ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งหวังซื้อบ้านใน 1 ปีข้างหน้า ส่งสัญญาณฟื้นตัวของอสังหาฯ จริงหรือ?

ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งหวังซื้อบ้านใน 1 ปีข้างหน้า ส่งสัญญาณฟื้นตัวของอสังหาฯ จริงหรือ?

ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งหวังซื้อบ้านใน 1 ปีข้างหน้า ส่งสัญญาณฟื้นตัวของอสังหาฯ จริงหรือ?

เศรษฐกิจไทยในเวลานี้อยู่ในภาวะเปราะบาง อันเนื่องจากปัจจัยท้าทายที่ยืดเยื้อจากการแพร่ระบาดฯ ผนวกกับภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ล้วนฉุดให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และเมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงแผนการเงินของผู้บริโภค และกลายเป็นความท้าทายระลอกใหม่ของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในเวลานี้ ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ของภาครัฐ พร้อมทั้งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยบวกที่ดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาอีกครั้ง ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) เดือนสิงหาคม 2565 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 43.7 จากระดับ 42.4 ในเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน 

ขณะที่ตลาดอสังหาฯ แม้ไม่ได้มีการเติบโตหวือหวา แต่เห็นสัญญาณบวกจากการที่ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ กลับมาเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง และพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์คนหาบ้านในยุคนี้มากขึ้น ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคชาวไทยปรับเพิ่มมาอยู่ที่ 51% จากเดิมที่มีเพียง 45% ในรอบก่อน สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นในตลาดอสังหาฯ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการต่ออายุมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ รวมทั้งการที่ผู้ประกอบการยังเลือกตรึงราคาที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับกำลังซื้อในช่วงนี้ จึงทำให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่มีความพร้อม สามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังพบว่าความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้นเป็น 67% จากเดิม 62% ในรอบก่อน ส่งสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวของดีมานด์ฝั่งคนหาบ้านที่เริ่มเชื่อมั่นในการใช้จ่ายอีกครั้ง

ไขคำตอบ คนไทยพร้อมเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยหรือยัง

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (57%) วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 1 ปีข้างหน้านี้ ขณะที่อีก 7% ยังคงเลือกเช่าที่อยู่อาศัยต่อไป ส่วน 35% ยังไม่มีการวางแผนซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ 

ส่วนเหตุผลสำคัญอันดับต้น ๆ ของกลุ่มผู้ที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่ต้องการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยเพื่อรองรับการอยู่อาศัยเป็นหลัก โดย 43% ต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น รองลงมาคือต้องการเพิ่มพื้นที่รองรับบุตรหลาน/พ่อแม่ และซื้อไว้เพื่อลงทุนในสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกัน (30% และ 29% ตามลำดับ) 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความพร้อมในการวางแผนการเงินก่อนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย พบว่ามีผู้บริโภคเพียง 1 ใน 4 (25%) เท่านั้นที่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ ขณะที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (47%) ยังเก็บเงินได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ส่วนอีก 22% ยังไม่ได้เริ่มวางแผนออมเงินใด ๆ สะท้อนให้เห็นว่าแม้ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคตอันใกล้นี้ แต่หากขาดการวางแผนทางการเงินที่รอบคอบก็ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลเมื่อต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่ในอนาคต 

นอกจากนี้ พบว่าสภาพคล่องทางการเงินถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคจำเป็นต้องเช่าที่อยู่อาศัยต่อไป โดยเกือบครึ่ง (48%) ของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้า เผยว่าไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ส่วนเกือบ 2 ใน 5 (39%) เลือกที่จะเช่าเพราะมีความยืดหยุ่นมากกว่า ขณะที่ 1 ใน 4 ยังมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในเวลานี้ (27%) และมองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงไป จึงเลือกเก็บออมเงินไว้มากกว่าที่จะซื้อที่อยู่อาศัยตอนนี้ (25%) 

เจาะลึกความท้าทายของคนหาบ้าน สั่นคลอนแผนซื้อที่อยู่อาศัยมากน้อยแค่ไหน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด สะท้อนทัศนคติและมุมมองคนหาบ้านชาวไทยที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยปัจจุบัน ท่ามกลางความท้าทายที่ถาโถมรอบด้าน ซึ่งล้วนสร้างความกังวลและสั่นคลอนแผนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย 

    • “การเงิน” ความท้าทายหลักเมื่อคิดซื้อบ้าน การซื้อที่อยู่อาศัยแม้จะมีราคาสูงและระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน แต่ถือเป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญ ท่ามกลางความท้าทายรอบด้านที่ส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกระทบมาสู่ผู้บริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดการขาดสภาพคล่องทางการเงินตามไปด้วย ข้อมูลจากผลสำรวจ CHAMBER BUSINESS POLL: “สถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2565” ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ปีนี้คนไทยมีหนี้สินถึง 99.6% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับจากที่มีการสำรวจมาตั้งแต่ปี 2550 และพบว่าเป็นหนี้จากที่อยู่อาศัย 35.7% ซึ่งสอดคล้องกับแบบสอบถามฯ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ที่เผยว่า ผู้บริโภคถึง 4 ใน 5 (80%) ยังคงต้องเผชิญความท้าทายจากปัญหาการเงินเมื่ออยากมีบ้าน โดยความท้าทายอันดับต้น ๆ มาจากการหาแหล่งเงินกู้ในการซื้อที่อยู่อาศัย (54%) และยื่นขอกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ยากขึ้น (44%) ดังนั้น คนซื้อบ้านในยุคนี้จึงจำเป็นต้องวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งประเมินภาระค่าใช้จ่ายให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ 
DDproperty-CSS-H2-2022-TH_Info
    • อย่าผลีผลามเมื่อเจอที่อยู่อาศัยในทำเลที่ถูกใจ ระวังเหตุไม่คาดฝัน การเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเป็นความท้าทาย โดยผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (53%) มองว่าการหาทำเลที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมถือเป็นเรื่องท้าทายและใช้เวลาค้นหาไม่น้อย ซึ่งนอกจากจะต้องเดินทางสะดวก อยู่ในทำเลที่มีความเจริญ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันเพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับอสังหาฯ ได้ในอนาคตแล้ว นอกจากนี้ อีกข้อสำคัญควรพิจารณาคือข้อมูลและข่าวสารว่าทำเลนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันที่ไม่เป็นผลดีมากน้อยเพียงใด เช่น พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก/อุทกภัย พื้นที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมีเมื่อมีเหตุโรงงานไฟไหม้หรือระเบิด ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มีผลต่อทั้งผู้อยู่อาศัยและโครงการอสังหาฯ เอง นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงผังเมือง หรือแผนการเวนคืนอสังหาฯ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งก็เป็นอีกประเด็นที่ควรศึกษาเช่นกัน เพื่อให้สามารถคัดเลือกที่อยู่อาศัยในทำเลที่ถูกใจและอยู่ได้ในระยะยาว
    • “เงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยสูง” ฉุดคนชะลอซื้อบ้านหลังที่สอง นอกเหนือจากผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่องแล้ว ในปีนี้ยังมีความท้าทายจากสถานการณ์เงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเข้ามาสร้างความกังวลให้ผู้บริโภคอีกระลอก ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของเดือนสิงหาคม 2565 อยู่ที่ 7.86% ถือเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 14 ปี ซึ่งส่งผลให้ค่าครองชีพของผู้บริโภคปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อ กนง. มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงยิ่งสร้างความกังวลใจและกระทบกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยไม่น้อยเมื่อต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่แล้วและวางแผนซื้อบ้านหลังที่สองเพิ่มในอีก 1 ปีข้างหน้า มากกว่าครึ่ง (59%) เผยว่าจะชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เช่นเดียวกับอีก 58% ที่เลือกชะลอแผนการซื้อไปก่อนเช่นกันหากเงินเฟ้อยังไม่กลับสู่ระดับปกติ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินปัจจุบันและรอประเมินสถานการณ์ในอนาคต
    • หวังภาครัฐช่วยลดดอกเบี้ย จูงใจซื้อบ้านยุคเงินเฟ้อ แม้ปีนี้คนหาบ้านจะได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อตั้งแต่ต้นปี แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แล้ว พบว่าช่วงเวลานี้ยังคงเป็นโอกาสที่ดีในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย โดยข้อมูลจากแบบสอบถามฯ เผยว่าผู้บริโภคมากกว่า 4 ใน 5 คาดว่าอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และราคาที่อยู่อาศัยจะมีการปรับเพิ่มขึ้นภายใน 1 ปีข้างหน้า ดังนั้น การมีมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ จากภาครัฐจึงเปรียบเสมือนประตูที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เมื่อเจาะลึกถึงมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนที่คนหาบ้านคาดหวังจากภาครัฐท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อสูงในตอนนี้ พบว่า กว่า 3 ใน 5 (62%) ต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเพิ่มเติมอีก ขณะที่มากกว่าครึ่ง (58%) ต้องการให้มีมาตรการลดดอกเบี้ยทั้งสินเชื่อบ้านที่กู้ใหม่และที่มีอยู่ ตามมาด้วยคาดหวังว่าจะมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก (44%) เพื่อส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในกลุ่มวัยเริ่มต้นทำงานและเริ่มสร้างครอบครัว ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มผู้บริโภคอายุระหว่าง 22-29 ปี
DDproperty-CSS-H2-2022-TH

ซีเมนส์ โชว์เทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อผลักดันความเป็นกลางทางคาร์บอน ในงาน SETA 2022 และ Enlit Asia

ซีเมนส์ โชว์เทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อผลักดันความเป็นกลางทางคาร์บอน ในงาน SETA 2022 และ Enlit Asia

ซีเมนส์ โชว์เทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อผลักดันความเป็นกลางทางคาร์บอน ในงาน SETA 2022 และ Enlit Asia

ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 กันยายน นี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) ที่ บูธ C02 ในงาน SETA 2022 และบูธ 401 ในงาน Enlit Asia

    • โซลูชัน Intelligent Microgrid Control สำหรับการมอนิเตอร์และการควบคุมโครงข่ายไฟฟ้า ช่วยให้องค์กรสามารถนำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้แบบเรียลไทม์ อาทิ ใช้เพื่อการวิเคราะห์และการตัดสินใจ ขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งโซลูชันนี้มีการใช้งานแล้วกับโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ณ เขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
    • โซลูชัน RUGGEDCOM advanced networking นำเสนอการสื่อสารสำหรับพลังงานไฟฟ้าที่รวดเร็วและไว้วางใจได้ พร้อมใช้แนวทางการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบองค์รวมช่วยเตรียมพร้อมการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
    • โซลูชัน Industrial 5G สำหรับการจำหน่ายและส่งไฟฟ้า

พลังงานไฟฟ้าคือหัวใจหลักของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ทั่วโลกต้องการแหล่งพลังงานที่ยั่งยืน ในราคาเหมาะสมและเชื่อถือได้ ซีเมนส์สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างต่อเนื่องไปสู่ระบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเน้นความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ภายในงาน SETA 2022 และ Enlit Asia ที่จัดขึ้นในพื้นที่เดียวกันนี้ ซีเมนส์ได้นำเสนอนวัตกรรมล่าสุดเพื่อช่วยผู้ให้บริการด้านสาธารณูปโภค ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ องค์กรที่ดำเนินงานด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ และการก่อสร้าง (EPC) และพันธมิตรในอุตสาหกรรมพลังงาน เปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

เทคโนโลยีและโซลูชันของซีเมนส์ที่จัดแสดง ในงาน SETA 2022 (ณ บูธ C02)

โซลูชันการจัดการไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตพลังงานปลอดคาร์บอน

    • Intelligent Microgrid Control with maximum flexibility: ระบบการจัดการพลังงานจากแหล่งจ่ายพลังงานหลากหลายที่สามารถรวมเข้ากับระบบควบคุมที่มีอยู่เดิมได้อย่างราบรื่นและปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานตามความต้องการใช้ไฟฟ้า ประสิทธิภาพของระบบ หรือต้นทุนการผลิตไฟฟ้า
    • blue Gas-insulated Switchgear (GIS) : 100% sustainable performance: นวัตกรรมสวิตช์เกียร์ที่มาพร้อมระบบดิจิทัล มีขนาดเล็ก ไม่ต้องบำรุงรักษา และที่สำคัญคือปราศจากสารฟลูออรีนที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยนวัตกรรม blue GIS ของซีเมนส์ช่วยสนับสนุนให้เกิดระบบจำหน่ายไฟฟ้าอย่างยั่งยืนเต็มประสิทธิภาพ
    • Energy Intelligence with Internet of Things (IoT): นวัตกรรมแอปพลิเคชัน IoT ที่ช่วยสนับสนุนให้ระบบจัดจำหน่ายไฟฟ้ามีความเป็นดิจิทัล อาทิ NXpower Monitor สำหรับใช้ในการตรวจสอบและแสดงข้อมูลพลังงานไฟฟ้าแบบเสมือนจริงได้จากทุกที่ทั่วโลกตลอด 24/7 และแอปพลิเคชันบนคลาวด์ SIPROTEC dashboard สำหรับให้ผู้ปฎิบัติงานในสถานีไฟฟ้าตรวจสอบอุปกรณ์รีเลย์ป้องกันที่เชื่อมต่ออุปกรณ์จากหลากหลายแหล่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคโนโลยีและโซลูชันของซีเมนส์ที่จัดแสดง ในงาน Enlit Asia (ณ บูธ 401)

ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ RUGGEDCOM สำหรับการสื่อสารของสถานีไฟฟ้าดิจิทัลที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้

      • Rugged communications for electric power systems: อุปกรณ์เครือข่ายที่มีความทนทาน ถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกับเครือข่ายสำรองแบบไร้รอยต่อ และมีความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบองค์รวมสำหรับการสื่อสารที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้สำหรับสถานีไฟฟ้าดิจิทัล (ได้แก่ อุปกรณ์ที่ผ่านการรับรองในตระกูล IEC 61850-3)
      • Rugged communications for harsh environments: สวิตช์ High-Port Density ที่ถูกออกแบบและทดสอบภายใต้สภาพแวดล้อมที่รุนแรงสูงสุด สามารถปกป้องการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขั้นสูง ไฟกระชากที่รุนแรง อุณหภูมิและความชื้นแบบสุดขั้ว โดยสวิตช์ RUGGEDCOM ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรมจนเป็นที่ยอมรับและมีประสิทธิภาพเหนือชั้นกว่าสำหรับใช้กับภารกิจที่สำคัญยิ่งยวดขององค์กร โดยผู้ให้บริการโครงข่ายไฟฟ้ายังสามารถออกแบบรูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายต่าง ๆ  หรือ โทโพโลยีเครือข่าย (Network Topologies) ที่ป้องกันความเสียหายผิดพลาด เพื่อเพิ่มระยะเวลาทำงานของเครือข่ายได้อย่างสูงสุด
      • Cybersecurity for critical infrastructure: RUGGEDCOM industrial PC สามารถใช้ซอฟต์แวร์ชั้นนำของอุตสาหกรรมในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ Grid Edge ซึ่งเป็นการนำความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ขั้นสูงมาสู่สภาพแวดล้อมแบบสาธารณูปโภค

Industrial 5G solutions for energy distribution and transmission: ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการใช้แอปพลิเคชันในสภาพแวดล้อมที่มีความต้องการสูง เช่น การจำหน่ายและส่งไฟฟ้า เราเตอร์  Industrial 5G จากซีเมนส์มีความหน่วงต่ำและมีแบนด์วิดธ์สูงเป็นพิเศษ และสามารถเชื่อมต่ออย่างปลอดภัยผ่านเครือข่าย 5G สาธารณะที่ล้ำสมัยไปยังสถานีจำหน่ายไฟฟ้าที่อยู่ห่างไกล

ภายในงาน Enlit Asia ซีเมนส์ยังสาธิตวิธีป้องกันระบบที่ใช้ควบคุมเครื่องจักรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ (หรือ ICS) ด้วยการร่วมมือกับ Fortinet และ Nozomi Networks รวมถึงการเชื่อมต่อไร้สาย 5G ที่มีแนวทางความปลอดภัยแบบ Zero Trust สำหรับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

ความเปลี่ยนแปลงคือการดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่?

Disruption as the new normal?

ความเปลี่ยนแปลงคือการดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่?

บทความโดย อิซาเบลลา กุสุมาวาตี, รองประธานและกรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี, บริษัทอินฟอร์

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า โควิด-19 ทำให้ซัพพลายเชนด้านอาหารต้องหันมาสู้แบบหลังชนฝา บางรายถึงกับกล่าวว่า โควิด-19 ต้องรับผิดชอบในการทำให้ซัพพลายเชนด้านอาหารพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง  สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้นับเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของปัญหาอุตสาหกรรมอาหารโลก  การขาดแคลนแรงงานและทักษะอย่างหนัก กอปรกับปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งทางทะเลที่ติดอยู่ตามท่าเรือต่าง ๆ ต้นทุนการขนส่งที่พุ่งทะยาน และยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น  ทั้งหมดนี้หมายถึงว่าผู้ผลิตอาหารจำนวนมากกำลังประสบกับปัญหาการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในขณะเดียวกันต้องรักษาผลกำไรให้ได้  ซึ่งเป็นการซ้ำเติมจุดอ่อนในซัพพลายเชนด้านอาหารทั่วโลกให้ทรุดหนักลงไปอีก  ดังนั้น ธุรกิจอาหารต่าง ๆ ทั่วโลกจึงต้องหาวิธีต่าง ๆ และพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะยืนหยัดให้ได้อย่างมั่นคงท่ามกลางอุปสรรคนานัปการ

The Centre for Food Policy ศูนย์สหวิทยาการเพื่อพัฒนานโยบายด้านอาหารทั่วโลกของประเทศอังกฤษ อธิบายถึงระบบอาหารว่าเป็น “ระบบที่ทำให้ทุกอย่างและทุกคนเชื่อมโยงถึงกัน ทั้งที่มีอิทธิพลต่อและได้รับอิทธิพลจากกิจกรรมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องตั้งแต่แหล่งกำเนิดไปจนถึงมือผู้บริโภคและอื่น ๆ”  ดังนั้น ผู้ผลิตและผู้แปรรูปอาหารที่ตกอยู่ท่ามกลางระบบที่ซับซ้อนนี้ จึงต้องเผชิญกับจุดอ่อนและปัญหามากมายทั้งที่ต้นทางและปลายทางของซัพพลายเชนที่ใหญ่ขึ้น  และผลจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ได้เปิดเผยและทำให้จุดอ่อนของซัพพลายเชนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ยิ่งทรุดหนักลงไปอีก  เพราะภายใต้แรงกดดันที่เกิดจากความคาดหวังของลูกค้า และความท้าทายของซัพพลายเชนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่งผลให้ผู้ผลิตอาหารจำนวนมากต้องประเมินอย่างเร่งด่วนถึงความยืดหยุ่นด้านซัพพลายเชนที่ตนมีอยู่

ในท้ายที่สุด การจัดหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมให้กับลูกค้าที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้อง ก็ยังคงเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เสริมด้วยแรงกดดันจากระยะเวลาในการรอคอยสินค้าและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น  เรื่องที่ธุรกิจจำนวนมากทราบดีคือ ความจำเป็นที่จะต้องมีความยืดหยุ่นและความคล่องตัวให้มากขึ้นทั่วทั้งซัพพลายเชน เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันได้มากขึ้น มองเห็นภาพรวมที่ครอบคลุมทั้งระบบ ตลอดจนการหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาซัพพลายเชนที่ชาญฉลาดมากขึ้น เพื่อปรับตัวให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ  ในเวลาเดียวกัน การดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อพัฒนาให้ซัพพลายเชนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อจะได้สามารถระบุปัญหาติดขัดและความด้อยประสิทธิภาพต่าง ๆ ก่อนที่จะส่งผลกระทบร้ายแรงก็ยังคงสำคัญอย่างยิ่งยวดเช่นกัน  

สำหรับประเทศไทย รัฐบาลตระหนักดีถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อซัพพลายเชนในปัจจุบัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อและต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข จึงได้พยายามเดินหน้าผลักดันความเชื่อมโยงของซัพพลายเชน เศรษฐกิจดิจิทัล และการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม  ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้พบปะผู้นำภาคเอกชนสหรัฐอเมริกา และลงนามร่วมกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาว่าด้วยการส่งเสริมความเข้มแข็งของซัพพลายเชน เพื่อกระชับมิตรภาพและความเป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ และย้ำความสนใจร่วมกันในซัพพลายเชนที่เข้มแข็ง หลากหลายและมั่นคง รวมทั้งผลประโยชน์ร่วมกันจากการหารือ ความร่วมมือและการประสานงานเพื่อลดความเปราะบางในระบบซัพพลายเชน ลดภาวะการหยุดชะงักและเพื่อให้ประชาชนทั้งสองประเทศสามารถเข้าถึงสินค้าสำคัญได้ตลอดเวลา

ก้าวสู่ดิจิทัล

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการกล่าวถึง ‘ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน’ อยู่บ่อยครั้งในฐานะเป็นยาครอบจักรวาลสำหรับรักษาอาการป่วยไข้ของธุรกิจทุกประเภท ซึ่งรวมถึงปัญหาต่าง ๆ ด้านซัพพลายเชนด้วย  ทว่า สำหรับผู้ผลิตอาหารที่ยังกังวลถึงเรื่องผลกำไรที่ลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ นั้น หากเป็นกรณีต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้นโดยเฉพาะ การพลิกโฉมเป็นซัพพลายเชนดิจิทัลแบบจัดเต็มย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมเสมอไป แต่ก็เป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการแบ่งโปรเจกต์ใหญ่ ๆ ออกเป็นแนวคิดต่าง ๆ ที่สามารถจัดการได้มากขึ้น เพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับการเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่น ๆ ขององค์กร

จากรายงานของศูนย์วิจัยกรุงศรีระบุว่า ในปี 2565 Market Research คาดว่าตลาดอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลกจะมีมูลค่า 6.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแนวโน้มจะเติบโตถึง 8.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2569  การสร้างตลาดใหม่และการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคได้คือความท้าทายสำคัญที่ธุรกิจต้องเผชิญ  ดังนั้น การเข้าใจแผนภาพหรือเทรนด์อาหารในอนาคตจึงเป็นโอกาสของผู้ผลิต  ทั้งนี้ ผู้ผลิตอาหารของไทยควรปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยปรับจุดอ่อนเพิ่มจุดแข็งจากการอาศัยแรงหนุนของปัจจัยแวดล้อมรวมถึงเทรนด์ของตลาด ในด้านสร้างโอกาสทางธุรกิจหรือเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ, สร้างภาพลักษณ์หรือปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจให้ทันกระแสโลก และที่สำคัญคือ การลงทุนโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต, พัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และสร้างมาตรฐานในการตรวจสอบวัตถุดิบและอาหาร

เพิ่มการมองเห็นสูงสุดทั่วทั้งองค์กร  

การใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากข้อมูลที่ได้จากซัพพลายเชนที่ใหญ่กว่า เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน จะต้องจัดให้อยู่ในลำดับงานที่มีความสำคัญมาก เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพสูงสุดในการมองเห็นและความโปร่งใสทั่วทั้งองค์กร  ดังนั้น การสร้างมาตรฐานและบูรณาการระบบธุรกิจเข้าด้วยกันจึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำเช่นนี้ได้

นายโรเบิร์ต วีเลอร์ รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายซัพพลายเชนของ Kalsec ผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกด้านโซลูชันการรับรสและประสาทสัมผัสจากธรรมชาติ การปกป้องอาหาร รวมทั้งโซลูชันสีและโซลูชันฮ็อปขั้นสูงสำหรับหมักเบียร์เพื่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีโรงงานถึง 8 แห่งทั่วโลก ขายให้กับลูกค้ากว่า 80 ประเทศ พร้อมแหล่งจัดหาวัตถุดิบกว่า 40 ประเทศ กล่าวว่า “เราใช้ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) และระบบการจัดไลฟ์ไซเคิลผลิตภัณฑ์ (PLM) สำหรับกระบวนการ Optiva ของ Infor ในทุกไซต์งานของเราทั่วโลก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เชื่อมต่อกันได้ทั่วทุกภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังทำให้เราได้แหล่ง ข้อมูลจริงเพียงหนึ่งเดียว (Single Source of Truth – SSOT) สำหรับกระบวนการทางธุรกิจหลักอีกด้วย” เช่น ระบบ ERP ที่ช่วยจัดการเรื่องสินค้าคงคลังในทุกสถานที่  ปัจจุบัน Kalsec เห็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ในระบบซัพพลายเชนทั้งหมดของบริษัทฯ ตั้งแต่ใบเสร็จจากซัพพลายเออร์ที่รอดำเนินการไปจนถึงการจัดส่งถึงลูกค้าและทุกเรื่องในระหว่างนั้น  นายวีเลอร์กล่าวเสริมว่า “เทคโนโลยีนี้ทำให้เรามีข้อมูลเชิงลึกพร้อมสรรพที่จำเป็นต่อการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างธุรกิจที่คล่องตัว”

ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ การรวมระบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเข้าไว้ด้วยกัน จะขจัดขั้นตอนการทำงานแบบแมนนวลที่ต้องใช้เวลานาน ตลอดจนเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้อีกด้วย  นายวีเลอร์ กล่าวว่า “เราต้องการระบบที่สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันหลักอื่น ๆ ที่ใช้ในธุรกิจ เพื่อช่วยปรับปรุงขั้นตอนการทำงาน และทำให้เวลาในการตอบสนองลูกค้าดีขึ้น”  ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะเกิดขึ้นผ่านระบบที่บูรณาการเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ ขจัดการป้อนข้อมูลซ้ำซ้อนซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้ทั้งเวลาและอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย  สำหรับองค์ประกอบหลักของธุรกิจอาหารอื่น ๆ เช่น การรับรองการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับด้านสุขภาพและความปลอดภัย ประสิทธิภาพในเรื่องที่กล่าวมานับว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้มั่นใจว่าข้อมูลมีความถูกต้องมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้การบริหารที่เป็นพื้นฐานและจำเป็นต่อการดำเนินงานภายในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มรวดเร็วขึ้นด้วย

การวางแผนที่เป็นเลิศ

เมื่อมาถึงประเด็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ระบบ ERP ที่เหมาะสมสามารถสร้างความแตกต่างได้เช่นกัน  ทำให้สามารถเข้าถึงระดับสต็อกและสินค้าคงคลังที่แม่นยำและทันเวลา รวมถึงการคาดการณ์ที่ช่วยให้บริษัทอาหารมั่นใจได้ว่า จะมีการปฏิบัติตามคำสั่งซื้อและมีการใช้มาตรการฉุกเฉินเมื่อจำเป็น เช่น การคาดการณ์ความล่าช้าในการจัดส่งส่วนผสม เป็นต้น  นอกจากนี้ จำนวนสต็อกที่ถูกต้องยังใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อได้ด้วย  โดยทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นจากการแปลงข้อมูลต่าง ๆ เป็นข้อมูลเชิงลึก ที่ช่วยให้ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ด้วยความรู้สึกปลอดภัยเพราะทราบว่า การตัดสินใจเหล่านี้มาจากพื้นฐานข้อมูลเชิงลึกตามบริบทที่ถูกต้องเหมาะสม  ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ธุรกิจคล่องตัวพร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับซัพพลายเชน ด้วยข้อมูลเชิงลึกและการมองการณ์ไกลที่ระบบเหมาะสมเท่านั้นจะสามารถให้ได้

ธุรกิจอาหารจำต้องคุ้นชินกับการดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่เช่นนี้ให้ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง  ซัพพลายเชนจึงต้องไตร่ตรองเรื่องความเป็นจริงใหม่นี้ เพื่อให้ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงยามต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่คาดคิด  ซึ่งวิธีเดียวที่จะทำเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อบริษัทที่อยู่ในศูนย์กลางของซัพพลายเชนเพิ่มความคล่องตัวให้กับธุรกิจของตนได้ตามที่กล่าวมา และจะต้องใช้ข้อมูลธุรกิจเชิงลึกเป็นแนวทางการดำเนินงานของตนและของซัพพลายเชนที่ใหญ่ขึ้นด้วย  ผู้ผลิตอาหารเหมาะจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้ข้อมูลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อช่วยสร้างซัพพลายเชนที่มั่นคง คล่องตัวและยืดหยุ่นให้พร้อมรับมือกับความท้าทายนานัปการที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

อีริคสันจัดแสดงนวัตกรรม 5G ล่าสุด ที่งาน Imagine Live Thailand

อีริคสันจัดแสดงนวัตกรรม 5G ล่าสุด ที่งาน Imagine Live Thailand

อีริคสันจัดแสดงนวัตกรรม 5G ล่าสุด ที่งาน Imagine Live Thailand

    • อีริคสันและพันธมิตรในอุตสาหกรรมร่วมมือกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล (Digital Transformation) ในประเทศไทย
    • อีริคสันได้นำบรรยากาศและประสบการณ์ของงาน Mobile World Congress 2022 ครั้งล่าสุดมาจัดแสดงให้ผู้ร่วมงานในประเทศไทยได้รับชม ผ่านการนำเสนอและสาธิตนวัตกรรมล่าสุด ข้อมูลเชิงลึก ข้อเสนอและผลงานต่าง ๆ

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เปิดงาน Imagine Live Thailand 2022 งานแสดงเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร 3 วันเต็ม สำหรับเป็นแพลตฟอร์มทำงานร่วมกันระหว่างพันธมิตรในภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลของประเทศไทยบนพื้นฐานเทคโนโลยี 5G

โดยไฮไลท์ของงาน คือ การมีบทบาทและการมีส่วนร่วมของพันธมิตรมากมายจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน อาทิ สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) และผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือชั้นนำในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นความมุ่งมั่นร่วมกันส่งเสริมและเร่งการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในประเทศไทย

อีริคสัน และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) จะร่วมมือกันแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด กลยุทธ์ต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลและไซเบอร์ พร้อมส่งเสริมนวัตกรรมที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย

ทั้งนี้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อีริคสันและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ยังได้ลงนามร่วมกันในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เพื่อผนึกกำลังของทั้งสองหน่วยงานเพื่อส่งมอบความรู้เทคโนโลยี 5G ให้แก่นักศึกษาไทย โดยนักศึกษาของ มจธ. จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงแนวคิดการศึกษาของ ‘Ericsson Educate’ ที่เป็นโครงการริเริ่มด้านการศึกษาออนไลน์ของอีริคสัน ซึ่งจะช่วยเสริมการเรียนรู้ทางเทคนิคอย่างต่อเนื่องให้แก่นักศึกษาของ มจธ. ด้วยหลักสูตรต่าง ๆ ที่เพิ่มพูนทักษะด้านไอซีทีและเตรียมพร้อมนักศึกษาสำหรับการไปทำงานในภาคโทรคมนาคมของประเทศไทย

มร.อิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด

มร.อิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “อีริคสันจะทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมขับเคลื่อนระบบนิเวศตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ในฐานะผู้นำเทคโนโลยี 5G ระดับโลก อีริคสันจะนำเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่ล้ำสมัย พร้อมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับโลกมาสนับสนุนประเทศไทยให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายการหลอมรวมเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมเข้าไว้ด้วยกัน”

ดร. ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กล่าวว่า “เราจะทำงานร่วมกับอีริคสันในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) ในการร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาอีโคซิสเต็มส์ของประเทศไทย โดยภารกิจหลักของเราคือการร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเพื่อจัดทำแผนกลยุทธ์สำหรับยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล พร้อมกับส่งเสริมนวัตกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายของดีป้าในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”

ภายในงาน Imagine Live Thailand 2022 ประกอบด้วยการบรรยายบนเวทีจากผู้นำทางความคิดในวงการ พร้อมพื้นที่การสาธิตเทคโนโลยีที่มอบประสบการณ์โดดเด่น และมีการจัดแสดงนวัตกรรม ข้อมูลเชิงลึก ข้อเสนอล่าสุด รวมถึงผลงานต่าง ๆ ของอีริคสัน

โดยอีริคสันมีการจัดแสดงนวัตกรรมโซลูชันพร้อมกรณีการใช้งานที่หลากหลาย ประกอบด้วย โซลูชันการสื่อสารผ่านโฮโลแกรม (Holographic Communication) เทคโนโลยีเกษตรกรรมอัจฉริยะในเมตาเวิร์ส (Smart Agricultural Technology in Metaverse) นวัตกรรมสื่อสารที่ต้องการความแม่นยำสูง (Time-Critical Communication) และตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจที่ใช้ 5G จากทั่วโลก

“โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมของเรา ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารเหล่านี้จะช่วยให้สามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมที่เกิดขึ้นได้จากทั่วโลก และเรายังคงเดินหน้าทำงานเพื่อให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มเครือข่าย 5G ที่มีศักยภาพสูงในวันนี้นั้นพัฒนาไปสู่ยุค 6G ที่จะนำเสนอความสามารถใหม่ ๆ พร้อมมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า” มร.อิกอร์ มอเรล กล่าวสรุป

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้สนับสนุนการเปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 130 เครือข่าย ใน 56 ประเทศ พร้อมเครือข่าย 5G แบบ Standalone จำนวน 17 เครือข่าย ทั่วโลก

 

มร.อิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด

โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ ปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยด้วยนูทานิคซ์ มุ่งมั่นสู่เป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันไอทีชั้นนำของประเทศ

โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ ปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยด้วยนูทานิคซ์ มุ่งมั่นสู่เป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันไอทีชั้นนำของประเทศ

โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ ปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยด้วยนูทานิคซ์ มุ่งมั่นสู่เป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันไอทีชั้นนำของประเทศ

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ และซอฟต์แวร์โซลูชันทรงประสิทธิภาพจากนูทานิคซ์

บริษัท โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ จำกัด (PCC) วางใจใช้เทคโนโลยีของนูทานิคซ์เพิ่มประสิทธิภาพดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัย ช่วยให้การบริหารจัดการและกระบวนการทำงานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงสามารถสร้างสรรค์บริการหลากหลายได้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง

PCC เป็นหนึ่งในผู้วางระบบไอทีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ให้บริการลูกค้ามายาวนานกว่าสามทศวรรษช่วยองค์กรต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัลด้วยบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่การทำ proof of concepts การพัฒนาแอปพลิเคชัน และการทดสอบ production environment ให้แก่ลูกค้า ตลอดจนนำเสนอเทคโนโลยีของนูทานิคซ์รวมไว้ในโปรเจกต์ที่นำเสนอให้กับลูกค้ามากมาย เช่น บริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิสเซส จำกัด และกรมบัญชีกลาง

นายศักดิ์ณรงค์ แสงสง่าพงศ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเฟสชั่นนัล คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “PCC มีภารกิจในการให้บริการโซลูชันด้านไอทีที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมและบริการคุณภาพสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคลากร กระบวนการทำงาน และผลประกอบการของลูกค้า ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ของเราเป็นองค์กรภาครัฐ ความมีเสถียรภาพของระบบ การปรับขนาดการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ความปลอดภัย รวมถึงความง่ายและสะดวกในการใช้งาน และคุ้มค่าการลงทุน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาในเวลาที่เราสร้างสรรค์โซลูชัน หรือนำเสนอโครงการต่าง ๆ ให้กับลูกค้า นูทานิคซ์มีส่วนเข้ามาช่วยนำพาลูกค้าของเราให้ก้าวสู่ความเป็นองค์กรที่ล้ำสมัย สามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและทันท่วงที พร้อมประสบความสำเร็จอย่างงดงามตลอดเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัลในอนาคต”

PCC ใช้โครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) ของนูทานิคซ์ เป็นฐานรองรับให้แอปพลิเคชันเพื่อการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ลูกค้า รวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท นายศักดิ์ณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อเราเปลี่ยนมาใช้ HCI ของนูทานิคซ์เพื่อรวมศูนย์แอปพลิเคชันและการพัฒนาซอฟต์แวร์ ของบริษัท มาไว้บนแพลตฟอร์มเดียวที่บริหารจัดการได้จากที่เดียว ช่วยให้เราลดขั้นตอนในการจัดซื้อฮาร์ดแวร์ จากเดิมที่ต้องแยกซื้อมาเป็นการจัดซื้อแบบเดียวกันและใช้ร่วมกันได้ ทำให้การดูแลรักษาง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ โซลูชันของนูทานิคซ์ยังสามารถใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่นต่อเนื่อง ช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวมากขึ้น”

นอกจากนี้ PCC ยังใช้ซอฟต์แวร์โซลูชันต่าง ๆ ของนูทานิคซ์อีกหลายรายการ เช่น Nutanix Prism ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ควบคุมระบบได้จากจุดเดียว ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการด้านไอที, Nutanix Kubernetes Engine เพื่อใช้พัฒนาคลาวด์-เนทีฟ แอปพลิเคชันต่าง ๆ, NCM Self-Service ซึ่งช่วยให้สามารถจัดเตรียมระบบต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น และวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของแอปพลิเคชันต่าง ๆ ก่อนที่จะนำแอปพลิเคชันเหล่านั้นไปใช้งานบนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม รวมถึง Nutanix Flow ซึ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยของแอปพลิเคชันและเน็ตเวิร์กที่ใช้ในกระบวนการทำงานภายในของบริษัท นอกจากนี้ PCC กำลังพิจารณานำ Nutanix Files มาใช้ในเร็ว ๆ นี้

เทคโนโลยีของนูทานิคซ์ที่รวมศูนย์งานด้านไอทีมาไว้ที่เดียวกัน ช่วยให้ PCC ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ และลดเวลาในการพัฒนาแอปพลิเคชันลงจากเดิมใช้เวลาเป็นสัปดาห์เหลือเพียงไม่กี่วัน สามารถอัปโหลดขั้นตอนการทำงานและการพัฒนาต่าง ๆ ขึ้นไปยังระบบได้โดยแทบไม่มีดาวน์ไทม์ ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และสามารถเพิ่มโหนดได้ในเวลา 1-2 วันจากเดิมที่ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ นอกจากนี้ทีมพัฒนาแอปพลิเคชันของ PCC สามารถทดสอบหรือเรียกใช้ทรัพยากรได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จากเดิมต้องใช้เวลา 2 ถึง 3 วัน

นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ กล่าวว่า “นูทานิคซ์ขอขอบคุณ PCC ที่ให้ความไว้วางใจใช้เทคโนโลยีของเรา นูทานิคซ์เชื่อมั่นว่าโซลูชันของเราตอบโจทย์องค์กรที่มองไกลไปในอนาคต และแสวงหาเครื่องมือในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง นูทานิคซ์นำเสนอแพลตฟอร์มไฮบริด-มัลติคลาวด์ และชุดของโซลูชันครบวงจรที่ทรงประสิทธิภาพให้กับลูกค้า พร้อมความยืดหยุ่น ใช้งานง่าย ปรับขนาดได้ ทำงานโดยอัตโนมัติ มีความปลอดภัยสูง รองรับการทำงานกับเวิร์กโหลดทุกประเภท บนทุกสภาพแวดล้อม และทุกที่ทุกเวลา สอดรับกับรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดในปัจจุบัน เรายินดีที่ได้มีส่วนร่วมบนเส้นทางสู่ความสำเร็จของ PCC ในการช่วยให้ลูกค้าปราศจากความกังวลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานไอที และสามารถเน้นความสำคัญกับแอปพลิเคชัน และการสร้างสรรค์บริการต่าง ๆ ที่เป็นพลังขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ”