นูทานิคซ์วิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อทุกอุตสาหกรรมในปี 2565

Nutanix

นูทานิคซ์วิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อทุกอุตสาหกรรมในปี 2565

ไฮบริดคลาวด์-ไฮบริดเวิร์ก ปัญญาประดิษฐ์ และความปลอดภัยคือองค์ประกอบสำคัญของการปรับเปลี่ยนสู่ไฮเปอร์ดิจิทัล

ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี

บทความโดย ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

นูทานิคซ์เผยเทรนด์เทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมการทำงาน และการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง

ไฮบริดคลาวด์ – ไฮบริดเวิร์ก คือ ปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จทุกแง่มุม
การถูกผูกมัดจากการใช้คลาวด์ใดคลาวด์หนึ่ง (cloud lock-in) จะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความกังวลขององค์กร สืบเนื่องมาจากองค์กรต่าง ๆ มีการใช้งานพับลิคคลาวด์มากขึ้น แต่สถานการณ์นี้ก็จะขับเคลื่อนให้เกิดการใช้กลยุทธ์ไฮบริด มัลติ-คลาวด์ต่าง ๆ ตามมา เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัททั้งหลายได้ใช้เลือกใช้คลาวด์แต่ละประเภทที่มีความโดดเด่นได้ตามความเหมาะสม ทั้งยังมีอิสระและทางเลือกว่าจะให้แอปพลิเคชันและข้อมูลของตนทำงานอยู่บนคลาวด์ประเภทใดได้ด้วย

NTNX4

ปีนี้จะเป็นปีที่องค์กรเลือกใช้ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น เพราะการที่ทีมไอทีใช้เวิร์กโหลดบนคลาวด์หลายประเภท ทำให้ต้องมองหาวิธีที่จะทำให้คลาวด์ทุกประเภทที่ใช้อยู่ทำงานสอดคล้องกัน จึงมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สามารถมัดรวมความต้องการหลากหลายไว้เป็นหนึ่งเดียวให้กับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายต่าง ๆ มาตรการด้านความปลอดภัย และข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLAs)

สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากรายงาน Data Center and Cloud Service in Thailand, Board of Investment คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศจะมีสัดส่วน 25 เปอร์เซ็นของ GDP ของประเทศ ภายในปี 2570 และหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยคือบริการด้าน คลาวด์ต่าง ๆ ซึ่งความต้องการบริการเหล่านี้เกิดจากบริการดิจิทัลที่มีอยู่แล้ว เช่น อี-คอมเมิร์ซ, การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ และการสตรีมเนื้อหาดิจิทัล รวมถึงบริการใหม่ ๆ ที่กำลังจะมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น อินเทอร์เน็ตออฟธิงค์  ผู้บริโภคไทยกำลังผลักดันให้เกิดบริการดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นดิจิทัล และนั่นทำให้ความต้องการบริการดิจิทัลที่ทำงานบนคลาวด์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย 

เทคโนโลยีขับเคลื่อนแรงงานยุคใหม่
เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักให้กับทุกมุมมองที่เกี่ยวเนื่องกับบุคลากรรุ่นใหม่ เช่น การผลักดันให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กร, วัฒนธรรมองค์กร, สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, การทำงานที่ยืดหยุ่น และที่สำคัญคือช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน บริษัทใดก็ตามที่เรียนรู้วิธีการปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่กล่าวมา จะมีความได้เปรียบเมื่อถึงเวลาที่ต้องการรักษาและโน้มน้าวพนักงานที่มีความสามารถสูงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

การระบาดของโควิด-19 กำลังลดระดับลง และพนักงานเริ่มกลับมาทำงาน ทำให้ทีมไอทีของบริษัทต่าง ต้องปรับตัวอีกครั้ง ซึ่งการปรับตัวครั้งนี้คือการจัดหาเครื่องมือใหม่ ๆ ให้กับทีมงานที่มีการทำงานแบบ ไฮบริดได้ใช้ทำงานร่วมกัน เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานที่พบเจอตัวกัน และการมีส่วนร่วมกับพนักงานที่ทำงานจากระยะไกล

ปีแห่งการสร้างระบบความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ
ทีมไอทีจะยังคงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในระดับสูง โดยมีความปลอดภัยของข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญลำดับต้น ๆ เนื่องจากมีการใช้ข้อมูลแบบไฮบริดแพร่หลายมากขึ้น ทีมไอทีจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ใช้ติดตามตรวจสอบและกำกับดูแลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยต่าง ๆ

Security

ปี 2565 จะเป็นปีแห่งการสร้างระบบความปลอดภัยแบบอัตโนมัติเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโควิด-19 และภัยคุกคามที่พุ่งเป้าไปยังระบบซัพพลายเชน ประสบการณ์ที่องค์กรได้รับจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วและมากมาย (hyper-digital) จะยังไม่จบ แต่จะเร่งความเร็ว และต้องการโซลูชันที่มีสมรรถนะด้านความปลอดภัยเร็วขึ้น เพื่อให้บริการทีมงานที่ทำงานจากระยะไกล รวมถึงแอปพลิเคชันและข้อมูลที่พนักงานเหล่านี้ใช้ เรื่องนี้เริ่มและจบลงได้ด้วยวิธีการแบบองค์รวม เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดจากซัพพลายเชนทางเทคโนโลยีโดยรวมขององค์กร การเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่ามัลแวร์/ฟิชชิ่ง จะกระทบต่อความสามารถในการตอบสนองขององค์กรอย่างไร และจะสร้าง ‘war-games’ เช่น การรับรู้และทำความเข้าใจ การค้นหาและการไล่ล่าภัยคุกคามที่เฉพาะเจาะจงพุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง หรือรูปแบบทางธุรกิจแบบใดแบบหนึ่ง ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะถูกปรับให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ตามแอปพลิเคชันและตามข้อมูล และโดยปกติเป็นการใช้งานแบบ zero-trust ซึ่งผู้ใช้คนหนึ่งสามารถติดตามตรวจสอบได้ตลอดไลฟ์ไซเคิลของคำร้องขอและการเข้าใช้งานของตนได้

การเจาะระบบทางไซเบอร์จะซับซ้อนและเจาะจงขึ้นเรื่อย ๆ เทรนด์การทำงานจากบ้านจะทำให้สถานการณ์นี้แย่ลง คาดการณ์ได้ว่าปี 2565 จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นการเจาะระบบทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ โดยใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเทคโนโลยีจดจำใบหน้า และเราอาจได้เห็นช่องโหว่สำคัญจากเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้เพื่อการเลียนแบบหรือปลอมแปลง (deep fake) หรือเราอาจได้เห็นบริษัทสักแห่งถูกแทรกซึมผ่าน 5G ซึ่งแม้ว่า 5G จะปลอดภัยกว่าเทคโนโลยีไร้สายแบบเดิม แต่มีพื้นที่ให้โจมตีมากกว่ามาก และการทำงานจากบ้านหรือการทำงานจากระยะไกลก็เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับข้อมูลที่แชร์ผ่าน 5G

ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในวงการ ด้วย AI
ปี 2565 จะเป็นปีของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความท้าทายที่เกิดระหว่างความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี กับการขาดแรงงานที่มีทักษะในหลาย ๆ ด้าน ทำให้เป็นที่คาดการณ์ได้ว่าองค์กรจำนวนมากจะพิจารณาใช้ AI จัดการความท้าทายเหล่านี้ โดย AI จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เสริมประสิทธิภาพให้กับการทำงานด้านไอทีและระบบอัตโนมัติ เทคนิคต่าง ๆ เช่น โมเดลการเรียนรู้สั้น ๆ จากตัวอย่างจำนวนจำกัด และโมเดลประสิทธิภาพสูงต่าง ๆ จะช่วยให้นำ AI มาใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องรับการอบรมด้วยข้อมูลจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามการใช้ AI ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ดังนั้นนอกจากการคาดการณ์ว่าจะมีการนำ AI มาใช้เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังคาดการณ์ได้ว่าบริษัทหลาย ๆ แห่ง จะยังไม่ประสบความสำเร็จจากการใช้ AI ในระยะสั้น ๆ เป็นครั้งแรก หากพิจารณาอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนองค์กรต่าง ๆ ที่ทำตามขั้นตอนในการใช้ AI ทีละขั้นตอนจะประสบความสำเร็จมากกว่า ด้วยการเริ่มต้นที่การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน และมีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเป็นจุดเริ่มต้น แทนที่จะพยายามแก้ปัญหาจำนวนมากพร้อมกันในทันที อย่างไรก็ตาม ทั้งบริษัทที่ทำตามขั้นตอนของตนในการใช้ AI และบริษัทที่จะใช้ประโยชน์จากโมเดลที่พัฒนาโดยองค์กรวิจัยระดับแนวหน้าหรือโปรเจกต์ของบริษัทต่าง ๆ ก็จะขึ้นเป็นผู้นำในวงการเช่นกัน

คาดการณ์ 3 อันดับระบบซัพพลายเชนที่จะเกิดในปี 2565

infor

คาดการณ์ 3 อันดับระบบซัพพลายเชนที่จะเกิดในปี 2565

infor

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินฟอร์ อาเชียน-อินเดีย

ปี 2565 นับเป็นปีที่สามในการเผชิญกับภัยพิบัติด้านสุขภาพทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผลกระทบรุนแรงจากความไม่สมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ประเด็นของความไม่แน่นอนและความกังวลที่เกิดขึ้นในปีนี้ จะยังคงเกี่ยวกับปัญหาด้านความพร้อมของแรงงานและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น พื้นที่สำหรับโหลดสินค้า เซมิคอนดักเตอร์ ความพร้อมใช้งานของรถพ่วงสำหรับลากตู้คอนเทนเนอร์ ตลอดจนพื้นที่จัดเก็บของคลังสินค้า

ดังนั้น อนาคตทางสังคมและเศรษฐกิจของเราทุกคนอาจจะยังรางเลือนไม่แน่นอน อันเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงเทศกาลวันหยุด อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นรูปแบบของซัพพลายเชนแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากความสับสนวุ่นวายทางการค้า และการขนส่งสินค้าทั่วโลกในปัจจุบัน ซึ่งแนวโน้ม 3 ประการที่เราจะต้องเผชิญในปีนี้ ได้แก่

1) ปัญหาเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ตามท่าเรือสำคัญในอเมริกาเหนือและยุโรปเหนือ จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 2566 เนื่องจากความแออัดและความล่าช้าในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงปัญหาการขนส่งที่เกิดขึ้นแต่ใน “มหาสมุทร” เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นปัญหาของเครือข่ายซัพพลายเชนทั่วโลกไปแล้ว ปริมาณการขนส่งสินค้าขาเข้าที่เพิ่มขึ้นจากเอเชีย (จากความต้องการของผู้บริโภคที่สูงเป็นประวัติการณ์) กอปรกับปัญหาเกี่ยวกับแรงงานที่ท่าเรือ คนขับรถบรรทุก พนักงานขนถ่ายคลังสินค้า ตลอดจนปัญหาตู้คอนเทนเนอร์และรถพ่วงที่ว่างพร้อมใช้งาน ทำให้เกิดความล่าช้าในการขนถ่ายของเรือเดินทะเล และส่งผลกระทบถึงการเคลื่อนย้ายสินค้าออกจากท่าเรือไปยังคลังสินค้า หรือสถานที่แยกสินค้าที่อยู่ภายในประเทศอีกด้วย

2) บริษัทต้องจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ใช้ตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งความสัมพันธ์กับผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่ร่วมมือกัน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของซัพพลายเชน เพราะการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจจะยังคงเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง นอกเหนือจากการมองเห็นสินค้าคงคลังในระหว่างการขนส่งแบบเรียลไทม์แล้ว บริษัทจะต้องมีการตั้งเป้าในการดำเนินงานใหม่ เน้นให้มองเห็นการขนส่งแบบองค์รวมในหลากหลายมิติ แทนการมุ่งแสวงหาต้นทุนที่ต่ำลงเพียงอย่างเดียว เช่น พื้นที่โหลดสินค้า การดำเนินงานและสภาพการเงินของซัพพลายเออร์ จุดขนส่งสำหรับเปลี่ยนถ่ายสินค้า และความคืบหน้าในการควบคุมดูแลการขนส่งตลอดเส้นทาง เป็นต้น และเพื่อช่วยให้มีการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นเมื่อเกิดปัญหาภายในเครือข่ายซัพพลายเชนหรือช่องทางการขนส่งทั่วโลก ความยืดหยุ่นจึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อยกเว้นเพื่อช่วยให้ระบุและแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขึ้น (exception monitoring) เพราะความสำเร็จในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าปลายทางน้้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ขึ้นอยู่กับการควบคุมและความยืดหยุ่นที่เพิ่มมากขึ้นในการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นทาง

infor

3) รูปแบบของระบบซัพพลายเชนทั่วโลกในปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มว่าจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน ได้แก่

      • ต้นทุนการขนส่งสินค้าทางทะเลและทางอากาศที่สูงขึ้นจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป แม้ว่าความแออัดและข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตในปัจจุบันได้ลดลงมาอยู่ในระดับใหม่ที่สมดุลทั้งโลกแล้ว
      • ตลาดการขนส่งสินค้าในช่วง ‘ไฮซีซัน’ แบบดั้งเดิมจะเริ่มเร็วขึ้นและลากยาวกว่าปกติ
      • สัญญาการขนส่งสินค้าระยะสั้นจะเพิ่มมากขึ้น
      • ผู้ส่งสินค้าจะยังคงเพิ่มการใช้งานผู้ให้บริการขนส่งทั่วไปที่ไม่ใช่เจ้าของเรือหรือไม่มีเรือเป็นของตนเอง (Non-Vessel-Operating Common Carriers – NVOCCs) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบ third-party (3PLs) เพื่อให้มั่นใจว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับการโหลดสินค้า
      • ผู้ส่งสินค้าจำนวนมากขึ้นจะแลกเปลี่ยนพื้นที่โหลดสินค้าที่มีการคาดการณ์ไว้ ที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลากับผู้ให้บริการหลักของตน เพื่อปรับปรุงการวางแผนเครือข่ายการขนส่งสินค้าโดยรวม
      • ผู้ส่งสินค้าและผู้รับสินค้าปลายทางจำนวนมากขึ้นจะอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพในการขนถ่ายสินค้าสำหรับรถพ่วงและตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อเพิ่มพื้นที่โหลดสินค้าในเครือข่าย
      • ผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากขึ้นจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์และ
        ซัพพลายเชนระดับโลก โดยเน้นเรื่องความผันผวนของอุปทานที่ลดลง ควบคู่ไปกับการจัดการต้นทุนเพื่อปกป้องสายการผลิต ประสบการณ์ลูกค้าปลายทาง รวมถึงผลกำไรของธุรกิจโดยรวม

ความไม่แน่นอนของความท้าทายด้านอุปทานและอุปสงค์ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ได้กลายเป็น “นิวนอร์มัล” ของผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชนไปแล้ว ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับปรุงเทคโนโลยี และเครื่องมือบริหารจัดการซัพพลายเชนที่พวกเขาใช้ทุกวัน ทั้งนี้ การเชื่อมต่อกับพันธมิตรได้มากขึ้นและยืดหยุ่นขึ้น มีแหล่งข้อมูลภายนอกมากขึ้น รวมถึงมีเครือข่ายซัพพลายเชนที่ชาญฉลาดที่เชื่อมโยงความต้องการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าไว้ด้วยกันในท้ายที่สุด ที่เกิดจากการวางแผนการจัดซื้อและการจัดส่งตั้งแต่ต้นทาง จะช่วยให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่าจะสามารถตอบสนองและเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต

ปีใหม่นี้…ขับรถเดินทางอุ่นใจกว่าเดิม ทรูมันนี่ ร่วมกับ กรุงเทพประกันภัย มอบฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน* 24 ชั่วโมง

True Money

ปีใหม่นี้…ขับรถเดินทางอุ่นใจกว่าเดิม ทรูมันนี่ ร่วมกับ กรุงเทพประกันภัย มอบฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน* 24 ชั่วโมง

ลูกค้าทรูมันนี่ที่ยืนยันตัวตน (KYC) แล้ว ลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 มกราคม ปี 2565 ผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมมือกับ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง* เพิ่มความอุ่นใจในทุกการขับขี่รถยนต์เพื่อเดินทางช่วงหยุดยาวปีใหม่นี้แก่ลูกค้าทรูมันนี่ วอลเล็ทที่สมัครและยืนยันตัวตนแล้ว เพียงลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 มกราคม 2565 รับความคุ้มครองนาน 2 เดือน นับตั้งแต่วันเริ่มความคุ้มครอง

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างทรูมันนี่ และ บมจ.กรุงเทพประกันภัย ครั้งนี้เป็นการสานต่อความตั้งใจร่วมกันในการส่งมอบความห่วงใยแก่ผู้ใช้ทรูมันนี่ ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ที่จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจและลดความกังวลใจเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ตลอด 24 ชั่วโมง ตอบรับความต้องการในช่วงเทศกาลหยุดยาวปีใหม่นี้ที่คาดว่าหลายคนกำลังวางแผนเดินทางไปพักผ่อน เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ โดยนอกเหนือจากบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ความคุ้มครองนี้ยังรวมถึงบริการพิเศษที่คอยให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในด้านอื่น ๆ เพื่อทำให้การเดินทางกลับบ้านหรือท่องเที่ยวเป็นไปอย่างราบรื่น”

ทั้งนี้ บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมงดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่บริการต่อพ่วงแบตเตอรี่ เปลี่ยนยางอะไหล่ ติดต่อช่างกุญแจสำรอง บริการจัดส่งน้ำมัน บริการลากรถฟรี 1 ครั้ง และบริการเสริมพิเศษอื่น ๆ อาทิ ให้คำแนะนำทางด้านเทคนิค หรือแนะนำสถานที่พยาบาล และการแพทย์เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างการเดินทาง พร้อมบริการสำรองที่พัก ภัตตาคาร รถเช่า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อีกมากมาย ลูกค้าทรูมันนี่ที่สนใจสามารถคลิกดูรายละเอียดและเงื่อนไขความคุ้มครองได้ที่ https://tmn.app.link/nqCoOE4d8lb

ผู้ที่สนใจสามารถรับความคุ้มครองง่าย ๆ เพียงเป็นลูกค้า TrueMoney Wallet ที่สมัครและยืนยันตัวตน (KYC) แล้ว โดยเปิดแอปฯ TrueMoney Wallet และกด banner “รับฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง*” ไปสู่หน้า บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) และคลิกตามขั้นตอนเพื่อรับสิทธิ์ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 มกราคม ปี 2565 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TrueMoney Customer Care ผ่าน Call Center เบอร์ 1240 หรือ Live Chat ตลอด 24 ชั่วโมง

ขั้นตอนการลงทะเบียนรับสิทธิ์บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง จากกรุงเทพประกันภัย ผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท

      1. เปิดแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท และ Log-in
      2. ไปที่ banner “ปีใหม่นี้ เดินทางอุ่นใจ”
      3. กรอกข้อมูลส่วนตัว และรายละเอียดรถยนต์ (ยี่ห้อ รุ่น และทะเบียนรถ) ที่ใช้เดินทาง และกดปุ่ม “กดรับสิทธิ์ฟรี”
      4. บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) จะส่ง SMS เพื่อยืนยันการรับสิทธิ์ตามเบอร์มือถือที่ลูกค้ากรอกข้อมูลไว้
TrueMoney

*หมายเหตุ

      • บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ไม่รวมกรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุ
      • มอบความคุ้มครอง โดย บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด​ (มหาชน) หากลูกค้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง ติดต่อ 02-285-8888
      • เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด​ (มหาชน) กำหนด
      • บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ทำหน้าที่เป็นเพียงช่องทางในการสื่อสารเพื่อให้ทางกรุงเทพประกันภัยได้มอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉินดังกล่าว ให้กับผู้ใช้บริการทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่ยืนยันตัวตนแล้วเท่านั้น บริษัทฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณา อนุมัติ รวมถึงขั้นตอนการมอบบริการดังกล่าว

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้สรุปเทรนด์อสังหาฯ น่าจับตา ส่งท้ายปีฉลู

DDproperty

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้สรุปเทรนด์อสังหาฯ น่าจับตา ส่งท้ายปีฉลู

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในรอบปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่มีบทบาทกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต ทัศนคติต่อการอยู่อาศัยให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยาวนาน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ผู้บริโภคใช้ชีวิตภายใต้บริบททางสังคมที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในแวดวงอสังหาฯ ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ได้ปรับตัวพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบันมากขึ้น ชูจุดเด่นในเรื่องการสร้างสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีกว่า เพื่อดึงดูดกำลังซื้อจากผู้ที่กำลังมองหาบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ขอนำเสนอเทรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามองในรอบปี 2564 สรุปทิศทางแนวโน้มที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคยุคใหม่มองหา เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ส่งมอบประสบการณ์ และตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่แท้จริงได้อย่างราบรื่น

    • การผสมผสานไลฟ์สไตล์ดิจิทัล (Digital Lifestyle Integration) ปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทในการยกระดับและรองรับการใช้ชีวิตยุคใหม่ให้สะดวกสบาย เห็นได้จากการที่หลายโครงการได้นำแนวคิดบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) มาใช้มากยิ่งขึ้น จนแทบจะกลายเป็นฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นฐานที่ที่อยู่อาศัยยุคใหม่ต้องมี การที่บ้าน/คอนโดฯ ใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้านนั้น นอกจากจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสะดวกสบายยิ่งขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความอุ่นใจในความปลอดภัยมากขึ้น ทั้งในเรื่องการเฝ้าระวัง การตรวจสอบ การเปิดหรือปิดการใช้งานระบบไฟฟ้าได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
    • การอยู่อาศัยแบบยั่งยืนตอบโจทย์คนหาบ้าน (Sustainable & Green Living) เมื่อผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเทรนด์ความยั่งยืน ภาคธุรกิจรวมถึงตลาดอสังหาฯ จึงต้องปรับตัวเพื่อตอบโจทย์นี้ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดฯ ที่ผ่านมาที่ผู้บริโภคต้องอยู่กับบ้านมากขึ้น จึงมองหาบ้านที่มาพร้อมฟังก์ชั่นประหยัดพลังงานและรักษ์โลก ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยว่า คนไทยกว่า 9 ใน 10 (93%) ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน โดยมากกว่าครึ่ง (62%) ต้องการบ้าน/คอนโดฯ ที่มีระบบหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อสร้างพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้ไฟฟ้า ตามมาด้วยบ้านที่มีระบบระบายความร้อน (58%) และฟังก์ชั่นดูดซับมลพิษภายในบ้าน (48%) นอกจากนี้หลายโครงการยังได้เพิ่มจุดบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนกลาง รองรับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง
    • บ้านเพื่อผู้สูงอายุ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) แล้วในปีนี้ โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึง 20% ของประชากรทั้งหมด หลายโครงการที่อยู่อาศัยมีการออกแบบและนำเสนอนวัตกรรมการสร้างบ้านสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกและราบรื่นยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มราวจับในพื้นที่ต่างระดับ การเลือกประตูที่มีขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับรถเข็น และสร้างทางลาดให้รถเข็นเข้า-ออกในตัวบ้านได้ง่ายขึ้น ซึ่งรายละเอียดการออกแบบต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะบ้านที่มีผู้สูงอายุเท่านั้น หากแต่เป็นหลักการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยและรองรับการใช้ชีวิตของทุกช่วงวัยได้เป็นอย่างดี ถือเป็นพื้นฐานการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ทุกบ้านต้องมี นอกจากนี้ ยังมีโครงการอสังหาฯ หลายแห่งที่ร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพในการเพิ่มบริการดูแลสุขภาพไว้รองรับ ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ
ddproperty
    • ที่อยู่อาศัย Pet Friendly สำหรับคนรักสัตว์ เทรนด์สัตว์เลี้ยงถือเป็นอีกไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภค แต่ก็กลายเป็นอีกข้อจำกัดเมื่อต้องเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเช่นกัน ในอดีตโครงการคอนโดฯ ส่วนใหญ่มักไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนเพื่อนร่วมคอนโดฯ หรือมีปัญหาเรื่องความสะอาด ที่อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทตามมาในภายหลังได้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนรักสัตว์มีจำนวนไม่น้อยและถือเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อในตลาด ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ มองเห็นโอกาสและหันมาเจาะกลุ่มคนรักสัตว์โดยเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Friendly) พร้อมทั้งมีพื้นที่ส่วนกลางที่ให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงได้ทำกิจกรรมร่วมกันอีกด้วย
    • เทรนด์เช่ามาแรง ลดภาระค่าครองชีพ การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดฯ ที่ยังมีความผันผวนอยู่ ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน และวางแผนการเงินอย่างรัดกุม เลือกเก็บเงินสดไว้กับตัว ส่งผลให้เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อาทิ ค่าบำรุงรักษา รวมไปถึงค่าภาษีและดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเมื่อตัดสินใจซื้อบ้าน/คอนโดฯ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่ครอบคลุมเพียงพอ การเช่าที่อยู่อาศัยจะช่วยให้กลุ่มคนรุ่นใหม่สามารถเลือกเช่าที่อยู่อาศัยใกล้ที่ทำงานได้ในราคาที่เอื้อมถึง โดยไม่มีภาระผูกมัดระยะยาว และยืดหยุ่นกว่าเมื่อคิดจะเปลี่ยนงานใหม่ นอกจากนี้การเปิดประเทศและนโยบายจากภาครัฐจะสนับสนุนให้ Digital Nomad หรือผู้ประกอบอาชีพด้านดิจิทัลชาวต่างชาติเลือกเข้ามาทำงานและพักอาศัยในไทยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนให้ตลาดเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตเช่นกัน
    • สร้างบรรยากาศแบบ Holiday at Home การใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้เกิดแนวคิดการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ให้ความรู้สึกของการพักผ่อนที่เหมือนได้ท่องเที่ยวพักผ่อนในต่างจังหวัดแม้จะอยู่ที่บ้าน รวมทั้งการตกแต่ง การจัดสวนให้มีมุมพักผ่อนที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ สมาชิกในครอบครัวสามารถเลือกนั่งทำงานหรือเรียนออนไลน์ในบรรยากาศที่แตกต่างออกไป ลดความจำเจเมื่อต้องทำงานที่บ้านเป็นระยะเวลานาน และยังสามารถใช้พื้นที่ในสวนเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่บ้านร่วมกันได้อีกด้วย ตอบโจทย์การออกแบบที่อยู่อาศัยให้ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ของคนในครอบครัว
    • สกุลเงินดิจิทัลกับโอกาสเป็นเจ้าของอสังหาฯ กระแสของสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ในไทยน่าจับตามองและมีบทบาทมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ไม่เพียงแต่ด้านฟินเทค (Fintech) เท่านั้นแต่รวมไปถึงในธุรกิจค้าปลีก ความบันเทิง และอสังหาฯ โดยในกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ที่กล้ารับความเสี่ยง มองว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าไม่ต่างจากการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยให้ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงและระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน ผู้ยื่นกู้จำเป็นต้องมีประวัติการเงินที่ดีและมีศักยภาพในการผ่อนชำระจึงจะได้รับการอนุมัติจากธนาคาร ถือเป็นอุปสรรคในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่หรือวัยเริ่มทำงาน ในขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนสกุลเงินดิจิทัลที่ได้ในระยะเวลาไม่นาน ช่วยลดข้อจำกัดเหล่านี้และเปิดโอกาสให้นักลงทุนรุ่นใหม่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถนำอสังหาฯ นี้ไปลงทุนขายต่อหรือปล่อยเช่าได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องจับตามองต่อไปว่านอกจากการประกาศใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้ออสังหาฯ หรือจ่ายค่าส่วนกลางและค่าบริการอื่น ๆ ในบางโครงการแล้ว ในอนาคตเทรนด์สกุลเงินดิจิทัลจะสามารถกลายเป็นอีกช่องทางหลักของการซื้อขายในตลาดอสังหาฯ ได้หรือไม่
DDproperty
    • Metaverse ยกระดับประสบการณ์ที่อยู่อาศัยบนโลกเสมือน เทรนด์มาแรงที่สั่นสะเทือนทุกธุรกิจส่งท้ายปี ได้แก่ Metaverse นวัตกรรมที่สร้างสรรค์และผสมผสานสภาพแวดล้อมของโลกจริงเข้ากับโลกเสมือนจริง ให้กลายเป็นชุมชนโลกเสมือนจริงผ่านการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่รองรับการเข้าถึงโลกเสมือนอย่าง Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) ถือเป็นแนวคิดที่จะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงตลาดอสังหาฯ ไปไม่น้อย นอกจากผู้บริโภคจะสามารถซื้อโครงการที่อยู่อาศัยในชีวิตจริงแล้ว ยังสามารถเป็นเจ้าของโครงการในโลกเสมือนได้ผ่านการเชื่อมโยงของ Metaverse อีกด้วย นอกจากนี้ยังนำไปใช้เพื่อยกระดับการเยี่ยมชมที่อยู่อาศัยก่อนตัดสินใจซื้อแบบ Virtual Tour ในอนาคตให้ได้รับประสบการณ์ที่สมจริงยิ่งขึ้นเหมือนเดินชมที่สำนักงานขายด้วยตนเอง พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจในการเปิดพื้นที่ใน Metaverse ให้สามารถซื้อขายที่ดินเพื่อพัฒนาห้างสรรพสินค้าและโครงการอสังหาฯ ต่าง ๆ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบไร้รอยต่อระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

Restaurant Brands International จับมือแอนท์กรุ๊ป เร่งทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นสำหรับธุรกิจร้านอาหารทั่วเอเชีย-แปซิฟิก

Restaurant Brands International

Restaurant Brands International จับมือแอนท์กรุ๊ป เร่งทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นสำหรับธุรกิจร้านอาหารทั่วเอเชีย-แปซิฟิก

Restaurant Brands International Inc. (“RBI”) หนึ่งในบริษัทที่ทำธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเจ้าของแบรนด์ เช่น TIM HORTONS®, BURGER KING® และ POPEYES® ประกาศความร่วมมือระดับภูมิภาคกับแอนท์กรุ๊ป (Ant Group) โดยจะใช้ประโยชน์จากโซลูชั่นดิจิทัลของแอนท์กรุ๊ปเพื่อเร่งการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล หรือดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการดำเนินธุรกิจร้านอาหารทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการดำเนินงานของ RBI เพื่อสนับสนุนการทำงานของร้านอาหารแฟรนไชส์และการขยายธุรกิจในตลาดเอเชีย-แปซิฟิก

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว แอนท์กรุ๊ปจะทำงานร่วมกับร้านอาหารแฟรนไชส์ของ RBI ในแต่ละประเทศ เพื่อติดตั้งการใช้งานโซลูชั่นดิจิทัล รวมถึงโซลูชั่นมินิโปรแกรมในรูปแบบของ Software-as-a-Service (SaaS) และ Alipay+ ซึ่งเป็นโซลูชั่นด้านการตลาดและการชำระเงินระหว่างประเทศที่ครอบคลุมทั่วโลก ความร่วมมือในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบประสบการณ์หลากหลายช่องทาง (omni-channel) ที่ราบรื่นและสะดวกมากขึ้นสำหรับลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านอาหาร

ด้วยโซลูชั่นมินิโปรแกรม SaaS แอนท์กรุ๊ปจะพัฒนามินิโปรแกรมสำหรับแต่ละแบรนด์ของ RBI ซึ่งได้แก่ Tim Hortons, Burger King และ Popeyes โดยมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพตลาดของแต่ละประเทศ ภายใต้มินิโปรแกรมนี้ ร้านอาหารแฟรนไชส์ของ RBI ในแต่ละประเทศจะสามารถผนวกรวมการดำเนินงานทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ และช่วยให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินงานได้อย่างละเอียดและเจาะลึกมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ลูกค้าของร้านอาหารจะสามารถเข้าถึงบริการเพิ่มเติมได้ เช่น เมนูและการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless) การสั่งอาหารทางออนไลน์แล้วไปรับที่ร้าน หรือการส่งถึงบ้าน ฟังก์ชั่นการสแกนและสั่งอาหารภายในร้าน เป็นต้น นอกจากนั้น มินิโปรแกรมยังผนวกรวมกับ Loyalty Program ที่มีอยู่ในแต่ละแบรนด์ของ RBI และนำเสนอฟีเจอร์ด้านการตลาดดิจิทัลเพิ่มเติม เช่น การแจกคูปองส่วนลดแบบดิจิทัล ฯลฯ

เพื่อช่วยให้ร้านอาหารของ RBI เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น มินิโปรแกรมดังกล่าวจะถูกบูรณาการเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่น ๆ ในระดับประเทศและระดับภูมิภาค รวมถึงแพลตฟอร์มของ Chope ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพชั้นนำด้านเทคโนโลยี F&B ระดับภูมิภาค และบริการอีวอลเล็ทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว RBI จะใช้ประโยชน์จากโซลูชั่น Alipay+ ของแอนท์กรุ๊ป เพื่อขยายทางเลือกในการชำระเงินสำหรับร้านอาหาร เว็บไซต์ แอพ และมินิโปรแกรมที่เกี่ยวข้อง ด้วยการผนวกรวมโซลูชั่นต่างๆ ของ Alipay+ การดำเนินงานของ RBI จะรองรับการชำระเงินต่าง ๆ เช่น ทรูมันนี่ วอลเล็ท (True Money Wallet) ในไทย, Touch ‘n Go eWallet ในมาเลเซีย, GCash ในฟิลิปปินส์, Kakao Pay ในเกาหลีใต้ และอื่น ๆ อีกมากมาย

เอเครม โอเซอร์ ประธานประจำภูมิภาค APAC ของ Restaurant Brands International กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศการเป็นพันธมิตรครั้งสำคัญกับแอนท์กรุ๊ป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภารกิจของเราเพื่อเพิ่มความสะดวกกับลูกค้าในการสั่งและรับประทานอาหารที่ง่ายขึ้น รวมถึงการชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่สะดวก และตรงความต้องการของลูกค้า ผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ในเอเชียจะได้รับประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล และการรวมมินิโปรแกรมเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่น ๆ เช่นกัน”

แองเจล เจา ประธานกลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศของแอนท์กรุ๊ป กล่าวว่า “การนำระบบการชำระเงินดิจิทัลและนวัตกรรมทางการตลาดมาใช้เป็นเรื่องสำคัญต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อให้บริการแบบไร้การสัมผัส (Contactless) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเพื่อให้แบรนด์สามารถปรับตัวได้เท่าทันต่อตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ แอนท์กรุ๊ปมุ่งมั่นในการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจ RBI ต่อการมุ่งสู่เส้นทางดิจิทัลทรานฟอร์เมชั่น เพื่อนำเสนอประสบการณ์แก่ลูกค้าในรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อลูกค้ากับแบรนด์ในเครือ RBI ทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ลูกค้า”

การปรับใช้โซลูชั่นดังกล่าวจะครอบคลุม 8 ตลาดในเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหาร 1,500 สาขาภายใต้ 3 แบรนด์หลักของ RBI

อ่านข้อมูล business partnership อื่น ๆ ของแอนท์กรุ๊ป: iQiyi ใช้ Alipay+ ขยายตลาด พัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ทั่วเอเชีย