ผลวิจัย Ericsson ConsumerLab ชี้การใช้แอป Generative AI เพิ่มขึ้นกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคในบริการเชื่อมต่อรูปแบบแตกต่างกัน

ผลวิจัย Ericsson ConsumerLab ชี้การใช้แอป Generative AI เพิ่มขึ้นกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคในบริการเชื่อมต่อรูปแบบแตกต่างกัน

ผลวิจัย Ericsson ConsumerLab ชี้การใช้แอป Generative AI เพิ่มขึ้นกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคในบริการเชื่อมต่อรูปแบบแตกต่างกัน

  • 35% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจ่ายค่าบริการกับการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่างกัน
  • ผลวิจัยฉบับนี้เป็นตัวแทนผู้บริโภค 1 พันล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G อยู่ 750 ล้านราย
  • รายงานนี้ยังชี้ให้เห็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP)

ผลวิจัยล่าสุดจาก Ericsson (NASDAQ: ERIC) ConsumerLab เผยการใช้แอปพลิเคชัน Generative AI กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความสนใจกับการเชื่อมต่อที่แตกต่างตามการใช้งานที่จำเป็นของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ทั่วโลก พร้อมรับประกันว่าการเชื่อมต่อจะมีคุณภาพอยู่ในระดับไฮเอนด์และไม่สะดุดในเวลาที่ต้องการใช้งานมากที่สุด

จากจำนวนเจ้าของสมาร์ทโฟนที่ใช้แอป Generative AI อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้สอดคล้องกับยูสเคสการใช้งานเครือข่ายที่มีความแตกต่างกันเช่นวิดีโอคอล สตรีมมิ่ง และการชำระเงินออนไลน์ ที่ผู้ใช้ระบุว่าพวกเขาเต็มใจจ่ายเพิ่มกับบริการในระดับพรีเมียม

บริการเชื่อมต่อที่มีความแตกต่างและผู้บริโภคที่เต็มใจจ่ายค่าบริการให้กับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) เพื่อรับประกันว่าจะได้รับการเชื่อมต่อประสิทธิภาพสูงในการใช้งานแอปที่จำเป็น เป็นหัวข้อในรายงานระดับโลกล่าสุดจาก Ericsson ConsumerLab ในชื่อว่า Elevating 5G with Differentiated Connectivity ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

เกือบ 1 ใน 4 ของผู้ใช้ Gen AI ระบุว่ายินดีจ่ายค่าบริการเพิ่ม 35% กับบริการที่รับประกันว่าจะได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและปลอดภัยระหว่างที่ใช้แอปพลิเคชันที่มีความจุสูง

ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า 35% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G สนใจที่จะจ่ายค่าบริการเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่แตกต่างกันสำหรับใช้งานแอปพลิเคชันที่จำเป็นต่าง ๆ

รายงานฉบับนี้ ยังระบุถึงโอกาสต่าง ๆ ในการสร้างรายได้สำหรับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารอีกด้วย

แจสมีต เซธิ หัวหน้าฝ่ายวิจัย ConsumerLab ของอีริคสัน กล่าวว่า “ผลการวิจัยล่าสุดในรายงาน Ericsson ConsumerLab เผยว่า เมื่อแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น ความคาดหวังของผู้ใช้ต่อประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ดีก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคคาดหวังความสามารถในอนาคตของแอปพลิเคชัน AI ที่อาจเกี่ยวข้องกับ การสร้างภาพ เสียง หรือวิดีโอ และพวกเขาเต็มใจที่จะจ่ายค่าบริการเพื่อให้ได้ความสามารถเหล่านั้นมาใช้ทำงานที่ได้ความรวดเร็วและมีคุณภาพสูง นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโอกาสของผู้ให้บริการทั่วโลกที่จะสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ด้วยการมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ปรับแต่งได้”

เซธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อผู้ให้บริการปรับใช้โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ จะมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากบริการเชื่อมต่อที่แตกต่าง รวมถึงการนำเสนอแพ็กเกจบริการที่สามารถปรับแต่งและการรับประกันคุณภาพการเชื่อมต่อที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มในตลาด”

“การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) ของบริการ 5G เพิ่มขึ้น 5-12% เนื่องจากผู้ใช้งานต้องการประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้และมีการรับประกันสำหรับแอปพลิเคชันเฉพาะด้าน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสปลดล็อกช่องทางสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากความต้องการอย่างมีนัยสำคัญของกลุ่มผู้ใช้บริการ 5G ที่ต้องการใช้แอปประสิทธิภาพสูง โดย 1 ใน 3 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจัดสรรงบประมาณ 10% จากค่าใช้จ่ายแอปมือถือในปัจจุบัน เพื่อมาซื้อแอปที่มีคุณภาพการเชื่อมต่อสูงอยู่ในตัว ด้วยการเปิดให้นักพัฒนาเข้าถึง Network APIs แบบ Quality on Demand (QoD) ทำให้ผู้ให้บริการฯ สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ และช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำเสนอประสบการณ์ระดับพรีเมียมที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมปลดล็อกช่องทางรายได้ใหม่ ๆ ในกระบวนการนี้ได้” เซธิ กล่าวเพิ่ม

ประเด็นสำคัญ:

  • พร้อมจ่ายค่าบริการเพิ่ม: 35% ของผู้ใช้ 5G ทั่วโลก ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อรับบริการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่างกัน เพื่อรับประกันประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกับงานที่มีความสำคัญ
  • กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นใจ หรือ Assurance Seekers: แม้จะมีความเชื่อว่าผู้ใช้จะไม่ยอมจ่ายค่าบริการเครือข่ายเพิ่ม แต่ผลสำรวจพบว่า 20% ของผู้ใช้งาน ซึ่งเรียกว่า ‘Assurance Seekers’ กำลังมองหาการเชื่อมต่อคุณภาพสูงเพื่อใช้แอปพลิเคชันสำคัญและพวกเขาเต็มใจจะจ่ายเพิ่ม
  • ความต้องการใช้แอป Gen AI: คาดว่าจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ใช้แอป Gen AI รายสัปดาห์จะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดย 1 ใน 4 ของผู้ใช้ AI ในปัจจุบัน เต็มใจจ่ายค่าบริการเพิ่มถึง 35% เพื่อแลกกับบริการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่าง เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประสิทธิภาพที่รวดเร็วและตอบสนองเป็นอย่างดีเมื่อใช้แอป AI
  • ความสนใจระดับภูมิภาค: ตลาดอินเดีย ประเทศไทยและซาอุดีอาระเบีย มีสัดส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่สนใจบริการเชื่อมต่อที่แตกต่างหรือ Differentiated Connectivity มากกว่าฝรั่งเศสและสเปนถึง 2 เท่า
  • 5 ขั้นตอนสำหรับผู้ให้บริการ: รายงานฉบับนี้ยังได้นำเสนอการวางแนวทางสำหรับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อเปลี่ยนจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มือถือทั่วไป ไปสู่โมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพและแพลตฟอร์ม ซึ่ง Network APIs จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างประสบการณ์การใช้แอปที่ปรับแต่งเฉพาะได้

การสำรวจนี้เป็นการสำรวจทางออนไลน์กับผู้ใช้สมาร์ทโฟนจำนวนมากกว่า 23,000 ราย และมากกว่า 17,000 รายเป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G โดยมีอายุระหว่าง 15-69 ปี ครอบคลุมใน 16 ตลาดสำคัญทั่วโลก นักวิจัยของอีริคสันยังระบุว่าการสำรวจนี้เสมือนเป็นตัวแทนผู้ใช้บริการมือถือ 1.1 พันล้านคนโดยในจำนวนนี้เป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G 750 ล้านราย

ผู้ใช้บริการ 5G ที่ร่วมการสำรวจมาจาก: ออสเตรเลีย, บราซิล, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, ฮ่องกง, อินเดีย, ซาอุดีอาระเบีย, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, สเปน, ไต้หวัน, ไทย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) โดยประชากรเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง  ด้วยความท้าทายหลายด้านจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงทำให้เกิดความกังวลในการสร้างครอบครัว หลายคนเลือกจะครองตัวเป็นโสดมากขึ้นส่งผลกระทบต่อมิติเศรษฐกิจในอนาคต ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 พบว่า 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นโสด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 23.9% และหากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) พบว่า มีคนโสดอยู่ที่ 40.5% สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว โดยกรุงเทพฯ มีสัดส่วนคนโสดต่อประชากรในพื้นที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ถึง 50.4% 

ขณะเดียวกัน สัดส่วนการแต่งงานในปัจจุบันก็มีแนวโน้มลดลง ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยพบว่าสถิติการจดทะเบียนสมรสลดลงและการหย่าร้างมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าความท้าทายในการใช้ชีวิตคู่เป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ Solo Economy หรือเศรษฐกิจของครัวเรือนที่อาศัยอยู่คนเดียว (Single person household) มีการขยายตัวมากขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในไทย โดยคนโสดเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงเนื่องจากมีภาระทางการเงินน้อยกว่ากลุ่มมีครอบครัวหรือมีบุตร และมีอิสระในการใช้จ่ายเพื่อความสุขมากกว่า จึงกลายเป็นโอกาสของหลายธุรกิจในการปรับตัวเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้

เกาะติดเทรนด์ที่อยู่อาศัยวิถีชาว Solo Economy 

การขยายตัวของ Solo Economy ในไทยส่งผลให้วิถีชีวิตผู้บริโภคปรับเปลี่ยนตามไปด้วยในหลายมิติ ซึ่งรวมทั้งเทรนด์การค้นหาที่อยู่อาศัย หลังจากก่อนหน้านี้วัยทำงานมักเริ่มวางแผนซื้อบ้านเมื่อต้องการสร้างครอบครัวเป็นอันดับต้น ๆ อย่างไรก็ดี คนโสดยังคงต้องการบ้านในฝันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เช่นกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยเทรนด์ที่อยู่อาศัยตอบโจทย์คนโสดหรือผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียว ปัจจัยใดบ้างที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพื่อให้มาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่เน้นดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่

  • การเช่าตอบโจทย์ ลดภาระในอนาคต ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) พบว่า ผู้ทำแบบสอบถามที่มีสถานะโสดวางแผนจะเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้า 14% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้บริโภคทั่วไป (สัดส่วน 10%) และสูงกว่าผู้บริโภคในสถานภาพสมรสอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นว่า เทรนด์การเช่าบ้าน/คอนโดฯ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนโสดมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องการแบกรับภาระหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน และมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการบำรุงรักษาตามมามากกว่าการเช่า ขณะที่ปัจจุบันธนาคารมีเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดการเกิดหนี้เสีย ทำให้หลายคนเลือกใช้วิธีกู้ร่วมกับคนรักเพื่อให้ได้วงเงินที่สูงขึ้นและครอบคลุมราคาบ้านที่ต้องการแทน

อย่างไรก็ดี แม้คนโสดจะสามารถกู้ซื้อบ้านร่วมกับคนในครอบครัวได้ แต่หลายคนมักให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินในระยะยาว และเน้นใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่าต้องมากังวลกับภาระหนี้ การซื้อบ้านจึงอาจไม่ใช่เป้าหมายสำคัญอันดับต้น ๆ เนื่องจากยังสามารถเลือกการเช่าแทนได้และยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน อีกทั้งยังสะดวกในการโยกย้ายหากต้องการเปลี่ยนงานหรือย้ายทำเลมากกว่า นอกจากนี้ คนโสดยังไม่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่มากเกินความจำเป็น ทำให้มักจะเลือกที่อยู่อาศัยที่มีขนาดเหมาะสมกับการอยู่อาศัยจริงที่ค่าเช่าไม่สูงจนเกินไป

  • ระบบรักษาความปลอดภัยต้องรัดกุม ที่อยู่อาศัยในฝันของหลายคนคือโครงการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มายกระดับความปลอดภัยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้อยู่อาศัยทุกคนโดยเฉพาะคนที่อยู่เพียงลำพัง โดยผู้บริโภคสามารถสอบถามนิติบุคคลถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่โครงการมีให้ เช่น มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงและมีการเดินตรวจตราครอบคลุมทุกพื้นที่ มีกล้องวงจรปิดทั่วทั้งโครงการ ใช้ระบบลิฟต์ล็อกชั้นสำหรับคอนโดฯ ผู้อยู่อาศัยเข้า-ออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด มีการตรวจสอบ/คัดกรองบุคคลที่มาติดต่อในโครงการอย่างเคร่งครัด และมีมาตรฐานการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้พักอาศัยให้สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถเพิ่มความปลอดภัยได้ด้วยการติดตั้งกลอนประตูดิจิตอล (Digital Door Lock) ที่สามารถปรับรูปแบบการปลดล็อกได้ด้วยตนเอง รวมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยว่าแต่ละประเภทมีความคุ้มครองแบบใดบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่คอนโดฯ อาจพิจารณาซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากประกันภัยส่วนกลางเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวภายในห้อง ช่วยเพิ่มความมั่นใจและป้องกันความเสียหายหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น น้ำรั่วซึมหรือไฟไหม้ 

  • โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ช่วยคลายเหงา การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่องในหมู่คนโสดและผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างปรับตัวเพื่อเจาะตลาดนี้เช่นกัน ข้อมูลจากผลสำรวจของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด พบว่า ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวนอาคารชุดประเภทที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600% เมื่อเทียบกับปี 2554

สอดคล้องกับแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า 33% ของคนโสดต้องการฟิลเตอร์ช่วยคัดกรองโครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) เมื่อค้นหาที่อยู่อาศัยออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถค้นหาที่อยู่อาศัยที่ออกแบบเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของสัตวเลี้ยงโดยเฉพาะ และได้อยู่ท่ามกลางคอมมูนิตี้ของคนรักสัตว์เหมือนกัน ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว นอกจากนี้ โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) ยังติดอันดับ 1 ใน 5 ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของคนโสดอีกด้วย

  • พื้นที่ส่วนกลางเสริมสุขภาพกายและใจ พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ผู้พักอาศัยสามารถใช้เวลาพักผ่อนตามไลฟ์สไตล์ที่ตนชื่นชอบได้ โดยคนโสดส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองจึงต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสายรักสุขภาพอย่างพื้นที่ออกกำลังกาย เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องโยคะ เลนปั่นจักรยาน หรือสนามกีฬาประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้การดูแลสุขภาพจิตใจให้สมดุลก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โครงการจึงควรมีพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสวนพักผ่อนหรือสวนลอยฟ้ารองรับการพักผ่อนพร้อมชมวิว พื้นที่ Co-Working Space ห้องดูหนัง หรือห้องเล่นเกม ซึ่งรองรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของคนโสดให้สามารถทำกิจกรรมที่หลากหลายได้ภายในโครงการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางออกไปข้างนอก  
  • ทำเลต้องปัง เดินทางสะดวก การเดินทางเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน ดังนั้นโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีระบบสาธารณูปโภคครบครันและมีความเจริญในพื้นที่จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยระยะยาวของคนโสดได้มากกว่า เช่น อยู่ใกล้สถานพยาบาล ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ นอกจากนี้ไลฟ์สไตล์ยังมีความสำคัญกับการเลือกทำเลโครงการเช่นกัน หากเป็นคนโสดที่ชื่นชอบการสังสรรค์ อาจพิจารณาโครงการที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและสถานบันเทิง เพื่อช่วยลดเวลาในการเดินทางลง โดยมีหัวใจสำคัญในการเลือกคือโครงการควรตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางได้สะดวกทั้งในการไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวัน ไม่อยู่ในซอยเปลี่ยว ควรตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักที่เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่าย หรือใกล้ทางด่วน หรือใกล้รถไฟฟ้า BTS/MRT ซึ่งจะช่วยให้สามารถเดินทางรวดเร็วยิ่งขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน เพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางของคนโสด อีกทั้งยังลดการปล่อยมลพิษจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวเมื่อเดินทางเพียงลำพังได้อีกด้วย

แม้เทรนด์การเติบโตของ Solo Economy จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันได้ช่วยลดช่องว่างของการอยู่คนเดียวลง คนโสดจึงกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพและน่าจับตามอง มีความพร้อมในการใช้จ่ายเพื่อความสุขและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้นำเสนอโครงการที่มีจุดเด่นหลากหลายตอบโจทย์ทั้งด้านราคาให้คนโสดหรือผู้ที่อาศัยคนเดียว ได้เป็นเจ้าของบ้านในฝันตามความต้องการที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัย ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ได้รวบรวมบทความน่ารู้และข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ ที่น่าสนใจ เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับคนที่มองหาบ้านในฝัน พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าโครงการบ้าน/คอนโดฯ ในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ ช่วยให้คนที่อยากมีบ้านในทุกสถานะหรือผู้ที่ต้องการขยับขยายไปสู่บ้านหลังใหม่สามารถค้นหาและเตรียมความพร้อมก่อนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

Alibaba DAMO Academy Unveils Advanced Weather Forecasting Model “Baguan”

“Baguan” โมเดลพยากรณ์อากาศล้ำหน้า จาก Alibaba DAMO Academy

Alibaba DAMO Academy Unveils Advanced Weather Forecasting Model “Baguan”

Alibaba DAMO Academy, the research and development arm of Alibaba Group, today announced the official launch of “Baguan” weather forecasting model. Named after the Chinese concept of “observing from different perspectives,” Baguan harnesses cutting-edge AI to revolutionize weather prediction capabilities.

Baguan offers unprecedented accuracy in weather forecasts, ranging from one hour to ten days ahead. The machine-learning model stands out with its high spatial resolution, delivering detailed meteorological predictions down to a 1 x 1 kilometer grid, updated hourly. These capabilities make Baguan an essential tool for applications in climate science, electricity load forecast, renewable energy forecast and natural disaster prevention.

“Baguan represents a significant advancement in our dedication to harnessing technology for the greater good,” said Wotao Yin,Director of Decision Intelligence Lab at Alibaba DAMO Academy. “Its sophisticated technology not only helps elevate climate science but also benefits sustainable practices across diverse sectors such as renewable energy and agriculture.”

The technical backbone of Baguan is its innovative use of the Siamese Masked Autoencoders (SiamMAE) structure and a robust pre-training methodology. These innovations empower the model to uncover intricate patterns gleaned from complex dynamic atmospheric data. Furthermore, through an autoregressive pre-training approach, Baguan is able to make precise predictions across various spatio-temporal scales, from one hour to 10 days in advance.

Baguan leverages ERA5, the European Centre for Medium-Range Weather Forecasts (ECMWF) atmospheric reanalysis of the global weather from 1979 to present, to construct the foundational model for weather forecasting. Baguan is further refined with key regional meteorological indicators such as regional temperature, irradiance, and wind speed. This meticulous global-regional modeling approach not only boosts Baguan’s forecasting accuracy down to regional level but also tailors its insights to specific local conditions.

With the surging global demand for renewable energy, Baguan’s precise weather predictions have become vitally important. The model significantly enhances the reliability of renewable energy forecasts, facilitating more stable power management and supporting the expansion of green energy consumption.

Baguan’s capability in weather forecasting has already been used in the power and energy sectors in China, supporting critical applications such as electricity load forecasting and renewable energy forecasting.

For example, during an unexpected temperature drop in Shandong province in August, Baguan accurately predicted a corresponding 20% drop in electricity demand one day ahead, reaching a 98.1% accuracy rate in day-ahead load forecast. This precision assisted local grid operators to optimize power dispatch, enhancing efficiency and reducing operational costs.

“We have years of research experience in mathematical modeling, time-series forecasting, and explainable AI, which helps us in building a high-precision regional weather forecast model,” said Yin. “We will continue to enhance performance for key weather indicators such as cloud cover, extreme wind speed and precipitation, develop new technology for different climate scenario analysis, and support more applications such as civil aviation meteorological warnings, agricultural production, and sporting events preparations.”

“Baguan” โมเดลพยากรณ์อากาศล้ำหน้า จาก Alibaba DAMO Academy

“Baguan” โมเดลพยากรณ์อากาศล้ำหน้า จาก Alibaba DAMO Academy

“Baguan” โมเดลพยากรณ์อากาศล้ำหน้าจาก Alibaba DAMO Academy

Alibaba DAMO Academy หน่วยงานด้านวิจัยและพัฒนาของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศเปิดตัว “ปากวน (Baguan)” อย่างเป็นทางการ Baguan เป็นโมเดลพยากรณ์อากาศที่ได้รับการตั้งชื่อตามแนวคิด “การสังเกตจากมุมมองที่ต่างกัน” ของจีน โมเดลนี้นำ AI ล้ำสมัยมาใช้ปฏิวัติความสามารถด้านการพยากรณ์อากาศ

Baguan สามารถพยากรณ์อากาศได้อย่างแม่นยำแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยสามารถพยากรณ์ตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงไปจนถึงอีกสิบวันข้างหน้า โมเดลนี้ใช้แมชชีนเลิร์นนิ่ง มีความโดดเด่นหลายประการ เช่น มีความละเอียดเชิงพื้นที่สูง สามารถพยากรณ์ด้านอุตุนิยมวิทยาอย่างละเอียดถึง 1 x 1 กิโลเมตรกริด และอัปเดตทุกชั่วโมง ความสามารถเหล่านี้ทำให้ Baguan เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการใช้งานด้านวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ พยากรณ์ปริมาณไฟฟ้า คาดการณ์พลังงานทดแทน และการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ

นายวอเทา หยิน ผู้อำนวยการฝ่าย Decision Intelligence Lab ที่ Alibaba DAMO Academy กล่าวว่า “Baguan คือโมเดลที่แสดงถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญของเราในการใช้เทคโนโลยีสร้างสิ่งที่ดีกว่า  เทคโนโลยีอันทันสมัยของโมเดลนี้ ไม่เพียงช่วยยกระดับด้านวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อความยั่งยืนในด้านต่าง ๆ เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนและภาคการเกษตร แกนหลักทางเทคนิคของ Baguan คือการใช้โครงสร้าง Siamese Masked Autoencoders (SiamMAE) ที่ทันสมัย และวิธีการพรี-เทรนที่เข้มข้น ความล้ำหน้าเหล่านี้ทำให้โมเดลสามารถค้นพบแพทเทิร์นที่ซับซ้อนต่าง ๆ ที่รวบรวมมาจากข้อมูลพลวัตของบรรยากาศที่มีความซับซ้อน นอกจากนี้ วิธีการพรี-เทรนแบบ autoregressive ทำให้ Baguan สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงถึงอีกสิบวันข้างหน้าได้อย่างแม่นยำ ทั้งในระดับพื้นที่และมิติเวลาต่าง ๆ

Baguan ใช้ ERA5 ในการสร้างแบบจำลองพื้นฐานสำหรับการพยากรณ์อากาศ ทั้งนี้ ERA5 เป็นระบบวิเคราะห์สภาพอากาศทั่วโลกแบบซ้ำ ๆ ของศูนย์การพยากรณ์อากาศระยะกลางของยุโรป (European Center for Medium-Range Weather Forecasts: ECMWF) ซึ่งทำการวิเคราะห์สภาพอากาศทั่วโลกตั้งแต่ปี 1979 ถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ Baguan ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพต่าง ๆ เช่น ตัวบ่งชี้ด้านอุตุนิยมวิทยาในระดับภูมิภาคที่สำคัญ ๆ เช่น อุณหภูมิของภูมิภาค ความเข้มข้นของปริมาณรังสี และความเร็วลม วิธีการสร้างโมเดลระดับโลกและระดับภูมิภาคที่ละเอียดรอบคอบนี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ที่ลงลึกในระดับภูมิภาคให้กับ Baguan เท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่เจาะจงเฉพาะกับสภาพภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย

การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำของ Baguan มีความสำคัญอย่างมากต่อความต้องการพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โมเดลนี้ช่วยให้การคาดการณ์ด้านพลังงานหมุนเวียนเชื่อถือได้มากขึ้น ช่วยให้การจัดการพลังงานมีเสถียรภาพมากขึ้น และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดให้เพิ่มมากขึ้น

ภาคกำลังไฟฟ้าและพลังงานในประเทศจีน ได้มีการนำศักยภาพด้านการพยากรณ์อากาศของ Baguan ไปใช้ในการทำงานสำคัญต่าง ๆ แล้ว เช่น ใช้คาดการณ์ปริมาณไฟฟ้าและคาดการณ์พลังงานหมุนเวียน

ตัวอย่าง เมื่อเดือนสิงหาคมได้เกิดเหตุการณ์อุณหภูมิลดลงอย่างกระทันหันในมณฑลชานตง และ Baguan ก็สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า ความต้องการไฟฟ้าจะลดลง 20% ในอีกหนึ่งวันข้างหน้า ซึ่งแม่นยำถึง 98.1% ในด้านค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าล่วงหน้าหนึ่งวัน การคาดการณ์ที่แม่นยำนี้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานโครงข่ายไฟฟ้าในท้องถิ่นสามารถปรับการส่งพลังงานได้อย่างเหมาะสม เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

นายหยินกล่าวเสริมว่า “เราใช้เวลาหลายปีเพื่อทำการวิจัยด้านการสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์ การพยากรณ์อนุกรมเวลา และ AI ที่สามารถอธิบายได้ (explainable AI) ซึ่งช่วยให้เราสร้างโมเดลพยากรณ์อากาศในระดับภูมิภาคที่มีความแม่นยำสูง เราจะยังเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวบ่งชี้สภาพอากาศที่สำคัญ ๆ เช่น ปริมาณเมฆปกคลุม ความเร็วลมและปริมาณน้ำฝนที่มีความรุนแรง รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อใช้วิเคราะห์สถานการณ์สภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน และรองรับการใช้งานต่าง ๆ เช่นการเตือนด้านอุตุนิยมวิทยาการบินพลเรือน การผลิตในภาคการเกษตร และการเตรียมการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ”

 

Ericsson showcases 5G Leadership and advanced solutions at Innovate Asia 2024

อีริคสันแสดงความเป็นผู้นำ 5G และโซลูชันขั้นสูง ในงาน Innovate Asia 2024

Ericsson showcases 5G Leadership and advanced solutions at Innovate Asia 2024

  • Highlights the evolution towards 5G Standalone, AI-powered automation, and strategic business evolution.
  • Announces the successful deployment of world’s first full-stack Digital Monetization Platform (DMP), benefitting around 100 million Indosat Ooredoo Hutchison (IOH) subscribers in Indonesia.
  • Signs MoUs with lead customers in the region -IoH and Grameenphone

Ericsson (NASDAQ: ERIC), a global leader in telecommunications technology, is demonstrating its pioneering role in shaping the future of connectivity at Innovate Asia 2024, being held at the Centara Grand Hotel, Bangkok between 5-7 November 2024. The event provides a platform for industry leaders, business innovators, and telecom operators to engage with the latest advancements in 5G, artificial intelligence (AI), and automation that are revolutionizing telecom networks across the globe.

At Innovate Asia 2024, Ericsson together with its customers from across the region, including Grameenphone, Indosat Ooredoo Hutchison (IOH), Singtel and Telstra are discussing topics like the 5G network evolution to 5G Standalone and high performance, programmable networks. Ericsson will also discuss real-world strategies for overcoming automation challenges, scaling operations, and leveraging AI in networks. Ericsson’s participation in the event will also see the company engage with Thai partners and developers to explore how 5G, AI, and automation can address Thailand’s unique needs, such as advancing smart city initiatives, supporting digital infrastructure and building sustainable, future-ready networks.

IOH and Ericsson today announced that they have successfully collaborated to deploy the world’s first full-stack Digital Monetization Platform (DMP), benefitting around 100 million IOH subscribers in Indonesia. In just 18 days, over 83 million prepaid subscribers were seamlessly migrated without disruption or impact on customer experience. DMP is part of Ericsson’s Telecom Business Support System (BSS) portfolio, designed to accelerate IOH’s digital services, including 5G readiness and advanced B2B experience. This new system enables faster service creation, better customer engagement, and greater flexibility for future business models.

The DMP stack, which includes the migration of prepaid subscribers, was completed by 23 August 2024, showcasing a robust leap forward in advancing Indonesia’s digital capabilities. As 5G is deployed, the platform will enable IOH to explore new business models like network slicing, which can tailor connectivity to specific customer needs, enhancing both consumer and enterprise experiences.

During Innovate Asia 2024, Ericsson and IOH signed a memorandum of understanding to continue the collaboration in harnessing the potential of Generative Artificial Intelligence (Gen AI) and Machine Learning (AI/ML) in the realm of DMP and BSS. Through these initiatives, they intend to accelerate DMP monetization and co-create innovative products that will enhance revenue uplift and improve time-to-market.

Bangladesh’s largest mobile telecommunications operator, Grameenphone, also signed a Memorandum of Understanding (MoU) with Ericsson to collaborate on advancing AI and Automation to drive innovation and sustainable transformation throughout Bangladesh. The MoU establishes a collaboration framework between Grameenphone and Ericsson, focusing on innovation and growth based on sharing global best practices, alignment of product roadmaps and launching pilot projects and lighthouses. It will entail joint efforts to develop and test new technologies. Ericsson will introduce the latest features such as its award-winning AI-led intent-based operations capabilities into Grameenphone’s network operations that will allow for better customer service management, support and offerings.

The MoU signed during Innovate Asia 2024 will enhance and advance the partnership between Grameenphone and Ericsson, which commenced in 1998.

As 5G matures and more CSPs adopt 5G SA, the focus for many service providers is expected to shift towards developing differentiated connectivity offerings. Differentiated connectivity with predictable performance is made possible by 5G SA network capabilities such as network slicing, among others. Use cases like Fixed Wireless Access (FWA), cloud gaming, e-sports and live streaming will also benefit from these capabilities. Today even as service providers are delivering the benefits of 5G to consumers and enterprises, they have an opportunity to transform the network into a platform for innovation by making advanced 5G network capabilities available to the global developer community through open network application programming interfaces (APIs).

Speaking at a Fireside Chat on ‘Strategic Business Evolution’ during the event, Andres Vicente, Head of Southeast Asia, Oceania and India, Ericsson says,” The synergy of high-performance and programmable networks, combined with network APIs and a vibrant ecosystem of developers, will create a powerful network effect of growth and innovation for the telecom sector. And this represents a big opportunity also here in Thailand with its thriving startup ecosystem.”

“5G Standalone is not just about faster connectivity. It’s about creating new business models and expanding the possibilities for innovation across industries. By embracing 5G’s full potential, CSPs can offer differentiated services that not only meet the evolving needs of consumers but also open up new growth opportunities for the industry,” Andres concludes.

Ericsson is at the forefront of 5G around the world and is recognized as an industry leader by the Frost Radar™: Global 5G Network Infrastructure Market report. Maintaining top ranking in the Frost Radar™ report over the past years has shown that Ericsson’s investments in R&D and across a wide product portfolio – which includes all areas of 5G network infrastructure as well as previous generations of network infrastructure – is valued in a market where technology is constantly evolving.