เกาะติดทิศทางอสังหาฯ พร้อมฝ่าขวากหนาม ลุ้นฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน

เกาะติดทิศทางอสังหาฯ พร้อมฝ่าขวากหนาม ลุ้นฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน

เกาะติดทิศทางอสังหาฯ พร้อมฝ่าขวากหนาม ลุ้นฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังคงไม่ฟื้นตัวหลังเผชิญความท้าทายรอบด้านทั้งจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เมื่อผนวกกับภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานและวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย กลายเป็นปัจจัยสำคัญฉุดให้ผู้บริโภคตัดสินใจชะลอแผนซื้อที่อยู่อาศัยแม้จะยังมีความต้องการ ด้านที่อยู่อาศัยแนวราบยังครองใจคนหาบ้าน เห็นได้ชัดจากความต้องการซื้อที่เติบโตต่อเนื่อง ส่วนที่อยู่อาศัยแนวสูงยังเป็นที่ต้องการในกลุ่มผู้เช่า ภาคธุรกิจอสังหาฯ ลุ้นการเปิดประเทศเต็มรูปแบบดึงดูดกำลังซื้อต่างชาติ อันจะมีผลในการช่วยผลักดันตลาดคอนโดมิเนียมให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง คาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีโอกาสฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แนะภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงจุดมาช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อ ปลุกความเชื่อมั่นผู้บริโภค กระตุ้นการเติบโตอสังหาฯ ให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

DDproperty Thailand Property Sale Market Index Q2 2565

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 83 จุด หรือลดลง 1% จากไตรมาสก่อน โดยต่ำกว่าดัชนีราคาปี 2561 (ก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19) ถึง 17% นอกจากนี้​ รูปแบบการใช้ชีวิตยุค New Normal ที่ผ่านมาส่งผลให้ผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น เห็นได้ชัดจากดัชนีราคาบ้านเดี่ยวที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นถึง 5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 19% จากปีก่อนหน้า ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์มีการเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 2% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมแม้ดัชนีราคาจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ากลับลดลงถึง 6% เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคในกลุ่มนี้ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับการที่ชาวต่างชาติซึ่งเป็นอีกกำลังซื้อสำคัญห่างหายจากตลาดไปเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม ปีนี้ยังเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อและนักลงทุนระยะยาวที่มีความพร้อม เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยในเวลานี้ยังคงชะลอตัว และเมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แล้วมีแนวโน้มที่ราคาอสังหาฯ จะปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 

นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า “แนวโน้มการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจถือเป็นเงาสะท้อนสำคัญแสดงให้เห็นทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ที่ยังคงต้องเหนื่อยต่ออีกปี เนื่องจากความท้าทายตอนนี้ไม่ได้มาจากผลกระทบของโควิด-19 เพียงอย่างเดียว แต่ถูกเสริมทัพด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันและต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มต่อเนื่องจากผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งล้วนกระทบต่อค่าครองชีพของผู้บริโภคโดยตรงและฉุดความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายให้น้อยลงตามไปด้วย ข้อมูลจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนเมษายน 2565 โดย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 เนื่องจากผู้บริโภคยังกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน เห็นได้จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑลในภาพรวมของไตรมาส 1 ปี 2565 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ค่าดัชนีลดลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 47.1 ซึ่งเป็นการกลับมาต่ำกว่าค่ากลาง (50.0) อีกครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของตลาดปีนี้อาจต้องอาศัยการประคับประคองร่วมกันทั้งจากภาครัฐ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค” 

“ปีนี้ยังคงเป็นโอกาสของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่มีการแพร่ระบาดฯ และเห็นได้ชัดจากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 48% จากปีก่อนหน้า ซึ่งผู้บริโภคมองว่าตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว ด้านคอนโดมิเนียมนั้นแม้ดัชนีราคาจะทรงตัว​แต่ยังมีโอกาสโตในตลาดเช่า หลังจากความต้องการเช่าเพิ่มขึ้นถึง 50% จากปีก่อนหน้า มองว่าหากมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบและภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานหรือลงทุนในไทยมากขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ที่น่าสนใจคือบางทำเลนอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และรอบนอกของกรุงเทพฯ เช่น ลาดกระบัง สายไหม ทวีวัฒนา มีระดับราคาค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นโอกาสของผู้ที่ต้องการลงทุนซื้ออสังหาฯ ปล่อยเช่า นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมที่รุมเร้าผู้บริโภคแล้ว เวลานี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมสำหรับผู้ซื้อและนักลงทุนระยะยาวที่มีความพร้อมทางการเงิน เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ยังคงชะลอตัว และยังมีโครงการที่อยู่อาศัยที่สร้างด้วยต้นทุนเดิมในตลาดให้เลือกพอสมควร ก่อนที่แนวโน้มราคาจะปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565”

“จากปัจจัยที่สร้างความท้าทายรอบด้านและล้วนมีผลต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ มองว่ามาตรการภาครัฐที่มีตอนนี้อาจไม่ใช่ยาแรงพอจะช่วยกระตุ้นตลาดที่ซบเซามานานได้มากนัก ภาครัฐควรพิจารณามาตรการกระตุ้นเฉพาะภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม เช่น การลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก หรือขยายมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์-ค่าจดจำนองครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา รวมถึงมีมาตรการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจที่ตรงจุดและชัดเจน เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากแม้จะมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ แต่เชื่อว่าการกลับมาของชาวต่างชาติน่าจะยังไม่คึกคักเทียบเท่ากับช่วงก่อนโควิด และการเติบโตในตลาดอสังหา​ฯ ยังขึ้นอยู่กับระดับความคลี่คลายของสถานการณ์ระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดฯ หรือสถานการณ์ความขัดแย้งต่าง ๆ คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯ ของไทยในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้านี้ จะอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการเติบโตแบบก้าวกระโดด” นางกมลภัทร กล่าวสรุป

จับตาความต้องการที่อยู่อาศัย​ ผู้ซื้อยังโฟกัสบ้านเดี่ยว ส่วนตลาดเช่ายังอยู่ที่คอนโดฯ เป็นหลัก

รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาฯ ไทยในไตรมาสล่าสุด สรุปภาพรวมความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้เช่า พร้อมอัปเดตทำเลน่าจับตามองมาพร้อมศักยภาพเติบโตในเมืองหลวง 

    • ที่อยู่อาศัยแนวราบยังมาแรง ดัชนีอุปทานบ้านเดี่ยวเพิ่ม 40% ในรอบปี ดัชนีอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 233 จุด จาก 229 จุด หรือเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า) โดยเทรนด์ที่อยู่อาศัยแนวราบยังมาแรงต่อเนื่อง ส่งผลให้บ้านเดี่ยวมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 11% จากไตรมาสก่อน หรือเพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อนหน้าเลยทีเดียว ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน หรือเพิ่ม 25% จากปีก่อนหน้า ด้านคอนโดมิเนียมแม้จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่ในรอบปีนั้นเพิ่มขึ้น 11% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีสินค้าแนวราบอยู่ในมือนำสินค้าออกมาขายมากขึ้น เพื่อตอบรับกับกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มถึง 48% จากปีก่อนหน้า ถือเป็นสัญญาณบวกแม้อัตราการดูดซับสินค้าในตลาดหรืออัตราการซื้อจริงจะยังไม่สูงมากนักก็ตาม ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมแม้ดัชนีอุปทานจะทรงตัว แต่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในไตรมาสต่อไป เห็นได้จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่เริ่มเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

      อย่างไรก็ดี แม้ความต้องการซื้อจะไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนแต่เพิ่มขึ้นถึง 33% ในรอบปี และเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ (ไตรมาส 4 ปี 2562) ถึง 70% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มกลับมาพิจารณาถึงความจำเป็นที่ต้องมีที่อยู่อาศัยมากขึ้น 
    • ดัชนีค่าเช่าทรงตัว แม้คนสนใจเช่าคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 50% ในรอบปี แม้ดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ล่าสุดทรงตัวอยู่ที่ 90 จุดจากไตรมาสก่อน และลดลง 6% จากปีก่อนหน้า แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มการเติบโตของดัชนีค่าเช่าในรอบปีนั้น บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นถึง 18% และทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้า สวนทางกับดัชนีค่าเช่าคอนโดฯ ที่ลดลง 6% ในรอบปี สะท้อนให้เห็นว่าที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงตอบโจทย์ผู้เช่า ด้านดัชนีอุปทานอสังหาฯ สำหรับเช่ามีการปรับตัวลดลง 5% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า โดยปรับตัวลดลงทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดฯ ลดลง 5% บ้านเดี่ยวลดลง 3% และทาวน์เฮ้าส์ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ในตลาดเช่านั้นมีโอกาสเติบโตที่น่าสนใจ เห็นได้ชัดจากดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน (เพิ่ม 42% จากปีก่อนหน้า) โดยคอนโดฯ มีดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มถึง 50% จากปีก่อนหน้า ต่างจากบ้านเดี่ยวที่ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า) และทาวน์เฮ้าส์ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า) สะท้อนให้เห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดเช่าคอนโดฯ ที่ยังคงมีกลุ่มเป้าหมายที่สนใจอยู่ไม่น้อย
DDproperty Thailand Property Rental Market Index Q2 2565
  • เจาะลึกทำเลน่าจับตา มีศักยภาพพร้อมเติบโต ทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่​จะอยู่ในพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก โดยได้รับอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ที่เปิดใช้บริการแล้วมาช่วยผ​ลักดันการเติบโต ดังนี้ 
    • เขตทวีวัฒนา อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงที่สุด อยู่ที่ 15% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 22% จากปีก่อนหน้า โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 16% จากไตรมาสก่อน ได้รับอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อมุมเมืองอื่นและใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ สะดวกยิ่งขึ้น
    • เขตตลิ่งชัน อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 12% จากปีก่อนหน้า โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน ถือเป็นอีกทำเลที่ได้รับอานิสงส์จากการที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน พาดผ่าน
    • เขตบางกอกใหญ่ อยู่ในพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า โดยคอนโดฯ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 7% จากไตรมาสก่อน การมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่พาดผ่านถึง 2 ช่วง ทั้งช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และช่วงหัวลำโพง-หลักสอง ซึ่งเชื่อมต่อกันที่สถานีท่าพระ เป็นอีกปัจจัยสำคัญ​ที่ช่วยให้ทำเลนี้น่าจับตามอง
    • เขตบางบอน อีกหนึ่งทำเลที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก แม้ไม่มีรถไฟฟ้าพาดผ่านแต่ถือเป็นแหล่งงานและแหล่งที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการเติบโต จึงทำให้มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 26% จากปีก่อนหน้า โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 9% จากไตรมาสก่อน 
    • เขตปทุมวัน ถือเป็นเขตเดียวในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 12% จากปีก่อนหน้า โดยคอนโดฯ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 3% จากไตรมาสก่อน ศักยภาพของทำเลนี้ยังมาจากการอยู่ใกล้โครงการรถไฟฟ้า BTS ทั้งสายสุขุมวิท และสายสีลม และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางซื่อ และยังใกล้แหล่งงานและสถานศึกษาชั้นนำ ถือเป็นหนึ่งในทำเลใจกลางเมืองที่น่าสนใจ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
DDproperty-Thailand-Property-Market-Report-Q2-2565_Districts-to-Watch

อาลีบาบาคลาวด์เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย รองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

อาลีบาบาคลาวด์เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย รองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

อาลีบาบาคลาวด์เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย รองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

    • ปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของไทย
    • นำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

อาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในไทย พร้อมสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลขององค์กรธุรกิจในประเทศ ซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี[1] (พ.ศ. 2561-2580) ของรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และความยั่งยืนให้กับประเทศ

การเปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทย ในช่วงเวลาที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย (PDPA) จะมีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน เป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของอาลีบาบา คลาวด์ ที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ เมื่อเข้ามาดำเนินงานในประเทศ  ควบคู่กับการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ปลอดภัยเข้ามาสู่ประเทศไทย ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO27001 และ ISO20000 และเป็นไปตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย รวมถึงกฎระเบียบด้านการเงินที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

นายไทเลอร์ ชิว ผู้จัดการประจำประเทศไทยของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ในขณะที่เราขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เรายังคงให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูล การเปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้ เรามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับต่าง ๆ ของประเทศไทย นอกจากนี้ เราต้องการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของบริษัทฯ มานำเสนอในประเทศไทย รวมถึงองค์ความรู้เฉพาะทางด้านต่าง ๆ  อาลีบาบา คลาวด์ ประสบความสำเร็จในการช่วยสนับสนุนธุรกิจทั่วโลกให้ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย และเราหวังว่าบริษัทฯ จะสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ครบครันเพื่อช่วยผลักดันวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน”

บริการด้านการรักษาความปลอดภัยที่นำเสนอให้แก่ลูกค้าในไทย ได้แก่ บริการป้องกันการโจมตีแบบ DDoS, WAF, ศูนย์ความปลอดภัย, การตรวจสอบการดำเนินการ, บริการใบรับรอง SSL และการจัดการการเข้าถึงทรัพยากร โดยบริการบางประเภทที่กล่าวมานี้ได้ถูกใช้งานจริงเพื่อรองรับการดำเนินงานอย่างราบรื่นในช่วงที่มีการจัดมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ของอาลีบาบา กรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในมหกรรมช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

บริการด้านการรักษาความปลอดภัยเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับแพลตฟอร์ม รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการป้องกันเชิงรุก การตรวจจับภัยคุกคาม การตรวจสอบและการตอบสนอง เช่น การปกป้องซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ให้รอดพ้นจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware), มัลแวร์สำหรับการขุดเหรียญและแบ็คดอร์ (Mining and Backdoor) และโทรจัน (Trojan) เพื่อลดปัญหาในการดำเนินงาน  นอกจากนี้ ในแง่ของสถาปัตยกรรม ศูนย์ความปลอดภัยของอาลีบาบา คลาวด์ ยังสามารถทำการตรวจสอบประเมินให้กับองค์กรธุรกิจ เพื่อปกป้องเซิร์ฟเวอร์ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

ผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่สำคัญอื่น ๆ ที่บริษัทฯ ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยพร้อมกับดาต้าเซ็นเตอร์ ได้แก่ ระบบประมวลผลที่ยืดหยุ่น (elastic compute) บริการด้านดาต้าเบส ด้านเน็ตเวิร์ก และ สตอเรจ รวมถึงบริการสำหรับนักพัฒนา การส่งคอนเทนต์ และแอปพลิเคชันระดับองค์กรต่าง ๆ

ผลิตภัณฑ์ของอาลีบาบาคลาวด์ได้ผ่านการทดสอบความแข็งแกร่งของสมรรถนะ ทั้งนี้บริษัทวิเคราะห์ชั้นนำระดับโลก เช่น ไอดีซี[2] ระบุว่าผลิตภัณฑ์ CDN ของบริษัทฯ เป็นผู้เล่นรายสำคัญ ขณะที่เทคโนโลยีคอนเทนเนอร์ได้รับการจัดอันดับเป็น “ผู้นำ” โดยฟอเรสเตอร์[3]  ส่วนผลิตภัณฑ์ด้านดาต้าเบสของอาลีบาบาคลาวด์ได้รับการจัดอันดับเป็น “ผู้นำ” ในรายงาน Gartner Magic Quadrant[4] และการ์ทเนอร์[5] ยังรับรองความสามารถด้านคลาวด์ที่สำคัญของบริษัทฯ ทั้งในส่วนของระบบประมวลผล สตอเรจ เน็ตเวิร์ก และระบบรักษาความปลอดภัย ว่าอยู่ในระดับเทียบเท่าผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก

อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้เทคโนโลยีในประเทศ และนำความสามารถทางเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาในประเทศไทยผ่านการสนับสนุนของพันธมิตร ทั้งนี้ตั้งแต่บริษัทฯ เปิดตัวโปรแกรม Thailand Partner Alliance 100 เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว บริษัทฯ มีพันธมิตรมากกว่า 40 รายเข้าร่วมโครงการเพื่อทำธุรกิจและเติบโตไปด้วยกันกับอาลีบาบาคลาวด์ เช่น บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT), สมาคมฟินเทคประเทศไทย, ไฮคลาวด์ (HiCloud), บริษัท ที เอ็ม อี เอส จำกัด (TMES), ทรูไอดีซี (True IDC), ทรู ดิจิทัล อคาเดมี (True Digital Academy), เอสไอเอส (SIS) นอกจากการขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัทฯ แล้ว อาลีบาบา คลาวด์ยังจะทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างสรรค์โซลูชันใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนธุรกิจไทยอีกด้วย

นายดิเอโก หม่า ซีอีโอของไฮคลาวด์ กล่าวว่า “เราร่วมมือกับอาลีบาบา คลาวด์ นำเสนอโซลูชันระดับแนวหน้าของโลกให้กับลูกค้าไทย เพื่อให้ธุรกิจของลูกค้าเหล่านี้ได้ใช้คลาวด์เพิ่มขึ้น อาลีบาบา คลาวด์ พยายามสร้างระบบนิเวศในประเทศ โดยให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมายกับเรา เช่น การฝึกอบรม การเสริมสร้างขีดความสามารถ และโอกาสทางการตลาดร่วมกัน เพื่อขยายการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ให้กับฐานลูกค้าที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น และช่วยลูกค้าของเราให้เปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลได้เร็วขึ้น”

ในแง่ของกลยุทธ์ อาลีบาบา คลาวด์ ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมสำคัญหลายกลุ่ม เช่น ธุรกิจค้าปลีกและโลจิสติกส์ การเงินและฟินเทค ความบันเทิงดิจิทัล และบริการภาครัฐ  ผลิตภัณฑ์และโซลูชันของอาลีบาบา คลาวด์ ที่รองรับอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพจากการใช้งานจริงของลูกค้าระดับโลก เช่น Singapore Post, Binangonan Rural Bank (ฟิลิปปินส์), Animal Logic (ออสเตรเลีย) และพันธมิตรระดับโลก เช่น Red Hat, Salesforce และ VMware

อาลีบาบา คลาวด์ ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งด้านการให้บริการคลาวด์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตามข้อมูลจากไอดีซี และเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ที่สุด 3 อันดับสูงสุดเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ตามการจัดอันดับของการ์ทเนอร์  ปัจจุบันอาลีบาบา คลาวด์ เปิดให้บริการใน 84 เขตพื้นที่ใน 27 ภูมิภาคทั่วโลก และได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลราว 80 รายการทั่วโลก โดยสามารถแก้ไขปัญหาช่องโหว่ของระบบมากกว่า 7.3 ล้านครั้งต่อปี

เพื่อรองรับการพัฒนาที่ยั่งยืน อาลีบาบา คลาวด์ ตั้งเป้าที่จะปรับปรุงดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกให้เปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดทั้งหมดภายในปี 2573  นอกจากนี้ อาลีบาบา กรุ๊ป ยังเข้าร่วมกลุ่มความร่วมมือ Low Carbon Patent Pledge เพื่อกระตุ้นการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ เปิดให้มีการใช้งานสิทธิบัตรทางเทคโนโลยีประหยัดพลังงานของบริษัทฯ 9 ฉบับได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

ไขข้อสงสัยคนอยากมีบ้าน “เครดิตบูโร” นั้นสำคัญไฉนเมื่อกู้ซื้อบ้าน?

ไขข้อสงสัยคนอยากมีบ้าน “เครดิตบูโร” นั้นสำคัญไฉนเมื่อกู้ซื้อบ้าน?

ไขข้อสงสัยคนอยากมีบ้าน “เครดิตบูโร” นั้นสำคัญไฉนเมื่อกู้ซื้อบ้าน?

ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุมล้อมสังคมไทยมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงเวลานี้ที่ผู้บริโภคต้องรับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มพุ่งสูงต่อเนื่อง ส่งผลต่อแผนการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้ และนำไปสู่การก่อหนี้เพิ่มขึ้นทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เห็นได้ชัดจากผลสำรวจสถานภาพแรงงานไทย: กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างแรงงานไทยที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ปี 2565 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า แรงงานไทยมีหนี้ถึง 99% ส่งผลให้ปีนี้ภาระหนี้ของครัวเรือนเพิ่มขึ้น 5.09% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี โดยแรงงาน 31.5% ยังเคยผิดนัดชำระหนี้อีกด้วย

แม้ปัจจัยแวดล้อมมากมายจะสร้างความท้าทายทางการเงินให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดที่อยู่อาศัยก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้บริโภค แม้จะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ก้อนใหญ่แต่มาพร้อมความมั่นคงในชีวิตและความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะยาว จึงเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคต้องการยื่นกู้ซื้อบ้านแม้จะมีภาระหนี้สินอยู่ก็ตาม

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยว่า อุปสรรคใหญ่เมื่อยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมาจากรายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคงถึง 59% ตามมาด้วยมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี (46%) และไม่มีเอกสารประกอบที่เพียงพอ (38%) สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการเงินมีความสำคัญอันดับต้น ๆ ซึ่งกลายเป็นความกังวลและพัฒนาต่อเนื่องไปเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า การมีประวัติหนี้สินแสดงอยู่บนเครดิตบูโรจะทำให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือยื่นกู้ไม่ผ่าน ซึ่งแท้จริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจผิดที่สะสมมานาน สร้างความกังวลใจเกินกว่าเหตุและทำให้คนที่ต้องการมีบ้านจำนวนมากพลาดโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในช่วงเวลาที่เหมาะสมตามไปด้วย

“เครดิตบูโร” ไม่ใช่แบล็คลิสต์!
“เครดิตบูโร” หรือ “บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด” เป็นองค์กรเอกชนที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางจัดเก็บข้อมูลประวัติธุรกรรมทางการเงินของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อบัตรกดเงินสด สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน ผ่อนรถยนต์ และอื่น ๆ รวมไปถึงประวัติด้านการเงินเกี่ยวกับธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งการกู้ ผ่อน จ่ายทั้งหมดของเจ้าของข้อมูล ซึ่งจะปรากฏในรายงานข้อมูลเครดิตของบุคคลนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติดีหรือประวัติไม่ดีก็ตามเพียงเท่านั้น โดยไม่มีหน้าที่หรืออำนาจในการอนุมัติสินเชื่อใด ๆ

ส่วนหน้าที่ของการอนุมัติการกู้เงินจะเป็นของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อผู้กู้ยื่นขอสินเชื่อต่อธนาคาร/สถาบันการเงินใด ๆ ธนาคาร/สถาบันการเงินนั้นจะนำข้อมูลจากเครดิตบูโรมาตรวจสอบคุณสมบัติต่าง ๆ ของผู้กู้ อาทิ พฤติกรรมการใช้เงินและวินัยในการผ่อนชำระหนี้ การผิดนัดชำระหนี้ ฯลฯ เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ

อย่างไรก็ดี การยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาสูงและระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน ธนาคาร/สถาบันการเงินจึงมีเกณฑ์พิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกันและให้เป็นคะแนน (หรือเรียกว่าเป็นเครดิตสกอร์) หากผู้ขอยื่นกู้มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีอย่างต่อเนื่อง คะแนนส่วนนี้สูงก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการอนุมัติสูง แต่ถ้าหากผู้กู้มีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี ผ่อนชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนด หรือมียอดค้างชำระหนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้คะแนนส่วนนี้ต่ำกว่าเกณฑ์จะส่งผลให้ธนาคาร/สถาบันการเงินมีแนวโน้มที่จะไม่อนุมัติสินเชื่อได้ ดังนั้น “การติดแบล็คลิสต์” จึงเป็นเพียงคำนิยามของผู้ที่มีประวัติในการผ่อนชำระหนี้ที่ไม่ดีหรือไม่เป็นไปตามข้อตกลงเท่านั้น

“มีบ้านเมื่อ (เงิน) พร้อม” เจอประวัติหนี้เสีย เคลียร์อย่างไรก่อนกู้ซื้อบ้าน
ประวัติธุรกรรมทางการเงินที่ดีถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อซึ่งคนอยากมีบ้านไม่ควรมองข้าม ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ส่งผลให้รายได้ผู้บริโภคผันผวนตามไปด้วย การซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่ถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างครอบครัวก็อาจสะดุดลงได้ หากผู้บริโภคยังมีหนี้สินมากเกินไป ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย แนะนำแนวทางเตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อซ่อมประวัติหนี้เสียบนเครดิตบูโร อุ่นเครื่องวินัยทางการเงินก่อนยื่นกู้ซื้อบ้าน ปูทางไปสู่การมีบ้านเมื่อพร้อม

    1. รู้เขารู้เรา เข้าใจสถานะเครดิตบูโร ผู้บริโภคควรตรวจสถานะเครดิตบูโรของตนก่อนจะยื่นขอกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ เพื่อให้ทราบประวัติทางการเงินที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งได้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วย หากมีประวัติเครดิตบูโรที่ดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการยื่นขอสินเชื่อมากขึ้น หรือกรณีที่มีประวัติการเงินที่ไม่ค่อยสวยงาม ผู้บริโภคจะได้สามารถวางแผนแก้ไขได้ทันท่วงที ปกติแล้วรายงานข้อมูลเครดิตจะเก็บข้อมูลเครดิตที่ได้จากธนาคาร/สถาบันการเงินย้อนหลังเป็นเวลาไม่เกิน 36 เดือนหรือ 3 ปี โดยระบุสถานะบัญชีด้วยตัวเลขที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
        • 10 คือ สถานะปกติ เจ้าของบัญชีมีการชำระสินเชื่อตามจำนวนยอดเงินปกติ ตรงตามเงื่อนไข และไม่มียอดค้างชำระ
        • 11 คือ สถานะปิดบัญชี เจ้าของบัญชีได้ทำการชำระหนี้ตามยอดค้างหมดแล้ว
        • 12 คือ สถานะในการพักชำระหนี้ เจ้าของบัญชีได้ทำการขอพักชำระหนี้ที่เคยมียอดค้างชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐ
        • 20 คือ สถานะในการค้างชำระหนี้ในระบบเกิน 90 วัน ซึ่งสถานะนี้ส่งผลเสียต่อเจ้าของบัญชี เนื่องจากมียอดค้างชำระหนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    2. เติมเต็มวินัยจัดการหนี้อย่างเป็นระบบ หากผู้บริโภคมีสถานะบัญชีเครดิตบูโรปกติ ขั้นตอนถัดมาคือควรวางแผนจัดการการเงินปัจจุบันให้เป็นระบบ โดยสรุปรายการภาระหนี้ทั้งหมดว่าเหลือจำนวนเท่าไร ใช้ระยะเวลาผ่อนชำระอีกนานเท่าใด ในระหว่างนี้มีเงินเหลือเพื่อเก็บออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉินหรือไม่ และประเมินว่าหากมีภาระในการผ่อนหนี้บ้านเพิ่มขึ้นมา สภาพคล่องทางการเงินจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้หรือไม่ ส่วนในกรณีที่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้ ผู้บริโภคควรสรุปรายรับและรายจ่ายที่มีก่อนเพื่อวางแผนการเงินใหม่ และประเมินความสามารถในการชำระหนี้คงค้างตามกำลังที่ตนไหว จากนั้นจึงขอเจรจากับธนาคาร/สถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอพักชำระหนี้ หรือขอชำระหนี้ตามจำนวนขั้นต่ำ เพื่อให้สามารถปิดบัญชีหนี้คงค้างทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหยุดการสร้างหนี้ใหม่สักระยะควบคู่ไปกับเริ่มออมเงิน โดยคำนวณว่าหากต้องผ่อนชำระหนี้บ้านต่อเดือนเท่านี้จะกระทบกับแผนการใช้จ่ายเพียงใด และทดลองเก็บเงินค่าผ่อนบ้านสำรองไว้ประมาณ 3-6 เดือน เพื่อเป็นการซ้อมและเช็กความพร้อมก่อนเป็นหนี้จริง
แนวทางเตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อซ่อมประวัติหนี้เสียบนเครดิตบูโร
    1. เช็กสุขภาพการเงิน สร้างประวัติดีก่อนกู้ เมื่อผู้บริโภคเคลียร์ปัญหาหนี้คงค้างให้กลับมามีสถานะบัญชีปกติแล้ว หากต้องการยื่นกู้เพื่อขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย ควรเริ่มสร้างเครดิตใหม่ เช่น ขอสินเชื่อบัตรเครดิตที่จำเป็นต้องใช้และชำระเต็มวงเงินหรือตามข้อตกลงอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขาดชำระ เพื่อสร้างเครดิตประวัติดีขึ้นมาทดแทน หรือขอยื่นกู้ซื้อที่อยู่อาศัยร่วมกับคนในครอบครัวที่มีประวัติเครดิตบูโรที่ดี เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ว่า ฐานเงินเดือนที่มีนั้นสามารถขอวงเงินกู้สูงสุดได้เท่าไร เป็นการวางกรอบในการเลือกซื้ออสังหาฯ ในราคาที่ไม่สร้างภาระจนเกินกำลัง พร้อมเปรียบเทียบแคมเปญสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่เหมาะสม และเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อมก่อนทำการยื่นกู้ แม้เครดิตบูโรจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ แต่การมีประวัติการเงินที่ดีก็ถือเป็นแต้มต่อสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ได้รับการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยนั้น ธนาคาร/สถาบันการเงินมีเกณฑ์ในการพิจารณาจากหลายองค์ประกอบและมีนโยบายที่แตกต่างกันออกไป ข้อมูลเครดิตบูโรจึงเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาเท่านั้น ไม่มีบทบาทกับการอนุมัติโดยตรงอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด และในกรณีที่กู้ไม่ผ่าน ผู้ยื่นกู้จะได้รับหนังสือชี้แจงเหตุผลที่ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร/สถาบันการเงิน ซึ่งจะเป็นแนวทางให้ผู้กู้สามารถนำมาใช้ปรับปรุงข้อมูลเพื่อแสดงศักยภาพในการผ่อนชำระ ก่อนจะขอยื่นกู้ใหม่อีกครั้งในอนาคตได้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) ได้รวบรวม “เครื่องคำนวณดอกเบี้ย & สินเชื่อ” เพื่อให้ผู้บริโภคที่อยากเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ลองคำนวณข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ ช่วยตรวจสอบความพร้อมก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน/คอนโดฯ พร้อมอัปเดตข้อมูลข่าวสาร/ความรู้ในแวดวงอสังหาฯ ที่คนอยากมีบ้านต้องรู้และไม่ควรพลาด ช่วยเตรียมความพร้อมให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของบ้านหลังใหม่ได้อย่างมั่นใจ 

วิธีที่ผู้ผลิตอาหารใช้วางแผนวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เพื่อทำให้ความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์เกิดประโยชน์สูงสุด

วิธีที่ผู้ผลิตอาหารใช้วางแผนวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์

วิธีที่ผู้ผลิตอาหารใช้วางแผนวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เพื่อทำให้ความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์เกิดประโยชน์สูงสุด

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินฟอร์ อาเชียน-อินเดีย

ตามที่สหประชาชาติได้กำหนดความสัมพันธ์กันเป็นระบบระหว่างน้ำ-อาหาร-พลังงาน ให้เป็นหัวใจสำคัญของความพยายามในการพัฒนาที่ยั่งยืน  และพบว่าอาหารมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกสูงถึง 26% ดังนั้น จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเพราะเหตุใดผู้ผลิตอาหารและผู้แปรรูปอาหารจึงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้เพิ่มข้อมูลรับรองความยั่งยืนของตน  บริษัทต่าง ๆ ต้องเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้เป็นโอกาส โดยต้องทำให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาตรงตามความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า ทั้งในแง่ของความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม ในขณะเดียวกันก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจอาหารจะต้องทำงานหนักมากขึ้นอย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์

การเปลี่ยนแปลงที่มาจากความต้องการของลูกค้า

การเพิ่มขึ้นของอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย กับการรายงานข่าวของสื่อที่เกี่ยวกับการบริโภคและความรับผิดชอบที่ยั่งยืนมากขึ้นนั้น หมายความว่าลูกค้าจำนวนมากขึ้นต้องการการมองเห็น และการเชื่อมต่อที่แท้จริงกับสินค้าที่ซื้ออยู่ทุกวันซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารด้วยเช่นกัน และสิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลไม่ใช่เพียงแค่ตัวผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการบรรจุและขนส่งผลิตภัณฑ์อีกด้วย

สำหรับผู้ผลิตอาหาร แน่นอนว่าข้อกำหนดกฎหมายด้านความยั่งยืนกำลังเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน เห็นได้จากการกำหนดมาตรฐานบรรจุภัณฑ์ในบางประเทศ เช่น Grüne Punkt ในเยอรมนีหรือ Green Dot ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ใบอนุญาตของเครือข่ายยุโรปสำหรับการรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ของสินค้าอุปโภคบริโภค และ Anti-Wastage and Circular Economy (AGEC) ในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการขจัดของเสียและมลพิษ เป็นต้น เนื่องจากปัจจุบันนี้การกำหนดให้ติดฉลากระบุคุณค่าทางโภชนาการและสารก่อภูมิแพ้ได้กลายเป็นมาตรฐานไปแล้ว จึงเห็นได้ว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มกฎระเบียบมากขึ้นในประเด็นต่าง ๆ เช่น การปล่อยคาร์บอนและการใช้น้ำในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจจึงต้องมุ่งเป้าไปที่การปฏิบัติตามข้อกำหนด ซึ่งไม่เพียงแต่เพื่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้กับฐานลูกค้าที่มีวิสัยทัศน์มากขึ้นด้วย

แม้ว่าการรับรองข้อมูลด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดจะยังไม่ใช่ ‘ใบอนุญาตในการดำเนินงาน’ ก็ตาม แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเป็นในที่สุด ธุรกิจอาหารจำนวนมากขึ้นกำลังนำเรื่องความยั่งยืนมาทำให้ตนเองแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่น ๆ ทว่า เรื่องนี้ถือว่าสำคัญ เพราะต้องตอบให้ได้ว่าอะไรคือเกณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ถือว่า ‘ยั่งยืน’ บางทีธุรกิจอาหารกำลังเผชิญกับอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ ‘ยั่งยืน’

ขอบเขตของความยั่งยืน

แนวทางที่ตรงไปตรงมาและค่อนข้างเป็นพื้นฐานที่สุด คือ การกำหนดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของแหล่งที่เป็นเจ้าของหรือแหล่งควบคุม ซึ่งรวมถึงปัจจัยทุกด้านภายใต้การควบคุมของผู้ผลิตอาหาร  ซึ่งจะต้องทำไปทีละขั้นตอน รวมทั้งต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของกระบวนการต่าง ๆ ที่ธุรกิจใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นด้านไฟฟ้า ไอน้ำ การทำความร้อน หรือการทำความเย็น เป็นต้น ทั้งนี้ ควรขยายขอบเขตของแนวทางมาตรฐานให้กว้างขึ้น โดยต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของระบบซัพพลายเชน ซึ่งหากจะกล่าวซ้ำก็คือตั้งแต่แหล่งกำเนิดไปจนถึงมือผู้บริโภคนั่นเอง  และหากภาคส่วนนี้จริงจังกับเรื่องความยั่งยืน ก็จำเป็นต้องขยายขอบเขตไปให้ไกลกว่าเรื่องผู้บริโภค โดยต้องพิจารณาถึงวงจรของเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อรักษาประโยชน์ใช้สอยและมูลค่าสูงสุดของผลิตภัณฑ์ตลอดเวลา รวมทั้งการวิเคราะห์ทางเลือกของขยะและการรีไซเคิลด้วย ทว่า ในปัจจุบันยังไม่มีคำแนะนำใด ๆ ที่แสดงถึงการรายงานความยั่งยืนที่เข้มงวด ซึ่งจำเป็นจะต้องมีความชัดเจนในเรื่องนี้

ผู้บริโภคกำลังมองหาความชัดเจนเกี่ยวกับฉลากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ จากอุตสาหกรรมที่แม้แต่ผู้ผลิตเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เสมอไป ดังนั้น การขาดความสม่ำเสมอและมาตรฐานในการติดฉลากผลิตภัณฑ์จึงไม่ได้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นแต่อย่างใด  ถ้าเช่นนั้น ความยั่งยืนจะเริ่มต้นและจบลง ณ ที่ใด เช่น  การเกษตรปฏิรูปเพื่อฟื้นฟูดินที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น การสนับสนุนการทำฟาร์มที่ส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของดิน รวมถึงการที่ซัพพลายเออร์จำนวนมากขึ้นพยายามใช้น้ำในกระบวนการผลิตให้น้อยลงเช่นกัน เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ความยั่งยืนยังรวมถึงการปรับปรุงที่ทำให้การผนวกรวมสังคมและเศรษฐกิจของเกษตรกรและ ซัพพลายเออร์ดีขึ้นอีกด้วย

เกณฑ์วัดความความยั่งยืนมีอะไรบ้าง  ท้ายที่สุดแล้ว ขณะนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตและผู้แปรรูปที่จะต้องกำหนดปัจจัยต่าง ๆ ที่ต้องพิจารณา เพื่อตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนควรจะเป็นอย่างไร  ทั้งนี้ รวมถึงการตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าในเรื่องความโปร่งใสด้านความยั่งยืน และการวางระบบเพื่อรับมือกับการบังคับใช้ข้อกำหนดกฎหมายที่เป็นรูปธรรม ซึ่งควรจะทำให้การแข่งขันยกระดับสูงขึ้นไปอีกขั้น

 ภาวะข้อมูลล้น

เมื่อพูดถึงการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยั่งยืนออกสู่ตลาด ปัญหาหลักสำหรับธุรกิจอาหารคือวิธีจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เกิดจากระบบซัพพลายเชนทั้งหมด (ซึ่งยังไม่รวมถึงการทำให้แน่ใจว่าวันที่ที่ได้รับจากคู่ค้าซัพพลายเชนนั้นถูกต้อง)  ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้ก็ยังไม่ใช่ข้อมูลคงที่เช่นกัน แต่จะเป็นข้อมูลแบบไดนามิกที่ไม่มีคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์คงที่ ซึ่งต้องพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประเทศแหล่งกำเนิดของส่วนผสม หรือวิธีการขนส่ง หรือข้อกำหนดด้านบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น  ดังนั้น การพิจารณาปัจจัยเพื่อกำหนดความยั่งยืนต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จึงส่งผลให้ความซับซ้อนยุ่งยากในการจัดการวงจรชีวิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ  ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงการกำหนดสูตรผลิตภัณฑ์อีกต่อไป แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นไปโดยอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจออกสู่ตลาดได้โดยเร็วที่สุด

ดังนั้น ณ จุดนี้ การใช้สเปรดชีตจึงไม่เพียงพอสำหรับการจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (PLM) อีกต่อไป เนื่องจากไม่สามารถจัดการกับข้อมูลที่ไดนามิกปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ  ทั้งนี้สเปรดชีตไม่เพียงแต่มีแนวโน้มทำให้เกิดข้อผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังใช้เวลานานมากในการส่งจากแผนกหนึ่งไปยังอีกแผนกหนึ่ง อันเป็นความพยายามที่จะรวมการดำเนินการและกิจกรรมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าไว้ด้วยกัน  การใช้เครื่องมือ PLM ที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจรวบรวมไอเดียต่าง ๆ ทำให้กระบวนการคิดก่อนเริ่มต้นพัฒนาผลิตภัณฑ์จนออกสู่ตลาดมีการจัดการที่เหมาะสม และนำมาซึ่งความโปร่งใสแบบใหม่
ไม่เพียงแต่ในด้านเกณฑ์การตัดสินใจและความรับผิดชอบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรับรองความยั่งยืนอีกด้วย

กระบวนการในการทำงานร่วมกัน

เครื่องมือที่เหมาะสมจะอำนวยความสะดวกในการป้อนข้อมูลจากธุรกิจทุกส่วน โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด  จัดสรรกิจกรรมให้กับแผนกและบุคคลต่าง ๆ จัดลำดับงาน และกำหนดให้ลงชื่อออกจากระบบดิจิทัลก่อนที่จะดำเนินการใด ๆ ต่อไปได้ ทั้งยังรวมถึงการเร่งกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ทำให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  บ่อยครั้งที่ผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดล่าช้า เนื่องจากมีข้อผิดพลาดในขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างน้อยหนึ่งด้าน  ทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมออกสู่ตลาดในเวลาที่เหมาะสมนั้น มีความเกี่ยวพันและต้องพึ่งพาอาศัยกันมาก เพราะในตอนท้าย ข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่สุดที่ดูเหมือนไม่ใช่ส่วนสำคัญของกระบวนการก็อาจนำไปสู่ความล้มเหลวได้

การเดินทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุด

วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ไม่ได้เริ่มต้นและสิ้นสุดที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่จะยังคงดำเนินต่อไปอีกนานหลังจากเปิดตัวแล้ว  การเปลี่ยนซัพพลายเออร์ เปลี่ยนแปลงส่วนผสม หรือตอบสนองต่อกฎหมายใหม่ เป็นตัวอย่างของความจำเป็นที่ทำให้ต้องมีการคำนวณปัจจัยด้านความยั่งยืนใหม่ ซึ่งทั้งสำคัญ ซับซ้อนและใช้เวลานานมากเกินกว่าจะปล่อยให้อยู่ในสเปรดชีต  โซลูชัน PLM ที่เหมาะสมสามารถจัดการกระบวนการทั้งหมดนี้ได้ โดยเปลี่ยนข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ จากนั้นจึงแนะนำวิธีปรับสูตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ในข้อมูลจำเพาะและต้นทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความยั่งยืนอีกด้วย

การจะก้าวต่อไปอีกขั้นต้องคำนึงถึงการจัดการขั้นตอนสุดท้ายของผลิตภัณฑ์ด้วย  ดังนั้น PLM จึงเป็นมากกว่าการผสมสูตรส่งไปจนถึงมือของผู้บริโภค มองไกลไปถึงการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ และอาจรวมถึงทางเลือกในการจัดการขยะอาหารอย่างรับผิดชอบอีกด้วย ซึ่งขั้นตอนที่กล่าวมาแสดงถึงความพยายามเพิ่มเติมในการเพิ่มการรับรองข้อมูลด้านความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจอาหารโดยเฉพาะ

ในขณะที่ธุรกิจอาหารจำนวนมากขึ้นพยายามสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง  ความสามารถในการส่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่แท้จริงในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและมีความท้าทายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  เทคโนโลยีจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มความยั่งยืนได้สูงสุด ที่จะช่วยให้ธุรกิจอาหารสามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการและกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่ยังคงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าดึงดูดใจแก่ผู้บริโภค  ธุรกิจอาหารสามารถปรับปรุงกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งหมด และวางโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมสำหรับความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการส่งมอบมาตรฐานความยั่งยืนสูงสุดด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม

แอนท์กรุ๊ปบรรลุเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางทางคาร์บอน” ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจนเป็นศูนย์ด้วยเทคโนโลยี Green Computing และลดการปล่อยก๊าซทางอ้อม

แอนท์กรุ๊ปบรรลุเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางทางคาร์บอน”

แอนท์กรุ๊ปบรรลุเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางทางคาร์บอน” ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจนเป็นศูนย์ด้วยเทคโนโลยี Green Computing และลดการปล่อยก๊าซทางอ้อม

แอนท์กรุ๊ป (Ant Group) ประกาศว่า บริษัทฯ ได้บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) สำหรับการดำเนินงานของบริษัทฯ (ขอบเขตที่ 1 และ 2) ตามข้อมูลตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนของปี 2564 ซึ่งผ่านการรับรองจาก China Environmental United Certification Center (CEC) โดยนับเป็นความสำเร็จก้าวแรกที่สำคัญของบริษัทฯ ในการดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2573 รวมถึงการให้ข้อมูลอัพเดตเป็นระยะ ๆ เกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินการตามเป้าหมายที่สำคัญนี้

แอนท์กรุ๊ปบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในขอบเขตที่ 1 และ 2
แอนท์กรุ๊ปบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในขอบเขตที่ 1 และ 2 ในการดำเนินงานปี 2564

ตามข้อมูลตัวเลขที่ผ่านการรับรองจาก CEC พบว่า ในปี 2564 แอนท์กรุ๊ปลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทั้งหมด 37,909.87 ตัน เทียบเท่ากับการนำเอารถยนต์ออกจากถนน 15,000 คันต่อปี โดยคำนวณจากการที่รถแต่ละคันวิ่งเป็นระยะทางโดยเฉลี่ย 12,000 กิโลเมตรต่อปี และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.203 กิโลกรัมต่อกิโลเมตร

เพื่อยืนยันผลการตรวจสอบ CEC ได้ใช้ Carbon Matrix ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Software-as-a-Service (SaaS) ของแอนท์เชน (AntChain) ที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจและสถาบันต่าง ๆ สามารถตรวจสอบติดตามและรับรองการปล่อยก๊าซคาร์บอนขององค์กรโดยใช้บล็อกเชน (Blockchain)  ทั้งนี้ CEC เป็นผู้ให้บริการอย่างเป็นทางการสำหรับโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 โดยทำหน้าที่ตรวจวัดประสิทธิภาพด้านการลดก๊าซคาร์บอนของคณะกรรมการโอลิมปิก

ในปี 2564 แอนท์กรุ๊ปบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในการดำเนินงานของบริษัทฯ (ขอบเขตที่ 1 และ 2) โดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ ในการลด ทดแทน และชดเชยการปล่อยก๊าซดังนี้:

    • การลด: ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1,668.60 ตัน ด้วยการปรับปรุงการประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
    • การทดแทน: หลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 21,883.63 ตัน ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน (renewable energy)
    • การชดเชย: ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 23,159.54 ตัน ด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต China Certified Emission Reduction (CCER)

อี้เจีย เป็ง รองประธานของแอนท์กรุ๊ป กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้นับเป็นพัฒนาการก้าวสำคัญนับตั้งแต่ที่เราได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 ด้วยการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างเช่น บล็อกเชน และกรีนคอมพิวติ้ง (Green Computing) เราจึงพร้อมที่จะบรรลุเป้าหมายในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้ประโยชน์ให้กับคนทุกกลุ่ม”

ภายใต้โร้ดแมปของแอนท์กรุ๊ปสำหรับการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2573 บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ในขอบเขตที่ 1, 2 และ 3  โดยขอบเขตที่ 1 หมายถึงการปล่อยก๊าซโดยตรงโดยเป็นผลมาจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เผาไหม้จากแหล่งพลังงานที่อยู่ภายใต้การครอบครองหรือการควบคุมของแอนท์กรุ๊ป  ส่วนขอบเขตที่ 2 หมายถึงการปล่อยก๊าซทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อพลังงานไฟฟ้าและการใช้เครือข่ายระบบทำความร้อนหรือความเย็น  และขอบเขตที่ 3 หมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนอื่น ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ของแอนท์กรุ๊ป เช่น การใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ การเดินทางเพื่อธุรกิจ และบริการรถรับ-ส่งพนักงานที่บริษัทฯ จัดหาให้

ตามข้อมูลตัวเลขที่ผ่านการรับรองจาก CEC พบว่า ในปี 2564 แอนท์กรุ๊ปลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทั้งหมด 37,909.87 ตัน เทียบเท่ากับการนำเอารถยนต์ออกจากถนน 15,000 คันต่อปี โดยคำนวณจากการที่รถแต่ละคันวิ่งเป็นระยะทางโดยเฉลี่ย 12,000 กิโลเมตรต่อปี และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.203 กิโลกรัมต่อกิโลเมตร เพื่อยืนยันผลการตรวจสอบ CEC ได้ใช้ Carbon Matrix ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Software-as-a-Service (SaaS) ของแอนท์เชน (AntChain) ที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจและสถาบันต่าง ๆ สามารถตรวจสอบติดตามและรับรองการปล่อยก๊าซคาร์บอนขององค์กรโดยใช้บล็อกเชน (Blockchain) ทั้งนี้ CEC เป็นผู้ให้บริการอย่างเป็นทางการสำหรับโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 โดยทำหน้าที่ตรวจวัดประสิทธิภาพด้านการลดก๊าซคาร์บอนของคณะกรรมการโอลิมปิก ในปี 2564 แอนท์กรุ๊ปบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในการดำเนินงานของบริษัทฯ (ขอบเขตที่ 1 และ 2) โดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ ในการลด ทดแทน และชดเชยการปล่อยก๊าซดังนี้: • การลด: ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1,668.60 ตัน ด้วยการปรับปรุงการประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ • การทดแทน: หลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 21,883.63 ตัน ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน (renewable energy) • การชดเชย: ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 23,159.54 ตัน ด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต China Certified Emission Reduction (CCER) อี้เจีย เป็ง รองประธานของแอนท์กรุ๊ป กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้นับเป็นพัฒนาการก้าวสำคัญนับตั้งแต่ที่เราได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 ด้วยการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างเช่น บล็อกเชน และกรีนคอมพิวติ้ง (Green Computing) เราจึงพร้อมที่จะบรรลุเป้าหมายในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้ประโยชน์ให้กับคนทุกกลุ่ม” ภายใต้โร้ดแมปของแอนท์กรุ๊ปสำหรับการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2573 บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ในขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 โดยขอบเขตที่ 1 หมายถึงการปล่อยก๊าซโดยตรงโดยเป็นผลมาจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เผาไหม้จากแหล่งพลังงานที่อยู่ภายใต้การครอบครองหรือการควบคุมของแอนท์กรุ๊ป ส่วนขอบเขตที่ 2 หมายถึงการปล่อยก๊าซทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อพลังงานไฟฟ้าและการใช้เครือข่ายระบบทำความร้อนหรือความเย็น และขอบเขตที่ 3 หมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนอื่น ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ของแอนท์กรุ๊ป เช่น การใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ การเดินทางเพื่อธุรกิจ และบริการรถรับ-ส่งพนักงานที่บริษัทฯ จัดหาให้
เทคโนโลยีกรีนคอมพิวติ้งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน 82% ภายในห่วงโซ่มูลค่าของบริษัทฯ ในปี 2564

ในปี 2564 แอนท์กรุ๊ปลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขอบเขตที่ 3 ได้รวมทั้งสิ้น 36,241.27 ตัน โดยอาศัยการปรับใช้เทคโนโลยีกรีนคอมพิวติ้ง ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซได้ถึง 29,591.48 ตัน หรือประมาณ 82% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดในขอบเขตที่ 3

ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในปัจจุบัน ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก และก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในปริมาณที่สูงมาก  ภายหลังการปรับใช้เทคโนโลยีกรีนคอมพิวติ้งเมื่อปี 2562 เช่น การใช้งานแบบไฮบริดระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ การกำหนดตารางแบ่งเวลาแบบคลาวด์เนทีฟ การปรับขนาดแบบอัตโนมัติโดยใช้ AI และ OceanBase  ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ระดับองค์กรแบบกระจาย แอนท์กรุ๊ปสามารถเพิ่มอัตราการใช้ประโยชน์ของเซิร์ฟเวอร์ข้อมูลได้มากกว่า 2 เท่าในช่วงระยะเวลา 3 ปี โดยที่ยังคงสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญ

การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในขอบเขตที่ 3 ของแอนท์กรุ๊ปในส่วนที่เหลือ เป็นผลมาจากการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับใช้งานในสำนักงาน และการส่งเสริมให้พนักงานใช้บริการขนส่งสาธารณะหรือใช้รถร่วมกัน รวมถึงแท็กซี่ และคาร์พูล (Carpooling) สำหรับการเดินทางเพื่อธุรกิจภายในท้องถิ่น

ใบรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอนของ CEC สำหรับแอนท์กรุ๊ป (เป็นภาษาจีนเท่านั้น) เปิดเผยแก่สาธารณชนบนแพลตฟอร์มข้อมูลสำหรับความเป็นกลางทางคาร์บอน (Information Platform for Carbon Neutrality) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์พัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีน