ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดปี 66 ที่อยู่อาศัยแนวราบยังแรงไม่แผ่ว ราคาส่อแววเพิ่ม จับตาอสังหาฯ แนวดิ่ง หลังดีมานด์ซื้อ-เช่าคอนโดฯ โตต่อเนื่อง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดปี 66 ที่อยู่อาศัยแนวราบยังแรงไม่แผ่ว ราคาส่อแววเพิ่ม จับตาอสังหาฯ แนวดิ่ง หลังดีมานด์ซื้อ-เช่าคอนโดฯ โตต่อเนื่อง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดปี 66 ที่อยู่อาศัยแนวราบยังแรงไม่แผ่ว ราคาส่อแววเพิ่ม จับตาอสังหาฯ แนวดิ่ง หลังดีมานด์ซื้อ-เช่าคอนโดฯ โตต่อเนื่อง

หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ต้องเผชิญความท้าทายทั้งจากภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานและวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ผนวกกับภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย สรุปภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยบ้านแนวราบยังครองความนิยม ส่งผลให้ดัชนีราคาและดัชนีค่าเช่าเติบโตต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ จากภาครัฐ รวมทั้งการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อในประเทศให้กลับมามากขึ้น 

ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 65 ที่อยู่อาศัยแนวราบยังแรง ราคาซื้อ-เช่าโตต่อเนื่อง

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Outlook 2566 พบว่า ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน (QoQ) มาอยู่ที่ 82 จุด แต่ลดลงจากปีก่อนหน้า (YoY) อยู่ 3% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 (ก่อนการแพร่ระบาดฯ) ถึง 22%  

DDproperty Thailand Property Market outlook 2566
    • บ้านเดี่ยวยืนหนึ่งอสังหาฯ ประเภทเดียวที่ราคาเพิ่ม เมื่อแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า บ้านเดี่ยวมีแนวโน้มดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 6% YoY และเพิ่มขึ้นถึง 18% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ สวนทางกับทาวน์เฮ้าส์ที่ลดลง 2% YoY และลดลง 3% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ ขณะที่ดัชนีราคาคอนโดฯ ยังทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ พบว่าลดลงถึง 16%

      ส่วนทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ และพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก ได้แก่ เขตทวีวัฒนา และเขตตลิ่งชัน ที่ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ส่งผลให้ดัชนีราคาเพิ่มขึ้นถึง 16% YoY ตามมาด้วยเขตห้วยขวาง เพิ่มขึ้น 7% YoY ขณะที่เขตดินแดง, เขตหนองจอก, เขตหนองแขม และเขตพระโขนง เพิ่มขึ้นเท่ากันที่ 6% YoY 
DDproperty-Thailand-Property-Market-outlook-2566
    • ค่าเช่าแนวราบโต สวนทางภาพรวมทุกประเภทลดลง 3% ตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อเช่ายังตรึงราคาเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเช่าท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ลดลง 3% YoY และลดลงถึง 14% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ อย่างไรก็ดี จากความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของที่อยู่อาศัยแนวราบส่งผลให้ดัชนีค่าเช่าในกลุ่มนี้เติบโตตามไปด้วย โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 11% YoY และเพิ่มขึ้นถึง 41% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ ด้านทาวน์เฮ้าส์ก็เติบโตเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 8% YoY และเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ สวนทางกับคอนโดฯ ที่ดัชนีราคาลดลง 1% YoY และลดลง 13% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ

      โดยค่าเช่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทำเลศักยภาพ อาทิ แนวรถไฟฟ้าที่เป็นแหล่งงาน โดยทำเลที่ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ เขตสะพานสูง และเขตหลักสี่ เพิ่มขึ้นถึง 11% YoY ตามมาด้วยเขตคลองสามวา และเขตบางเขน เพิ่มขึ้น 10% YoY, เขตดอนเมือง เพิ่มขึ้น 9% YoY ส่วนเขตลาดพร้าว และเขตมีนบุรี เพิ่มขึ้น 8% YoY 

  • ดีมานด์ซื้อ-เช่าคอนโดฯ พุ่ง ปลุกตลาดอสังหาฯ แนวดิ่ง
DDproperty Thailand Property Market outlook 2566

หากโฟกัสไปที่ความต้องการซื้อพบว่าเติบโตถึง 16% YoY และเพิ่มจากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ ถึง 58% โดยความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย คอนโดฯ เพิ่มขึ้นมากที่สุด 21% YoY ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 14% YoY และบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 5% YoY 

จะเห็นได้ว่าที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับความนิยมเนื่องจากตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุค New Normal ทำให้ความต้องการซื้อเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยบ้านเดี่ยวมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นถึง 76% และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 65% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ

ความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเงินเป็นปัจจัยผลักดันให้ตลาดเช่าได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการเช่าคอนโดฯ เพิ่มสูงถึง 167% YoY และเพิ่มขึ้นถึง 272% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ เนื่องด้วยคอนโดฯ สามารถโยกย้ายทำเลได้ง่าย จึงตอบโจทย์การใช้ชีวิตของวัยทำงานและวัยเรียนในเมืองหลวงมากกว่า รองลงมาคือบ้านเดี่ยว เพิ่มขึ้น 12% YoY เพิ่มขึ้น 67% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยรูปแบบเดียวที่ความต้องการเช่าลดลง 6% YoY แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ พบว่าความต้องการเช่ายังเพิ่มขึ้นถึง 51% 

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (57%) วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 1 ปีข้างหน้านี้ ส่วน 7% ยังคงเลือกเช่าที่อยู่อาศัยต่อไป ขณะที่กว่า 1 ใน 3 (35%) ยังไม่มีแผนซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยใด ๆ 

เมื่อพิจารณาข้อมูลในฝั่งผู้เช่าพบว่ามีเพียง 1 ใน 3 (33%) ที่มีแผนจะเช่าต่ออีก 2 ปีก่อนจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่าแม้ผู้บริโภคจะมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมากเพียงใด แต่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเก็บออมและเตรียมความพร้อมทางการเงินพอสมควร ก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยใด ๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความท้าทายเช่นนี้ 

ความท้าทายที่น่าจับตามอง ตลาดอสังหาฯ ปี 66 พร้อมฟื้นจริงหรือไม่? 

รายงาน DDproperty Thailand Property Market Outlook 2566 รวบรวมข้อมูลเชิงวิเคราะห์ในหลายแง่มุมจากข้อมูลบนเว็บไซต์ DDproperty.com เผยคาดการณ์ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 ถือเป็นปีแห่งการฟื้นตัว หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณบวกต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 โดยมีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องที่กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังมีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดว่าจะมีจำนวนอุปทานใหม่ ๆ เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2566 โดยเฉพาะสินค้าประเภทแนวราบ เพื่อตอบรับกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และมีกำลังซื้อเพียงพอ 

อย่างไรก็ดี ปี 2566 ยังถือเป็นปีที่ท้าทายสำหรับผู้ซื้อ เนื่องจากระดับราคาอสังหาฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐบางส่วนได้สิ้นสุดลงตั้งแต่ปลายปี 2565 แล้ว ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้จึงจำเป็นต้องมีความพร้อมทางการเงินและมีวินัยทางการเงินมากพอสมควร โดยมีความท้าทายที่ควรจับตามองก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ดังนี้  

    • ราคาที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มตามต้นทุนใหม่ ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวขึ้น และต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นทั้งจากค่าวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งราคาพลังงานซึ่งเป็นทั้งต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการขนส่ง ส่งผลให้ราคาอสังหาฯ ในปี 2566 มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากโครงการที่อยู่อาศัยที่เป็นต้นทุนเดิมได้มีการดูดซับไปแล้วบางส่วนในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2566 ส่วนใหญ่จะเป็นการคำนวณราคาจากต้นทุนใหม่ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายในการซื้อ-ขายอสังหาฯ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดว่าราคาที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะโครงการที่เปิดใหม่ในปี 2566 มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 5-10% แต่ยังไม่กระทบกับที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จพร้อมขาย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยที่เป็นต้นทุนเดิมของผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันถือเป็นโอกาสของบ้านมือสองหรือผู้ที่มีบ้านในราคาต้นทุนเดิมที่อยากจะนำออกมาขายในช่วงนี้เช่นกัน 
    • การเงินต้องพร้อมรับสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องแต่ภาวะเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% ต่อปี ซึ่งส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องส่งค่างวดสูงขึ้นกว่าเดิม หรือใช้เวลาในการผ่อนชำระนานมากขึ้น ผนวกกับการที่สถาบันการเงิน/ธนาคารส่งสัญญาณจะยกเลิกหรือลดจำนวนปีของอัตราดอกเบี้ยคงที่ลง ทำให้ผู้กู้ซื้อบ้านต้องพิจารณาสภาพคล่องทางการเงินของตัวเองอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ และจะต้องมีวินัยทางการเงินมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก นอกจากนี้ คาดว่าสถาบันการเงิน/ธนาคารจะมีหลักเกณฑ์พิจารณาการอนุมัติสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น หรือวงเงินกู้ที่ผ่านการอนุมัติอาจได้รับลดลง แปรผันตามความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ซื้อปัจจุบัน
    • มาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ดึงดูดใจไม่มากพอ มาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ของภาครัฐในช่วงที่มีการแพร่ระบาดฯ ที่ผ่านมาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศไม่ขยายเวลาผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value: LTV) ที่ให้ผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาแรก และราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้ได้ 100% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย ซึ่งสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นปี 2565 ประกอบกับการที่คณะรัฐมนตรีมีมติต่อมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี 2566 โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 1% ของราคาประเมินหรือราคาขาย (มาตรการก่อนหน้าลดเหลือเพียง 0.01%) และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% จากยอดเงินกู้ สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทำให้มาตรการสนับสนุนการซื้ออสังหาฯ ปัจจุบันอาจไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นการเติบโตของตลาดในปีนี้ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงต้องเผชิญความท้าทายทางการเงินทั้งจากเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น มาตรการฯ ปัจจุบันจึงยังไม่ครอบคลุมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และตอบโจทย์ของผู้บริโภคเท่าที่ควร

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ยังพบว่า 3 มาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ที่ผู้บริโภคคาดหวังจากภาครัฐเพื่อช่วยสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงภาวะเงินเฟ้อสูงนั้น มากกว่าครึ่ง (62%) ต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเพิ่มเติม และต้องการมาตรการลดดอกเบี้ยทั้งสินเชื่อบ้านที่กู้ใหม่และที่มีอยู่เดิม (58%) ขณะที่อีก 44% คาดหวังว่าจะมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มคนที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมาก่อนได้มีโอกาสซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองมากขึ้น

หมายเหตุ: DDproperty Thailand Property Market Outlook เป็นรายงานภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่วิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางตลาดอสังหาฯ จากการรวบรวมข้อมูลดัชนีราคา (Price Index) และดัชนีความต้องการ (Demand Index) ของที่อยู่อาศัยประเภทต่าง ๆ ทั้งในตลาดซื้อ-ขาย และตลาดเช่า รวมไปถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Sentiment) ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา นำมาวิเคราะห์ต่อยอด เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เช่าอสังหาฯ หรือนักลงทุนได้เข้าใจถึงสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในตลาดอสังหาฯ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถวางแผนหรือตัดสินใจซื้อ-ขาย-เช่าได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

อ่านและศึกษาข้อมูลภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 ฉบับเต็มได้จากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Outlook 2566 

 

Alibaba Unveils Top Technology Trend Forecasting for 2023

Alibaba Unveils Top Technology Trend Forecasting for 2023

Alibaba Unveils Top Technology Trend Forecasting for 2023

Alibaba DAMO Academy (“DAMO”), the global research initiative by Alibaba Group, has shared its annual forecasting of the leading technology trends that could shape many industries in the years ahead. 

Among the leading technology trends, Generative AI, which has already gained considerable traction, is expected to make further strides with its growing applications set to transform how digital content is produced. Aided by future technological advancements and cost reductions, Generative AI will become an inclusive technology that can significantly enhance the variety, creativity and efficiency of content creation, according to DAMO.

Another important emerging technology is dual-engine decision intelligence. Supported by both operations optimization and machine learning, the dual-engine decision intelligence system enables the dynamic, comprehensive and real-time resource allocation, such as real-time electricity dispatching, optimization of port throughput, assignment of airport stands and improvements in manufacturing processes. As such, the technology can also help businesses enhance operational efficiency.

Cloud computing and security is predicted to continue playing a key role in businesses’ digital transformation. As security technologies and cloud computing are becoming more integrated than ever before, security services have embraced the shift to become more cloud native, platform-oriented and intelligent.

Other rising trends in DAMO’s forecast include pre-trained multimodal foundation models, chiplets, processing in memory, hardware-software integrated cloud computing architecture, predictable fabric based on edge-cloud synergy, computational imaging, as well as large-scale urban digital twins.

By analyzing public papers and patent filings over the past three years and conducting interviews with almost 100 scientists, entrepreneurs and engineers worldwide, DAMO presents the top technology trends in 2023 that are expected to achieve accelerated breakthroughs and impact positively across core industries economically and socially.

“Looking towards 2023, the advancement of various technologies will drive software/hardware co-design and the integration of computing and communications technologies. The wide application of technologies will facilitate the rollout of AI and other digital technologies in vertical markets and promote the collaboration of public and private sectors and individuals in security technology and security management. The innovation driven by the advancement of technologies and their industry-specific application has become an irreversible trend,” said Jeff Zhang, Head of Alibaba DAMO Academy.

In 2023, DAMO expects to see technology progress and the surge of related applications across fields:

Trend 1: Generative AI

Generative AI generates new content based on a given set of text, images, or audio files. Currently, Generative AI is mainly used to produce prototypes and drafts and is applied in scenarios like gaming, advertising, and graphic design. Along with future technological advancement and cost reduction, Generative AI will become an inclusive technology that can significantly enhance the variety, creativity, and efficiency of content creation.

Generative-AI

In the next three years, we will see business models emerging and ecosystems maturing as Generative AI becomes widely marketized. Generative AI models will be more interactive, secure, and intelligent, assisting human beings to complete various creative work.

Trend 2: Dual-engine Decision Intelligence

In the past, traditional decision-making method is based on Operations Research. Due to its limitations in handling problems with great uncertainty and its slow response to large-scale problems, academia and industry began to include machine learning into decision optimization. The two engines are perfect complements to each other, and when used in tandem, can improve the speed and quality of decision making. In the future, this technology is expected to be widely used in a variety of scenarios to support dynamic, comprehensive and real-time resource allocation, such as real-time electricity dispatching, optimization of port throughput, assignment of airport stands, and improvement of manufacturing processes.

Dual-engine-Decision-Intelligence

In the future, dual-engine decision intelligence will be applied in more scenarios. It will serve to increase the number of entities and expand the scale in regional resource allocation scenarios, and eventually achieve dynamic, comprehensive, and real-time resource allocation.

Trend 3: Cloud-native Security

Cloud-native security is implemented to not only deliver security capabilities that are native to cloud infrastructure, but also improve security services by leveraging cloud-native technologies . Security technologies and cloud computing are becoming more integrated than ever before. We have witnessed applied technologies evolve from containerized deployment to microservices and then to the serverless model, and security services embraced the shift to become native, fine-grained, platform-oriented, and intelligent.

In the next three to five years, cloud-native security will become more versatile and can adapt more easily to multi-cloud architectures. It will also become more conducive to building security systems that are dynamic, end-to-end, precise, and applicable to hybrid environments.

Trend 4: Pre-trained Multimodal Foundation Models

Pre-trained multimodal foundation models have become a new paradigm and infrastructure for building artificial intelligence (AI) systems. These models can acquire knowledge from different modalities and present the knowledge based on a unified representation learning framework. In the future, foundation models are set to serve as the basic infrastructure of AI systems across tasks of images, text and audio, empowering AI systems with cognitive intelligence capabilities to reason, answer questions, summarize, and create.

Trend 5: Hardware-Software Integrated Cloud Computing Architecture

Cloud computing is evolving towards a new architecture centered around Cloud Infrastructure Processor (CIPU). This software-defined, hardware-accelerated architecture helps accelerate cloud applications while maintaining high elasticity and agility for cloud application development. CIPU will become the de facto standard of next-generation cloud computing and bring new development opportunities for core software R&D and dedicated chip design.

Trend 6: Predictable Fabric based on Edge-Cloud Synergy

Predictable fabric, a host-network co-design networking system driven by advances in cloud computing, and aims to offer high-performance network services. It is also an inevitable trend as today’s computing and networking capabilities gradually converge on each other. Through the full-stack innovation of cloud-defined protocols, software, chips, hardware, architecture, and platforms, predictable fabric is expected to subvert the traditional TCP-based network architecture and becomes part of the core network in next-generation data centers. Advances in this area are also driving the adoption of predictable fabric from data center networks to wide-area cloud backbone networks.

Trend 7: Computational Imaging

Computational imaging is an emerging interdisciplinary technology. In contrast with traditional imaging techniques, computational imaging makes use of mathematical models and signal processing capabilities, and thus can perform unprecedented in-depth analysis on light field information. This technology is already used on a large scale in mobile phone photography, health care, and autonomous driving. In the future, computational imaging will continue to revolutionize traditional imaging technologies, and give rise to innovative and imaginative applications such as lensless imaging, and Non-line-of-sight (NLOS) imaging.

Trend 8: Chiplet

Chiplet-based design allows manufacturers to break down a system on a chip (SoC) into multiple chiplets, manufacture the chiplets separately by using different processes, and finally integrate them into an SoC through interconnects and packaging. The interconnect standards of chiplets are being unified into a single standard, accelerating the industrialization process of chiplets. Powered by advanced packaging technologies, chiplets may bring in a new wave of change to the R&D process of integrated circuits and reshape the landscape of the chip industry.

Trend 9: PIM

Processing in Memory (PIM) technology is the integration of a CPU and memory on a single chip, which allows data to be directly processed in memory. In the future, compute-in-memory chips are projected to be used in more powerful applications such as cloud-based inference. This will shift the traditional computing-centric architecture towards the data-centric architecture, which will have a positive impact on industries such as cloud computing, AI, and Internet of Things (IoT).

Trend 10: Large-scale Urban Digital Twins

The concept of the urban digital twins has become a new approach to refined city governance. So far, large-scale urban digital twins have made major progress in scenarios such as traffic governance, natural disaster prevention and management, carbon peaking and neutrality. In the future, large-scale urban digital twins will become more autonomous and multidimensional.

For more detailed information, please visit the full report here: https://damo.alibaba.com/techtrends/2023?lang=en

อาลีบาบา คาดการณ์สุดยอดเทรนด์เทคโนโลยีปี 2566

Alibaba Unveils Top Technology Trend Forecasting for 2023

อาลีบาบาคาดการณ์สุดยอดเทรนด์เทคโนโลยีปี 2566

Alibaba DAMO Academy (“DAMO”) โครงการวิจัยระดับโลกของอาลีบาบา กรุ๊ป เผยการคาดการณ์ประจำปีเกี่ยวกับเทรนด์ทางเทคโนโลยีชั้นนำที่อาจเป็นตัวกำหนดรูปโฉมของอุตสาหกรรมจำนวนมากในอีกหลายปีต่อจากนี้

ในบรรดาเทรนด์เทคโนโลยีชั้นนำต่าง ๆ เป็นที่คาดการณ์ว่า เอไอแบบรู้สร้าง หรือ Generative AI ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากอยู่แล้ว จะได้รับความนิยมมากขึ้นอีกจากการมีชุดแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปใช้ในการเปลี่ยนผ่านวิธีการผลิตเนื้อหาดิจิทัล ข้อมูลจากการวิจัยของ DAMO ระบุว่า Generative AI ที่อาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแห่งอนาคต และการลดค่าใช้จ่าย จะกลายเป็นเทคโนโลยีเบ็ดเสร็จที่สามารถเพิ่มความหลากหลาย ความคิดสร้างสรรค์ และประสิทธิภาพในการสร้างคอนเทนต์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

อีกหนึ่งเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่โดดเด่นคือ dual-engine decision intelligence ระบบ dual-engine decision intelligence ที่ได้รับการสนับสนุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และแมชชีนเลิร์นนิ่งนี้ ช่วยในการจัดสรรทรัพยากรได้แบบไดนามิก ครบถ้วนและเรียลไทม์ เช่น การจ่ายไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ การปรับพอร์ตทรูพุตให้เหมาะสม การกำหนดจุดจอดในสนามบิน และการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการผลิตต่าง ๆ ดังนั้นเทคโนโลยีนี้จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้กับธุรกิจต่าง ๆ อย่างมาก

นอกจากนี้ยังคาดการณ์ได้ว่าคลาวด์คอมพิวติ้งและเรื่องของความปลอดภัย จะยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างต่อเนื่องต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของธุรกิจทั้งหลาย การที่เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยและคลาวด์คอมพิวติ้งผสานการทำงานร่วมกันมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้บริการด้านความปลอดภัยเปลี่ยนไปเป็นบริการในรูปแบบคลาวด์เนทีฟ ใช้แพลตฟอร์มเป็นศูนย์กลาง และมีความชาญฉลาดมากขึ้น

DAMO ได้คาดการณ์ว่าจะมีเทรนด์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น โมเดลโครงสร้างสำเร็จรูปหลากหลายที่ผ่านการเทรนด์มาแล้ว (pre-trained multimodal foundation models), ชิปเล็ต (chiplets), การประมวลผลในหน่วยความจำ (processing in memory), สถาปัตยกรรมคลาวด์คอมพิวติ้งที่รวมเอาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไว้ด้วยกัน, โครงสร้างที่คาดการณ์ได้บน Edge-Cloud Synergy (predictable fabric based on edge-cloud synergy), การสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ (computational imaging) รวมถึงคู่เสมือนทางดิจิทัลของเมื่องใหญ่ (large-scale urban digital twins)

DAMO นำเสนอสุดยอดเทรนด์ทางเทคโนโลยีปี 2566 ที่คาดการณ์ว่าจะเร่งให้เกิดนวัตกรรมและส่งผลในทางที่ดีทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมต่ออุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ซึ่งมาจากการรวบรวมและวิเคราะห์จากเอกสารสาธารณะและการจดสิทธิบัตรในช่วงสามปีที่ผ่านมา และการสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ผู้ประกอบการ และวิศวกรทั่วโลกมากกว่า 100 ราย

นายเจฟฟ์ ชาง หัวหน้าของ Alibaba DAMO Academy กล่าวว่า “ปี 2566 จะเป็นปีที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ จะขับเคลื่อนให้เกิดการออกแบบการทำงานของซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ร่วมกัน และการผสานรวมของเทคโนโลยีด้านคอมพิวติ้งกับการติดต่อสื่อสาร การนำเทคโนโลยีไปใช้ในวงกว้างจะทำให้มีการใช้ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่น ๆ มากขึ้นในตลาดเฉพาะทางต่าง ๆ และกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย นวัตกรรมที่เกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการใช้งานที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละอุตสาหกรรม จะกลายเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นและไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก”

DAMO คาดว่าในปี 2566 จะได้เห็นความรุดหน้าทางเทคโนโลยีและการเกิดขึ้นอย่างมากมายของแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

เทรนด์ที่ 1: เอไอแบบรู้สร้าง (Generative AI)

Generative AI สร้างคอนเทนต์ใหม่ตามชุดข้อความ รูปภาพ หรือไฟล์เสียงที่กำหนดไว้ ปัจจุบันมีการใช้ Generative AI ในการผลิตต้นแบบและแบบร่างต่าง ๆ เป็นหลัก รวมถึงใช้กับเกม โฆษณา และกราฟิกดีไซน์ นอกจากจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแห่งอนาคตและการลดค่าใช้จ่ายแล้ว Generative AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีเบ็ดเสร็จที่สามารถเพิ่มความหลากหลาย ความคิดร้างสรรค์ และการสร้างคอนเทนต์ที่โดดเด่นได้อย่างมีนัยสำคัญ 

Generative-AI

อีกสามปีต่อจากนี้ เราจะได้เห็นรูปแบบทางธุรกิจใหม่ ๆ และระบบนิเวศที่สมบูรณ์เต็มที่ เพราะมีการนำ Generative AI ไปใช้อย่างแพร่หลาย รูปแบบที่เป็น Generative AI จะโต้ตอบได้มากขึ้น ปลอดภัยและชาญฉลาดมากขึ้น ทั้งยังจะช่วยมนุษย์ทำงานสร้างสรรค์ต่าง ๆ ให้ลุล่วงได้อย่างดี 

เทรนด์ที่ 2: การตัดสินใจที่ชาญฉลาดด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการและแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Dual-engine Decision Intelligence)

วิธีการตัดสินใจแบบเดิมในอดีตนั้นพึ่งพาการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งมีข้อจำกัดในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่มีความไม่แน่นอนสูงและตอบสนองต่อปัญหาใหญ่ ๆ ได้ช้า ดังนั้น สถาบันทางการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมจึงได้เริ่มใช้แมชชีนเลิร์นนิ่งเข้ามาเสริม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการตัดสินใจด้านต่าง ๆ เครื่องมือทั้งสองนี้เป็นองค์ประกอบที่ลงตัวของกันและกัน และเมื่อได้ใช้ควบคู่กันไปจะช่วยเพิ่มความเร็วและคุณภาพของการตัดสินใจต่าง ๆ และเป็นที่คาดการณ์ว่า เทคโนโลยีนี้จะใช้กันอย่างแพร่หลายในสถานการณ์หลากหลายในอนาคต เพื่อช่วยให้สามารถจัดสรรทรัพยากรได้แบบไดนามิก ครบถ้วนและเรียลไทม์ เช่น การจ่ายไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ การปรับพอร์ตทรูพุตให้เหมาะสม การกำหนดจุดจอดในสนามบิน และการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการผลิตต่าง ๆ เป็นต้น

Dual-engine-Decision-Intelligence

ในอนาคต dual-engine decision intelligence จะใช้ในงานด้านต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวน entities และขยายขนาดการจัดสรรทรัพยากรตามภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลในการจัดสรรทรัพยากรแบบไดนามิก ครบถ้วนและเรียลไทม์

เทรนด์ที่ 3: ระบบความปลอดภัยที่รองรับการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud-native Security)

การใช้ระบบความปลอดภัยที่รองรับการทำงานบนคลาวด์ (Cloud-native security) นั้น ไม่เพียงมอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยบนโครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์เท่านั้น แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบริการด้านความปลอดภัยต่าง ๆ ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์-เนทีฟ การรวมเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยต่าง ๆ และคลาวด์คอมพิวติ้งเข้าด้วยกันกำลังเกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเราเห็นได้จากการใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาจากการใช้คอนเทนเนอร์ไปเป็นไมโครเซอร์วิส จนถึงรูปแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ (serverless model) และบริการด้านความปลอดภัยที่ยกระดับสู่การเป็นคลาวด์-เนทีฟ มีความรัดกุม ใช้แพลตฟอร์มเป็นศูนย์กลาง และชาญฉลาด

ในสามถึงห้าปีจากนี้ การรักษาความปลอดภัยแบบคลาวด์-เนทีฟจะหลากหลายมากขึ้น นำไปใช้กับสถาปัตยกรรมมัลติ-คลาวด์ได้ง่ายขึ้น และเอื้อต่อการสร้างระบบความปลอดภัยแบบไดนามิก ครบวงจร แม่นยำ และใช้กับสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดได้

เทรนด์ที่ 4: โมเดลโครงสร้างสำเร็จรูปหลากหลายที่ผ่านการเทรนด์มาแล้ว (pre-trained multimodal foundation models)

Pre-trained multimodal foundation models กลายเป็นแบบอย่างและโครงสร้างพื้นฐานแบบใหม่
ในการสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) รูปแบบเหล่านี้สามารถรับความรู้จากแบบวิธีต่าง ๆ และนำเสนอความรู้นั้นตามกรอบการเรียนรู้ด้านการแสดงออกที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ในอนาคต foundation models จะถูกกำหนดขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานปกติของระบบ AI ที่ใช้ทำงานต่าง ๆ เช่น รูปภาพ ข้อความ และเสียง เป็นการเสริมศักยภาพระบบ AI ด้วยความสามารถด้านสติปัญญาในการให้เหตุผล การตอบคำถาม การสรุป และการสร้างสรรค์

เทรนด์ที่ 5: สถาปัตยกรรมคลาวด์คอมพิวติ้งที่รวมฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์

คลาวด์คอมพิวติ้งกำลังพัฒนาเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ Cloud Infrastructure Processor (CIPU) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ฮาร์ดแวร์เร่งความเร็วในการทำงานและควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ โดยจะช่วยเร่งการใช้แอปพลิเคชันบนคลาวด์ ในขณะเดียวกันยังคงความยืดหยุ่นและความคล่องตัวสูงไว้เพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันบนคลาวด์ CIPU จะกลายเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วไปของคลาวด์คอมพิวติ้งยุคหน้า และนำมาซึ่งโอกาสด้านการพัฒนาใหม่ ๆ จำนวนมากในด้านการวิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์และการออกแบบ dedicated chip

เทรนด์ที่ 6: โครงสร้างที่คาดการณ์ได้บน Edge-Cloud Synergy

โครงสร้างที่คาดการณ์ได้ (predictable fabric) เป็นระบบเน็ตเวิร์กที่ออกแบบร่วมกันโดยโฮสต์และเครือข่าย ขับเคลื่อนโดยความล้ำสมัยของคลาวด์คอมพิวติ้ง และมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอบริการเน็ตเวิร์กที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นเทรนด์ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะความสามารถด้านคอมพิวติ้งและเน็ตเวิร์กในปัจจุบันค่อย ๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน และด้วยสมรรถนะของนวัตกรรมแบบฟูลสแต็ก จาก cloud-defined protocols, ซอฟต์แวร์, ชิป, ฮาร์ดแวร์, สถาปัตยกรรม และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำให้คาดการณ์ได้ว่า predictable fabric จะเข้ามาแทนที่สถาปัตยกรรมเน็ตเวิร์ก TCP แบบดั้งเดิม และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเน็ตเวิร์กหลักในดาต้าเซ็นเตอร์รุ่นต่อไป ความก้าวล้ำด้านนี้ยังขับเคลื่อนการใช้ predictable fabric จากเน็ตเวิร์กของดาต้าเซ็นเตอร์ ไปจนถึงเน็ตเวิร์กหลักบนคลาวด์ที่กว้างขวาง

เทรนด์ที่ 7: การสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ (Computational Imaging)

การสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ (computational imaging) เป็นสหวิทยาการเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่างหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับเทคนิคการถ่ายภาพแบบเดิม โดยคอมพิวเตอร์สร้างภาพจากรูปแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ และความสามารถในการประมวลผลสัญญาณต่าง ๆ จำนวนมาก จึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลสนามแสงเชิงลึกที่ไม่เคยทำได้มาก่อนได้ เทคโนโลยีนี้มีใช้แล้วในวงกว้าง เช่น การถ่ายภาพของโทรศัพท์มือถือ, การถ่ายภาพทางการแพทย์, และยานยนต์อัตโนมัติ ในอนาคตการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์จะยังคงปฏิวัติเทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบเดิม และทำให้เกิดนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ เช่น การถ่ายภาพแบบไม่ต้องใช้เลนส์ และการถ่ายภาพแบบไม่อยู่ในแนวสายตา (Non-line-of-sight: NLOS)

เทรนด์ที่ 8: ชิปเล็ต (Chiplet)

การใช้ชิปเล็ตหรือชิปขนาดย่อย (chiplet) ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถแบ่งระบบต่าง ๆ ที่รวมกันอยู่บนชิปตัวหนึ่ง (system on a chip: SoC)  ออกเป็น chiplet หลายตัว ทำการผลิต chiplet แยกกันและใช้กระบวนการผลิตที่แตกต่างกันแล้วรวม chiplet ทุกตัวไว้ใน SoC ผ่านการเชื่อมต่อกันภายในและแพคเกจจิ้ง ทั้งนี้การรวมมาตรฐานการเชื่อมต่อกันของ chiplet ต่าง ๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียว เป็นการเร่งกระบวนการพัฒนา chiplet ในระดับอุตสาหกรรม เทคโนโลยีแพคเกจจิ้งที่ล้ำหน้าช่วยเสริมให้ chiplet เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการวิจัยและพัฒนาวงจรรวมและเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมชิป

เทรนด์ที่ 9: การประมวลผลในหน่วยความจำ (PIM)

เทคโนโลยีการประมวลผลในหน่วยความจำ (Processing in Memory: PIM) เป็นการรวมหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) และหน่วยความจำไว้บนชิปเดียว ซึ่งช่วยให้ประมวลผลข้อมูลในหน่วยความจำได้โดยตรง คาดว่าจะมีการใช้ชิปที่เป็นแบบประมวลผลในหน่วยความจำกับแอปพลิเคชันที่มีความสามารถสูง มากขึ้นในอนาคต เช่น การอนุมานที่อยู่บนคลาวด์ และชิปลักษณะนี้จะยกระดับสถาปัตยกรรมที่ยึดการประมวลผลเป็นศูนย์กลางแบบเดิม ไปเป็นสถาปัตยกรรมแบบยึดข้อมูลเป็นสำคัญ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง, AI และอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT)

เทรนด์ที่ 10: คู่เสมือนทางดิจิทัลของเมืองใหญ่ (Large-scale Urban Digital Twins)

คอนเซปต์ของคู่เสมือนดิจิทัลของเมือง (urban digiital twins) ได้กลายเป็นแนวทางใหม่ในการดูแลเมืองที่มีประสิทธิภาพ ณ ปัจจุบัน urgan digital twins ขนาดใหญ่มีบทบาทในการพัฒนาการทำงานสำคัญด้านต่าง ๆ เช่น การดูแลการจราจร การป้องกันและการจัดการภัยทางธรรมชาติ การวิเคราะห์จุดสูงสุดและความเป็นกลางทางคาร์บอน เป็นต้น ทั้งนี้ urban digital twins ขนาดใหญ่จะทำงานโดยอิสระได้ด้วยตนเองและมีหลากหลายมิติมากขึ้นในอนาคต

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากรายงานฉบับเต็มที่ลิงก์นี้

Supply Chain’s Wild Ride Continues

Supply Chain’s Wild Ride Continues

Supply Chain’s Wild Ride Continues

By Terry Smagh, Senior Vice President and General Manager for Asia Pacific and Japan, Infor

The past several years have been a wild ride for those of us in supply chain roles. Adaptability has been key as companies looked to their supply chain teams to overcome a steady stream of disruptive events. Looking ahead to 2023, I think the end is not yet in sight. 

Here are five trends I believe will have a huge effect on companies and their supply chain professionals in the coming year.

    1. Virtually everyone’s supply chain plans will be wrong. 

Uncertainty and volatility will continue to conspire with local and global factors affecting supply chain performance. Neither demand nor supply will reach stable and sustainable levels well into 2023, as geopolitical, environmental and macroeconomic pressures play out. Supply chain planning is still critical to business, but don’t worry about trying to predict the future correctly. Instead, emphasize planning for a wider range of what-if scenarios to ensure your business is prepared to adapt and pivot quickly, whatever 2023 brings.

    1. This winter will be tough. 

The Russian war on Ukraine is affecting energy and food supplies worldwide, but things will be particularly challenging in Europe, the Middle East and Africa. Though our global supply chains have evolved to help balance regional gluts and shortages, the extent of worldwide knock-on effects from increasingly frequent and unforeseen disruptions in demand, supply and freight flow will continue to drive inflation, scarcity and pockets of distress.

    1. Labor becomes a major vector of supply chain dysfunction.

The concept of essential workers emerged during the COVID-19 pandemic to classify elements of labor whose work cannot be performed remotely, and whose absence brings basic commerce to a halt or threatens individual health and security. This category included hundreds of thousands of transport and warehouse workers worldwide. Workers have been striking across Europe already and in the US, the railroad workers’ unions have still not accepted new contract proposals, though work stoppages have likely been deferred for a bit. While wages in many logistics sectors increased in the past two years of extreme worker scarcity, those gains have been offset by steep climbs in the cost of living. Economic disparity will drive fundamental political shifts around the world, as well as the flexing of labor muscle to reset employment dynamics in key supply chain entities.

    1. China decoupling efforts will uncover more supply chain inadequacies.

For several years, procurement operations in many industries have been systematically diversifying supplier networks to countries that are NOT China to minimize the impacts of tariff hikes, trade wars and zero-COVID strategies. With Xi Jinping cemented in power for another five years, the supply chain risks from potential Taiwan action, naval and maritime power plays, and China’s increased investments in third-world nations with strategic mineral wealth, will have to be managed actively. Ports, inland transport routes and waterways in other Asian countries benefiting from supply chain shifts do not yet have the transport and logistics infrastructure or service providers to match Chinese strength. Trade routes passing through areas of Chinese control or influence may still be subject to unforeseen disruptions from this global powerhouse.

    1. Supply chain visibility will be redefined. 

This year saw announcements of job cuts at leading real-time transportation visibility providers, and dramatic softening of VC activity in the supply chain technology sector. Industry analysts increasingly mention the dissatisfaction they are hearing from enterprise buyers of transportation visibility, disappointed by the lack of long-term ROI from their investments and the essential business context that is still missing from transport data alone. As the real-time visibility market shifts out of hype cycle mode into the sobering realities of a global economic downturn and growing supply chain maturity levels, we’ll see a renewed emphasis on supply chain business networks and their application platforms to serve up a broader, more holistic and more converged approach to operational supply chain visibility. Buying decisions for visibility will involve more stakeholders and potential beneficiaries than the transportation department, with procurement, finance, S&OP, inventory management and even ES&G leaders weighing in on technology projects to ensure scalability, flexibility and the broad supply chain ecosystem coverage that will help address fast-evolving business needs. 

ระบบซัพพลายเชนยังคงป่วนต่อไป

Supply Chain’s Wild Ride Continues

ระบบซัพพลายเชนยังคงป่วนต่อไป

บทความโดย นายเทอร์รี สมา, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, อินฟอร์

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับเป็นห้วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับผู้ที่ทำงานในระบบซัพพลายเชน  ความสามารถในการปรับตัวจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ยังต้องพึ่งพาทีมซัพพลายเชน เพื่อให้ผ่านพ้นภาวะชะงักงันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปให้ได้  ซึ่งผมยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของสิ่งที่จะเกิดขึันในปี 2566 

สำหรับแนวโน้ม 5 ประการที่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจและผู้คนที่ทำงานด้านซัพพลายเชนในปี 2566 มีดังนี้

    1. แผนการด้านซัพพลายเชนจะเกิดข้อผิดพลาดในทางปฏิบัติ

ความไม่แน่นอนและความผันผวน กอปรกับปัจจัยระดับท้องถิ่นและระดับโลกจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการด้านซัพพลายเชน  สำหรับปี 2566 นี้ ในระยะยาวอุปสงค์และอุปทานจะยังไม่ถึงระดับที่มั่นคงและยั่งยืน เนื่องจากแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจมหภาค  การวางแผนงานด้านซัพพลายเชนยังคงสำคัญต่อธุรกิจ  อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องกังวลกับการพยายามคาดการณ์อนาคตที่แม่นยำ แต่ต้องเน้นที่การวางแผนสำหรับสถานการณ์แบบ what-if ที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจพร้อมปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 ได้อย่างรวดเร็ว

    1. ฤดูหนาวนี้จะแสนสาหัส

สงครามรัสเซียกับยูเครนกำลังส่งผลกระทบด้านพลังงานและอาหารทั่วโลก แต่ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาจะต้องเผชิญกับความท้าทายเป็นพิเศษ  แม้ว่าซัพพลายเชนทั่วโลกของเราจะได้รับการพัฒนาเพื่อช่วยรักษาสมดุลของสินค้าที่ล้นตลาดและขาดแคลนในภูมิภาคแล้วก็ตาม แต่ผลกระทบทั่วโลกที่เกิดจากการหยุดชะงักของอุปสงค์ อุปทาน และการขนส่งสินค้าที่ไม่คาดคิดบ่อยครั้ง จะยังคงส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อ ความขาดแคลน และความกังวลใจ

    1. แรงงานกลายเป็นตัวกระตุ้นสำคัญของปัญหาในระบบซัพพลายเชน

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เกิดความคิดเกี่ยวกับ essential workers หรือคนทำงานในกิจการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันขึ้น เพื่ออธิบายถึงแรงงานบางส่วนที่ไม่สามารถทำงานได้จากระยะไกลและการขาดงานที่ทำให้การค้าพื้นฐานต้องหยุดชะงัก หรือทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้คน ซึ่งในกลุ่มนี้มีพนักงานขนส่งและคลังสินค้าหลายแสนคนทั่วโลกรวมอยู่ด้วย  โดยคนงานทั่วยุโรปได้มีการหยุดงานประท้วงเพื่อขอให้รัฐบาลเพิ่มค่าแรงแล้ว ในขณะที่สหภาพแรงงานรถไฟในสหรัฐอเมริกายังไม่ยอมรับข้อเสนอสัญญาค่าแรงฉบับใหม่ แม้ว่าการหยุดงานมีแนวโน้มว่าจะยืดเวลาออกไปแล้วก็ตาม  และขณะที่ค่าแรงในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์หลายแห่งได้เพิ่มขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้กลับถูกกลบด้วยค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจะบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองพื้นฐานทั่วโลก เช่นเดียวกับการใช้กำลังแรงงานเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานในบริษัทซัพพลายเชนต่าง ๆ ที่สำคัญ

    1. ความพยายามในการแยกเศรษฐกิจออกจากจีนจะเผยให้เห็นถึงข้อบกพร่องในระบบซัพพลายเชนมากขึ้น

เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่หลายอุตสาหกรรมได้ขยายเครือข่ายซัพพลายเออร์ในการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเป็นระบบไปยังนานาประเทศที่ไม่ใช่จีน เพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากร ความขัดแย้งทางการค้า และยุทธศาสตร์ Zero-Covid ของจีน  เมื่อนายสี จิ้นผิง ยังครองอำนาจได้อย่างมั่นคงในอีก 5 ปีข้างหน้า ความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนจากปฏิกิริยาในอนาคตของไต้หวัน การแสดงแสนยานุภาพทางเรือและทางทะเล ตลอดจนการขยายการลงทุนของจีนในประเทศโลกที่สามที่มีความมั่งคั่งทางยุทธศาสตร์จะต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจัง  ทว่า ท่าเรือต่าง ๆ  เส้นทางการขนส่งทางบกและทางน้ำของนานาประเทศในเอเชียที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของระบบซัพพลายเชน ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์หรือผู้ให้บริการที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับจีน  ดังนั้น เส้นทางการค้าที่พาดผ่านพื้นที่ที่ประเทศจีนมีอิทธิพลหรือควบคุมอยู่ อาจจะต้องเผชิญกับการหยุดชะงักที่ไม่คาดคิดจากมหาอำนาจโลกระดับนี้

    1. การจัดการทัศนวิสัยในซัพพลายเชนจะเปลี่ยนไป

ในปีนี้ เราจะเห็นผู้ให้บริการขนส่งที่มีการจัดการทัศนวิสัยแบบเรียลไทม์ชั้นนำหลายแห่งประกาศเลิกจ้างงาน ขณะที่กิจกรรมร่วมทุนในภาคเทคโนโลยีซัพพลายเชนจะลดลงอย่างมาก  นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมกำลังพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า หลายบริษัทที่ซื้อเทคโนโลยีด้านการจัดการทัศนวิสัยระบบขนส่ง ต่างผิดหวังกับการลงทุนที่ไม่ได้ผลตอบแทนในระยะยาว เพราะการมีแต่ข้อมูลด้านการขนส่งเพียงอย่างเดียวทำให้องค์กรขาดบริบททางธุรกิจที่สำคัญ

ในขณะที่ตลาดของเทคโนโลยีด้านการจัดการทัศนวิสัยแบบเรียลไทม์เปลี่ยนจากวงจรการโฆษณา ไปสู่ความเป็นจริงที่น่ากังวลของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและการเติบโตของซัพพลายเชนที่เพิ่มขึ้น เราจะได้เห็นการให้ความสำคัญกับการเริ่มใหม่ของเครือข่ายธุรกิจซัพพลายเชนและแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันที่ให้บริการครอบคลุมเชื่อมโยงเป็นองค์รวมมากขึ้น ในการจัดการทัศนวิสัยด้านการดำเนินงานของซัพพลายเชนทั้งระบบ  ทั้งนี้ ผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่อาจได้ประโยชน์จะมีส่วนในการตัดสินใจซื้อเทคโนโลยีด้านการจัดการทัศนวิสัยมากกว่าฝ่ายขนส่ง โดยฝ่ายจัดซื้อจัดจ้าง ฝ่ายการเงิน ฝ่ายวางแผนปฏิบัติการและการขาย ฝ่ายจัดการสินค้าคงคลัง และแม้แต่ผู้นำด้านการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนจะร่วมกันพิจารณาโครงการเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถปรับขนาดได้ มีความยืดหยุ่น และคลอบคลุมระบบนิเวศซัพพลายเชนในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ศูนย์วิจัยกรุงศรีระบุว่า ในสงครามการค้า ซัพพลายเชนที่เคยร้อยเรียงทั้งโลกเข้าด้วยกันในยุคโลกาภิวัฒน์ได้แตกแยกออกจากกัน (Decoupling) สิ่งสำคัญสำหรับประเทศไทยคือการรักษาสมดุลความสัมพันธ์ เพื่อรักษาโอกาสและประโยชน์ทางการค้า  นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือคำตอบที่ชัดเจนสำหรับการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติ ด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดจุดหนึ่งของโลก ขนาดประชากรเกือบพันล้านคน การขยายตัวของชนชั้นกลาง รวมทั้งผู้บริโภคที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เป็นปัจจัยที่ทำให้ชาติตะวันตกรวมทั้งจีนเองปักหมุดขยายธุรกิจมาในพื้นที่นี้อย่างเข้มข้น โดยในกลุ่มประเทศเกิดใหม่หรือ Emerging Market ก็จะมีผู้เล่นจากอาเซียนเป็นดาวเด่นอยู่หลายราย  รวมทั้งอินโดนีเซียที่เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่า 5% และเวียดนามที่เติบโตอย่างร้อนแรงที่ระดับ 7% นอกจากนี้ยังมีประเทศกลุ่มลุ่มน้ำโขงอื่น ทั้งสปป.ลาว เมียนมา และกัมพูชาที่กำลังซื้อของผู้บริโภคเติบโตอย่างร้อนแรงอีกด้วย

นอกจากการย้ายฐานการผลิตแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือการเจรจาการค้าเสรีโดยเฉพาะรูปแบบทวิภาคี จับคู่กันตามสะดวกและผลประโยชน์ที่ลงตัว การรวมกลุ่มทั้งหลายจะยังคงมีอยู่ เพราะทุกธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ธุรกิจที่พร้อมเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้เร็วเท่านั้นที่จะอยู่รอด ไม่มีคำตอบอื่นอีกต่อไป