อีริคสันเปิด 10 เทรนด์ผู้บริโภคมาแรง: ชีวิตในอนาคตท่ามกลางผลกระทบจากสภาพอากาศ (Life in a Climate-Impacted Future)

อีริคสันเปิด 10 เทรนด์ผู้บริโภคมาแรง: ชีวิตในอนาคตท่ามกลางผลกระทบจากสภาพอากาศ (Life in a Climate-Impacted Future)

อีริคสันเปิด 10 เทรนด์ผู้บริโภคมาแรง: ชีวิตในอนาคตท่ามกลางผลกระทบจากสภาพอากาศ (Life in a Climate-Impacted Future)

    • ประมาณ 83% ของกลุ่มผู้นำกระแสที่อาศัยอยู่ในเขตชุมชนเมือง (Urban Early Adopter) เชื่อมั่นว่าภาวะโลกร้อนจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยอุณหภูมิทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.5°C หรือสูงกว่านี้ ภายในสิ้นปี ค.ศ.2030
    • เกือบ 59% ระบุว่านวัตกรรมและเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญเพื่อรับมือความท้าทายในชีวิตประจำวันที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
    • ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับวิธีการทำงานและเวลาที่ต้องทำงาน

ประมาณ 99% ของกลุ่มผู้นำกระแสด้านเทคโนโลยีทั่วโลกกว่า 15,000 ราย ที่ให้ข้อมูลกับอีริคสัน (NASDAQ: ERIC) กล่าวว่า ภายในปี ค.ศ.2030 การใช้อินเทอร์เน็ตและโซลูชั่นการเชื่อมต่อจะเป็นแบบเชิงรุก ที่แต่ละคนจะรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนที่เจาะจงมากขึ้น โดยสถิตินี้อยู่ในผลการวิจัยประจำปีล่าสุด 10 Hot Consumer Trends จาก Ericsson ConsumerLab ซึ่งในปีนี้ให้ชื่อเรียกว่า Life in a Climate-Impacted Future (ชีวิตในโลกอนาคตที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ)

รายงานที่เผยแพร่ในเดือนมกราคมปีนี้ เป็นฉบับที่ 12 ที่ให้ภาพรวมของข้อกังวล ความคาดหวังของผู้บริโภค ตลอดจนความคิดเห็นในการใช้เทคโนโลยีส่วนบุคคลสำหรับรับมือกับปัญหาด้านสภาพอากาศในปี ค.ศ.2030

83% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.5 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น (สูงกว่าระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม) ซึ่งเกินขีดจำกัดตามข้อตกลงระหว่างประเทศ อันทำให้เกิดสภาวะอากาศแบบสุดขั้วและมีแนวโน้มสร้างผลกระทบเชิงลบ

55% ของผู้ใช้ในกลุ่ม Early Adopters ในเขตเมืองใหญ่ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลเสียต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา และเตรียมมุ่งไปใช้โซลูชั่นการเชื่อมต่อต่าง ๆ เป็นมาตรการรับมือ

ข้อกังวลหลัก ๆ ของผู้บริโภค ได้แก่ ค่าครองชีพ การเข้าถึงแหล่งพลังงานและทรัพยากร รวมถึงความต้องการการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ในเวลาที่เกิดความปั่นป่วนและสภาพอากาศแปรปรวน โดย 59% ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่า ในช่วงทศวรรษ 2030 นวัตกรรมและเทคโนโลยีจะมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อรับมือกับความท้าทายในชีวิตประจำวันที่มาจากผลการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ผู้ใช้ AR VR และผู้ช่วยดิจิทัล (Digital Assistances) กลุ่มผู้นำกระแสกว่า 15,000 รายใน 30 เมืองทั่วโลก ได้รับการสอบถามเพื่อประเมินถึงแนวคิดของบริการดิจิทัล 120 รายการ ครอบคลุม 15 ด้าน ตั้งแต่ความพยายามปรับตัวในการใช้ชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ไปจนถึงวิธีการรับมือกับเหตุการณ์สภาพอากาศอันเลวร้าย

ผู้เชี่ยวชาญของ Ericsson ConsumerLab ได้รวบรวมข้อมูลและสรุปเป็น 10 เทรนด์มาแรงของผู้บริโภค

แม็กนัส โฟรไดห์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของอีริคสัน กล่าวว่า “ผู้บริโภคระบุชัดเจนว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้และมีความยืดหยุ่นมีความสำคัญสูงสุดต่อการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา และพวกเขากำลังมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากคาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงและมีผลกระทบเชิงลบจะกลายเป็นเรื่องปกติยิ่งขึ้น ผู้บริโภคไม่คาดหวังว่าการเชื่อมต่อที่จำเป็นนั้นจะต้องเกิดขึ้นในระดับโลก แต่อย่างน้อยก็ขอให้เกิดขึ้นโดยเร็ว”

ผู้ใช้กลุ่มผู้นำกระแสส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้น แต่ยังมั่นใจว่ามันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาในช่วงทศวรรษ 2030 มากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าความสนใจด้านเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตส่วนตัวจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเลือกใช้บริการใด ๆ เป็นอันดับต้น ๆ อย่างที่เราทราบในปัจจุบันว่าพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ นั้น

มีความเป็นไปได้ที่อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ วิธีหรือรูปแบบการทำงานของเรา ระยะเวลาการทำงานและสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน

ตัวอย่างเช่น เวลาการทำงานที่ไม่อิงตาม ‘หน้าปัดนาฬิกา’ แบบเดิม เข้างาน 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น และงานประจำที่ต้องทำทุกวัน ซึ่งอาจเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญก่อให้เกิดเทรนด์ใหม่ของการทำงานที่ไม่เร่งรีบ หรือ No-Rush Mobility สังคมการทำงานที่ถูกกำหนดจากการใช้พลังงานสูงสุดหรือต่ำสุดแทนเวลาตามเข็มนาฬิกาอาจกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไป

ผู้ตอบแบบสอบถามยังคาดหวังว่าบทบาทของ AI จะขยายไปสู่พฤติกรรมของผู้บริโภค ดังที่ระบุไว้ในเทรนด์ Less Is More Digital เช่น เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการบริโภควัสดุแก่ผู้ซื้อ โดยใช้ทางเลือกดิจิทัลแทนผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้

ผู้ร่วมเขียนรายงาน ซาราห์ ธอร์สัน หัวหน้าฝ่ายพัฒนาแนวคิดของ Ericsson ConsumerLab พูดถึงเทรนด์ Smart Water โดยระบุว่า “การใช้น้ำอาจเปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน หากการปันส่วนแพร่หลายมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ประมาณหกสิบสี่เปอร์เซ็นต์ของผู้นำกระแส (Early Adopters) คาดว่าในทศวรรษ 2030 การจัดสรรการใช้น้ำรายเดือนให้แก่ประชาชนทั้งหมดจะใช้กฎกติกาดิจิทัล”

ดร.ไมเคิล บียอร์น หัวหน้าฝ่าย Research Agenda ของ Ericsson Consumer และ IndustryLab และผู้ขับเคลื่อนรายงาน 10 Hot Consumer Trends ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ. 2011 กล่าวว่า ผู้บริโภคยังเล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากการใช้โซลูชั่นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อสภาพอากาศแบบผิด ๆ

“กระแส Climate Cheaters เน้นให้เห็นถึงการรับรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ที่อาจจะฝืนความรู้สึกแต่เป็นความจริงอย่างมากที่อาจมีการโกงเพื่อเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อสภาพอากาศ เช่น การจ่ายบิลหรือการบันทึกข้อมูล เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 72% คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเลี่ยงข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวในระยะสั้น ประเด็นนี้เป็นการเตือนจริงจังเกี่ยวกับความสำคัญของการมุ่งเน้นไปที่ความน่าเชื่อถือของบริการอย่างต่อเนื่อง”

THE TRENDS

      1. Cost Cutters
        บริการดิจิทัลจะช่วยให้ผู้บริโภคควบคุมค่าอาหาร พลังงาน และค่าเดินทางในสถานการณ์สภาพอากาศที่ไม่แน่นอน มากกว่า60%ของกลุ่มผู้นำกระแสในเขตเมืองแสดงความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในอนาคต

      2. Unbroken Connections
        การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้และมีความยืดหยุ่นจะมีความสำคัญมากขึ้นหากและเมื่อมีเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเพิ่มขึ้น โดย80%ของกลุ่มผู้นำกระแสในเขตเมืองเชื่อว่าหากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจะมีตัวระบุตำแหน่งสัญญาณอัจฉริยะที่แสดงพื้นที่ครอบคลุมอย่างเหมาะสมในทศวรรษ 2030

      3. No-RushMobility
        ตารางเวลาที่เคร่งครัดอาจกลายเป็นเรื่องของเมื่อวานนี้ เมื่อความหมายของความยืดหยุ่นเปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากกฎระเบียบด้านสภาพอากาศและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ประมาณ 68% ของผู้ตอบแบบสำรวจจะวางแผนกิจกรรมโดยใช้ตัวกำหนดตารางเวลาที่เพิ่มประสิทธิภาพตามต้นทุนด้านพลังงาน ไม่ใช่ประสิทธิภาพด้านเวลา

      4. S(AI)fekeepers
        คาดว่าAI จะเป็นขุมพลังสำคัญให้กับบริการที่คอยปกป้องผู้บริโภคในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวนและคาดการณ์ไม่ได้เพิ่มขึ้น โดยเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้นำกระแสในเขตเมืองกล่าวว่า พวกเขาจะใช้ระบบเตือนภัยสภาพอากาศส่วนบุคคลเพื่อความปลอดภัยของตนเอง

      5. New WorkingClimate
        ข้อจำกัดด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลที่เร่งตัวขึ้นจะกำหนดรูปแบบกิจวัตรการทำงานในอนาคต เจ็ดในสิบคนคาดว่าผู้ช่วย AI ของบริษัทจะวางแผนการเดินทาง กำหนดภาระงาน และทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน

      6. Smart Water
        เนื่องจากน้ำจืดในทศวรรษ 2030 อาจเป็นของหายากขึ้น ผู้บริโภคจึงคาดหวังบริการน้ำที่มีความอัจฉริยะเพื่อเก็บและนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ เกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองกล่าวว่าจะใช้เครื่องดักจับน้ำอัจฉริยะบนหลังคา ระเบียง และหน้าต่างที่เมื่อฝนตกก็เปิดเพื่อเก็บกักและทำความสะอาดน้ำฝน

      7. The Enerconomy
        บริการแบ่งปันพลังงานแบบดิจิทัลอาจช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงขึ้นในทศวรรษ 2030 พลังงานอาจกลายเป็นสกุลเงินได้ เนื่องจาก 65% ของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองคาดว่าผู้บริโภคจะสามารถชำระค่าสินค้าและบริการเป็นหน่วยกิโลวัตต์/ชั่วโมง โดยใช้แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

      8. Less is moredigital
        การเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลอาจกลายเป็นเครื่องหมายแสดงสถานะ เนื่องจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัตถุมากเกินความจำเป็น อาจทำให้ต้องเผชิญกับราคาแพงและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม พฤติกรรมลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัตถุจะเร่งขยายตัวขึ้น เนื่องจากหนึ่งในสามของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองเชื่อว่าโดยส่วนตัวแล้วพวกเขาจะใช้แอปช็อปปิ้งที่แนะนำทางเลือกดิจิทัลแทนผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้

      9. Natureverse
        การสัมผัสธรรมชาติในเมืองโดยไม่ต้องเดินทางอาจเป็นเรื่องปกติในยุค 2030 เมื่อต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องและข้อจำกัดด้านการเดินทางที่อาจเกิดขึ้น สี่ในสิบของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองต้องการใช้บริการการเดินทางเสมือนจริงที่ช่วยให้พวกเขาได้สัมผัสกับเขตอนุรักษ์ธรรมชาติและเส้นทางบนภูเขาแบบเรียลไทม์ ประหนึ่งว่าพวกเขาได้อยู่ตรงนั้นเอง

      10. ClimateCheaters
        ผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าผู้บริโภคจะหาทางหลีกเลี่ยงความเข้มงวดของข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากราคาที่สูงขึ้นและการปันส่วนพลังงานและน้ำ กว่าครึ่งของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองคาดว่าแอปแฮ็คออนไลน์จะช่วยให้พวกเขาลักน้ำประปาหรือไฟฟ้าของเพื่อนบ้านมาใช้แบบผิดกฎหมาย

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ 10 Hot Consumer Trends: Life in a Climate-Impacted Future report

 

PropertyGuru appoints Disha Goenka Das as Chief Marketing Officer

PropertyGuru appoints Disha Goenka Das as Chief Marketing Officer

PropertyGuru appoints Disha Goenka Das as Chief Marketing Officer

Marketing and programs to play key role in delivering Group Vision

PropertyGuru Group Limited (NYSE: PGRU) (“PropertyGuru” or “the Group”), Southeast Asia’s leading[1], property technology (“PropTech”) company today announced the appointment of Disha Goenka Das as Chief Marketing Officer (CMO). As CMO, Disha will oversee the Group’s Brand strategy, corporate communications function, as well as the Environmental, Social, and Governance (ESG) mandate. Disha is part of PropertyGuru’s Group Leadership Team and will report to CEO and Managing Director, Hari V. Krishnan.

Disha is a seasoned executive having led strategic marketing and communications teams and cross-functional work streams for some of the most well-known tech companies in the world, working extensively across 30+ markets in Asia, Europe, Latin America & the Americas. Most recently, Disha served as the Senior Global Director of Marketing at Twitter where she led global strategy and built Twitter’s business brand globally. Previously, Disha spent a decade at Google where in her last role she was Head of Ad Product Commercialisation for Asia Pacific.

Disha’s appointment follows the Group’s announcement of its brand repositioning that places guidance at its core– ‘Where every step of your journey will be guided by Guru’. With over 17 years of deep brand experience and expertise in marketing, Disha will help accelerate the Group’s growth trajectory across the five markets – Singapore, Malaysia, Vietnam, Thailand and Indonesia, – as it creates Southeast Asia’s Trust Platform for property. Disha will also build the ESG mandate for the Group and focus on creation of long-term financial and social value for stakeholders by integrating material ESG issues into company strategy. 

She will lead the Brand, Communications, ESG teams, and spearhead experiences across all offline and digital channels by taking forward the new brand positioning that reflects a strategic evolution in the Group’s growth to move beyond property search to offering end-to-end property solutions for consumers, agents, developers, bankers, valuers and city planners. 

[1] In terms of Engagement Market Share based on SimilarWeb data.

Hari V. Krishnan

Hari V. Krishnan, Chief Executive Officer and Managing Director, PropertyGuru Group, said, “We are excited to have Disha join the team as our Chief Marketing Officer. She brings a strong skill set in technology marketing which is critical as we fuel PropertyGuru’s growth and guide all in the property sector to make confident decisions. Disha’s rich experience will aid the Group in our ambition to be a trusted advisor as we help people find, finance, and own their homes.”

Disha Goenka Das, Chief Marketing Officer, PropertyGuru Group, said, “I am thrilled to join PropertyGuru Group at such an exciting and defining juncture in the company’s journey. Their vision and latest brand positioning, which seeks to be a trusted advisor that guides every step of the property journey deeply resonates with me. My role is an exciting opportunity to contribute and make an impact on the Group’s role in the Southeast Asia property industry and I look forward to bringing my experience in tech and marketing to help offer solutions that continue to better all our stakeholder experiences.”

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com ประกาศแต่งตั้ง “ดิฌา โกเองกา ดาส” อดีตผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก นั่งแท่นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดคนใหม่

PropertyGuru appoints Disha Goenka Das as Chief Marketing Officer

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com ประกาศแต่งตั้ง “ดิฌา โกเองกา ดาส” อดีตผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก นั่งแท่นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดคนใหม่

การตลาดและโปรแกรมต่าง ๆ จะเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของกรุ๊ป

บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด บริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ[1] (Prop Tech) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้ชื่อ PGRU (NYSE: PGRU) (โดยต่อจากนี้จะเรียกว่า “พร็อพเพอร์ตี้กูรู” หรือ “กรุ๊ป”) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งในประเทศไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และเว็บไซต์รีวิวอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศอย่าง thinkofliving.com ได้ประกาศแต่งตั้งนางดิฌา โกเองกา ดาส (Disha Goenka Das) ดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด (CMO) โดยจะดูแลรับผิดชอบภาพรวมและทีมทำงานด้านกลยุทธ์เกี่ยวกับแบรนด์, ด้านการสื่อสารองค์กร รวมไปถึงด้านที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เธอจะเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารของพร็อพเพอร์ตี้กูรูกรุ๊ป และรายงานตรงต่อนายแฮรี วี คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการของกรุ๊ป

นางดิฌามาพร้อมกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งด้านแบรนด์และการตลาด รวมไปถึงการทำงานร่วมกับทีมต่าง ๆ ให้กับบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังระดับโลกหลายแห่งด้วยกัน เธอเคยทำงานในกว่า 30 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกา โดยล่าสุดเธอดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการตลาดนานาชาติให้กับทวิตเตอร์ (Twitter) นำทีมพัฒนาโปรแกรมกลยุทธ์การตลาดระดับโลก และสร้างแบรนด์ทวิตเตอร์ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก่อนหน้านี้ นางดิฌาเคยร่วมงานกับกูเกิล (Google) ในตำแหน่งหัวหน้าทีมธุรกิจการโฆษณาเชิงพาณิชย์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นเวลาถึง 10 ปีด้วยกัน  

ก่อนการประกาศแต่งตั้งนางดิฌาขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดในครั้งนี้ กรุ๊ปได้ประกาศจุดยืนใหม่ของแบรนด์ โดยยึดการให้คำแนะนำเป็นหัวใจหลักของเรา “ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงจุดไหนบนเส้นทางของการซื้อ-ขาย-เช่า-หรือลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เราพร้อมให้คำแนะนำในฐานะกูรู” ด้วยประสบการณ์ด้านแบรนด์และความเชี่ยวชาญด้านการตลาดที่แข็งแกร่งกว่า 17 ปี นางดิฌาจะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเร่งการเติบโตของกรุ๊ปแบบก้าวกระโดดในทั้ง 5 ตลาดหลักในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ไทย และอินโดนีเซีย และเป็นส่วนที่ขับเคลื่อนการสร้างแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ นางดิฌาจะสร้างและดูแลรับผิดชอบทีม ESG ให้กับกรุ๊ปด้วย โดยจะโฟกัสไปที่การสร้างคุณค่าที่มีผลระยะยาวทั้งทางด้านการเงิน และสังคมให้กับผู้เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน โดยจะผสานนโยบายด้าน ESG เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของบริษัทด้วยเช่นกัน 

นอกจากนี้ นางดิฌาจะนำทีมแบรนด์ ทีมการสื่อสาร และทีม ESG โดยนำประสบการณ์ที่มีมาช่วยพัฒนาแพลตฟอร์มต่าง ๆ ตั้งแต่ออฟไลน์ไปจนถึงช่องทางดิจิทัลเพื่อเน้นย้ำจุดยืนใหม่ของกรุ๊ปให้สะท้อนในทุก ๆ กลยุทธ์การเติบโตของกรุ๊ปที่เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มเพื่อการค้นหาอสังหาฯ แต่สามารถให้บริการโปรดักส์และโซลูชั่นแบบครบวงจรให้กับผู้ที่กำลังค้นหาบ้าน, เอเจนต์, ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, ธนาคารและสถาบันการเงิน, นักประเมินค่าทรัพย์สิน ไปจนถึงนักวางผังเมือง  

[1] ในส่วนของส่วนแบ่งการมีส่วนร่วมทางการตลาด (Engagement Market Share) อ้างอิงแหล่งข้อมูลจาก SimilarWeb

Hari V. Krishnan

ด้านนายแฮรี วี คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “เราตื่นเต้นมากที่ได้คุณดิฌามาร่วมทีมในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดของเรา เธอมาพร้อมกับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่แข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยีการตลาด ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญของกรุ๊ป อีกทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการตัดสินใจอย่างมั่นใจในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยประสบการณ์ของคุณดิฌา ผมมั่นใจว่าเธอจะช่วยขับเคลื่อนให้กรุ๊ปของเราเดินหน้าสู่วิสัยทัศน์ที่เราตั้งไว้คือ การเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ได้รับความไว้วางใจ ที่ช่วยให้ผู้คนค้นหาบ้านที่ใช่ ได้รับสินเชื่อที่เหมาะกับตนเอง และเป็นเจ้าของบ้านที่ชอบได้ในที่สุด”  

ในขณะที่นางดิฌา โกเองกา ดาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “ดิฉันก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันที่ได้มีโอกาสมาร่วมทีมกับพร็อพเพอร์ตี้กูรูในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น และถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของกรุ๊ปในขณะนี้ ดิฉันชื่นชมวิสัยทัศน์ของกรุ๊ป และจุดยืนของแบรนด์ที่ต้องการเป็นผู้คอยให้คำแนะนำให้กับทุกคนในทุกช่วงเวลาที่อยู่บนเส้นทางของการซื้อ-ขาย-เช่า-ลงทุนด้านอสังหาฯ และด้วยบทบาทที่ได้รับทำให้ดิฉันมีโอกาสแบ่งปันประสบการณ์ที่สั่งสมมา รวมไปถึงการสร้างคุณประโยชน์ให้กับกรุ๊ปของเรา เพื่อมุ่งหน้าสร้างแพลตฟอร์มอสังหาฯ ที่มีความโปร่งใส ที่ทุกคนเชื่อถือได้ให้กับภูมิภาคนี้ ดิฉันหวังว่าประสบการณ์ด้านเทคโนโลยี และการตลาดของดิฉันจะช่วยสร้างโซลูชั่นที่นำเสนอประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศของอุตสาหกรรมนี้ต่อไป” 

Nutanix Predicts Technology Trends to carry weight in 2023

Nutanix Predicts Technology Trends to carry weight in 2023

Nutanix Predicts Technology Trends to carry weight in 2023

    • Cloud deployment models will develop significantly
    • Processes and tools that support asynchronous collaboration will be increasingly crucial
    • More consideration will be given to eco-friendly IT infrastructure
    • Unconstrained working at the edge will be more widely leveraged
    • The rapidly expanding use of social media will have a huge impact on various platforms.

Predictions by: Wendy M. Pfeiffer, CIO/SVP at Nutanix, and Lee Caswell, SVP of Product and Solutions Marketing at Nutanix

Nutanix unveils the technological trends that will impact businesses in 2023, the post-pandemic era that affects all aspects, every industry, and level. Companies must pay attention to the following technological changes, which will help them adapt to changes and be ready for the future.

Cloud economics are dramatically changing – which is in turn driving new decision-making around applications and infrastructure. As businesses are facing new pressures around IT spending, many are realizing that they can’t move their applications as fast or as cost-effectively as they originally thought to the cloud. It takes a lot of valuable time and top talent to redo applications that are already running on-prem in the cloud. What won’t change in the years to come is that getting to the cloud is strategically important. But businesses will increasingly become more strategic about which workloads belong in the cloud and which belong in private cloud environments and will prioritize solutions that offer multi-cloud portability across all environments. 

Adoption of asynchronous work processes supporting contributions from workforces across the globe will be necessary in order to increase productivity. New, more effective ways to collaborate, especially across multiple time zones, will drive innovation in 2023. This will mean rethinking companies’ approach to asynchronous collaboration including tooling and policies to better support it. In order to succeed, complexity must be supplanted by simplicity and automation will become even more necessary.

The global pinch on energy supply will cause organizations to rethink their IT infrastructure models with more consideration given to power consumption and carbon footprint. Organizations are being told to be more efficient with power consumption, and it’s not just a sustainability issue. While reducing carbon footprint and going green is commendable and an increased point of consideration for potential customers, companies are feeling the impact of oversized power consumption against their bottom line when it comes to cloud usage. The cloud is built for speed and performance, not for the economy when it comes to cost and power, leaving companies to consider how tasks they’re currently pushing to the cloud might be handled elsewhere more efficiently and economically.

Untethered edge operating models will become more prevalent. In today’s world, it’s become expected that applications have to run all the time. Whether they’re connected or not means that the edge, by definition, will have to have an untethered operating model that’s not supported by closed-out models. IT organizations that valued server-based infrastructure to easily scale up and support mixed workloads will quickly find out that the same software-defined approach suits the edge by scaling down easily, by operating while connected or unconnected to a central cloud, and by introducing a fleet management approach that spans from the edge to the data center to the public cloud with consistent cloud management. 

Seismic shifts to social media as we know it will have a significant impact well beyond those platforms. 2022 has been a rollercoaster of a year for social media platforms, and some of the trends we’re seeing are not likely to reverse direction. This will have a trickle-down effect on multiple organizations. First, many organizations rely on data purchased from social media companies to tune their own targeting algorithms; targeting that will become less refined as social media data sets become outdated and less curated. Second, the data sets are often the basis to train AI and ML tools; as data sets become outdated, I expect AI and ML that rely on them to become much less effective.

นูทานิคซ์คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในปี 2566

Nutanix Predicts Technology Trends

นูทานิคซ์คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในปี 2566

    • รูปแบบการใช้งานคลาวด์จะมีการพัฒนาขึ้นอย่างมา
    • กระบวนการและเครื่องมือที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันแบบอะซิงโครนัส (ไม่ต้องการโต้ตอบสื่อสารกลับทันที) จะทวีความสำคัญมากขึ้น
    • จะมีการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
    • การทำงานอย่างไม่มีข้อจำกัดบนเครือข่ายจะมีการใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
    • การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการใช้โซเชียลมีเดียจะกระทบต่อแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างมาก

บทความโดย เวนดี้ เอ็ม. ไฟเฟอร์, CIO/SVP และ ลี แคสเวลล์, SVP of Product and Solutions Marketing ของนูทานิคซ์

นูทานิคซ์เผยแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อธุรกิจในปี 2566 ซึ่งเป็นยุคที่ผ่านพ้นการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับทุกแวดวง ทุกอุตสาหกรรม และทุกระดับ ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เพื่อที่จะช่วยให้ปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้

ความคุ้มค่าในการใช้คลาวด์ (Cloud economics) กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เกิดการตัดสินใจรูปแบบใหม่ ๆ เกี่ยวกับแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานไอที

ธุรกิจกำลังเผชิญกับความกดดันใหม่ ๆ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านไอที องค์กรจำนวนมากตระหนักว่าไม่สามารถเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันไปยังคลาวด์ได้เร็ว และคุ้มค่าใช้จ่ายเหมือนที่คิดไว้ตั้งแต่แรก และต้องใช้เวลาและความสามารถสูงมาก เพื่อปรับแอปพลิเคชันที่ใช้อยู่ในระบบภายในองค์กรให้สามารถนำไปใช้งานบนคลาวด์ได้ แต่สิ่งที่จะยังไม่เปลี่ยนแปลงในอีกหลายปีข้างหน้า คือการใช้คลาวด์มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ ธุรกิจจะเน้นกลยุทธ์ว่าจะนำเวิร์กโหลดใดไปใช้งานบนคลาวด์และเวิร์กโหลดใดที่ยังคงใช้อยู่ในไพรเวทคลาวด์ภายในองค์กร และจะให้ความสำคัญมากขึ้นกับโซลูชันในรูปแบบมัลติคลาวด์ที่สามารถเคลื่อนย้ายเวิร์กโหลดไปใช้งานกับทุกสภาพแวดล้อมได้ 

การใช้กระบวนการทำงานแบบอะซิงโครนัสที่ไม่จำเป็นต้องทำงานในเวลาเดียวกัน และรองรับการทำงานร่วมกันจากบุคลากรทั่วโลกจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของงาน

แนวทางการทำงานร่วมกันแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันจากหลายแห่งที่มีโซนเวลาต่างกัน จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมในปี 2566 นั่นคือบริษัทต่าง ๆ ควรทบทวนแนวทางในการทำงานร่วมกันแบบอะซิงโครนัสที่ไม่ต้องการการตอบกลับแบบทันที รวมทั้งเครื่องมือและนโยบายต่าง ๆ ที่จะสนับสนุนแนวทางนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการจะบรรลุผลสำเร็จได้นั้น องค์กรจะต้องแทนที่ความซับซ้อนด้วยความเรียบง่าย และระบบอัตโนมัติจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น

วิกฤตด้านพลังงานของโลกจะส่งผลให้องค์กรต่าง ๆ ทบทวนรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานและปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมามากขึ้น

องค์กรต่าง ๆ ได้รับนโยบายให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมันไม่เพียงเป็นประเด็นเรื่องความยั่งยืนเท่านั้น ในขณะที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และเป็นเรื่องที่ลูกค้าเป้าหมายใช้ประกอบการพิจารณาเมื่อจะเลือกใช้บริการต่าง ๆ บริษัทจำนวนมากกำลังรับรู้ถึงผลกระทบของการใช้คลาวด์ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการใช้พลังงานกับผลกำไรที่เกิดขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติของคลาวด์คือความเร็วและประสิทธิภาพ ไม่ใช่ความคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่ายและพลังงาน ดังนั้นบริษัทต่าง ๆ ควรพิจารณาว่างานที่กำลังจะนำขึ้นไปรันอยู่บนคลาวด์นั้น สามารถนำไปรันในสภาพแวดล้อมอื่นที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากกว่าได้อย่างไร

รูปแบบการทำงานบนเครือข่ายแบบไม่จำกัดขอบเขต (Untethered edge) จะแพร่หลายมากขึ้น

ปัจจุบันมีความคาดหมายว่าต้องสามารถรันแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมีการเชื่อมต่อหรือไม่ก็ตาม รูปแบบการทำงานจะต้องไม่จำกัดขอบเขต (untethered operating model)
ซึ่งรูปแบบการทำงานแบบปิด (closed-out models) ไม่สามารถรองรับการทำงานแบบนี้ได้ องค์กรด้านไอทีที่ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ปรับขนาดเพิ่มได้ง่าย และรองรับเวิร์กโหลดหลากหลาย จะค้นพบอย่างรวดเร็วว่าวิธีการที่ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์แบบเดียวกันเหมาะกับเอดจ์ ด้วยความสามารถในการปรับขนาดลดลงได้ง่ายดาย สามารถทำงานในขณะที่เชื่อมต่อหรือไม่เชื่อมต่อกับคลาวด์ส่วนกลาง และด้วยการแนะนำแนวทางการบริหารจัดการที่ครอบคลุมจากเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ไปถึงพับลิคคลาวด์ ผ่านวิธีการบริหารจัดการคลาวด์ที่สอดคล้องกัน 

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปสู่โซเชียลมีเดียจะส่งผลกระทบอย่างมากไม่เฉพาะกับแพลตฟอร์มเหล่านั้นเท่านั้น

ปี 2565 เป็นปีทองของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหลายที่มีจำนวนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และแนวโน้มก็น่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อองค์กรหลายแห่ง ประการแรก  องค์กรจำนวนมากที่พึ่งพาข้อมูลที่ซื้อจากบริษัทด้านโซเชียลมีเดียเพื่อปรับอัลกอริทึมของตนอาจบรรลุผลได้น้อยลง เพราะชุดข้อมูลโซเชียลมีเดียล้าสมัยและถูกต้องน้อยลง ประการที่สอง ชุดข้อมูลเหล่านั้นมักเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ป้อนให้กับเครื่องมือที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ได้เรียนรู้ ดังนั้นการที่ชุดข้อมูลล้าสมัยจึงคาดการณ์ได้ว่า AI และ ML ที่พึ่งพาข้อมูลเหล่านั้นก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลงมากตามไปด้วย