลูกค้า Red Hat ขอแสดงความยินดีกับองค์กรที่ได้รับรางวัลในปีนี้ และเราหวังว่าโซลูชันโอเพ่นซอร์สของ Red Hat จะช่วยให้ลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาท้าทายมากมายที่ต้องเผชิญในปัจจุบัน พร้อมทั้งปลดล็อคความสำเร็จในอนาคตให้กับธุรกิจในเอเชีย-แปซิฟิก”

คุณสายสุนีย์ หาญประเทืองศิลป์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านนวัตกรรมดิจิทัลและข้อมูล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
“แพลตฟอร์ม Open API ของเรานับเป็นรากฐานในการสร้างระบบที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และเชื่อมต่อได้ง่าย ซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตของระบบนิเวศพันธมิตรของกรุงศรี เราใช้เทคโนโลยีไมโครเซอร์วิสที่ขับเคลื่อนโดย Red Hat เพื่อทำให้บริการธนาคารเป็นเรื่องง่าย และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลูกค้า โดยลูกค้าจะสามารถเข้าถึงสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ ประกันชีวิต หรือวางแผนเกษียณอายุได้ง่าย ๆ ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง แพลตฟอร์มนี้จะช่วยปูทางให้กรุงศรีเป็นธนาคารชั้นนำของไทยที่สามารถเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วอาเซียนได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ พันธมิตรของเรายังสามารถเสนอราคา ให้บริการ และแจ้งข้อมูลประมาณการให้แก่ลูกค้าได้โดยตรงและรวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา”

คุณภูษิต สระปัญญา รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานบริหารงานปฏิบัติการ KTBCS
“ขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 จำเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารและหน่วยงานภาครัฐจะต้องยกระดับการดำเนินงานรูปแบบดิจิทัล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้าและประชาชน Red Hat ช่วยให้ KTBCS พัฒนาระบบ private cloud เพื่อปรับปรุงการให้บริการด้านธนาคารของ KTB และลดค่าใช้จ่ายด้านไอที นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีช่วยให้ธนาคารมีความพร้อมมากขึ้นในการให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงข้อมูลและความรู้ด้านการเงิน ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็จะช่วยส่งเสริมการเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย”

ข้อมูลเพิ่มเติม
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2021
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประชุม Red Hat Forum Asia Pacific 2021

อสังหาฯ ยังชะลอตัว ดัชนีราคาต่ำลงต่อเนื่อง หวังมาตรการรัฐผนึกกำลังซื้อต่างชาติปลุกตลาดโตโค้งสุดท้ายปี 64

DDproperty

อสังหาฯ ยังชะลอตัว ดัชนีราคาต่ำลงต่อเนื่อง หวังมาตรการรัฐผนึกกำลังซื้อต่างชาติปลุกตลาดโตโค้งสุดท้ายปี 64

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้ายยังคงชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังไม่ฟื้นตัว หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกล่าสุดยาวนานกว่าที่คาด ส่งผลให้ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยไตรมาสล่าสุดลดลงต่อเนื่อง สวนทางดัชนีอุปทานที่เพิ่มขึ้นถึง 7% สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังคงชะลอตัว ด้านบ้านเดี่ยวยังครองความนิยมต่อเนื่องจากการตอบโจทย์ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ในช่วงโควิด-19 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการคลายล็อกดาวน์ฯ แต่กำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่กลับมา หวังมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ที่ตรงจุดจากภาครัฐ ผนึกกำลังกับนักลงทุนต่างชาติหลังเปิดประเทศ ช่วยปลุกกำลังซื้อในตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาคึกคักส่งท้ายปี

 

DDproperty

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 178 จุด จาก 183 จุด หรือลดลง 2% จากไตรมาสก่อน ถือเป็นดัชนีราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2559 ดัชนีราคาคอนโดมิเนียมยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยลดลง 2% จากไตรมาสก่อน และลดลงถึง 11% ในรอบปี สวนทางกับบ้านเดี่ยวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นถึง 6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้า ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ทรงตัวจากไตรมาสก่อน และลดลง 1% จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ การแพร่ระบาดฯ เป็นปัจจัยช่วยผลักดันให้ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยแนวราบมีการเติบโต จากการที่ผู้บริโภคหันมาสนใจโครงการแนวราบมากขึ้น ประกอบกับการที่ผู้ซื้อและนักลงทุน โดยเฉพาะชาวต่างชาติหายไปจากตลาดเป็นจำนวนมากกินระยะเวลายาวนาน จึงทำให้ตลาดคอนโดฯ ไม่คึกคักเหมือนที่เคย

ในขณะดัชนีอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยในตลาดได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 458 จุด จาก 428 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึง 7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน ข้อมูลที่น่าสนใจคือโครงการแนวราบมีจำนวนอุปทานเพิ่มขึ้นมากที่สุด เป็นผลจากการที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ หันมาจับตลาดนี้เพื่อตอบรับเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เห็นได้จากดัชนีอุปทานของบ้านเดี่ยวที่เพิ่มขึ้นถึง 10% และทาวน์เฮ้าส์ที่เพิ่มขึ้น 8% ส่วนคอนโดฯ ยังทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาฯ เน้นจัดโปรโมชั่นเพื่อเร่งระบายสต็อกคงค้างที่มีอยู่แทนการเปิดตัวโครงการใหม่ รวมทั้งเริ่มเห็นผู้พัฒนาอสังหาฯ หลายราย กลับมาเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ใหม่ในช่วงปลายปี เพื่อรองรับกำลังซื้อจากต่างชาติที่กลับเข้ามาหลังเปิดประเทศ และตอบรับความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่มีทิศทางฟื้นตัว

DDproperty PMI

นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า “แม้ปีนี้จะมีการระดมฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ แต่ความรุนแรงของการแพร่ระบาดฯ ยังถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย สภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงได้รับผลกระทบ ทุกธุรกิจจึงต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้พร้อมรับมือทุกการเปลี่ยนแปลง คาดว่านโยบายการเปิดประเทศจะเป็นอีกความหวังสำคัญที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติยังถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่ได้หายจากตลาดอสังหาฯ ไทยเป็นระยะเวลานาน ประกอบกับการที่ภาครัฐมีมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีความมั่งคั่ง รวมทั้งร่างกฎหมายการถือครองอสังหาฯ และที่ดินของชาวต่างชาติฉบับใหม่ ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้พิจารณาอสังหาฯ ในไทยมากขึ้น ต้องจับตาดูว่าภาครัฐจะมีการบริหารจัดการมาตรการเหล่านี้อย่างไรให้เห็นผลอย่างรวดเร็วและเกิดประโยชน์สูงสุด

ด้านผู้บริโภคชาวไทยเองยังคงต้องการแรงสนับสนุนจากภาครัฐทั้งการสร้างความเชื่อมั่นจากการระดมฉีดวัคซีน พร้อมมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดฯ ที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน หากภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม อาทิ ต่ออายุมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง พร้อมทั้งขยายเพดานที่อยู่อาศัยขึ้นมาเป็นราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท จะยิ่งช่วยเร่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคระดับกลาง-ล่างมากขึ้น นอกเหนือไปจากปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) เป็นการชั่วคราว ซึ่งมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุดเหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตให้กลับมาได้ไวขึ้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมในเดือนกันยายน 2564 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 42.1 จากระดับ 37.2 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ส่งสัญญาณว่ากำลังซื้อผู้บริโภคกำลังจะฟื้นตัวอีกครั้ง ประกอบกับการที่ราคาที่อยู่อาศัยปัจจุบันมีราคาไม่สูงมาก ถือเป็นโอกาสที่ดีในการดึงดูดผู้ซื้อที่มีความพร้อมด้านการเงินให้ตัดสินซื้อได้ง่ายขึ้น”

ตลาดคอนโดฯ ยังรอเวลาฟื้น
“อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีราคาและอุปทานของคอนโดฯ จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในไตรมาสล่าสุด แต่ไม่ได้ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าตลาดคอนโดฯ จะตาย เนื่องจากยังมีความต้องการในตลาดอยู่ เพียงแต่ผู้บริโภคเลือกวางแผนการเงินอย่างรัดกุมและรอเวลาที่เหมาะสมในการซื้อ ขณะที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ ปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนจากวิกฤติโควิด-19 ด้วยการชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปก่อนและหันมาเร่งระบายสินค้าคงค้างแทนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลห้องชุดเหล่านั้น พร้อมหันไปเจาะกลุ่มผู้ซื้อที่สนใจโครงการแนวราบ ส่วนผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของคอนโดฯ ควรจะชะลอการขายออกไปเพื่อรอเวลาที่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ผู้ขายและนักลงทุนควรศึกษาความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในยุคโควิด-19 ไม่เพียงแต่การเลือกประเภทที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนไปเท่านั้น อีกเรื่องที่น่าสนใจคือผู้บริโภคเริ่มมองหาที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอกและชานเมืองมากขึ้น เห็นได้ชัดจากทำเลที่อยู่อาศัยที่ดัชนีราคาเติบโตสูงสุดในแต่ละไตรมาสที่เริ่มขยายตัวออกมานอกเขตใจกลางเมืองอย่างต่อเนื่อง” นางกมลภัทรกล่าวเสริม

ส่องทำเลน่าจับตา ย่านรถไฟฟ้าสายสีเหลืองมาแรง ดันราคาอสังหาฯ พุ่ง
รายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด เผยข้อมูลทำเลที่อยู่อาศัยมาแรงและมีศักยภาพเติบโตในพื้นที่กรุงเทพฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันดัชนีราคาและดัชนีอุปทานในหลายทำเลโตต่อเนื่อง สร้างโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ สอดคล้องความต้องการผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยนอกเขตใจกลางเมืองมากขึ้น

    • เขตวังทองหลาง กลายมาเป็นทำเลทองที่น่าจับตามองมากที่สุดแม้อยู่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) เห็นได้ชัดจากดัชนีราคาที่เพิ่มสูงที่สุดถึง 6% จากไตรมาสก่อน ปัจจัยหลักที่ดึงดูดให้เขตวังทองหลางกลายมาเป็นทำเลที่เติบโตมากที่สุดในรอบไตรมาสมาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งมีแผนจะเปิดให้ใช้บริการในปี 2565 สะท้อนความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถเดินทางไปทำงานสะดวกด้วยรถไฟฟ้า เมื่อพิจารณาสัดส่วนอุปทานตามระดับราคาของที่อยู่อาศัยแต่ละประเภท พบว่า คอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 5-10 ล้านบาท (35% และ 61% ตามลำดับ) ในขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งถึง 4 ใน 5 ของจำนวนบ้านเดี่ยวทั้งหมดในเขตนี้ (83%)
    • เขตลาดพร้าว อีกหนึ่งทำเลมาแรงที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นเป็นอันดับสองอยู่ที่ 5% ในรอบไตรมาส ความเจริญจากการเป็นย่านพาณิชย์ที่รวมแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งงานทำให้ย่านนี้เป็นที่จับตามองว่ามีโอกาสก้าวเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่หรือ New CBD โดยเฉพาะเมื่อมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรงพาดผ่าน ยิ่งทำให้ความต้องการอสังหาฯ ย่านนี้สูงตามไปด้วย ถือเป็นอีกทำเลที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างจับจองพื้นที่เพื่อนำมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนราคาอุปทานแบ่งตามระดับราคาของแต่ละประเภท พบว่าคอนโดฯ ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมีจำนวนมากถึง 3 ใน 4 ของคอนโดฯ ทั้งหมดในย่านนี้ (72%) ในขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 5-10 ล้านบาทมีจำนวนมากที่สุด 44% ส่วนบ้านเดี่ยวในระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งมากที่สุดเช่นเดียวกับเขตวังทองหลาง อยู่ที่ 44%
    • เขตสายไหม พื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ ที่มีความน่าสนใจจากความเจริญของโครงการคมนาคมทั้งถนนตัดใหม่หลายสาย รวมทั้งปัจจัยบวกจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต–สะพานใหม่–คูคต ส่งผลให้ดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงเป็นอันดับที่สามอยู่ที่ 5% จากไตรมาสก่อน เมื่อจำแนกสัดส่วนอุปทานตามระดับราคา พบว่า ที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทส่วนใหญ่มีระดับราคาไม่สูงเท่าเขตวังทองหลางและเขตลาดพร้าว โดยคอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 1-3 ล้านบาท มีจำนวนมากที่สุดด้วยสัดส่วน 71% และ 75% ตามลำดับ ด้านบ้านเดี่ยวพบว่า มากกว่าครึ่ง (51%) อยู่ในระดับราคา 5-10 ล้านบาท

ทรูมันนี่ วอลเล็ท เปิดตัว “อาลีเพย์พลัส รีวอร์ด” (Alipay+ Rewards) พร้อมโปรโมชั่น ‘11.11 Mega Deals’

Alipay+ RewardsTrueMoney

ทรูมันนี่ วอลเล็ท เปิดตัว “อาลีเพย์พลัส รีวอร์ด” (Alipay+ Rewards) พร้อมโปรโมชั่น ‘11.11 Mega Deals’

มอบข้อเสนอสุดพิเศษจากแบรนด์ดังในธุรกิจบันเทิง ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม และไลฟ์สไตล์ แก่ผู้ใช้ทรูมันนี่ 20 ล้านคน

ทรูมันนี่ วอลเล็ท เปิดตัว “อาลีเพย์พลัส รีวอร์ด” (Alipay+ Rewards) รูปแบบของฟีเจอร์ใหม่ภายในแอพ (in-app feature) เพื่อให้ผู้ใช้ 20 ล้านคนได้รับข้อเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษ พร้อมสิทธิ์ลุ้นชิงโชคจากแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ในธุรกิจบันเทิง ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม และไลฟ์สไตล์ มูลค่ารวมกว่า 13 ล้านบาท ภายใต้แคมเปญ ‘11.11 Mega Deals’ มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งสุดประทับใจแก่ผู้ใช้ทรูมันนี่ในเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 นี้

แบรนด์ที่เข้าร่วมแคมเปญ 11.11 Mega Deals ได้แก่ iQiyi, Viu, Google Play, Lazada, foodpanda และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษที่จะเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และมอบความสะดวกสบายในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ผู้ใช้ทรูมันนี่วอลเล็ทสามารถสะสมหรือซื้อคูปองส่วนลดจากร้านค้าต่าง ๆ ผ่านทาง Alipay+ Rewards

ภายใต้แคมเปญ ‘11.11 Mega Deals’ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-11 พฤศจิกายน 2564 ทรูมันนี่นำเสนอดีลสุดฮอตและของรางวัลผ่านกิจกรรมสนุก ๆ เช่น

    • ‘วงล้อนำโชค’ มอบโชคให้ผู้ใช้ทรูมันนี่ร่วมลุ้นรางวัลใหญ่ เช่น ‘Apple MacBook Air และ Apple iPad Air’ ได้ทุกวัน
    • ‘ดีล 1 บาท’ ผู้ใช้ทรูมันนี่สามารถซื้อคูปองส่วนลดจากร้านค้าต่าง ๆ ในราคาเพียง 1 บาท
    • ‘ดีลพิเศษจากร้านค้าออนไลน์’ ผู้ใช้ทรูมันนี่จะได้รับรางวัลพิเศษมากมายจาก Alipay+ Rewards รวมถึงคูปองพิเศษ และคูปองส่วนลดจากแบรนด์ชั้นนำ

Alipay+ Rewards มอบเครื่องมือทางการตลาดดิจิทัลใหม่ล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาโดยแอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารจัดการแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัลอาลีเพย์ (Alipay) ให้บริการแก่ผู้ใช้โมบายล์วอลเล็ทหลายร้อยล้านคนในหลายประเทศทั่วโลกสำหรับการซื้อสินค้า และบริการจากแบรนด์ต่าง ๆ ทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่น ด้วย Alipay+ Rewards ผู้ใช้โมบายล์วอลเล็ทจะสามารถแลกรับ หรือซื้อคูปองส่วนลดจากร้านค้าแบรนด์ดังต่างๆ รวมไปถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

มนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด และผู้ให้บริการทรูมันนี่ กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าและสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้แก่ผู้ใช้งาน การเปิดตัว Alipay+ Rewards ในทรูมันนี่ วอลเล็ทครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงแบรนด์ชั้นนำระดับโลกและระดับภูมิภาค และเพลิดเพลินกับประสบการณ์การใช้จ่ายที่สะดวกมากยิ่งขึ้น พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษในเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 นี้”

หยิน จิง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายลูกค้าระดับโลกของแอนท์ กรุ๊ป กล่าวว่า “เนื่องจากผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราเห็นถึงความต้องการในการซื้อสินค้าออนไลน์ และใช้บริการออนไลน์เพื่อความบันเทิงที่เพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคในภูมิภาคนี้มักจะมองหาข้อเสนอหรือโปรโมชั่นที่ดีที่สุด ด้วยเหตุนี้ Alipay+ Rewards จึงร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ด้านอีวอลเล็ทอย่างเช่น ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อนำเสนอแบรนด์ชั้นนำระดับโลกและระดับท้องถิ่นให้กับผู้ใช้ในประเทศโดยตรง”

แอนนา พัค เบอร์ดิน หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจและความร่วมมือระหว่างประเทศของ iQiyi กล่าวว่า “อ้ายฉีอี้ (iQiyi) มองเห็นแนวโน้มการเติบโตของคอนเทนต์ในเอเชียเป็นอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเทนต์จีน ในหลายเดือนที่ผ่านมา เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ Alipay+ Rewards และทรูมันนี่ ในการนำเสนอบริการที่เหนือกว่าแก่ผู้ใช้ทรูมันนี่เพื่อเข้าถึงแหล่งคอนเทนต์ในเอเชียที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ต้อนรับแคมเปญ 11.11 ในปีนี้”

ผู้สนใจสามารถร่วมจับรางวัล ‘11.11 Mega Deals’ ได้ง่ายๆ ตาม 6 ขั้นตอนต่อไปนี้

    1. ล็อกอินเข้าสู่ทรูมันนี่ วอลเล็ท และคลิกที่ไอคอน ‘Alipay+ Rewards’
    2. เก็บคูปองเพื่อสมัครสมาชิก Alipay+ Rewards (เฉพาะครั้งแรกเท่านั้น)
    3. ไปที่แบนเนอร์ ‘จับรางวัล’ (Lucky Draw) [วงล้อนำโชค]
    4. คลิกที่ ‘Go’ เพื่อรับสิทธิ์ลุ้นรางวัล
    5. คลิกที่ ‘ดูรางวัล’ เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    6. ดูรายละเอียดของรางวัลที่คุณได้รับ

4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเข้าร่วม ‘ดีล 1 บาท’

    1. ล็อกอินเข้าสู่ทรูมันนี่ วอลเล็ท และคลิกที่ไอคอน ‘Alipay+ Rewards’
    2. ตรวจสอบคูปอง 1 บาทที่แบนเนอร์
    3. เลือกคูปอง 1 บาทที่คุณต้องการ
    4. ดำเนินการตามขั้นตอนชำระเงิน
Alipay+ Rewards

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ‘11.11 Mega Deals’ โดยทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้จากเว็บไซต์ https://www.truemoney.com/a/category/promotion-page/promo-alipayreward/ หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้าทรูมันนี่ 1240

Red Hat Forum Asia Pacific 2021 เปิดโลกทัศน์การใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส เร่งสร้างนวัตกรรมในโลกยุคไฮบริด

Red Hat

Red Hat Forum Asia Pacific 2021 เปิดโลกทัศน์การใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส เร่งสร้างนวัตกรรมในโลกยุคไฮบริด

เปิดโอกาสให้กับผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้และแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรมแบบเปิด การเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล และความยืดหยุ่นในการใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส

เร้ดแฮท อิงค์ ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สประกาศจัดงาน Red Hat Forum Asia Pacific 2021 งานที่เป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ และเหล่าพันธมิตรของเร้ดแฮท เพื่อร่วมกันนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส งานดังกล่าวจัดขึ้นใน 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564

การจัดงาน Red Hat Forum Asia Pacific ในปีที่ 11 นี้ อยู่ภายใต้ธีม “Open Your Perspective” เพื่อต้องการสื่อให้เห็นและมอบโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานและผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันผ่านการแบ่งปันประสบการณ์ แนวคิดใหม่ ๆ และข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งหมายเพื่อเพิ่มมุมมองให้กับผู้เข้าร่วมงานในการนำโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ไปช่วยทำให้องค์กรธุรกิจได้ค้นพบโซลูชันและเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อสร้างนวัตกรรม เพื่อรังสรรค์รูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ และปูทางไปสู่อนาคตการนำดิจิทัลมาใช้

จากรายงาน State Enterprise Open Source ฉบับล่าสุดของเร้ดแฮท ระบุว่า มีการนำซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สสำหรับองค์กรไปใช้มากที่สุดเพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานไอทีตอบโจทย์องค์กรที่สุดและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ 64% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจระบุว่ามีการใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สระดับองค์กรในการปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีเป็นอันดับต้น ๆ เพิ่มขึ้นจากตัวเลขผลสำรวจ 53% เมื่อสองปีที่ผ่านมา การที่มีองค์กรโยกย้ายไปใช้ระบบคลาวด์มากขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจจะต้องสร้างความยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถนำแอปพลิเคชันต่าง ๆ ไปใช้งานได้กับทุกสภาพแวดล้อมโดยไม่จำเป็นต้องสร้างแอปพลิเคชันใหม่ ไม่ต้องฝึกอบรมพนักงานใหม่ หรือสามารถดูแลสภาพแวดล้อมไอทีที่แตกต่างกันได้ ทั้งนี้โอเพ่นไฮบริดคลาวด์มีคุณสมบัติด้านความรวดเร็วและความคล่องตัวที่สามารถช่วยองค์กรให้จัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์การใช้คลาวด์ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งเป็นการเร่งให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรทำได้เร็วขึ้น 

ในงาน Red Hat Forum Asia Pacific 2021 คุณมาร์เจ็ต แอนดรีสส์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานของเร้ดแฮทประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในฐานะผู้กล่าวคำปราศรัยหลักได้นำเสนอข้อมูลการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในโลกยุคใหม่ และองค์กรจะสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ และโอเพ่นซอร์สไปใช้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร 

ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องราวล่าสุดต่าง ๆ ด้านโอเพ่นซอร์ส รวมถึงการบริหารจัดการการให้บริการระบบคลาวด์ (managed cloud services) ที่ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกใช้บริการคลาวด์ที่ต้องการได้อย่างง่าย ๆ ช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ที่ตรงกับความต้องการในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงการนำประสิทธิภาพของเทคโนโลยีคลาวด์ไปใช้ทำโครงการที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

พร้อมกันนี้ เร้ดแฮทจะประกาศมอบรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2021 เพื่อยกย่องลูกค้าที่นำโซลูชันของเร้ดแฮทไปใช้งานอย่างสร้างสรรค์ แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเฉียบแหลม ตัวอย่างองค์กรที่ได้รับรางวัลในปีที่ผ่านมาซึ่งนำโซลูชันโอเพ่นซอร์สของเร้ดแฮทไปใช้งานได้อย่างประสบความสำเร็จ ได้แก่ Standard Chartered Bank, Chunghwa Telecom และ Bajaj Allianz Life Insurance เป็นต้น

ไฮไลท์กิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่

    • ประเด็นสำคัญและการประชุมกลุ่มย่อยที่เน้นไอที 4 ประเภท ได้แก่ โอเพ่นไฮบริดคลาวด์,
      การพัฒนาบนคลาวด์เนทีฟ, ระบบอัตโนมัติที่เน้นบริการทางการเงิน และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
    • หัวข้อสำคัญที่จะกล่าวถึง ได้แก่
      • แนวทางของเร้ดแฮทสู่กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์
      • Telco – On the Edge: การลงทุนด้าน 5G ในธุรกิจโทรคมนาคมจะประสบความสำเร็จหรือไม่
      • โครงการเร่งการใช้งาน AI/ML ด้วยกรอบการทำงานแบบโอเพ่นไฮบริดคลาวด์
      • การใช้โอเพ่นซอร์สเร่งสร้างนวัตกรรมในโลกไฮบริดคลาวด์
      • Better Together: การเชื่อมต่อระบบอัตโนมัติเพื่อการปรับใช้งานไฮบริดคลาวด
      • เส้นทางการใช้ระบบอัตโนมัติให้ประสบความสำเร็จ
      • การพัฒนารูปแบบการคาดการณ์สำหรับการหมุนเวียนของลูกค้าธนาคารดิจิทัล โดยใช้วิศวกรรมข้อมูลและการวิเคราะห์สำหรับ AI/ML
    • เรื่องราวจากลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในการใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สขับเคลื่อนนวัตกรรม ระบบอัตโนมัติ และ AI/ML
    • ผู้ชนะรางวัล Red Hat Innovation Award APAC 2021
    • การสาธิตสดของเทคโนโลยีโอเพ่นคลาวด์ของเร้ดแฮท และ OpenShift สำหรับผู้ชมที่สนใจ

คำกล่าวสนับสนุน

มาร์เจ็ต แอนดรีสส์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธาน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทเร้ดแฮท
“การแพร่ระบาดครั้งใหญ่นี้ได้กระตุ้นให้เกิดการลงทุนมากขึ้นในด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ และธุรกิจจำนวนมากขึ้นก็หันมาใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สในองค์กรของตน ในงาน Red Hat Forum ปีนี้ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมแบ่งปันวิธีที่องค์กรต่าง ๆ สามารถท้าทายขีดจำกัด และใช้ประโยชน์จากโอเพ่นซอร์สในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลพร้อมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการดำเนินงาน ทั้งนี้ การจัดงานแบบเวอร์ชวลครั้งนี้ช่วยให้เราเข้าถึงผู้ชมได้มากขึ้น การผสมผสานแนวคิด เรื่องราวความสำเร็จ และข้อมูลเชิงลึกเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เราสามารถผลักดันการนำโอเพ่นซอร์สไปใช้อย่างต่อเนื่องต่อไป”

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม