“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

แบรนด์ใหม่มาพร้อมโซลูชั่นครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มธุรกิจและองค์กรในภาคอสังหาริมทรัพย์ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเน้นการใช้ซอฟต์แวร์ด้านข้อมูล และเครื่องมือวิเคราะห์รวมไปถึงข้อมูลเชิงลึก

บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด (บริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1[1]ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE: PGRU) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ ของไทย และ thinkofliving.com เว็บไซต์รีวิวอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ) เปิดตัวแบรนด์ใหม่ล่าสุดที่งานสัมมนาประจำปี พร็อพเพอร์ตี้กูรู เอเชีย เรียล เอสเตท ซัมมิท (PropertyGuru Asia Real Estate Summit) ที่รวบรวมเหล่าผู้นำธุรกิจชั้นนำในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มาร่วมแชร์ข้อมูลเชิงลึก รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมร่วมกัน 

นายแฮรี่ วี คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “วันนี้พร็อพเพอร์ตี้กูรูของเรามีอายุครบ 15 ปีพอดี และเราขอใช้โอกาสนี้เปิดตัวแบรนด์ใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรของเรา นั่นคือ “พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส (PropertyGuru For Business)”  ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยให้คำแนะนำลูกค้าในกลุ่มธุรกิจและองค์กร อาทิ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, เอเจนซี่อสังหาฯ, ธนาคารและสถาบันการเงิน, นักประเมินค่าทรัพย์สิน, นักวางผังเมือง รวมไปถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการวางนโยบายต่าง ๆ ความใฝ่ฝันของเราคือการสร้างความโปร่งใสให้กับเส้นทางอสังหาฯ และสร้างแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้สำหรับทุกคนที่หาบ้านรวมไปถึงพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ด้วยการทุ่มเทสรรพกำลังทั้งข้อมูล เทคโนโลยี และบุคลากรที่เรามี เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจให้กับพันธมิตรทางธุรกิจและลูกค้าของเราได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น”

การตัดสินใจต่าง ๆ ในระดับองค์กร หรือในระดับเมือง นับเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อผู้คนนับพัน หรืออาจมากกว่าหลายล้านคน พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสจะเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ ที่ช่วยแนะแนวทางให้กับลูกค้าของเราเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนลง เราเชื่อว่า พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส เปิดตัวในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าองค์กรของเรามีข้อมูล, เครื่องมือ และรายละเอียดที่ถูกต้องในการตัดสินใจ เพื่อรับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า และเตรียมพร้อมให้บริการลูกค้าของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น”

บริการและโซลูชั่นหลักของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส ประกอบด้วย ดาต้าเซนส์ (DataSense), แวลูเน็ต (ValueNet), ฟาสต์คีย์ (FastKey), การจัดอีเวนต์ต่าง ๆ รวมไปถึงการบริการด้านกลยุทธ์การตลาด (MaaS)

นายแฮรี่ยังเผยอีกด้วยว่า ข้อมูลตลาดเชิงลึกของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส อย่าง “ดาต้าเซนส์” นั้น (ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ แวนเทจพลัส (Vantage+)) จะนำเสนอชุดฟีเจอร์และโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่ช่วยตอบโจทย์ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ นำข้อมูลบทวิเคราะห์ไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินธุรกิจของตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันดาต้าเซนส์มีให้บริการเฉพาะในประเทศมาเลเซียเท่านั้น โดยมีแผนจะขยายบริการดังกล่าวมายังประเทศสิงคโปร์, เวียดนาม, ไทย และอินโดนีเซียต่อไป

การเปิดตัวของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเนื่องจากภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในช่วงที่เทคโนโลยีกำลังได้รับความสนใจ และองค์กรต่าง ๆ กำลังพยายามเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ทำให้บริการและโซลูชั่นของเรามีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ 

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

ด้านนางชินยี โฮ-สแตรนกาส กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจการบริการข้อมูลและซอฟต์แวร์ (DSS) พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “เราทราบดีว่าแต่ละประเทศมีขั้นตอน กฎระเบียบในการครอบครอง รวมไปถึงการจัดการที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสจะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบในประเทศที่เราให้บริการ โดยจะนำเอาระบบดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจอสังหาฯ สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ในระบบนิเวศของธุรกิจอสังหาฯ ที่มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น

ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ยังใช้ระบบและกระบวนการทำงานแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ได้แบ่งปันแบบดิจิทัลทำให้ยากต่อการอัปเดต แก้ไข หรือปรับปรุง อย่างไรก็ตาม สำหรับองค์กรและบริษัทต่าง ๆ ที่พร้อมจะใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลแล้ว บริการและโซลูชั่นของ พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส คือคำตอบสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของคุณ ข้อมูลเชิงลึกในภาคอสังหาฯ นั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่เฉพาะกับผู้พัฒนาโครงการที่มีวิสัยทัศน์เท่านั้น แต่การทำให้ข้อมูลเป็นดิจิทัลยังมีประโยชน์นานัปการสำหรับทุกคนในวงจรของอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็น การเงิน-การธนาคาร, การก่อสร้าง รวมไปถึงผู้ให้บริการต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมอสังหาฯ อีกด้วย 

นี่คือความตั้งใจของเราที่จะสนับสนุนความยั่งยืน, นวัตกรรม และเทคโนโลยีให้กับภูมิภาคนี้” 

ในขณะที่นายเจเรมี วิลเลียมส์ กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลส พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในภาคธุรกิจอสังหาฯ ว่า “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับความต้องการในการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัล และบิ๊กดาต้า ควบคู่กับความสามารถที่จะมอบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี การรวมบริการและโซลูชั่นของเราให้อยู่ภายใต้แบรนด์เดียวจะช่วยให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเราได้ดียิ่งขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของผู้คนที่พึ่งพาข้อมูลด้านอสังหาฯ เหล่านี้” 

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสจะช่วยให้ผู้คนในแวดวงอสังหาฯ เข้าถึงรายการประกาศอสังหาฯ กว่าล้านรายการบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ของเรา ซึ่งประกาศเหล่านี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมที่หาไม่ได้จากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ช่วยให้ลูกค้าของเราเห็นตลาดภาพรวมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” นายเจเรมีกล่าวสรุป

(บุคคลในภาพจากซ้ายไปขวา) ดร.ไนเจีย ลี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลเชิงลึกด้านอสังหาริมทรัพย์ หน่วยธุรกิจการบริการข้อมูลและซอฟต์แวร์ (DSS) พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปนายเจเรมี วิลเลียมส์ กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลส พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปนายแฮรี่ วี คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปนางชินยี โฮ-สแตรนกาส กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจการบริการข้อมูลและซอฟต์แวร์ (DSS) พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปนายมานาฟ แคมบอจ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป และ นายบ็อบ ค็อปปส์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์ หน่วยธุรกิจการบริการข้อมูลและซอฟต์แวร์ (DSS) พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth amid macroeconomic challenges

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth amid macroeconomic challenges

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth amid macroeconomic challenges

    • 5G continues to scale faster than any previous mobile generation
    • 5G mobile subscriptions expected to reach five billion by the end of 2028
    • Fixed Wireless Access forecast increased and now estimated to top 300 million connections within six years

Global 5G subscriptions remain on track to top one billion by the end of this year, and five billion by the end of 2028, despite current and developing economic challenges in many parts of the world. The November 2022 edition of the Ericsson (NASDAQ: ERIC) Mobility Report also forecasts global fixed wireless access (FWA) connections to grow faster than previously expected.

FWA – the wireless alternative to wireline broadband connectivity for homes and businesses – is one of the major early 5G use cases, particularly in regions with unserved or underserved broadband markets.

Driven in part by accelerated FWA plans in India, and expected growth in other emerging markets, FWA is forecast to grow at 19 percent year-on-year through 2022-28, and top 300 million connections by the end of 2028.

More than three-quarters of communications service providers (CSPs) surveyed in more than 100 countries currently offer FWA services. Almost one-third of CSPs are offering FWA over 5G, compared to one-fifth a year ago. Almost 40 percent of the new 5G FWA launches in the past 12 months have been in emerging markets

On 5G itself, about 110 million subscriptions were added globally between July-September 2022, bringing the total to about 870 million. As forecast in previous reports, 5G is still expected to reach one billion subscriptions by the end of this year – two years faster than 4G did, following its launch.

The statistic reinforces 5G as the fastest-scaling mobile connectivity generation. Key drivers include the timely availability of devices from multiple vendors, with prices falling faster than for 4G, and China’s large early 5G deployments.

North America and North East Asia continue to see strong 5G growth, with 5G subscription penetration in the regions expected to reach about 35 percent by end of 2022. 

Globally, almost 230 CSPs have launched 5G services to date, with more than 700 5G smartphone models announced or launched commercially.

By the end of 2028, five billion 5G subscriptions are forecast globally, accounting for 55 percent of all subscriptions. In that same timeframe, 5G population coverage is projected to reach 85 percent while 5G networks are expected to carry around 70 percent of mobile traffic and account for all contemporary traffic growth.

Fredrik Jejdling, Executive Vice President and Head of Networks, Ericsson, says: “Communications Service providers continue to deploy 5G and the momentum for Fixed Wireless Access is accelerating. Moreover, global mobile network data traffic is practically doubling every two years. As described in this edition of the Ericsson Mobility Report, service providers are taking actions to deploy the latest generation of energy-efficient radio hardware and software, increase the use of renewable energy sources, and operate site infrastructure intelligently to reduce the environmental impact.”

In Southeast Asia and Oceania, it is expected that most major service providers by the end of 2028 will have launched commercial 5G services. Many service providers are shutting down 2G and 3G services, in order to re-farm spectrum for 4G and 5G networks.

5G subscriptions in the region are anticipated to reach around 620 million by end-2028, meaning 5G will become the leading technology in terms of subscriptions, with a penetration rate of 48 percent.

5G adoption and growing consumer usage of new immersive services are key factors for growing mobile data usage in the region. Mobile traffic per smartphone is expected to reach around 54 GB per month in 2028, a CAGR of almost 30 percent. Total mobile data traffic is expected to grow by a factor of 5 between 2022 and 2028.

”Thailand is a vibrant market for 5G where the first wave of 5G adoption is already seeing more than 15% of the population enjoying the ultra-fast network,” said Igor Maurell, Head of Ericsson Thailand. ”The country is heading towards the second wave of 5G subscriptions by 2025 when the majority of the population is expected to subscribe to 5G.”

Meantime, global 4G subscription numbers also continue to rise, growing by about 41 million between July and September 2022. Global 4G subscriptions are expected to reach a peak of about 5.2 billion around the end of this year.

Overall mobile subscriptions are expected to top 8.4 billion by the end of 2022, and 9.2 billion by the end of 2028. Most subscriptions are associated with smartphones. At the end of 2022, 6.6 billion smartphone subscriptions are estimated, accounting for about 79 percent of all mobile phone subscriptions

The latest report also highlights the importance of reducing environmental impact. The telecommunications sector has a key role to play in addressing global sustainability goals, both by reducing its own emissions and through its potential to reduce carbon emissions across other industries.

To reduce the environmental impact, the growing data traffic needs to be managed with smart network modernization combined with a balanced approach to network performance.

The November 2022 Ericsson Mobility Report includes three in-depth articles:           

    • Network modernization – on the quest for Net Zero
    • Cooperation and collaborating: Building Finland’s next-generation public safety network
    • Digitalization enables enterprises to reach Net Zero

Ericsson will host an Ericsson Mobility Report-focused webinar at 09.00 (CET) and 19.00 (CET) on Wednesday, November 30. To join please register here

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยแนวโน้ม 5G ทั่วโลกยังคงเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth amid macroeconomic challenges

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยแนวโน้ม 5G ทั่วโลกยังคงเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ

    • 5G ยังคงขยายตัวรวดเร็วกว่าเจเนอเรชั่นเครือข่ายมือถือที่ผ่านมา
    • ภายในสิ้นปี 2571 คาดว่าตัวเลขผู้ใช้บริการมือถือ 5G จะเพิ่มเป็น 5 พันล้านราย
    • คาดการณ์บริการ Fixed Wireless Access เติบโตสูงขึ้น และจะมีการเชื่อมต่อสูงถึง 300 ล้านครั้งภายในหกปี

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เผยรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เดือนพฤศจิกายน 2565 ระบุจำนวนผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลกเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ที่ 1 พันล้านราย ภายในสิ้นปี 2565 และจะเพิ่มเป็น 5 พันล้านราย ภายในสิ้นปี 2571 แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่กำลังแผ่ขยายไปในหลายพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก พร้อมคาดการณ์ว่าการเชื่อมต่อผ่านบริการ Fixed Wireless Access (FWA) ทั่วโลกจะเติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมจากที่เคยคาดไว้

FWA คือบริการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่จะเข้ามาแทนที่การเชื่อมต่อบรอดแบนด์แบบผ่านสายสัญญาณสำหรับการใช้งานตามบ้านและธุรกิจ ที่เป็นรูปแบบการใช้งาน 5G หลัก ๆ แบบหนึ่งในยุคแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่ไม่มีบริการบรอดแบนด์หรือในตลาดที่บริการบรอดแบนด์ยังครอบคลุมไม่ทั่วถึง

แรงหนุนมาจากแผนกระตุ้นการนำ FWA มาใช้งานในประเทศอินเดีย และการคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตในตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ทำให้ FWA ได้รับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ย 19% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2571 และจะมีปริมาณการเชื่อมต่อสูงสุดถึง 300 ล้านครั้ง ในช่วงสิ้นปี 2571

จากการสำรวจผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ในกว่า 100 ประเทศ พบว่ามากกว่าสามในสี่เปิดให้บริการ FWA ในปัจจุบัน และเกือบหนึ่งในสามเปิดบริการ FWA บนเครือข่าย 5G เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีสัดส่วนเพียงหนึ่งในห้า โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่าเกือบ 40% ของบริการ 5G FWA ใหม่ เปิดให้บริการอยู่ในตลาดเกิดใหม่

ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ปี 2565 มีจำนวนผู้ใช้บริการ 5G รายใหม่เพิ่มขึ้น 110 ล้านรายทั่วโลก ทำให้ยอดรวมเพิ่มเป็น 870 ล้านราย ตามที่คาดการณ์ไว้ในรายงานก่อนหน้านี้ เผยให้เห็นว่าจำนวนผู้ใช้บริการ 5G จะยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านรายภายในสิ้นปีนี้ นับว่าขยายตัวรวดเร็วกว่าเครือข่าย 4G ถึงสองปี หลังเปิดให้บริการ

จากสถิติดังกล่าว ยังตอกย้ำให้เห็นว่า เครือข่าย 5G เป็นเจเนอเรชั่นเครือข่ายมือถือที่เติบโตรวดเร็วที่สุด โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ประกอบด้วย อุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานและพร้อมวางขายจากผู้จำหน่ายหลากหลายราย และราคาที่ลดลงเร็วกว่าสำหรับการใช้บริการ 4G รวมถึงการนำเครือข่าย 5G มาปรับใช้จำนวนมากในช่วงระยะแรกของประเทศจีน

5G ในภูมิภาคอเมริกาเหนือและเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2565 จำนวนผู้ใช้บริการ 5G ในภูมิภาคทั้งสองนี้จะเพิ่มสูงขึ้นราว 35%

ปัจจุบันมีผู้ให้บริการด้านการสื่อสารจำนวนเกือบ 230 รายทั่วโลกที่เปิดให้บริการ 5G และมีสมาร์ทโฟนรองรับเครือข่าย 5G เปิดตัวและวางจำหน่ายในตลาดมากกว่า 700 รุ่น

ภายในสิ้นปี 2571 จำนวนผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 พันล้านราย หรือคิดเป็น 55% ของผู้สมัครใช้บริการเครือข่ายมือถือทั้งหมด และคาดว่าความครอบคลุมของประชากร 5G จะสูงถึง 85% โดยเครือข่าย 5G จะรองรับการใช้ดาต้าบนมือถือได้ราว 70% ของดาต้าบนมือถือทั้งหมด และมีส่วนในการเติบโตของดาต้าโดยรวม

เฟรดริก เจดลิง รองประธานผู้บริหารและหัวหน้าเครือข่ายของอีริคสันกล่าวว่า “ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารยังเดินหน้านำเครือข่าย 5G พร้อมบริการ Fixed Wireless Access มาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง โดยในทุกสองปีมีปริมาณการรับ-ส่งข้อมูลบนเครือข่ายมือถือทั่วโลกเพิ่มขึ้นสองเท่า ตามที่ระบุไว้ในรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด ผู้ให้บริการกำลังดำเนินการเพื่อปรับใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของคลื่นวิทยุรุ่นล่าสุดที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน เพื่อเพิ่มการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนและใช้งานโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม”

ภายในสิ้นปี 2571 คาดว่าผู้ให้บริการส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ โดยหลายรายกำลังจะยุติบริการบนเครือข่าย 2G และ 3G เพื่อนำคลื่นความถี่มาใช้รองรับเครือข่าย 4G และ 5G

ภายในสิ้นปี 2571 อีริคสันคาดว่าปริมาณผู้ใช้บริการ 5G ในภูมิภาคฯ จะมีถึง 620 ล้านราย  ตอกย้ำให้เห็นว่าเครือข่าย 5G จะกลายเป็นเทคโนโลยีชั้นนำในการสมัครใช้บริการ โดยมีอัตราการเข้าถึงเครือข่ายที่ 48%

การใช้ 5G และการใช้บริการเสมือนจริงใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของยอดการใช้ข้อมูลบนมือถือในภูมิภาคฯ คาดว่าในปี 2571 ยอดการใช้ดาต้าบนมือถือต่อสมาร์ทโฟนจะสูงถึง 54 กิ๊กกะไบท์ต่อเดือน หรือเติบโตเฉลี่ยเกือบ 30% ต่อปี โดยคาดว่าปริมาณการใช้ดาต้าบนมือถือทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ระหว่างปี 2565-2571

มร.อิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับเครือข่าย 5G ซึ่งเราเห็นผลลัพธ์ของการนำ 5G มาปรับใช้ในช่วงแรก พบว่าประมาณ 15% ของประชากรได้เข้ามาใช้งานเครือข่าย 5G  โดยประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าไปสู่การเติบโตระลอกที่สองจากการสมัครใช้บริการ 5G โดยภายในปี 2571 เราคาดว่าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจะเข้าถึงบริการ 5G”

ขณะเดียวกัน ตัวเลขผู้ใช้บริการ 4G ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2565 เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 41 ล้านราย และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีผู้ใช้บริการ 4G ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 5.2 พันล้านราย

ภายในสิ้นปี 2565 คาดว่าผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดจะมีสูงถึง 8.4 พันล้านราย และเพิ่มเป็น 9.2 พันล้านราย ภายในสิ้นปี 2571 โดยผู้ใช้งานมือถือส่วนใหญ่จะใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน และสิ้นปี 2565 คาดว่าจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนจะเพิ่มเป็น 6.6 พันล้านราย หรือคิดเป็น 79% ของยอดผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งหมด

รายงานฉบับล่าสุดยังย้ำความสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยภาคโทรคมนาคมถือว่ามีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนระดับโลก ทั้งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ด้วยตัวเองและผ่านการดำเนินงานที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมอื่น ๆ

เพื่อเป็นการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การรับ-ส่งข้อมูลที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจำเป็นต้องได้รับการจัดการด้วยเครือข่ายอัจฉริยะที่มีความทันสมัย ผสมผสานกับแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพให้เครือข่ายอย่างสมดุล

รายงาน Ericsson Mobility ประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 รวบรวมบทความเชิงลึกอีก 3 บทความ ประกอบด้วย:

    • Network modernization – on the quest for Net Zero
    • Cooperation and collaborating: Building Finland’s next-generation public safety network
    • Digitalization enables enterprises to reach Net Zero

นอกจากนี้อีริคสันยังเป็นเจ้าภาพจัดเว็บบินาร์ เผยข้อมูลรายงาน Ericsson Mobility Report ในเวลา 09.00 น. (ตามเวลาในยุโรป) และ 19.00 น. (ตามเวลาในยุโรป) ในวันพุธที่ 30 พฤศจิกายน ศกนี้ หากต้องการเข้าร่วม โปรดลงทะเบียนที่นี่

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

 Awards presented less than 18 months after Nutanix and Red Hat announced strategic partnership to deliver open hybrid multicloud solutions

 Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, today announced it has been recognized as Top Independent Software Vendor Partner in APAC and Japan as part of the Red Hat Asia Pacific Partner Awards 2022.

The awards recognize Red Hat’s commercial and public sector partners for their continued efforts to develop innovative solutions using Red Hat technologies to meet customer needs and improve business outcomes. The winners are selected based on their commitment to innovation, dedication to driving change with open source, and demonstration of collaborative and transparent working ecosystems.

“Nutanix has not only acted as a catalyst for customer success, it has been an important multiplier of enterprise open source by adopting Red Hat solutions, from emerging technologies to hybrid cloud infrastructure. In today’s evolving marketplace, it is more important than ever to work openly and collaboratively to generate meaningful results for organizations throughout their cloud journey,” said Andrew Habgood, Vice President, Partner Ecosystem, Red Hat APAC

For Nutanix, its focus is to simplify cloud complexity with an open, software-defined hybrid multicloud platform. The approach involves powering mission-critical applications and services for the world’s most advanced organizations, and this enables them to put their workloads in the environments that make the most sense, whether private, public or hybrid clouds.

“We are honored to receive the award for Red Hat Top Independent Software Vendor Partner in APAC and Japan this year. Our collaboration has been successful because it brings together cloud-native solutions with the simplicity, flexibility and resilience of the Nutanix Cloud Platform. Together, we have been providing customers across the region and worldwide with a full stack platform. This enables them to more easily build, scale, and manage containerized and virtualized cloud-native applications in a hybrid multicloud environment,” said Aaron White, VP & GM – APJ Sales, Nutanix.

“The partnership is a significant opportunity for Nutanix’s customers in Thailand as Thai enterprises are accelerating transitions from traditional infrastructure to hybrid multicloud and cloud-native applications. Our partnership with Red Hat will enable customers to adapt and evolve their infrastructure and applications quickly and seamlessly, said Thawipong Anotaisinthawee, country manager, Nutanix Thailand.

Nutanix ได้รับรางวัล Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award APAC and Japan

Nutanix Achieves Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award in APAC and Japan

Nutanix ได้รับรางวัล Red Hat Top Independent Software Vendor Partner Award APAC and Japan

รางวัลนี้ ได้รับหลังการประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Red Hat ในการนำเสนอโซลูชันไฮบริด มัลติคลาวด์ ได้ไม่ถึง 18 เดือน

Nutanix (NASDAQ: NTNX), ผู้นำด้านไฮบริด มัลติคลาวด์ คอมพิวติ้ง ได้รับเลือกเป็น Top Independent Software Vendor Partner ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น จากงาน Red Hat Asia Pacific Partner Awards 2022

รางวัลดังกล่าวเป็นการยกย่องพันธมิตรทั้งทางธุรกิจและภาครัฐที่ทุ่มเทพัฒนาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้เทคโนโลยีของ Red Hat เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจ โดยพิจารณาจากพันธสัญญาในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความทุ่มเทในการใช้โอเพ่นซอร์สเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และการแสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศของการทำงานที่โปร่งใสและร่วมมือกันของแต่ละองค์กร

นายแอนดรูว์ แฮปกู๊ด รองประธาน ฝ่ายระบบนิเวศพันธมิตร ของ Red Hat APAC กล่าวว่า “Nutanix ไม่เพียงมีบทบาทช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการใช้โอเพ่นซอร์สในองค์กรต่าง ๆ ผ่านการใช้โซลูชันของ Red Hat ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่ต่าง ๆ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ การทำงานร่วมกันและการทำงานแบบเปิดกว้างมีความสำคัญมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนในมาร์เก็ตเพลสที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ ได้รับผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญตลอดเส้นทางการใช้คลาวด์ของตน”

Nutanix เน้นลดความซับซ้อนในการใช้คลาวด์ด้วยแพลตฟอร์มไฮบริด มัลติคลาวด์ ที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ และเป็นแพลตฟอร์มระบบเปิด ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนและรองรับแอปพลิเคชัน และบริการที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้กับองค์กรที่ทันสมัยทั่วโลก ทั้งยังช่วยให้องค์กรเหล่านั้นสามารถเลือกวางเวิร์กโหลดของตนไว้บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นไพรเวท พับลิค หรือ ไฮบริดคลาวด์ ได้ตามต้องการ

นายแอรอน ไวท์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป, APJ Sales, Nutanix กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล Red Hat Top Independent Software Vendor Partner in APAC and Japan ประจำปีนี้ ความสำเร็จของความร่วมมือนี้ เกิดจากการนำคลาวด์-เนทีฟ โซลูชัน มาทำงานร่วมกับ Nutanix Cloud Platform ที่ยืดหยุ่น ปรับการทำงานได้อย่างรวดเร็ว และใช้งานง่าย เราร่วมมือกันให้บริการลูกค้าในภูมิภาคนี้และทั่วโลกด้วยแพลตฟอร์มแบบฟูลสแตกที่เพียบพร้อมด้วยซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถสร้าง สเกล และบริหารจัดการคอนเทนเนอร์ และเวอร์ชวล คลาวด์-เนทีฟ แอปพลิเคชัน บนสภาพแวดล้อมไฮบริด มัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น”

นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ กล่าวว่า “การเป็นพันธมิตร และความร่วมมือระหว่าง Nutanix กับ Red Hat นั้นส่งผลดีกับลูกค้าในประเทศไทยของบริษัทฯ เป็นอย่างมากในช่วงเวลาที่องค์กรต่างตื่นตัว และเปลี่ยนผ่านการใช้โครงสร้างพื้นฐานมาสู่ยุคของไฮบริด มัลติคลาวด์ และแอปพลิเคชันในรูปแบบคลาวด์เนทีฟ ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทจะช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงแอปพลิเคชันขององค์กรได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น พร้อมกันนี้ Nutanix ประเทศไทยได้ผลักดัน และให้ความรู้ความเข้าใจกับทั้งลูกค้า และคู่ค้าของเราอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด”