มือใหม่ต้องรู้! เมื่อเส้นทางซื้อบ้านต้องสะดุด เตรียมพร้อมรับมืออย่างไรดี

มือใหม่ต้องรู้! เมื่อเส้นทางซื้อบ้านต้องสะดุด เตรียมพร้อมรับมืออย่างไรดี

มือใหม่ต้องรู้! เมื่อเส้นทางซื้อบ้านต้องสะดุด เตรียมพร้อมรับมืออย่างไรดี

การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญในชีวิตของใครหลายคน โดยเฉพาะช่วงวัยทำงานที่กำลังสร้างฐานะและครอบครัว นอกจากจะตอบโจทย์ความจำเป็นในการอยู่อาศัยแล้ว ยังแสดงถึงความมั่นคงในชีวิตได้อีกด้วย แม้ปัจจุบันผู้บริโภคจะยังคงเผชิญความท้าทายทั้งจากสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมไปถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ทำให้ผู้ที่วางแผนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในปีนี้อาจลังเลใจ แต่เมื่อพิจารณาความคุ้มค่าจากมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ทั้งมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์-ค่าจดจำนอง เหลือเพียง 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งและมือสอง ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เพิ่มโอกาสให้ผู้ซื้อบ้านสามารถกู้ได้เต็ม 100% ซึ่งใกล้สิ้นสุดลงในปลายปี 2565 ประกอบกับการที่ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ส่งสัญญาณปรับขึ้นราคาขายบ้าน/คอนโดฯ ในอนาคตหลังต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น จึงทำให้ช่วงเวลานี้ถือเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ระดับกลางถึงล่าง

5 ขั้นตอนที่ควรรู้เมื่อคิดเป็นเจ้าของบ้าน/คอนโดฯ  

การซื้อที่อยู่อาศัยถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงและยังมีรายละเอียดในเรื่องเอกสารสัญญาต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ซื้อบ้าน/คอนโดฯ มาก่อนจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจขั้นตอนต่าง ๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่น รวมทั้งป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจตามมาในภายหลัง โดยมี 5 ขั้นตอนหลัก ๆ ในการซื้อที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคควรต้องรู้ ดังนี้ 

    1. หาข้อมูลและเลือกรูปแบบให้ตอบโจทย์ ผู้บริโภคควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ ว่าซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือซื้อเพื่อลงทุน หากเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยต้องมีพูดคุยสรุปความต้องการกับสมาชิกในครอบครัวเพื่อกำหนดรูปแบบของบ้าน/คอนโดฯ ในฝันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ จากนั้นจึงเลือกทำเลที่สนใจ พร้อมทั้งกำหนดราคาที่อยู่อาศัยคร่าว ๆ ไว้ ก่อนทำการค้นหาข้อมูลโครงการบ้าน/คอนโดฯ จากเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อย่าง www.DDproperty.com ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลประกาศขายโครงการบ้าน/คอนโดฯ ที่น่าสนใจมากมายทั้งจากผู้พัฒนาอสังหาฯ เอเจนต์ที่เชื่อถือได้ หรือเจ้าของบ้านโดยตรง พร้อมทั้งรีวิวโครงการใหม่ที่น่าสนใจ ก่อนจะทำการคัดเลือกโครงการที่ตอบโจทย์ไม่เกิน 5 แห่งเพื่อนัดหมายเข้าชมโครงการจริง หรือเลือกเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (Virtual Tour) เพื่อสอบถามข้อมูลหรือโปรโมชั่นเพิ่มเติมกับพนักงานขาย นอกจากนี้ การสำรวจพื้นที่รอบโครงการก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน โดยควรพิจารณาความปลอดภัย ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย รวมถึงศักยภาพของทำเลในปัจจุบันและอนาคต ก่อนนำข้อมูลทั้งหมดมาเปรียบเทียบเพื่อเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์มากที่สุด
    1. ศึกษารายละเอียดก่อนวางเงินจองและทำสัญญา เมื่อได้โครงการที่ถูกใจแล้ว ผู้บริโภคสามารถแจ้งความจำนงกับพนักงานขายเพื่อทำการจองบ้าน/คอนโดฯ ในยูนิตที่ต้องการ โดยจ่ายเงินจองเพื่อยืนยันว่าต้องการซื้อจริง ๆ ซึ่งเงินจองจะแตกต่างกันไปในแต่ละโครงการ ขึ้นอยู่กับมูลค่าบ้าน/คอนโดฯ นั้น ๆ นอกจากนี้ผู้บริโภคจะต้องศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ของสัญญาจองและสัญญาจะซื้อจะขายให้ถี่ถ้วน โดยสัญญาจะซื้อจะขายนั้นทำขึ้นเพื่อเป็นการแสดงเจตนาของฝ่ายผู้จะซื้อว่าต้องการจะซื้ออสังหาฯ ของผู้จะขาย พร้อมวางเงินมัดจำไว้เป็นประกันว่าจะมีการทำสัญญาซื้อขายระหว่างกัน และเกิดการโอนกรรมสิทธิ์ขึ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมระบุรายละเอียดและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งผู้บริโภคจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูล รายละเอียด และเงื่อนไขในสัญญาให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความเสียหายหากเกิดปัญหาในภายหลัง เมื่อทำสัญญาแล้วจะมีการวางเงินดาวน์จำนวนหนึ่ง หากเป็นการซื้อโครงการบ้าน/คอนโดฯ ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ผู้บริโภคจะสามารถผ่อนดาวน์เป็นงวดได้ตามที่ทางโครงการระบุไว้ในสัญญา หรือบางโครงการอาจจะเสนอโปรโมชั่นฟรีดาวน์ให้
    1. เตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อยื่นขอสินเชื่อ สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ได้ซื้อที่อยู่อาศัยด้วยเงินสดนั้น ควรเริ่มต้นประเมินความพร้อมทางการเงินและวางแผนออมเงินให้ดี เคลียร์หนี้สินที่มีให้ได้มากที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อตามวงเงินที่ต้องการ รวมทั้งหาข้อมูลสินเชื่อที่สนใจจากธนาคาร/สถาบันการเงินเพื่อสอบถามเงื่อนไขและโปรโมชั่นต่าง ๆ ปกติแล้วธนาคารจะพิจารณาจากรายได้ของผู้กู้และกำหนดเงื่อนไขของผู้กู้ให้สามารถแบกรับภาระหนี้ได้ที่ 40% ของรายได้ต่อเดือน ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรเตรียมเอกสารแสดงความสามารถทางการเงินที่มีรายละเอียดข้อมูลรายได้และศักยภาพในการผ่อนชำระของผู้ขอสินเชื่อ รวมไปถึงหลักทรัพย์ต่าง ๆ ให้พร้อม เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติมากขึ้น โดยสามารถเลือกกู้ร่วมกับคนในครอบครัวเพื่อเพิ่มวงเงินให้สูงขึ้น ในกรณีซื้อโครงการที่ยังสร้างไม่เสร็จนั้น พนักงานจะแจ้งให้ผู้บริโภคยื่นเรื่องขอสินเชื่อเมื่อโครงการก่อสร้างใกล้เสร็จ จึงมีเวลาในการเตรียมพร้อมเอกสารเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี วงเงินที่ธนาคารอนุมัติอาจไม่ครอบคลุมทั้งหมด ผู้บริโภคจึงควรมีเงินสำรองเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไว้ด้วย
    1. ตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนโอน เมื่อธนาคาร/สถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อเรียบร้อยแล้ว โครงการจะนัดให้ผู้บริโภคเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยของสภาพบ้าน/คอนโดฯ ก่อนเซ็นรับ ขั้นตอนนี้ผู้บริโภคควรเตรียมรายการตรวจสอบ (Checklist) เป็นตัวช่วยในการตรวจเช็กความเรียบร้อยทั้งในส่วนงานระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ ระบบสื่อสาร พื้นและผนัง ประตูและหน้าต่าง หากผู้บริโภคไม่มั่นใจก็สามารถว่าจ้างบริษัทรับตรวจสอบบ้าน/คอนโดฯ โดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญมาช่วยในการตรวจสอบร่วมด้วยได้ ซึ่งการตรวจสอบโดยมืออาชีพจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและประหยัดเวลาได้มากขึ้น จากนั้นจึงแจ้งให้ทางโครงการแก้ไขจุดบกพร่องและกำหนดวันในการตรวจสอบการแก้ไขรอบสุดท้ายให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงไปโอนกรรมสิทธิ์ เนื่องจากหากโอนกรรมสิทธิ์ก่อนตรวจรับงานนั้น การขอให้ทางโครงการแก้ไขจุดบกพร่องเพิ่มเติมอาจเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด
    1. เตรียมพร้อมค่าใช้จ่ายการโอนกรรมสิทธิ์ ในขั้นตอนนี้นั้นทั้งผู้ซื้อ ตัวแทนโครงการ และตัวแทนจากธนาคาร/สถาบันทางการเงินจะต้องไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์พร้อมกันที่สำนักงานที่ดิน ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารจะแจ้งวงเงินที่ผ่านการอนุมัติ พร้อมทั้งแจ้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ผู้ซื้อต้องเตรียม ซึ่งจะมีทั้งส่วนที่ผู้ซื้อเป็นคนจ่าย ผู้ขายเป็นคนจ่าย หรือจ่ายร่วมกัน ในกรณีที่ผู้ซื้อได้วงเงินน้อยกว่าที่ขอกู้ไป จะต้องเตรียมเงินเพื่อจ่ายค่าส่วนต่างที่เหลือให้กับทางโครงการ/ผู้ขายด้วย ดังนี้
      • ค่าธรรมเนียมโอนบ้าน คิดเป็น 2% ของราคาประเมินที่ดินรวมสิ่งปลูกสร้าง แบ่งจ่ายกันคนละ 1% ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย หรือตามข้อตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
      • ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ คิดที่อัตรา 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยใช้ราคาที่สูงกว่า เป็นค่าใช้จ่ายของผู้ขาย หากครอบครองมากกว่า 5 ปีขึ้นไป หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปี จะไม่ต้องจ่ายภาษีส่วนนี้
      • ค่าอากรแสตมป์ คิด 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยใช้ราคาที่สูงกว่า แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาประเมินที่ดิน เป็นค่าใช้จ่ายของผู้ขาย (หากเสียภาษีธุรกิจเฉพาะไม่ต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์)
      • ค่าจดจำนอง คิดเป็น 1% ของยอดเงินกู้ทั้งหมด และเป็นค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อบ้านโดยการกู้ 
      • ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีที่ผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดาต้องชำระค่าภาษีนี้ เพราะเป็นผู้มีรายได้จากธุรกรรมซื้อขาย

How to รับมือสารพันปัญหาระหว่างทาง เมื่อคิดเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย 

แม้จะมีการวางแผนเพื่อเตรียมซื้อที่อยู่อาศัยอย่างดีเพียงใดก็ตาม แต่ผู้ซื้อมือใหม่ก็อาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายหรือปัญหาต่าง ๆ ในระหว่างขั้นตอนการซื้อขายอสังหาฯ ได้ จึงควรหาข้อมูลเพื่อรับมือกับปัญหาไว้ด้วยเช่นกัน ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า เรื่องที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความรู้น้อยที่สุดเมื่อต้องซื้อที่อยู่อาศัยอันดับแรก คือ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน/คอนโดฯ (19%) ตามมาด้วยเรื่องภาษี (16%) ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย และสินเชื่อบ้าน/คุณสมบัติทางการเงินในสัดส่วนที่เท่ากัน (12%) สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย รวบรวมปัญหาอันดับต้น ๆ ที่ผู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ มักเผชิญ พร้อมแนะนำแนวทางบริหารจัดการและรับมือ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เตรียมพร้อมป้องกันก่อนเกิดปัญหา

    • เงินออมไม่มี เงินดาวน์ไม่พร้อม แม้ผู้บริโภคจะสามารถยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยจากธนาคารได้ แต่สิ่งที่หลายคนมักลืมนึกถึงคือ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการทำธุรกรรมรวมทั้งเงินดาวน์ ซึ่งผู้บริโภคต้องมีการวางแผนออมเงินก้อนเพื่อใช้ในการวางเงินดาวน์ตอนทำสัญญาด้วย เนื่องจากปกติแล้วธนาคารจะให้วงเงินกู้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน (เลือกราคาที่ต่ำกว่า) ดังนั้นผู้ซื้อต้องเตรียมเงินไว้อย่างน้อย 20% ของราคาซื้อขายเพื่อเป็นเงินดาวน์จ่ายให้กับผู้ขาย อย่างไรก็ตาม บางโครงการอาจมีการร่วมมือกับธนาคารซึ่งทำให้ผู้กู้ซื้อบ้านได้รับวงเงินกู้ที่สูงขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเองก็จะน้อยตามไปด้วย ขณะเดียวกัน โครงการที่ยังสร้างไม่เสร็จจะให้ผู้บริโภคสามารถผ่อนดาวน์กับโครงการได้โดยตรง แต่จะมีทั้งผ่อนดาวน์เท่ากันทุกงวด หรืออาจมีงวดบอลลูน ซึ่งเป็นงวดที่ต้องจ่ายเงินสูงกว่างวดดาวน์ปกติ ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยคือต้องเริ่มเก็บออมเงินเพื่อสำรองใช้ในกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ ด้วย 
    • ยื่นกู้แต่ไม่ผ่าน ขั้นตอนนี้เป็นช่วงที่ผู้บริโภครอลุ้นผลอย่างใจจดใจจ่อ แม้จะมีการเตรียมตัวมาอย่างดี แต่ก็มีโอกาสที่จะกู้ไม่ผ่านได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาอนุมัติเงินกู้ของแต่ละธนาคาร/สถาบันการเงิน ส่วนใหญ่จะมีขั้นตอนการพิจารณาที่คล้ายคลึงกันจากข้อมูลในแบบฟอร์มยื่นแสดงความจำนงขอกู้ และหลักฐานประกอบการขอกู้ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด การไม่ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่ออาจมีสาเหตุมาจากการส่งเอกสารไม่ครบ ฐานเงินเดือนหรือรายได้หลักไม่มั่นคงเพียงพอ มีภาระหนี้มากเกินไป หรือมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดีมาก่อน ดังนั้น ผู้บริโภคควรเลือกธนาคารสำรองเผื่อไว้เป็นอีกทางเลือกในกรณีที่ธนาคารแรกกู้ไม่ผ่านด้วย และหากต้องการยื่นกู้อีกครั้ง ควรกลับมาวางแผนการเงินใหม่ให้มีความมั่นคงมากขึ้น เร่งเคลียร์ปัญหาหนี้สินหรือประวัติการค้างชำระต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อน
    • วัสดุ/เฟอร์นิเจอร์ไม่เป็นไปตามโฆษณา การเลือกซื้อโครงการบ้าน/คอนโดฯ ที่สร้างไม่เสร็จนั้น อาจมีความเสี่ยงที่จะเจอปัญหาวัสดุ/เฟอร์นิเจอร์ไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้ในตอนแรก หรือพื้นที่ส่วนกลางไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้ ในขั้นตอนการตรวจสอบก่อนเซ็นรับโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อควรเก็บเอกสารโบรชัวร์เสนอขาย โปรโมชั่น รวมทั้งรายละเอียดในสัญญาไว้เป็นหลักฐาน เพื่อแจ้งให้ทางโครงการปรับแก้ไขจุดบกพร่องหรือเจรจาร่วมกันเพื่อขอรับการเยียวยาอย่างอื่นทดแทน ส่วนกรณีที่ก่อสร้างไม่ตรงตามแบบที่ตกลงซื้อขายกันนั้น ผู้บริโภคสามารถไปที่เขตเพื่อขอดูเลขที่ใบอนุมัติ และนำเลขดังกล่าวไปขอดูพิมพ์เขียวของโครงการที่ขออนุญาตก่อสร้างที่กรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อตรวจสอบว่าสร้างตรงตามแบบที่ทำการประกาศขายหรือไม่ หากพบว่าสร้างไม่ตรงกับที่โฆษณา และ/หรือ ไม่ตรงกับการยื่นขออนุญาตไป ผู้ซื้อสามารถนำหลักฐานดังกล่าวยกเลิกสัญญากับทางโครงการได้ และขอเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมดคืน เพราะการก่อสร้างไม่เป็นไปตามสัญญา
    • โครงการขอ EIA ไม่ผ่าน รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment Report) มีบทบาทในการควบคุมไม่ให้โครงการก่อสร้างต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โครงการที่อยู่อาศัยใดที่ทำ EIA ไม่ผ่านจะไม่สามารถก่อสร้างต่อได้ แต่บางโครงการมักเปิดขายล่วงหน้าก่อนยื่นเรื่องขอ EIA หรืออยู่ระหว่างการขอ EIA ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่ผู้ซื้อต้องลุ้นในอนาคต ถ้าโครงการขอ EIA แล้วไม่ผ่าน จะต้องคืนเงินจองและเงินดาวน์ทั้งหมดให้ผู้ซื้อตามกฎหมาย หากผู้ซื้อยังสนใจเป็นเจ้าของห้องชุดนั้นอยู่ ควรสอบถามแนวทางแก้ไขกับโครงการว่าจะยื่นแก้ไขจนกว่า EIA จะผ่านหรือไม่และใช้เวลาเท่าไร แต่ถ้าผู้ซื้อไม่ต้องการรอ ควรสอบถามว่าโครงการจะสามารถคืนเงินจองเต็มจำนวนให้ได้ภายในเมื่อไร หากไม่มีความชัดเจนหรือไม่มีความคืบหน้า ผู้ซื้อที่เสียหายควรรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องสิทธิ์เป็นกลุ่ม ไปลงบันทึกประจำวันกับตำรวจในท้องที่ และติดต่อสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ให้ช่วยเหลือ 
    • โครงการเสร็จล่าช้าหรือสร้างไม่เสร็จ อาจเกิดขึ้นได้จากปัญหาด้านการก่อสร้างหรือสภาพคล่องของโครงการเอง ซึ่งผู้บริโภคควรตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาตั้งแต่ต้นว่าทางโครงการมีการระบุความรับผิดชอบในกรณีที่สร้างเสร็จล่าช้ากว่ากำหนด หรือสร้างไม่เสร็จอย่างไรบ้าง หากโครงการสร้างเสร็จล่าช้าโดยมีสาเหตุมาจากผู้ขายหรือผู้ประกอบการ กรณีนี้ผู้ขายต้องจ่ายค่าปรับให้กับผู้ซื้อเป็นรายวัน อัตราวันละ 0.01% ของราคาซื้อขาย จนกว่าจะมีการสร้างแล้วเสร็จและทำการส่งมอบให้ผู้ซื้อเป็นที่เรียบร้อย หรือแล้วแต่การเจรจาตกลงเป็นกรณีไป ส่วนกรณีที่คอนโดฯ สร้างไม่เสร็จหรือหยุดสร้าง โดยไม่มีการชี้แจงหรือแสดงความรับผิดชอบในการชดเชยเยียวยาให้กับผู้ซื้อ ผู้ซื้อมีสิทธิ์ขอยกเลิกสัญญาและขอเงินคืนได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินจอง เงินทำสัญญา และเงินดาวน์ พร้อมกับสามารถเรียกดอกเบี้ยได้ 7.5% ต่อปี นับจากวันที่เริ่มต้นการชำระเงินจองนั้น ๆ 

การซื้อขายที่อยู่อาศัยแม้จะเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่แท้จริงแล้วกลับมีรายละเอียดมากมายกว่าที่คิด และอาจเป็นเรื่องใหม่ที่ผู้บริโภคหลายคนไม่ทราบมาก่อน อีกทั้งยังมีรายละเอียดทางกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องไม่น้อย ผู้ซื้อ/ขายในตลาดอสังหาฯ จึงต้องทำความเข้าใจและหมั่นอัปเดตความรู้อยู่เสมอ ล่าสุดดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เปิดตัวแบรนด์แคมเปญครั้งประวัติศาสตร์ภายใต้สโลแกน “จากบ้านของเรา…สู่บ้านของคุณ” ผ่าน https://seeyouhome.ddproperty.com เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมคำแนะนำ เครื่องมือ และโซลูชันที่พร้อมเป็นผู้ช่วยให้ทุกเส้นทางอสังหาฯ ของผู้บริโภคเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เช่า หรือนักลงทุนก็ตาม นอกจากนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ยังได้นำเสนอความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์ให้กลายเป็นเรื่องเข้าใจง่ายผ่าน “ดีที่รู้ by DDproperty” รายการวาไรตี้เกมส์แข่งขันตอบคำถามเรื่องอสังหาฯ ที่จะชวนคนอยากมีบ้านหรือนักลงทุน มาไขข้อข้องใจคลายความสงสัยทั้งในมุมผู้ซื้อ/ผู้ขาย/ผู้เช่าให้กระจ่าง โดยเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังและกูรูผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในวงการอสังหาฯ ที่พร้อมตอบทุกข้อสงสัย สามารถติดตามรายการได้ผ่านทาง DDproperty Facebook Fanpage พร้อมเชิญ​ชวนทุกคนมาร่วมสนุกตอบคำถามเพื่อลุ้นรับรางวัลประจำสัปดาห์และรางวัลใหญ่ บัตรของขวัญจาก HomePro และ CENTRAL Group eVoucher รวมมูลค่ากว่า 120,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 21 พฤศจิกายน 2565

Ericsson’s largest consumer study shows 5G is already paving the path to the metaverse

Ericsson’s largest consumer study shows 5G is already paving the path to the metaverse

Ericsson’s largest consumer study shows 5G is already paving the path to the metaverse

    • Ericsson ConsumerLab’s 5G: The Next Wave report is the largest consumer 5G research to date.  
    • Compared to 4G users – 5G users spend an average of one hour per-week more on metaverse-related services, such as gaming in virtual worlds, and augmented reality (AR).  
    • Half of 5G consumers who already use extended-reality (XR) related services believe AR apps will move from smartphones to XR headsets within two years 

As 5G uptake in many parts of the world bridges the milestone from early adopters to mass adoption, major new Ericsson (NASDAQ: ERIC) research – the industry’s largest global study of its kind to date – underlines consumers’ growing commitment to 5G and their expectations on next-generation uses cases. 

Called 5G: The Next Wave, the Ericsson ConsumerLab report addresses the impact 5G has had on early adopter consumers since launching in various countries, as well as gauging the intention of non-5G subscribers to take up the technology – and their related expectations. The report forecasts that at least 30 percent of smartphone users intend to take up a 5G subscription within the next year. 

The mix of Ericsson tracking data covering 5G launches since 2019, and the new consumer survey, has enabled Ericsson ConsumerLab to identify six key trends impacting the next wave of 5G adoption.  

The report covers the behavioral changes triggered by the bundling of digital services into 5G plans by communications service providers – particularly the increased use of enhanced video and augmented reality (AR) apps.   

The report also addresses the speed of mainstream 5G adoption, whether consumer demands are being met, and 5G-related changes in smartphone behavior – and their impact on network traffic.  

More than 49,000 consumers in 37 countries were interviewed in the research – the largest global 5G-related consumer survey in the industry to date and the largest consumer survey conducted by Ericsson on any topic.

The survey scope is representative of the opinions of about 1.7 billion consumers worldwide, including 430 million 5G subscribers. 

Igor Maurell, Head of Ericsson Thailand says: “The scale of the research gives us an authentic insight into consumers’ views and attitudes to 5G. The report shows that the next wave of potential 5G users have different expectations from the technology compared to early adopters. Overall, consumers see engaging with 5G as an essential part of their future lifestyles.” 

He adds: “It is interesting to note that 5G is emerging as an important enabler for early adopters to embrace metaverse-related services, such as socializing, playing and buying digital items in interactive 3D virtual gaming platforms. The amount of time spent on augmented reality apps by 5G users has also doubled over the past two years, compared to 4G users.” 

The report forecasts that 5G consumers with experience of using extended reality (XR) functionality are likely to be the first to embrace future devices as they are more positive about the potential of mixed-reality glasses. Half of 5G users who already use XR-related services weekly think that AR apps will move from smartphones to XR headsets within the next two years, compared to one-third of 4G consumer who hold this view.  

5G – the Next Wave Report: Six key trends 

    • 5G adoption to be inflation resilient: At least 510 million consumers across 37 markets are likely to take up 5G in 2023.  
    • The demanding next wave of users: The next wave of 5G users have high expectations on 5G performance, especially network coverage, compared to early adopters — who care about new innovative services enabled by 5G. 
    • Perceived 5G availability is emerging as the new satisfaction benchmark among consumers. Geographical coverage, indoor/outdoor coverage, and congregation hot-spot coverage are more important to building a user perception than population coverage.  
    • 5G is pushing up usage of enhanced video and augmented reality. Over the past two years, time spent on AR apps by 5G users has doubled to two hours per week. 
    • 5G monetization models are expected to evolve: Six in 10 consumers expect 5G offerings to move beyond more data volume and speeds to on-demand tailored network capabilities for specific needs. 
    • 5G adoption is setting the path to the metaverse. 5G users on average are already spending one hour more per-week in metaverse-related services than 4G users. They also expect two hours of more video content will be consumed weekly on mobile devices, 1.5 hours of which will be on AR/VR glasses by 2025. 

Thailand – According to the study, consumer 5G readiness is high in Thailand. 47 percent of users intend to sign up for 5G subscription in 2023. Furthermore, around 9 in 10 existing 5G users in Thailand say that despite rising costs they are not willing to go back to 4G. This shows a strong inclination towards 5G adoption. 1.5 times of the 5G potential users compared to current users see network coverage as the most important reason for signing up for 5G while 5G early adopters (92%) want more innovative service and devices.  

ผลการศึกษาข้อมูลผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดของอีริคสัน พบว่า 5G กำลังปูทางไปสู่โลกเมตาเวิร์ส

Ericsson’s largest consumer study shows 5G is already paving the path to the metaverse

ผลการศึกษาข้อมูลผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดของอีริคสัน พบว่า 5G กำลังปูทางไปสู่โลกเมตาเวิร์ส

    • นับถึงวันนี้ รายงาน Ericsson ConsumerLab’s 5G: The Next Wave เป็นงานวิจัยด้าน 5G กับผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุด 
    • ผู้ใช้ 5G ใช้เวลาเฉลี่ยที่หนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์กับบริการบนเมตาเวิร์ส เช่น เกมส์เสมือนจริงและ AR เมื่อเทียบกับผู้ใช้ 4G  
    • ครึ่งหนึ่งของผู้บริโภค 5G ที่ใช้บริการในกลุ่ม Extended-Reality (XR) เชื่อว่าแอปพลิเคชัน AR ต่าง ๆ จะย้ายจากสมาร์ทโฟนไปสู่อุปกรณ์ XR แบบสวมศีรษะภายใน ปี  

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เปิดรายงานใหม่ครั้งสำคัญ ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนถึง ณ ปัจจุบัน ระบุถึงการใช้ 5G ในหลายส่วนของโลกเชื่อมหมุดหมายระหว่างผู้นำกระแส (Early Adopter) ไปสู่การยอมรับในวงกว้าง (Mass Adoption) พร้อมเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคและความคาดหวังของพวกเขาต่อเครือข่าย 5G  กับการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ ในยุคถัดไป 

รายงาน Ericsson ConsumerLab หรือในชื่อ 5G: The Next Wave เผยผลกระทบของเครือข่าย 5G ที่มีต่อผู้บริโภคในกลุ่มผู้นำกระแสจากหลากหลายประเทศ รวมถึงประเมินความตั้งใจและความคาดหวังในการสมัครใช้เครือข่าย 5G ของกลุ่มผู้ใช้ที่ยังไม่ได้เป็นผู้ใช้ 5G (Non-5G Subscribers) จากรายงานคาดการณ์ว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนอย่างน้อย 30% ตั้งใจสมัครใช้เครือข่าย 5G ภายในปีหน้า

รายงานนี้เป็นการผนวกและติดตามข้อมูลโดยอีริคสัน ครอบคลุมตั้งแต่การเปิดตัว 5G เมื่อปี 2562 ซึ่งการสำรวจผู้บริโภคครั้งล่าสุดนี้ ทำให้รายงาน Ericsson ConsumerLab สามารถระบุถึงแนวโน้มสำคัญ 6 ประการอันส่งผลกระทบต่อการนำ 5G มาใช้งานครั้งใหม่ 

รายงานยังครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมที่เกิดจากบริการดิจิทัลที่บันเดิลอยู่ในแผนหรือแพ็กเกจ 5G ของผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้แอปพลิเคชั่นวิดีโอและ AR ที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้น และในรายงานยังระบุถึงความเร็วในการนำเครือข่าย 5G ไปใช้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น การค้นพบความต้องการของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย 5G และผลกระทบต่อการ รับ-ส่ง ข้อมูลในเครือข่าย 

งานวิจัยฉบับนี้ได้สัมภาษณ์ผู้บริโภคมากกว่า 49,000 ราย ใน 37 ประเทศ ถือเป็นการสำรวจผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย 5G ทั่วโลกที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนถึง ณ ปัจจุบัน และเป็นแบบสำรวจผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดที่จัดทำโดยอีริคสันในทุกหัวข้อ ซึ่งขอบเขตในการสำรวจนี้จะเป็นตัวแทนความคิดเห็นของผู้บริโภคประมาณ 1.7 พันล้านคนทั่วโลก รวมถึงผู้ใช้เครือข่าย 5G ราว 430 ล้านราย 

มร.อิกอร์ มอเรล ประธานกรรมการ บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “การศึกษาเพิ่มเติมทำให้เราเข้าใจถึงมุมมองและทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อเครือข่าย 5G อย่างแท้จริง รายงานนี้แสดงให้เห็นว่าคลื่นลูกต่อไปของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของบริการ 5G มีความคาดหวังเทคโนโลยีที่แตกต่างจากเดิมเมื่อเทียบกับผู้ใช้ในกลุ่มผู้นำกระแส และในภาพรวม ผู้บริโภคมองว่าการมีส่วนร่วมกับ 5G เป็นส่วนสำคัญของไลฟ์สไตล์ในอนาคตของพวกเขา”  

“น่าสนใจที่ทราบว่าเครือข่าย 5G กำลังกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการเปิดใช้งานสำคัญในบริการที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สของกลุ่มผู้นำกระแส อาทิ การเข้าสังคม การเล่น และการซื้อสินค้าดิจิทัลในแพลตฟอร์มเกมเสมือนจริง 3 มิติ แบบอินเตอร์แอคทีฟ นอกจากนี้ระยะเวลาที่ผู้ใช้ 5G ใช้ไปในแอปพลิเคชั่น Augmented Reality ก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับผู้ใช้ 4G” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม 

รายงานยังคาดการณ์ว่าผู้บริโภค 5G ที่มีประสบการณ์ใช้ฟังก์ชัน Extended Reality (XR) จะเป็นผู้ใช้กลุ่มแรกที่เปิดรับอุปกรณ์ในอนาคต เนื่องจากพวกเขามีมุมมองแง่บวกเกี่ยวกับศักยภาพของแว่นตา Mixed Reality Glasses โดยผู้ใช้ 5G ครึ่งหนึ่งที่ใช้บริการด้าน XR ทุกสัปดาห์คิดว่าแอปพลิเคชั่น AR จะย้ายจากสมาร์ทโฟนไปสู่อุปกรณ์ XR แบบสวมศีรษะภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ เมื่อเทียบกับ 1 ใน 3 ของผู้บริโภค 4G ที่มีมุมมองแบบเดียวกัน

6 แนวโน้มสำคัญในรายงาน 5G – the Next Wave  

    1. การใช้งานบริการ 5G ยังคงจะเติบโตสวนกระแสอัตราเงินเฟ้อ ผู้บริโภคอย่างน้อย 510 ล้านรายใน 37 ตลาดทั่วโลก มีแนวโน้มเปิดใช้งาน 5G ในปีหน้า (2566) 
    2. ความต้องการใช้งานใหม่ ๆ ของผู้ใช้: ผู้ใช้ 5G มีความคาดหวังสูงในด้านประสิทธิภาพของเครือข่าย 5G โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความครอบคลุมของสัญญาณเครือข่าย ต่างจากผู้ใช้ในกลุ่มผู้นำกระแส ซึ่งสนใจเกี่ยวกับบริการที่เป็นนวัตกรรมที่เปิดใช้งานโดย 5G 
    3. ความพร้อมใช้งาน 5G ที่รับรู้ได้กำลังกลายเป็นมาตรฐานความพึงพอใจใหม่ในหมู่ผู้บริโภค ความครอบคลุมของสัญญาณเครือข่ายทางภูมิศาสตร์ ความครอบคลุมสัญญาณในอาคาร/นอกอาคาร และความครอบคลุมของสัญญาณในจุด Hot-Spot มีความสำคัญต่อการสร้างการรับรู้แก่ผู้ใช้มากกว่าความครอบคลุมของประชากร 
    4. 5G กำลังกระตุ้นการใช้วิดีโอและเทคโนโลยี AR ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ในช่วงสองปีที่ผ่านมาผู้ใช้ 5G ใช้งานแอปพลิเคชั่น AR เพิ่มขึ้น 2 เท่า เป็นสองชั่วโมงต่อสัปดาห์ 
    5. โมเดลการสร้างรายได้ 5จะพัฒนามีความหลากหลายขึ้น: ผู้บริโภค 6 ใน 10 คาดหวังว่าข้อเสนอเกี่ยวกับ 5G จะมากกว่าแค่เรื่องปริมาณการใช้ข้อมูลและความเร็วที่มากขึ้นไปสู่ความสามารถเครือข่ายตามความต้องการเฉพาะ 
    6. การนำ 5G มาใช้งานกำลังกำหนดเส้นทางไปสู่เมตาเวิร์ส ผู้ใช้ 5G เฉลี่ยใช้เวลา 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในบริการที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์ส มากกว่าผู้ใช้เครือข่าย 4G และยังคาดหวังจะใช้เวลาชมเนื้อหาประเภทวิดีโอบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อีกสองชั่วโมงทุกสัปดาห์ โดย 1.5 ชั่วโมงชมผ่านแว่นตา AR/VR ภายในปี 2568 

ประเทศไทย – จากการศึกษาของอีริคสันพบว่า ความพร้อมใช้งาน 5G ของผู้บริโภคในประเทศไทยอยู่ในระดับสูง โดยผู้ใช้ถึง 47% ตั้งใจสมัครใช้ 5G ในปี 2566 และประมาณ 9 ใน 10 ของผู้ใช้ 5G ในปัจจุบันระบุว่า พวกเขาไม่อยากกลับไปใช้เครือข่าย 4G อีก แม้ 5G จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อการนำ 5G ไปใช้งาน มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของบริการ 5G ประมาณ 1.5 เท่า ของผู้ใช้ 5G ปัจจุบัน โดยมองว่าเครือข่ายที่ครอบคลุมเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดในการสมัครใช้ 5G ขณะที่ผู้ใช้ 5G ในกลุ่มผู้นำกระแส (Early Adopter) 92% ต้องการบริการและอุปกรณ์ดีไวซ์ที่มีนวัตกรรมล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น

Infor Positioned, for the Second Consecutive Time, as a Leader in the 2022

Infor ครองตำแหน่งผู้นำด้าน Cloud ERP for Product-Centric Enterprises เป็นปีที่สองติดต่อกันใน 2022 Gartner® Magic Quadrant

Infor Positioned, for the Second Consecutive Time, as a Leader in the 2022 Gartner® Magic Quadrant™ for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises

Infor Positioned, for the Second Consecutive Time, as a Leader in the 2022 Gartner® Magic Quadrant™ for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises

Infor®, the industry cloud company, today announced that Gartner® Inc. has positioned Infor, for the second consecutive time, as a Leader in the 2022 Gartner Magic Quadrant™ for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises.  

Infor also announced today that Gartner, in its 2022 Critical Capabilities for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises, a companion report to the Magic Quadrant, scored Infor highest in three Use Cases – including the ERP for Midsize Enterprises Use Case, the ERP for Process Manufacturing Use Case, and the ERP for Discrete Manufacturing Use Case. In addition, Infor received the second highest score from Gartner in the ERP for Distribution of Goods Use Case.

Infor’s position as one of the Leaders in this Gartner Magic Quadrant was based on the Gartner evaluation of Infor’s Ability to Execute and Completeness of Vision.

Download a complimentary copy of the 2022 Gartner Magic Quadrant for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises, published Sept. 26.

“We are honored to again be recognized by Gartner as a Leader in this Magic Quadrant – and to receive the highest scores in three Use Cases evaluated in the companion Critical Capabilities report,” said Soma Somasundaram, Infor Chief Technology Officer and President of Products. “As a company with deep vertical industry expertise, Infor strives to deliver prescribed industry processes as part of our products, which accelerates our customers’ time-to-value.

“Following this prescribed delivery approach cuts down on customizations, variability, time to implement, and cost,” he noted. “Our customers can deploy industry-specific, out-of-the-box cloud solutions and uptake new functionality quickly and easily.”

In its 2022 Magic Quadrant for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises, Gartner notes that, “Product-centric organizations are rapidly adopting cloud ERP applications with superior process automation and analytic capabilities. Application leaders should use this Magic Quadrant to evaluate cloud ERP vendors as part of a composable strategy that emphasizes standardization and agility.”

Infor CloudSuite solutions are industry-specific and are delivered as cloud services on Amazon Web Services’ (AWS’) secure and scalable infrastructure. Infor CloudSuites utilize Infor’s leading technology platform, Infor OS, to power next-generation user experiences, integration and workflows – which can help increase productivity and collaboration. Visit Infor’s Industry solutions page to learn more. 

Gartner, Magic Quadrant for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises, Greg Leiter, Dixie John, Robert Anderson, Tim Faith, 26 September 2022.

Gartner, Critical Capabilities for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises, 28 September 2022, Dixie John, et al.

Gartner does not endorse any vendor, product or service depicted in its research publications, and does not advise technology users to select only those vendors with the highest ratings or other designation. Gartner research publications consist of the opinions of Gartner’s research organization and should not be construed as statements of fact. Gartner disclaims all warranties, expressed or implied, with respect to this research, including any warranties of merchantability or fitness for a particular purpose.

Gartner and Magic Quadrant are registered trademarks of Gartner, Inc. and/or its affiliates in the U.S. and internationally and are used herein with permission. All rights reserved.

Infor ครองตำแหน่งผู้นำด้าน Cloud ERP for Product-Centric Enterprises เป็นปีที่สองติดต่อกันใน 2022 Gartner® Magic Quadrant

Infor ครองตำแหน่งผู้นำด้าน Cloud ERP for Product-Centric Enterprises เป็นปีที่สองติดต่อกันใน 2022 Gartner® Magic Quadrant

Infor ครองตำแหน่งผู้นำด้าน Cloud ERP for Product-Centric Enterprises เป็นปีที่สองติดต่อกันใน 2022 Gartner® Magic Quadrant

อีกทั้งยังได้รับคะแนนสูงสุดด้านการใช้งานเฉพาะสามประเภท ในรายงาน Gartner Critical Capabilities Cloud ERP for Product-Centric Enterprise 

Infor® บริษัทผู้ให้บริการด้านคลาวด์ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมแต่ละประเภท ประกาศว่า Gartner® Inc. ได้จัดให้ Infor เป็นผู้นำด้าน Cloud ERP for Product-Centric Enterprises เป็นปีที่สองติดต่อกันใน Gartner Magic Quadrant™ ประจำปี 2022

Infor ยังเปิดเผยว่า ใน Critical Capabilities for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises ประจำปี 2022 ซึ่งเป็นรายงานร่วมกับ Magic Quadrant ได้จัดให้ Infor ได้คะแนนสูงสุดด้านการใช้งานใน 3 ประเภทนี้ ได้แก่ ERP for Midsize Enterprises Use Case, ERP for Process Manufacturing Use Case และ ERP for Discrete Manufacturing Use Case นอกจากนี้ Infor ยังได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับสองจาก Gartner ในด้าน ERP for Distribution of Goods Use Case ด้วยเช่นกัน

การได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้นำใน Gartner Magic Quadrant ครั้งนี้ มาจากการประเมินความสามารถของ Infor ด้านส่วนแบ่งทางการตลาดที่เกิดจากการตอบโจทย์ลูกค้าในปัจจุบัน และวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับความต้องการทางการตลาดในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต

ลิงก์สำหรับดาวน์โหลดสำเนาของ Gartner Magic Quadrant for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises ประจำปี 2022 ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 26 กันยายน 

นายโซมา โซมาซันดาราม หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Infor กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการยกย่องจาก Gartner Magic Quadrant ให้เป็นผู้นำอีกครั้งหนึ่งในปีนี้ และได้รับคะแนนสูงสุดด้านการใช้งานเฉพาะ 3 ประเภทจากการประเมินในรายงาน Critical Capabilities  ในฐานะบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเฉพาะด้านอย่างลึกซึ้ง Infor จึงมุ่งมั่นที่จะรวบรวมกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่เป็นมาตรฐานทั้งหลายไว้ในผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งจะช่วยเร่งระยะเวลาที่ลูกค้ารับรู้คุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการขององค์กรให้เร็วขึ้น”

นายโซมากล่าวว่า “การปฏิบัติตามแนวทางมาตรฐานที่บริษัทฯ เตรียมไว้ให้นี้ จะช่วยลดการปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการ, ความเปลี่ยนแปลง, เวลาในการใช้งาน ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ  ทำให้ลูกค้าสามารถปรับใช้โซลูชันคลาวด์ที่พร้อมใช้งานทันทีสำหรับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท และใช้ฟังก์ชันใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

Gartner ได้ระบุไว้ใน Magic Quadrant for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises ประจำปี 2022 ว่า “องค์กรที่เป็น product-centric ที่เน้นรายละเอียดของผลิตภัณฑ์และความต้องการของลูกค้า กำลังปรับใช้แอปพลิเคชัน cloud ERP ที่มีคุณสมบัติด้านกระบวนการอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ที่เหนือกว่าอย่างรวดเร็ว ผู้นำด้านแอปพลิเคชันควรใช้ Magic Quadrant นี้เพื่อประเมินผู้จำหน่าย cloud ERP โดยกำหนดให้อยู่ในส่วนของกลยุทธ์ที่เน้นการสร้างมาตรฐานและความคล่องตัว”

Infor CloudSuite เป็นโซลูชันที่ออกแบบเฉพาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมแต่ละประเภท และให้บริการแบบคลาวด์บนโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยและปรับขนาดได้ของ Amazon Web Services (AWS) โดยใช้ Infor OS ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีชั้นนำของ Infor ขับเคลื่อนประสบการณ์ ตลอดจนการบูรณาการและเวิร์กโฟลว์ของผู้ใช้งานยุคใหม่ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและการทำงานร่วมกัน เยี่ยมชมและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Industry solutions page 

Gartner, Magic Quadrant for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises, Greg Leiter, Dixie John, Robert Anderson, Tim Faith, 26 September 2022.

Gartner, Critical Capabilities for Cloud ERP for Product-Centric Enterprises, 28 September 2022, Dixie John, et al.

Gartner does not endorse any vendor, product or service depicted in its research publications, and does not advise technology users to select only those vendors with the highest ratings or other designation. Gartner research publications consist of the opinions of Gartner’s research organization and should not be construed as statements of fact. Gartner disclaims all warranties, expressed or implied, with respect to this research, including any warranties of merchantability or fitness for a particular purpose.

Gartner and Magic Quadrant are registered trademarks of Gartner, Inc. and/or its affiliates in the U.S. and internationally and are used herein with permission. All rights reserved.