iQiyi ใช้ Alipay+ ขยายตลาด พัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ทั่วเอเชีย

Alipayplus

iQiyi ใช้ Alipay+ ขยายตลาด พัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ทั่วเอเชีย

iQiyi ปรับใช้โซลูชั่นการตลาดและการชำระเงิน Alipay+ อย่างครบวงจรในเอเชีย ครอบคลุมไทย เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์

“อ้ายฉีอี้” (iQiyi) แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งชั้นนำของเอเชีย จับมือแอนท์กรุ๊ป (Ant Group) ประกาศโครงการความร่วมมือที่รองรับการใช้งานของโซลูชั่นระดับโลกด้านการตลาดและการชำระเงินระหว่างประเทศ Alipay+ อย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้ iQiyi สามารถขยายตลาดได้อย่างกว้างขวาง ด้วยการนำเสนอทางเลือกในการชำระเงิน และพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ใช้มากขึ้น

การประกาศความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการประชุม Asia TV Forum & Market ของปีนี้ โดย แอนนา พัค เบอร์ดิน หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ iQiyi International กล่าวว่า “ด้วยความเป็นบริษัทที่จัดตั้งและเติบโตในเอเชีย เป้าหมายของเราคือการนำเสนอเรื่องราวและคอนเทนต์เอเชียสู่สายตาชาวโลก เรามุ่งมั่นร่วมมือกับพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ในทิศทางเดียวกันเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวร่วมกัน บริษัทมีความยินดีในความร่วมมือกับ Alipay+ ครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยขยายการเข้าถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของเราผ่านทางเครือข่ายและช่องทางต่างๆ ของ Alipay+ ในเอเชีย ความร่วมมือนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการนำเสนอคอนเทนต์เอเชียที่น่าสนใจ มีความเป็นสากลทั้งพล็อตและรายละเอียดต่าง ๆ ให้แก่ผู้ชมทั่วโลก”

ความร่วมมือดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ iQiyi นำโซลูชั่นการชำระเงิน Alipay+ มาใช้ภายในแอพเมื่อปี 2563 เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อบริการสตรีมมิ่งของ iQiyi และขยายการเข้าถึงผู้ใช้งานอี-วอลเล็ท (E-wallet) ในเอเชีย โดยระบบจะเชื่อมต่อกับบริการอี-วอลเล็ทต่าง ๆ เช่น บริการทรูมันนี่ (TrueMoney) ในไทย, Kakao Pay ในเกาหลี, Dana ในอินโดนีเซีย, Touch’n’Go ในมาเลเซีย และ GCash ในฟิลิปปินส์

ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ทั้งสองแบรนด์จะทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับการทำการตลาดของ iQiyi ผ่านทางแคมเปญการตลาดและช่องทางออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้ iQiyi สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้งานทั่วเอเชียได้มากขึ้น พร้อมพัฒนาทางเลือกในการชำระเงินเพื่อรองรับคนรุ่นใหม่ในภูมิภาคนี้ซึ่งคุ้นเคยกับการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นหลัก (mobile-native audience) และรักษาการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว

แอนท์กรุ๊ปได้เปิดตัวโซลูชั่นการตลาดและการชำระเงิน Alipay+ เมื่อปี 2563 โดยโซลูชั่นดังกล่าวสร้างมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี ที่สามารถยอมรับวิธีการชำระเงินได้หลากหลายวิธีมากขึ้น และจัดแคมเปญด้านการตลาดดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่าย โซลูชั่น Alipay+ เชื่อมต่อกับเครือข่ายพาร์ทเนอร์ ผู้ให้บริการอี-วอลเล็ท และธนาคารต่าง ๆ ดังนั้นผู้ค้าและผู้ประกอบการจึงสามารถเข้าถึงและเชื่อมต่อกับผู้ใช้บริการชำระเงินผ่านมือถือทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทั้งแบรนด์ชั้นนำระดับโลกและระดับท้องถิ่นจากกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่ธุรกิจบันเทิงดิจิทัลไปจนถึงบริการไลฟ์สไตล์ ร่วมมือกับ Alipay+ และผู้ให้บริการอี-วอลเล็ทชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการจัดแคมเปญ 11.11 Mega Deals โดยมีการแจกจ่ายคูปองส่วนลดกว่า 10 ล้านชุด เพื่อสนับสนุนมหกรรมช้อปปิ้งครั้งใหญ่ประจำปี และกระตุ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังการแพร่ระบาด

สการ์เล็ต ชิง หัวหน้าฝ่ายการตลาดและปฏิบัติการด้านความร่วมมือกับผู้ค้าทั่วโลก กลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศของแอนท์กรุ๊ป กล่าวว่า “การทำตลาดผ่านหลากหลายช่องทางในภูมิภาคต่าง ๆ นับเป็นปัญหาสำคัญสำหรับผู้ประกอบการทั้งในส่วนของธุรกิจออนไลน์และออฟไลน์ โซลูชั่น Alipay+ จึงนำเสนอทางเลือกที่มีทั้งความหลากหลาย ความคล่องตัวสูง และยังประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับการทำตลาดให้กับแบรนด์ต่างๆ ทั้งยังสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว”

ทาง iQiyi และ Alipay+ ยังมีแผนขยายตลาดด้วยการดึงดูดผู้ใช้งานอี-วอลเล็ทในเอเชียด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น แคมเปญดิจิทัล สิทธิพิเศษ และคูปองส่วนลด

“ด้วยความเชี่ยวชาญของ iQiyi ในเรื่องดิจิทัลคอนเทนต์ และความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายร่วมกันในภูมิภาคนี้ เราหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมในยุคโมบายล์ ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานไปขั้นหนึ่ง” สการ์เล็ต ชิง กล่าว

หลังจากที่จัดตั้งสำนักงานใหญ่ระหว่างประเทศที่สิงคโปร์เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว iQiyi ได้เปิดสำนักงานสาขาในประเทศและภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ โดยมีทีมงานฝ่ายพัฒนาคอนเทนต์ประจำที่เกาหลีใต้ และล่าสุดได้ประกาศแผนการผลิตซีรี่ย์ 4 เรื่องจากเกาหลีใต้ และซีรีย์เรื่องแรกจากฟิลิปปินส์

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยปริมาณการใช้ดาต้ามือถือพุ่งเกือบ 300 เท่า ในรอบ 10 ปี

Ericsson

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยปริมาณการใช้ดาต้ามือถือพุ่งเกือบ 300 เท่า ในรอบ 10 ปี

    • ภายในสิ้นปี 2570 จะมีผู้ใช้ 5G พุ่งเป็น 4.4 พันล้านบัญชีหรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนบัญชีผู้ใช้มือถือในปัจจุบัน
    • ในปี 2570 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะมีอัตราการใช้อินเตอร์เน็ตต่อสมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องเติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก
    • สิ้นปีนี้ คาดว่ายอดผู้ใช้บริการ 5G ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะเพิ่มแตะ 15 ล้านบัญชี

รายงานเชิงลึกระดับโลกของอีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เปิดเผยว่าตั้งแต่อีริคสันจัดทำและเผยแพร่รายงาน Ericsson Mobility Report เป็นครั้งแรกในปี 2554 จนถึงปัจจุบันมีปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตบนมือถือเพิ่มขึ้นเกือบ 300 เท่า โดยในรายงานฉบับครบรอบสิบปีนี้ยังได้รวบรวมข้อมูลและสถิติต่าง ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเครือข่ายมือถือทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้เราได้ย้อนกลับไปดูเทรนด์ต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในรอบทศวรรษที่ผ่านมา รวมถึงการคาดการณ์ไปจนถึงปี 2570

จากการคาดการณ์ที่ระบุว่ายอดผู้ใช้บริการ 5G จะสูงแตะ 660 ล้านบัญชีภายในสิ้นปีนี้เป็นการตอกย้ำสมมติฐานที่ว่า 5G เป็นเจนเนอเรชั่นเครือข่ายไร้สายที่มีการนำมาใช้งานรวดเร็วที่สุด โดยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีนและอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาอุปกรณ์ 5G ที่ลดลง อีริคสันยังพบว่าในไตรมาส 3 ที่ผ่านมานี้ทั่วโลกมียอดผู้ใช้ 5G มีจำนวนเพิ่มขึ้นสุทธิที่ 98 ล้านบัญชี เทียบกับผู้สมัครใช้ 4G รายใหม่ที่ 48 ล้านบัญชี และคาดว่าเครือข่าย 5G จะครอบคลุมผู้ใช้งานกว่า 2 พันล้านคนภายในสิ้นปี 2564

สอดคล้องกับการคาดการณ์ล่าสุดที่ระบุว่าภายในปี 2570 เครือข่าย 5G จะกลายเป็นเครือข่ายหลักของโลกเพื่อใช้เข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่ง ณ เวลานี้ผู้ใช้ 5G มีสัดส่วนประมาณ 50% ของจำนวนผู้ใช้มือถือทั้งหมดทั่วโลก โดยครอบคลุมประชากรโลกถึง 75% และคิดเป็น 62% ของปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนทั่วโลก

Nunzio Mirtillo

มร. อิกอร์ มอเรล ประธานบริษัทอีริคสัน ประเทศไทยกล่าวว่า “การสื่อสารบนมือถือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อต่อสังคมและธุรกิจตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อเรามองไปข้างหน้าในปี 2570 เครือข่ายมือถือจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นทั้งในแง่ของการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน รวมถึงการใช้ชีวิตและการทำงาน ในรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุดของเรา ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเร่งความเร็วขึ้นอีกระดับ และเทคโนโลยีมีบทบาทอย่างยิ่งยวด”

คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ยอดผู้ใช้มือถือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะเพิ่มเป็น 1.1 พันล้านราย โดยมียอดผู้สมัครใช้บริการ 5G สูงแตะ 15 ล้านราย และจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงสองสามปีนี้ โดยคาดว่าในปี 2570 จะมียอดผู้ใช้ 5G ถึง 560 ล้านราย นอกจากนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะมีปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตต่อสมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในโลก แตะ 46 กิกกะไบท์ (GB) ต่อเดือน ในปี 2570 หรือเติบโตเฉลี่ย 34% ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตบนมือถือทั้งหมดที่เติบโตต่อปีที่ 39% ส่งผลให้มียอดการใช้เน็ตต่อเดือนสูงถึง 46 เอกซะไบท์ (EB) เป็นผลมาจากจำนวนผู้สมัครใช้บริการ 4G และ 5G ที่เพิ่มขึ้นในตลาดที่เปิดให้บริการ 5G

มร. อิกอร์ กล่าวเสริมว่า “ประเทศไทย คือ หนึ่งในประเทศที่มีประชากรใช้อินเทอร์เน็ตสูงที่สุดในโลก เมื่อกล่าวถึงภาคอุตสาหกรรมและองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ประเทศไทยคือหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญของภาคอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาค โดยมีธุรกิจที่มีศักยภาพจำนวนมากที่นำเทคโนโลยี 5G มาปรับปรุงการดำเนินงานให้มีความทันสมัย ผมมองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างเครือข่าย 5G ที่สามารถตั้งโปรแกรม มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ”

Ericsson

ตั้งแต่ปี 2554 การนำเครือข่าย 4G LTE มาใช้งานได้ถือเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่เพิ่มยอดผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลกพุ่งเป็น 5.5 พันล้านคน และเกิดอุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อ 4G ขึ้นในตลาดมากกว่า 20,000 รุ่น ในรายงานยังชี้ให้เห็นว่าวงจรเทคโนโลยีของอุปกรณ์ 5G นั้นเปลี่ยนแปลงไปได้รวดเร็วกว่า ในปัจจุบันมีโทรศัพท์มือถือ 5G คิดเป็นสัดส่วน 23% ของมือถือทั้งหมดทั่วโลก เทียบกับโทรศัพท์มือถือ 4G ที่มีเพียง 8% ณ จุดเดียวกัน

สิ่งนี้กระตุ้นให้การใช้ปริมาณอินเตอร์เน็ตบนมือถือเติบโตอย่างก้าวกระโดด หากพิจารณาการเติบโตแบบปีต่อปี จะพบว่าปริมาณการใช้เน็ตมือถือ ณ ไตรมาส 3 ปี 64 เติบโตที่ 42% หรือประมาณ 78 เอกซะไบต์ (EB) ซึ่งนับรวมปริมาณอินเตอร์เน็ตจากบริการบรอดแบรนด์อินเตอร์เน็ตไร้สาย (Fixed Wireless Network) นอกจากนี้ ยังพบว่ายอดการใช้เน็ตมือถือในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีปริมาณเทียบเท่าปริมาณเน็ตที่เคยมีมาทั้งหมดจนถึงปี 2559 ซึ่งจากการคาดการณ์ล่าสุดยังเผยว่าในปี 2570 จะมีการใช้เน็ตมือถือเพิ่มขึ้นสูงถึง 370 เอกซะไบต์ (EB)

นอกจากนี้ ในรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับครบรอบ 10 ปี ยังมีบทความประกอบอีก 4 หัวข้อ ดังนี้

    • การสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอนาคตดิจิทัล โดยร่วมกับ Far EasTone
    • การสร้างเครือข่ายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล โดยร่วมกับ stc
    • Time-to-content: กำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับประสิทธิภาพเครือข่าย
    • การสร้างเครือข่ายต่าง ๆ ที่ยั่งยืน

Explore the Ericsson Mobility Report November 2021 edition and the Ericsson Mobility Report Journey.

RELATED LINKS:

“ธนาคารเกียรตินาคินภัทร” ผนึกกำลัง “ทรูมันนี่” เปิดตัวสินเชื่อเงินด่วน “KKP CASH NOW” บนแอปฯ TrueMoney Wallet

KKP x TMN

“ธนาคารเกียรตินาคินภัทร” ผนึกกำลัง “ทรูมันนี่” เปิดตัวสินเชื่อเงินด่วน “KKP CASH NOW” บนแอปฯ TrueMoney Wallet

ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินด้วยวงเงินสินเชื่อสูงสุด 400,000 บาท และดอกเบี้ยเริ่มต้น 8.99%*ต่อปี

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ต่อยอดความร่วมมือกับ ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มอบบริการสินเชื่อส่วนบุคคลอเนกประสงค์ “KKP CASH NOW” บนแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet เพื่ออำนวยความสะดวกในการสมัครและยื่นเอกสารขอสินเชื่อผ่านระบบออนไลน์ให้กับผู้ที่มองหาแหล่งเงินทุนหรือเพิ่มสภาพคล่อง ทั้งนี้ ผู้สมัครสามารถรับวงเงินสินเชื่อเข้าบัญชีทรูมันนี่สูงสุดถึง 400,000 บาท ทันทีที่ได้รับอนุมัติ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 8.99%* ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 60 เดือน มุ่งตอบสนองความต้องการสินเชื่อภาคครัวเรือนในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ที่ ธปท. คาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้นหลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการ

นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การพัฒนานวัตกรรมทางการเงินเพื่ออำนวยความสะดวกสูงสุด และขยายโอกาสทางการเงินให้กับลูกค้าในวงกว้าง คือเป้าหมายร่วมกันของธนาคารเกียรตินาคินภัทร และทรูมันนี่ พันธมิตรคนสำคัญของเรา ธนาคารมั่นใจว่าบริการสินเชื่อ KKP CASH NOW บนแอปฯ TrueMoney Wallet จะช่วยเปิดโอกาสทางการเงินให้กว้างขวางและรวดเร็วยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า ผ่านการสมัคร ยื่นเอกสาร และทราบผลอนุมัติที่สะดวก ไม่เสียเวลาเดินทาง และลดความเสี่ยงจากการสัมผัสเงินสด ยิ่งในช่วงเวลานี้ที่เศรษฐกิจกำลังกลับมาเดินหน้า และหลายคนมองเห็นโอกาสสร้างรายได้เพิ่มหรือปรับธุรกิจรับความเปลี่ยนแปลง ธนาคารมั่นใจว่าสินเชื่อ KKP CASH NOW จะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ปลดล็อคข้อจำกัด หรือหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยธนาคารจะเดินหน้าผนึกกำลังกับพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญและจุดแข็งเฉพาะตัวอย่าง เช่น บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด (TrueMoney) เพื่อนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้าในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง”

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “การขยายความร่วมมือกับธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ เป็นไปตามกลยุทธ์ของเราในการมุ่งเป็น Financial Platform of Opportunities ที่มอบโอกาสทางการเงินให้กับผู้คนจำนวนมากและยังเป็นการสนับสนุนการสร้างสังคมไร้เงินสดให้เติบโตผ่านบริการทางการเงินที่เรามี โดยบริการสินเชื่อ KKP CASH NOW บนแอปฯ TrueMoney Wallet เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมทางการเงินที่เราได้จับมือกับธนาคารเกียรตินาคินภัทร มอบให้ลูกค้า นอกเหนือจากบริการเงินฝากดอกเบี้ยสูง KKP Start Saving ซึ่งต่างเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินง่าย ๆ รวดเร็ว และสะดวกสบายผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet นอกจากนี้ ในด้านภาพรวมของตลาดสินเชื่อรายย่อยในช่วงที่ผ่านมา เรามีลูกค้าที่ยื่นขออนุมัติสินเชื่อประเภทต่าง ๆ ผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว และมียอดวงเงินที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้วเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่านวัตกรรมอีวอลเล็ทถือเป็นช่องทางการเงินที่สำคัญและมีประสิทธิภาพ ตอบรับความต้องการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย รวมถึงผลิตภัณฑ์ประเภทสินเชื่อแบบออนไลน์ด้วย”

KKP CASH NOW คือ บริการสินเชื่อส่วนบุคคลอเนกประสงค์ที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารเกียรตินาคินภัทร จํากัด (มหาชน) เสนอให้แก่บุคคลทั่วไปในรูปแบบวงเงินผ่อนชำระเป็นงวด ๆ (Term Loan) โดยไม่ต้องใช้ทรัพย์สินหรือบุคคลค้ำประกัน มีจุดเด่น คือ ขั้นตอนการสมัครที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet รวมถึงสามารถใช้วงเงินที่ได้รับอนุมัติผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet ได้เช่นกัน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและครอบคลุมการใช้จ่ายที่หลากหลาย

คุณสมบัติผู้สมัคร

เอกสารประกอบการสมัคร
(อัพโหลดผ่านแอปฯ)

    • ลูกค้าที่มีบัญชีทรูมันนี่ วอลเล็ท
    • สัญชาติไทย
    • อายุ
      – พนักงานประจำ: อายุ 20-60 ปี
      – เจ้าของกิจการ และอาชีพอิสระ: อายุ 20-65 ปี
    • รายได้ต่อเดือนขั้นต่ำ 10,000 บาท
    • อายุงานขั้นต่ำ 4 เดือน สำหรับพนักงานประจำ
    • ผู้ที่มีรายได้ประจำ เช่น พนักงานบริษัท ข้าราชการ
      – สลิปเงินเดือนที่แสดงรายได้เดือนล่าสุด
    • เจ้าของกิจการ และอาชีพอิสระ
      – รายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือนล่าสุด

      สำหรับเจ้าของกิจการ หากอัพโหลดทะเบียนการค้าหรือหนังสือรับรองบริษัท จะได้รับการพิจารณาวงเงินเพิ่มเติม


4 ขั้นตอนสมัครใช้บริการง่ายกว่าเดิม ดังนี้

      1. คลิกแบนเนอร์ หรือ ไอคอนสินเชื่อ KKP CASH NOW บนแอปฯ ทรูมันนี่
      2. กรอกข้อมูลใบสมัครสินเชื่อ KKP CASH NOW
      3. ยืนยันตัวตนที่เคาน์เตอร์ 7-Eleven ทั่วประเทศ หรือ ที่ตู้ทรูมันนี่*
      4. อัพโหลดเอกสารแสดงรายได้
KKP x TMN

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถคลิกอ่านรายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ในการขอสินเชื่อ KKP CASH NOW ที่ https://www.truemoney.com/cashnow-kkp/ หรือสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสินเชื่อได้ทาง KKP Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 02 165 5555 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07:00 – 20:00 น. หรือที่ธนาคารฯ ทุกสาขาทั่วประเทศ 

*หมายเหตุ

1. สินเชื่อส่วนบุคคล KKP CASH NOW เป็นผลิตภัณฑ์ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และอยู่ภายใต้โครงการ Regulatory Sandbox ที่กำกับและดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
2. การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อส่วนบุคคล KKP CASH NOW เป็นไปตามเงื่อนไขที่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นผู้กำหนด
3. ทรูมันนี่ วอลเล็ท เป็นเพียงช่องทางเพื่อสมัครใช้ ส่งข้อมูลประกอบการสมัครใช้สินเชื่อเท่านั้น ไม่มีส่วนใด ๆ ในการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อ
4. เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก https://bank.kkpfg.com/th/personal-banking/loan/personal-loan/kkp-cash-now

ทรูมันนี่ ขยายบริการทางการเงิน จับมือ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดจองหุ้น MAKRO จ่ายผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet เป็นครั้งแรก เร็ว ๆ นี้

Truemoney X Makro

ทรูมันนี่ ขยายบริการทางการเงิน จับมือ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดจองหุ้น MAKRO จ่ายผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet เป็นครั้งแรก เร็ว ๆ นี้

    • ร่วมผนึกกำลังเพื่อโอกาสให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกันกับ MAKRO
    • สะดวก ง่าย ปลอดภัย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปเปิดบัญชี จองซื้อหุ้นและชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นได้เลยผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าขยายแพลตฟอร์มเพิ่มบริการทางการเงินต่อเนื่อง ล่าสุดร่วมมือกับ กลุ่มบริษัท KTBST โดยบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) (บล. เคทีบีเอสที) เตรียมเปิดช่องทางในการจองซื้อหุ้น พร้อมชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป (PO) ของบริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) (“MAKRO”) ผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet เป็นครั้งแรก เพื่อร่วมผนึกกำลังเพื่อโอกาสให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกันกับ MAKRO พร้อมส่งเสริมคนรุ่นใหม่ก้าวสู่การเป็นนักลงทุนรายย่อยยุคดิจิทัลได้อย่างสะดวก ง่าย และปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีทางการเงินล้ำสมัยจากทรูมันนี่

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “การเปิดให้จองซื้อหุ้นพร้อมชำระเงินค่าจองซื้อหุ้น MAKRO ผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet ในครั้งนี้ ทรูมันนี่ ได้ร่วมมือกับ บล. เคทีบีเอสที ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของเราในการก้าวไปสู่ผู้ให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลชั้นนำ โดยเรามุ่งหวังที่จะช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนแบบ Digital Micro Investment ให้แก่นักลงทุนรายย่อยในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ด้วยประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มทรูมันนี่ที่สามารถเชื่อมต่อกับพันธมิตรเพื่อนำเสนอบริการทางการเงินใหม่ ๆ ซึ่งตอนนี้รวมถึงการลงทุนในหุ้น เราเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนและกลุ่มคนรุ่นใหม่ในยุคนิวนอร์มัลนี้ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ในอนาคตเรายังมีแผนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเปิดโอกาสในการชำระเงินเพื่อลงทุนในหุ้นตัวอื่น ๆ เพิ่มเติม”

ดร. วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เคทีบีเอสที กล่าวว่า “นวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นส่วนส่งเสริมและผลักดันสำคัญให้ผู้ลงทุนมีโอกาสเข้าถึงตลาดทุนได้มากขึ้น ซึ่งการร่วมมือกับทรูมันนี่ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการเพิ่มช่องทางให้ผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้น และสอดคล้องกับพันธกิจหลักของกลุ่มบริษัท เคทีบีเอสที ที่ต้องการพัฒนาตลาดทุนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และสร้างโอกาสการเข้าถึงการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพไปสู่ผู้ที่สนใจและนักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ เราเชื่อมั่นว่าด้วยความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมทางการเงินของทรูมันนี่จะมอบประสบการณ์การลงทุนในรูปแบบดิจิทัลที่สะดวกและปลอดภัยให้แก่นักลงทุนและคนรุ่นใหม่ได้ทันทีตั้งแต่วันที่เปิดจองซื้อหุ้น MAKRO อย่างเป็นทางการ”

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร (ธุรกิจค้าส่ง) กล่าวว่า “หลังจากที่ MAKRO รับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ยกระดับสู่การเป็นผู้ประกอบการชั้นนำด้านธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคเอเชีย และช่วยให้บริษัทฯ สามารถใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาญของ MAKRO และกลุ่มโลตัสส์ขยายธุรกิจ เพื่อสนับสนุน SMEs ผู้ผลิตสินค้ารายย่อยของไทยผ่าน “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” เพื่อนำเสนอสินค้าไทยที่มีคุณภาพสู่ผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียและสร้างการยอมรับสู่ระดับสากล”

การจองซื้อหุ้นสามัญ กับ บล.เคทีบีเอสที พร้อมชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นเป็นบริการทางการเงินใหม่ล่าสุดบนแอปฯ TrueMoney Wallet ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมจองซื้อหุ้น พร้อมชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นผ่านระบบออนไลน์ได้ด้วยตนเอง และหุ้นสามัญที่ออกโดย บริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) ถือเป็นหุ้นตัวแรกที่ผู้สนใจทั่วไปและลูกค้าทรูมันนี่สามารถทำการจองซื้อหุ้น พร้อมชำระเงินค่าจองซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet โดยร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหุ้น (Selling Agent) ทั้งนี้ การจัดสรรหุ้น MAKRO ให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยจะจัดสรรด้วยวิธี Small Lot First หรือผู้จองซื้อที่จำนวนขั้นต่ำได้รับการจัดสรรก่อน และดำเนินการจัดสรรหุ้นเป็นรอบ ๆ ให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยแต่ละรายจนกว่าหุ้นจะหมด ซึ่งจะดำเนินการโดยระบบคอมพิวเตอร์ของ Settrade

นอกเหนือจากบริการชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นสามัญ MAKRO ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ทรูมันนี่ ได้ขยายบริการทางการเงินโดยเชื่อมต่อกับพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ให้บริการลงทุนในกองทุนรวม บัญชีฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง ผู้ให้บริการสินเชื่อ และประกันประเภทต่าง ๆ โดยที่ผ่านมา บริการลงทุนในกองทุนรวมผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet สามารถดึงดูดการลงทุนของนักลงทุนหน้าใหม่ได้มากถึง 70%

ผู้สนใจจองซื้อหุ้น MAKRO กับ บล.เคทีบีเอสที โดยชำระเงินค่าจองซื้อผ่าน TrueMoney Wallet สามารถเตรียมตัวให้พร้อมโดยการตรวจสอบในแอปฯ ว่า บัญชีทรูมันนี่ผ่านการ “ยืนยันตัวตนขั้นสูง” โดยการเสียบบัตรประชาชนที่ตู้ทรูมันนี่ หรือ 7-Eleven สาขาใกล้บ้านในกรุงเทพฯ และอีก 38 จังหวัด (ดูรายละเอียดการยืนยันตัวตนเพิ่มเติมที่ https://www.truemoney.com/kiosk-location-e-kyc/) รวมทั้งมีการเตรียมช่องทางชำระเงินที่พร้อมกดจ่ายเพื่อจองซื้อหุ้นได้ทันทีในวันเปิดจอง

เตรียมให้พร้อม! ก่อนวันเปิดจองซื้อหุ้น MAKRO จ่ายผ่าน TrueMoney Wallet

1) เตรียม “ยืนยันตัวตนขั้นสูง” โดยการเสียบ บัตรประชาชนที่ตู้ทรูมันนี่ หรือ 7-Eleven*

2) เตรียม “ช่องทางชำระเงิน” เพื่อกดจ่ายค่าจองซื้อหุ้นได้ทันทีไม่มีสะดุด

3 ขั้นตอน ตรวจสอบเองง่าย ๆ

    1. เลือกเมนู “ฉัน” ที่หน้า TrueMoney Wallet
    2. เลือกหัวข้อ “ระดับการยืนยันตัวตน”
    3. เช็คผลการตรวจสอบ
      3.1 หากปรากฏข้อความ “คุณผ่านการยืนยันตัวตนแล้ว ด้วยวิธีการเสียบบัตรประชาชนที่จุดให้บริการ และสแกนใบหน้า” แสดงว่า ‘ยืนยันตัวตนขั้นสูง’ สำเร็จ
      3.2 หากปรากฏข้อความ “คุณผ่านการยืนยันตัวตนแล้ว ด้วยวิธีการถ่ายรูปบัตรประชาชน และสแกนใบหน้า” แสดงว่าคุณ ‘ยืนยันตัวตนขั้นต้น’ เท่านั้น

3 ช่องทางชำระบนแอปฯ TrueMoney Wallet

    1. ชำระผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet โดยตรง เพียงตรวจเช็คยอดเงินคงเหลือในบัญชีให้เพียงพอต่อการชำระค่าจองซื้อหุ้น “MAKRO” ในวันเปิดจอง
    2. ชำระผ่านการผูกบัญชีธนาคารต่าง ๆ กับแอปฯ TrueMoney Wallet เพื่อตัดชำระค่าจองซื้อได้ทันที
    3. ชำระผ่านบัญชีธนาคาร KKP Start Savings (บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง 2%) ในแอปฯ TrueMoney Wallet ด้วยการตัดยอดเงินฝากโดยตรง
True money x Makro

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจองซื้อหุ้น Makro กับ บล.เคทีบีเอสที โดยจ่ายผ่าน TrueMoney Wallet ได้ทาง https://www.truemoney.com/po-makro รวมถึงศึกษาหนังสือชี้ชวนสำหรับการเสนอขายหุ้น MAKRO ซึ่งจะมีการเผยแพร่ในเร็ว ๆ นี้ ได้ทาง https://www.siammakro.co.th/prospectus.php

หมายเหตุ

    • บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST SEC เป็น ตัวแทนจำหน่ายหุ้น (Selling Agent) เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อย โดย TrueMoney Wallet เป็นเพียงหนึ่งในช่องทางชำระเงินเพื่อจองซื้อหุ้นสามัญของ MAKRO เท่านั้น
    • ผู้ลงทุนจะสามารถจองซื้อหลักทรัพย์ได้ทันทีเมื่อมีการเปิดให้จองซื้อ เฉพาะ “ผู้ที่มีระดับยืนยันตัวตนขั้นสูง” ด้วยบัตรประชาชนแล้วเท่านั้น
    • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
    • ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับการจัดสรรหุ้น หากคุณสมบัติของผู้ลงทุนไม่เข้าเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้
    • เอกสารฉบับนี้ไม่ใช่หนังสือชี้ชวนสำหรับการเสนอขายหลักทรัพย์ และไม่ถือเป็น หรือประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำเสนอเพื่อออกหรือขายหลักทรัพย์ หรือคำเชิญชวนเพื่อให้ได้มา ซื้อ หรือ จองซื้อ หลักทรัพย์ใดในประเทศใด และไม่ควรยึดถือเอกสารหรือข้อมูลของเอกสารฉบับนี้ในการตัดสินใจที่จะจองซื้อ หรือได้มาซึ่งหลักทรัพย์ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอกสารฉบับนี้ไม่ถือเป็น หรือประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำเสนอเพื่อออกหรือขายหลักทรัพย์ หรือคำเชิญชวนเพื่อให้ได้มา ซื้อ หรือ จองซื้อ หลักทรัพย์ใดในอาณาเขตที่ถูกจำกัด หรือในประเทศอื่นใดซึ่งคำเสนอหรือคำเชิญชวนดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
    • การเสนอขายหลักทรัพย์จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนที่ได้ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. มีผลใช้บังคับแล้ว และได้จัดส่งหรือแจกจ่ายหนังสือชี้ชวนให้แก่ผู้ลงทุนแล้ว
    • เอกสารฉบับนี้ไม่ได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการแจกจ่าย ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ภายในหรือเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกา (รวมถึงอาณาเขตและพื้นที่ซึ่งอยู่ในการปกครองของประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐใดในประเทศสหรัฐอเมริกา และเขตปกครองพิเศษโคลัมเบีย (District of Columbia)) ญี่ปุ่น มาเลเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ เมียนมาร์ เอสโตเนีย ปากีสถาน ลาว ไต้หวัน ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และแคนาดา หรือประเทศอื่นใดที่อาจทำให้การแจกจ่ายเอกสารดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คนหาบ้านต้องรู้ เช็กพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมบ่อยในกรุงเทพฯ ก่อนคิดซื้อบ้าน

DDproperty

คนหาบ้านต้องรู้ เช็กพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมบ่อยในกรุงเทพฯ ก่อนคิดซื้อบ้าน

น้ำท่วมเป็นปัญหาที่คนกรุงฯ อิดหนาระอาใจมายาวนาน แม้จะมีการพยายามวางระบบเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ แต่ปัญหานี้ก็ยังคงเป็นเรื่องกวนใจในชีวิตความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาลักษณะทางกายภาพร่วมกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตกรุงเทพฯ จะมีโอกาสจมน้ำ เห็นได้จากรายงานความเสียหายทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์จากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลแบบสภาวะสุดขีดใน 7 เมืองของเอเชียภายในปี พ.ศ. 2573 ของกรีนพีซ เผยว่า สภาพภูมิศาสตร์ของกรุงเทพฯ เป็นที่ลุ่มต่ำที่เสี่ยงน้ำท่วมหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ภายในปี พ.ศ. 2573 สอดคล้องกับรายงาน Turn Down the Heat: Climate Extremes, Regional Impacts, and the Case for Resilience ของธนาคารโลก ที่คาดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ มีโอกาสจมน้ำภายในปี พ.ศ. 2573 เช่นเดียวกัน ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมขังที่มีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จึงสร้างความกังวลให้ผู้บริโภคมองว่าธรรมชาติกำลังส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่ใกล้เข้ามา

ถอดรหัสทำไมกรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองน้ำมาก

    • ความเจริญอย่างรวดเร็วเปลี่ยนพื้นที่รับน้ำ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและระบบคมนาคมเพื่อรองรับการเป็นเมืองหลวงส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของแหล่งงาน สถานศึกษา และการลงทุนของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ การเร่งพัฒนาของเมืองทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่รับหรือระบายน้ำลดน้อยลง และถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง จึงเกิดปัญหาน้ำท่วมขังได้ง่ายกว่าในอดีต
    • ท่อระบายน้ำเล็กเกินไปและมักอุดตัน ระบบท่อระบายน้ำในกรุงเทพฯ ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำฝนในปริมาณที่ฝนตกไม่เกิน 60 มิลลิเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น แต่ปัจจุบันฝนที่ตกลงมามีปริมาณมากกว่า 100 มิลลิเมตร/ชั่วโมง จึงทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน และยังมีปัญหาท่อระบายน้ำอุดตันจากการสะสมของเศษขยะ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้พยายามหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา เช่น กำหนดให้มีการวางท่อระบายน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.20 เมตร เมื่อมีการสร้างหรือปรับปรุงถนนใหม่ รวมถึงการก่อสร้างท่อลอด Pipe Jacking จะใช้ท่อระบายน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.20 เมตร รวมทั้งสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ และลอกท่อระบายน้ำอย่างสม่ำเสมอ
    • พื้นดินทรุดตัวต่อเนื่อง การสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้อุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมมาเป็นเวลายาวนานส่งผลให้ชั้นดินค่อย ๆ ยุบตัวจนเกิดแผ่นดินทรุดตัวสะสม ทำให้ลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพฯ เป็นแอ่งกระทะเมื่อมีฝนตกหนักจึงท่วมขังได้ง่าย จนมีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมการใช้น้ำบาดาลในปี พ.ศ. 2540 การทรุดตัวจึงชะลอลง แต่ระดับความสูงต่ำของแต่ละเขตยังคงแตกต่างกันอยู่ เห็นได้จากผลการศึกษาสำรวจของสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. 2544 รายงานว่าสถานการณ์โดยรวมของแผ่นดินทรุดในเขตกรุงเทพฯ ดีขึ้น มีอัตราการทรุดตัวอยู่ที่ประมาณปีละ 1 เซนติเมตร ยกเว้นเขตดอนเมืองที่มีอัตราการทรุดตัวอยู่ระหว่าง 3-5 เซนติเมตรต่อปี และเขตหนองจอกมีอัตราการทรุดตัวอยู่ระหว่าง 2-3 เซนติเมตรต่อปี
    • ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แต่ละพื้นที่มีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมไม่เท่ากัน จากข้อมูลของกรมแผนที่ทหาร พบว่า พื้นที่ในกรุงเทพฯ สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางเพียงประมาณ 1-1.5 เมตร ถือว่ามีระดับที่ไม่สูงมากนัก
DDproperty Info_Flood areas in Bangkok
    • Climate change ดันระดับน้ำทะเลหนุนสูง มักเกิดในพื้นที่ราบลุ่มที่อยู่ไม่ไกลจากปากอ่าวหรือทะเล ระดับน้ำในแม่น้ำจะได้รับอิทธิพลน้ำขึ้น-น้ำลงเนื่องมาจากระดับน้ำทะเลหนุนตลอดเวลา ในช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนสูงเมื่อรวมกับมวลน้ำเหนือจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงฤดูฝนจึงทำให้เกิดน้ำท่วมในชุมชนริมแม่น้ำเสมอ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดการณ์ว่า ก่อนปี พ.ศ. 2593 กว่า 600 ล้านคนทั่วโลกที่อาศัยในที่ราบลุ่มอาจต้องเผชิญกับน้ำท่วมชายฝั่งซึ่งเป็นผลมาจากระดับน้ำในมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้น

อัปเดตเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม-น้ำทะเลหนุนสูง
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยทำเลเสี่ยงน้ำท่วมและทำเลเสี่ยงน้ำทะเลหนุนสูง พร้อมอัปเดตความสนใจซื้อ-เช่าที่อยู่อาศัยจากข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com ในเดือนตุลาคม 2564 รวมทั้งแนวโน้มดัชนีราคาและดัชนีอุปทาน เพื่อสะท้อนทิศทางความต้องการที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจในทำเลเหล่านี้

ทำเลเสี่ยงน้ำท่วม แต่แนวโน้มราคายังบวก
ทำเลเสี่ยงน้ำท่วมส่วนใหญ่ (ข้อมูลจากกรุงเทพมหานคร) เมื่อพิจารณาแนวโน้มราคาอสังหาฯ พบว่า มีการปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า ในขณะที่ความสนใจซื้อ-เช่ายังคงสูง

    • แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ มีความสนใจซื้อในเดือนตุลาคมสูงถึง 72% จากความสนใจซื้อโดยรวมของเขต ถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับทำเลเสี่ยงน้ำท่วมอื่น ๆ ในขณะที่ความสนใจเช่าสูงถึง 57% แนวโน้มราคาอสังหาฯ ยังคงทรงตัวจากปีก่อนหน้า ส่วนจำนวนอุปทานเพิ่มขึ้น 29% จากรอบปีก่อน (YoY) มีสัดส่วนอุปทานอยู่ที่ 67% ของอุปทานโดยรวมของเขตบางซื่อ โดยทำเลนี้ได้อานิสงส์จากการเปิดให้บริการของรถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน, ช่วงบางซื่อ-รังสิต และใกล้สถานีกลางบางซื่อ ทำให้ความสนใจซื้อ-เช่ายังคงอยู่ในอัตราที่สูง
    • แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร ความสนใจซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของทำเลนี้มีสัดส่วน 22% เท่ากัน เมื่อเทียบกับความสนใจซื้อและเช่าโดยรวมของเขต ด้านแนวโน้มราคาอสังหาฯ ยังเติบโต โดยเพิ่มขึ้น 7% YoY ด้านอุปทานเพิ่มขึ้นถึง 75% YoY จำนวนอุปทานคิดเป็นสัดส่วน 16% ของอุปทานทั้งหมดในเขตจตุจักร
    • แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ ความสนใจซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ยังคงมีสัดส่วนสอดคล้องกัน โดยความสนใจซื้อสูงถึง 61% เมื่อเทียบกับความสนใจซื้อโดยรวมของเขต ส่วนความสนใจเช่าสูงถึง 59% เมื่อเทียบกับความสนใจเช่าโดยรวมของเขตเช่นกัน ด้านแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น 1% YoY ในขณะที่แนวโน้มอุปทานเพิ่มขึ้น 14% YoY มีสัดส่วนอุปทานอยู่ที่ 67% ของอุปทานโดยรวมของเขตหลักสี่
    • แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน มีความสนใจซื้อคิดเป็นสัดส่วน 51% เมื่อเทียบกับความสนใจซื้อโดยรวมของเขต ด้านความสนใจเช่ามีสัดส่วนอยู่ที่ 60% เมื่อเทียบกับความสนใจเช่าโดยรวมของเขต ในส่วนแนวโน้มราคาอสังหาฯ เพิ่มขึ้น 5% YoY ด้านแนวโน้มอุปทานเพิ่มขึ้น 16% YoY มีสัดส่วนอุปทานอยู่ที่ 60% ของอุปทานโดยรวมของเขตบางขุนเทียน
    • แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค มีความสนใจซื้อคิดเป็นสัดส่วน 24% เมื่อเทียบกับความสนใจซื้อโดยรวมของเขต ด้านความสนใจเช่ามีสัดส่วน 20% จากความสนใจเช่าโดยรวมของเขต โดยแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น 5% YoY ด้านแนวโน้มอุปทานเพิ่มขึ้น 43% YoY มีสัดส่วนอุปทานอยู่ที่ 29% ของอุปทานโดยรวมของเขตบางแค

ทำเลเสี่ยงน้ำทะเลหนุน แนวโน้มราคาพุ่ง
ด้านแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยในทำเลเสี่ยงน้ำทะเลหนุนยังคงมีทิศทางเติบโต เช่นเดียวกับแนวโน้มอุปทาน

    • แขวงจักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ พบว่าความสนใจซื้อมีสัดส่วนอยู่ที่ 54% เมื่อเทียบกับความสนใจซื้อโดยรวมของเขต ในขณะที่ความสนใจเช่ามีสัดส่วนเพียง 14% เท่านั้นเมื่อเทียบกับความสนใจเช่าโดยรวมของเขต ด้านแนวโน้มราคาและแนวโน้มอุปทานเพิ่มขึ้นเท่ากันที่ 29% YoY โดยมีสัดส่วนอุปทานอยู่ที่ 38% ของอุปทานโดยรวมของเขตสัมพันธวงศ์
    • แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด ความสนใจซื้อและเช่ามีสัดส่วนในระดับไล่เลี่ยกัน โดยความสนใจซื้ออยู่ที่ 32% เมื่อเทียบกับความสนใจซื้อโดยรวมของเขต ส่วนความสนใจเช่าอยู่ที่ 31% เมื่อเทียบกับความสนใจเช่าโดยรวมของเขต ด้านแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น 5% YoY ส่วนแนวโน้มอุปทานเพิ่มขึ้น 38% YoY มีสัดส่วนอุปทานอยู่ที่ 26% ของอุปทานโดยรวมของเขตบางพลัด
    • แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี มีความสนใจซื้อเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 35% เมื่อเทียบกับความสนใจซื้อโดยรวมของเขต ส่วนความสนใจเช่าอยู่ที่ 23% เมื่อเทียบกับความสนใจเช่าโดยรวมของเขต ในขณะที่แนวโน้มราคาทรงตัวจากรอบปีก่อนหน้า ส่วนแนวโน้มอุปทานเพิ่มขึ้น 25% YoY มีสัดส่วนอุปทานอยู่ที่ 34% ของอุปทานโดยรวมของเขตธนบุรี

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากผังเมืองกรุงเทพฯ พบว่า ทำเลเสี่ยงน้ำท่วมและเสี่ยงน้ำทะเลหนุนส่วนใหญ่ถูกกำหนดให้เป็นที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยซึ่งมีความหนาแน่นของการอยู่อาศัยปานกลางและสูง รวมทั้งมีที่ดินประเภทพาณิชยกรรมด้วย ดังนั้น คาดว่าในอนาคตผู้พัฒนาอสังหาฯ จะเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับความต้องการผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทำเลเหล่านี้ยังมีศักยภาพในการเติบโตอยู่ไม่น้อย

จากข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า คอนโดมิเนียมติดอันดับหนึ่งประเภทที่อยู่อาศัยที่มีความสนใจซื้อในทำเลเสี่ยงน้ำท่วมและเสี่ยงน้ำทะเลหนุนในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา (ระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2564) ตามมาด้วยที่ดิน และบ้านเดี่ยว จากการที่ที่ดินติด 1 ใน 3 ประเภทของอสังหาฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุด สะท้อนให้เห็นว่า แม้ทำเลเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเผชิญปัญหาน้ำท่วมขัง แต่ยังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในมุมผู้ประกอบการและผู้บริโภคแล้วมองเห็นศักยภาพในการนำที่ดินไปพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคสามารถเสริมความมั่นใจก่อนเลือกซื้อบ้าน โดยตรวจสอบข้อมูลพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ได้จากเว็บไซต์กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย หรือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)