เช็กให้ชัวร์! เลือกซื้อ “บ้านมือสอง” ไม่ให้โดนหลอก

เช็กให้ชัวร์! เลือกซื้อ “บ้านมือสอง” ไม่ให้โดนหลอก

เช็กให้ชัวร์! เลือกซื้อ “บ้านมือสอง” ไม่ให้โดนหลอก

ขณะที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงรอการฟื้นตัวจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ที่เข้ามากระตุ้นในปี 2566 แต่กำลังซื้อผู้บริโภคในตลาดที่อยู่อาศัยนั้นยังคงต้องการมาตรการภาครัฐที่เข้ามาสนับสนุนการตัดสินใจซื้อในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ หลังผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เผยทิศทางปรับขึ้นราคาโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างใหม่ ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยมือสองกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยากเป็นเจ้าของอสังหาฯ ในเวลานี้ 

ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เผยว่า ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2565 ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองมีการประกาศขายเพิ่มขึ้น 13.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มีการขยายตัวในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท สอดคล้องกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองในช่วง 11 เดือนของปี 2565 ที่มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งที่อยู่อาศัยมือหนึ่งและมือสอง ในช่วงที่ผ่านมาผู้ขายและนักลงทุนที่มีสินค้าในมือจึงนำที่อยู่อาศัยมือสองมาประกาศขายมากขึ้น เพื่อให้ตอบรับดีมานด์ที่มีในตลาดตอนนี้

ข้อดีของบ้าน/คอนโดฯ มือสองที่หลายคนไม่ควรมองข้าม 

ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายอันเนื่องมาจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเปราะบาง และหันมาเก็บออมกันมากขึ้น เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนให้บ้าน/คอนโดฯ มือสองกลายเป็นตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจและคุ้มค่าในเวลานี้ โดยอสังหาฯ มือสองนั้นมีข้อดีและจุดเด่นที่ผู้บริโภคไม่ควรมองข้าม ดังนี้

    • ได้บ้านในราคาเอื้อมถึง เพิ่มโอกาสต่อรองราคา ปัจจัยสำคัญก็คือราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณที่มี ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่นั้นยังไม่กลับมาฟื้นตัวดีดังเดิม ทำให้หลายคนเลือกพิจารณาที่อยู่อาศัยมือสองที่กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในยุคนี้ เมื่อคิดค่าเสื่อมตามการใช้งานแล้วบ้าน/คอนโดฯ มือสองยังมีราคาต่ำกว่า ขณะที่เมื่อเทียบราคาต่อพื้นที่ยังได้พื้นที่ใช้งานมากขึ้นเมื่อเทียบกับบ้าน/คอนโดฯ มือหนึ่ง นอกจากนี้ยังสามารถต่อรองราคาที่พึงพอใจกับผู้ขายได้โดยตรง ทำให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมือสองที่มีสภาพสมบูรณ์ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 
    • ได้บ้านที่ใช่ในทำเลหายาก ทำเลที่มีความเจริญ มีสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ รองรับการเดินทางที่หลากหลาย และมีโครงการรถไฟฟ้าพาดผ่าน ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลนั้นสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ตลาดอสังหาฯ แข่งขันอย่างดุเดือด การเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินผนวกกับการปรับราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างโดยเฉพาะโครงการใหม่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ที่อยู่อาศัยมือสองจึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลทองหรือทำเลที่มีความเจริญซึ่งหาโครงการมือหนึ่งได้ยาก ขณะที่ที่อยู่อาศัยมือสองมีตัวเลือกและรูปแบบที่หลากหลายมากกว่าในย่านนั้น ๆ
    • เห็นของจริง ไม่ต้องวัดดวง ผู้ซื้อจะได้เห็นสภาพบ้านที่แท้จริงพร้อมทั้งสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียด รวมไปถึงเพื่อนบ้านข้างเคียง ไม่ต้องรอลุ้นหลังก่อสร้างแล้วเสร็จเหมือนที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ นอกจากนี้บ้าน/คอนโดฯ มือสองมักมีการตกแต่งมาแล้ว หรืออาจมีการแถมเฟอร์นิเจอร์มาให้ ผู้บริโภคสามารถใช้เวลาในการพิจารณารายละเอียดหรือวางแผนต่อเติมใหม่ได้ง่ายขึ้น 
    • ระบบการก่อสร้างแบบเก่าตอบโจทย์สายแต่งบ้าน ส่วนใหญ่บ้านมือสองที่ก่อสร้างมานานจะเป็นระบบการก่อสร้างแบบเก่า เช่น การสร้างด้วยอิฐมอญฉาบปูน ต่างจากการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปัจจุบันที่ก่อสร้างด้วยผนังอิฐมวลเบา และผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) ที่มีจุดเด่นต่างกันในด้านความแข็งแกร่งทนทาน และผนังอิฐมอญทนกับทุกสภาพอากาศในเมืองไทยเป็นอย่างดี จึงเหมาะกับผู้ที่มีแผนต่อเติมและดัดแปลงที่อยู่อาศัย หรือผู้ที่ชอบตกแต่งรีโนเวทบ้านด้วยตัวเอง

วัดระดับความพร้อม… เช็กข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมือสอง

แม้การซื้อที่อยู่อาศัยมือสองจะมีจุดเด่นที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของบ้านในราคาที่เอื้อมถึง แต่ก็มีข้อแตกต่างจากการซื้อที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ไม่น้อย ผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อที่อยู่อาศัยมือสองมาก่อนจึงควรทำความเข้าใจให้ดีในทุกขั้นตอน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ขอแนะนำข้อควรพิจารณาและตรวจสอบก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของบ้าน/คอนโดฯ มือสอง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

    • รู้เหตุผลที่แท้จริงในการขายบ้าน สิ่งแรกที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน/คอนโดฯ มือสอง คือเหตุผลในการประกาศขายของเจ้าของเดิม เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจและต่อรองราคา เนื่องจากบางสาเหตุอาจส่งผลกระทบในอนาคตได้ เช่น ขายบ้านเนื่องจากมีภาระหนี้สิน หรือถูกเจ้าหนี้บังคับขาย หรือขายเพราะปัญหาเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้าน 
    • เช็กสภาพบ้านให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ ผู้ซื้อควรสังเกตรายละเอียดโครงสร้างบ้านและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ประกอบด้วยเช่นกัน เนื่องจากเจ้าของเดิมอาจจงใจไม่แจ้งปัญหาด้านโครงสร้างหรือการใช้งานอื่น ๆ ให้ผู้ซื้อทราบ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกดราคาก็เป็นได้ เช่น พื้นดินรอบบ้านหรือรั้วทรุดตัว เสาหรือคานมีรอยแตกร้าวลึก หากพบปัญหาเหล่านี้ ผู้ซื้อควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินค่าใช้จ่ายในการแก้ไข ก่อนตกลงต่อรองเรื่องราคากับเจ้าของเดิมอีกครั้ง
    • ตรวจสอบกรรมสิทธิ์ของบ้าน/คอนโดฯ อีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญคือการตรวจสอบให้ละเอียดว่าโฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่จะซื้อนั้นถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากโฉนดที่ผู้ขายนำมาให้อาจจะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือมีการปลอมแปลง หรือถูกอายัดตามกฎหมาย ผู้ซื้อจึงควรตรวจสอบรายละเอียดว่าใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงก่อน เพื่อป้องกันกรณีที่ผู้ประกาศขายไม่ใช่เจ้าของบ้านตัวจริง แล้วแอบอ้างขายบ้านมือสองของผู้อื่น ซึ่งหากได้ตกลงทำการซื้อขายเรียบร้อยแล้ว จะทำให้ผู้ซื้อเกิดปัญหาตามมาในภายหลังได้ ในกรณีที่จำเป็นต้องตกลงซื้อขายกับผู้อื่น เช่น ญาติของเจ้าของเดิม จะต้องให้ผู้ขายนั้นแสดงหลักฐานใบมอบอำนาจพร้อมหลักฐานประกอบอื่น ๆ ที่ชัดเจนก่อนเสมอ
    • “ใบปลอดหนี้” สิ่งจำเป็นในการซื้อขาย ใบปลอดหนี้ คือเอกสารที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการชำระเงินค่าส่วนกลางในการอยู่อาศัยในคอนโดฯ หากขาดเอกสารนี้จะไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินได้ โดยผู้ขายต้องเป็นผู้ดำเนินการขอเอกสารนี้ที่สำนักงานนิติบุคคล เพื่อจัดการค่าใช้จ่ายค้างชำระ (ถ้ามี) ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ซื้อควรตรวจสอบให้ดีว่าเจ้าของเดิมค้างจ่ายค่าส่วนกลางหรือมีหนี้ค้างอื่นกับทางนิติบุคคลหรือไม่ และแจ้งให้ผู้ขายจัดการเคลียร์หนี้ค้างให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้เอง 
    • ตกลงรายละเอียดสัญญา และค่าใช้จ่ายวันโอน เมื่อได้บ้านที่ถูกใจแล้ว ผู้ซื้อควรติดต่อผู้ขายเพื่อตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายให้ชัดเจน โดยควรระบุราคาที่ตกลงซื้อขาย รวมถึงค่ามัดจำ และระยะเวลาที่ต้องชำระส่วนที่เหลือให้ชัดเจน หากผู้ซื้อไม่สามารถชำระเงินส่วนที่เหลือได้ภายในกำหนด ผู้ขายก็จะมีสิทธิ์ยึดเงินมัดจำเช่นกัน ซึ่งเมื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายจะต้องให้สำเนาโฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพื่อใช้เป็นเอกสารในการดำเนินการยื่นกู้กับสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ในสัญญาจะซื้อจะขายต้องระบุรายละเอียดในเรื่องค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจนว่า ฝ่ายผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง หรือตกลงแบ่งจ่ายกันอย่างไร หลัก ๆ แล้วผู้ซื้อจะมีค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ ดังนี้ 
      • ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ 2% ของราคาประเมินที่ดินหรือราคาซื้อขาย ส่วนใหญ่แบ่งจ่ายคนละครึ่งกับผู้ขาย (หากราคาที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท ค่าโอนกรรมสิทธิ์จะเหลือ 1%)
      • ค่าจดจำนอง 1% ของยอดเงินกู้ทั้งหมด ในกรณีที่ขอยื่นกู้กับสถาบันการเงินเท่านั้น (หากราคาที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท ค่าจดจำนองจะเหลือ 0.01%)
      • ค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของราคาซื้อขาย แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาประเมินที่ดิน

 

    • เลือกเอเจนต์ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นตัวช่วย การซื้อบ้าน/คอนโดฯ มือสองมีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากการซื้อบ้านใหม่ไม่น้อย จึงอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ซื้อที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน การเลือกใช้บริการนายหน้าหรือเอเจนต์อสังหาฯ จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ นอกจากเอเจนต์จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯ แล้ว ยังสามารถให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวกในขั้นตอนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งช่วยประหยัดเวลาของผู้ซื้อมือใหม่ได้ไม่น้อย ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่ามากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (56%) เผยเหตุผลที่ตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาฯ ผ่านเอเจนต์อสังหาฯ เนื่องจากช่วยประหยัดเวลา ขณะที่ 48% มองว่าเอเจนต์อสังหาฯ มีความรู้และความเชี่ยวชาญมากกว่า อย่างไรก็ดี หากผู้บริโภคไม่มั่นใจกับเอเจนต์อสังหาฯ ก็สามารถเลือกใช้เอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Agent Verification) โดยเอเจนต์จะผ่านการลงทะเบียนยืนยันตัวตนและแสดงข้อมูลการติดต่อ ซึ่งจะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าเอเจนต์บนเว็บไซต์ DDproperty ที่ผ่านการลงทะเบียนโปรแกรมดังกล่าวข้างต้น มีความน่าเชื่อถือในการที่จะช่วยให้คุณซื้อ-ขาย-เช่าได้อย่างมั่นใจ 

การเริ่มต้นสร้างครอบครัวจากการมีบ้านเป็นของตัวเองถือเป็นอีกก้าวสำคัญในชีวิต บ้านมือสองจึงถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเองในยุคนี้ เพราะแท้จริงแล้วความหมายของบ้านไม่ได้อยู่ที่ความใหม่หรือเก่า แต่อยู่ที่การตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว อย่างไรก็ตาม เส้นทางไปสู่การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอาจไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) ได้จัดทำ “Buyer’s Guide: ทิปส์ดี ๆ และขั้นตอนการซื้อบ้านใหม่และมือสอง” รวบรวมขั้นตอนการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งและมือสอง ตั้งแต่การเลือกบ้าน ยื่นกู้ ไปจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์ที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อเป็นแนวทางในการซื้อบ้านและคอนโดฯ สำหรับมือใหม่ ช่วยให้ทุกคนพร้อมก้าวสู่เส้นทางอสังหาฯ ได้อย่างมั่นใจ และเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด

Patchwork IT Tearing at The Seams

Patchwork IT Tearing at The Seams

Patchwork IT Tearing at The Seams

Organizations are grappling with an exponential increase in the number of applications and continued database sprawl. Retaking control will be crucial to tackle headwinds in 2023

Aaron White

Article By Aaron White, General Manager and Vice President of Sales – APJ, Nutanix

The pandemic saw organizations of all shapes and sizes rush to enable remote work in the public cloud, cobbling together a hodgepodge of IT solutions to fix holes in the roof. But in their haste to make things ‘work’, they have created new challenges. The unfettered use of cloud has seen costs spiral and reining them in is hard. Continued database sprawl is also a major issue. Moving ahead with patchwork IT will only make things worse.

Applications are redefining infrastructure needs. Organizations are starting to acknowledge that the cloud is an operating model, not merely a destination for the explosion in the number of apps they need. This is a step toward remedying the piecemeal solutions they may have in place.

As the pandemic recedes, we have a new adversary to tackle. Macroeconomic uncertainty is leaving customers walking a fine line: they are now trying to determine how to build robust, adaptive organizations and scale, while controlling costs.

Strained Systems

The temptation would be to stick to the status quo and see how things play out. But many of the technologies that saw us through the pandemic are no longer fit for purpose and will not support the ongoing proliferation of apps and databases that organizations are seeing.

The temptation would be to stick to the status quo, the patchwork IT solutions they may have in place, and see how things play out. But in reality, many of the technologies that saw us through the pandemic are buckling at the knees, no longer fit for purpose and will not support the explosion in the number of apps and databases that businesses need. The patchwork cannot hold indefinitely.

The more stress that organizations put on these systems, the more their costs and liabilities escalate. The patchwork cannot hold indefinitely. Changing familiar infrastructure is always daunting, but failure to act will result in inevitable decline.

An expanding universe of apps calls for a new approach to data management. The spread of apps and databases across multiple clouds and environments means that many organizations lack full visibility of where everything resides and the capabilities to manage it.

There’s no denying the explosion of apps, and it’s no longer feasible to rely on the same approach to data management. Having apps and databases across multiple clouds and environments means that many companies don’t have good visibility of where everything resides or the capabilities to manage the sprawl.

This poses security, governance and operational concerns. It’s time to get practical and reclaim control of the situation, and hybrid multicloud is where the journey begins.

Hybrid multicloud is a cloud deployment model from which to rebalance apps and data. It enables visibility and easy management of their clouds, both public and private, setting up an organization with the flexibility it needs to tackle an uncertain future. 

Getting Ahead of The Curve

In recent months, we have seen numerous organizations prioritize digital transformation and data center modernization, looking beyond their makeshift use of public cloud and databases during the pandemic to settle on a more permanent and stable solution.

In Korea, Nutanix helped Shinsegae Group, a retail conglomerate, realize continuous and error-free operations across its group of companies, even in promotional seasons, supporting up to 10 times more business transactions than usual.

Since adding Nutanix Cloud Clusters (NC2) on AWS, Straive, a Singapore-based content technology company, can now move workloads from on-premise infrastructure to the AWS public cloud and vice versa easily. Personnel can access the applications they need to do their work more quickly.

In another NC2 on AWS example, Sapporo City in Japan was able to reduce IT complexity and operational burden significantly, enabling seamless connectivity between its on-premise infrastructure and AWS.

Since moving to the Nutanix Cloud Platform, Jhaveri Securities in India can now deploy applications 60 percent faster, rolling out new capabilities quicker than ever. Employees are working more efficiently because of an improvement in the performance of software programs following the switch to Nutanix.

Marist College Canberra took infrastructure management out of its to-do list and now has more bandwidth for strategic projects. The IT team is empowered to try out ideas for new services on-the-fly because they can spin up development environments quickly with Nutanix. 

These and numerous other examples underscore the value for organizations in a unified environment, visibility across all clouds, and leveraging automation. In a world where external threats and general unpredictability abound, a strong foundation is critical. It is time to discard their patchwork IT and find more permanent, scalable solutions that will stand the test of time.

Article By Aaron White, General Manager and Vice President of Sales – APJ, Nutanix

ไอทีในช่วงรอยต่อของสถานการณ์

Patchwork IT Tearing at The Seams

ไอทีในช่วงรอยต่อของสถานการณ์

องค์กรควรทำอย่างไรกับโซลูชันไอทีมากมาย ที่เคยใช้ปะปนกันอย่างเร่งรีบในภาวะวิกฤต จะกลับมาควบคุมแรงต้านที่ถาโถมเข้ามา จากจำนวนแอปพลิเคชันที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และฐานข้อมูลที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร

Aaron White

บทความโดย นายแอรอน ไวท์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, นูทานิคซ์

การระบาดของโควิด-19 ทำให้องค์กรทุกรูปแบบ และทุกขนาดนำพับลิคคลาวด์มาใช้อย่างรีบเร่งเพื่อให้สามารถทำงานจากระยะไกลได้ และมีการนำโซลูชันด้านไอทีมากมายมาใช้ผสมปนเปกัน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในแต่ละเรื่อง และทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ก่อน การทำเช่นนี้ทำให้เกิดความท้าท้ายใหม่ ๆ หลายประการ เพราะการใช้คลาวด์อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและยากที่จะควบคุม นอกจากนี้ฐานข้อมูลที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็เป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง การเดินหน้าทางธุรกิจด้วยการนำโซลูชันด้านไอทีที่ไม่เข้าขากันมาปะติดปะต่อใช้งานร่วมกัน (แพทช์เวิร์คไอที) จะทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ แย่ลง

แอปพลิเคชันกำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดลักษณะของโครงสร้างพื้นฐานไอที องค์กรต่าง ๆ เริ่มตระหนักว่าคลาวด์เป็นรูปแบบการทำงานอย่างหนึ่ง ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์การเพิ่มจำนวนของแอปพลิเคชันตามที่องค์กรเหล่านั้นต้องการ และการตระหนักรู้นี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เกิดการเลิกใช้โซลูชันแพทช์เวิร์คไอทีที่องค์กรเคยนำมาใช้อย่างรีบร้อน

แม้ปัจจุบันการระบาดจะเบาบางลงแต่เรายังต้องเผชิญ และรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาคที่ทำให้ลูกค้าต้องรักษาสมดุลให้ดี เช่นในเวลาที่พยายามกำหนดวิธีสร้างองค์กรให้แข็งแกร่ง ปรับเปลี่ยนองค์กรและปรับขนาดการทำงาน ก็ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายควบคู่กันไปด้วย

ระบบที่ต่าง ๆ ที่สับสน

การยึดติดกับโซลูชันไอทีที่ใช้อยู่และรอว่าจะมีผลอะไรตามมาอาจเป็นสิ่งทำให้สบายใจ แต่เทคโนโลยีจำนวนมากที่เราใช้ในช่วงการระบาดเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงนั้น อาจไม่เหมาะกับวัตถุประสงค์ขององค์กรอีกต่อไป และจะไม่รองรับการขยายตัวของแอปพลิเคชัน และฐานข้อมูลจำนวนมากที่ธุรกิจต้องการ 

ยิ่งองค์กรโหมใช้และทุ่มเทเงินทองให้กับระบบเหล่านี้มากเท่าไร ค่าใช้จ่ายและหนี้สินก็จะยิ่งบานปลาย แพทช์เวิร์คไอทีไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่คุ้นเคยอาจเป็นเรื่องน่ากลัว แต่การไม่ทำอะไรเลยจะส่งผลให้เกิดความถดถอยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

การเพิ่มขึ้นของแอปพลิเคชันอย่างมากมาย และการบริหารจัดการดาต้าด้วยการใช้แนวทางเดียวจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป การขยายตัวของแอปพลิเคชันและฐานข้อมูลบนคลาวด์หลายประเภทและบนสภาพแวดล้อมไอทีที่หลากหลาย ทำให้บริษัทฯ ต่าง ๆ ไม่สามารถรับรู้และมองเห็นว่ามีการใช้งาน ณ จุดใด หรือไม่สามารถจัดการกับข้อมูลที่กระจัดกระจายในวงกว้างได้

สถานการณ์นี้ทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัย การกำกับดูแล และการปฏิบัติงาน ถึงเวลาแล้วที่บริษัทต่าง ๆ ต้องลงมือปฏิบัติและพาตัวเองให้ล้ำหน้ากว่าสถานการณ์นี้ โดยเริ่มด้วยการใช้ไฮบริด มัลติคลาวด์ 

ไฮบริด มัลติคลาวด์ เป็นรูปแบบการใช้คลาวด์เพื่อปรับสมดุลการใช้แอปพลิเคชันและดาต้า ช่วยให้บริษัทรับรู้ มองเห็น และบริหารจัดการคลาวด์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก ทั้งพับลิคและไพรเวทคลาวด์ และเป็นการเตรียมองค์กรให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับอนาคตที่ไม่แน่นอน

นำหน้ากระแส

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นบริษัทจำนวนมากให้ความสำคัญกับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการปรับปรุงศูนย์ข้อมูลให้ทันสมัย มีการพิจารณานำวิธีแก้ปัญหาที่ถาวรและปลอดภัยมากขึ้นมาใช้แทนพับลิคคลาวด์ และดาต้าเบสที่ใช้ระหว่างการแพร่ระบาด 

ในประเทศเกาหลี Nutanix ช่วยเหลือกลุ่มบริษัทค้าปลีก Shinsegae Group ทำให้บริษัทในเครือทั้งหมดดำเนินการได้อย่างราบรื่น และปราศจากข้อผิดพลาดแม้ในช่วงเทศกาลส่งเสริมการขาย โดยรองรับธุรกรรมทางธุรกิจได้มากกว่าปกติถึง 10 เท่า

Straive บริษัทคอนเทนต์เทคโนโลยีในสิงคโปร์พบว่า การใช้ Nutanix Cloud Clusters (NC2) บน AWS ทำให้การย้ายเวิร์กโหลดไปมาระหว่างโครงสร้างพื้นฐานในองค์กรไปยังพับลิคคลาวด์ของ AWS ทำได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังเข้าถึงแอปพลิเคชันที่จำเป็นต่อการทำงานได้เร็วขึ้น

อีกหนึ่งกรณีศึกษาของ NC2 บน AWS คือการที่เมืองซัปโปโรในประเทศญี่ปุ่นสามารถลดความซับซ้อนด้านไอทีและภาระการดำเนินงานได้อย่างมาก ทำให้โครงสร้างพื้นฐานในองค์กรเชื่อมต่อกับ AWS ได้อย่างราบรื่น

ส่วน Jhaveri Securities ในประเทศอินเดีย นับตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ Nutanix Cloud Platform ปัจจุบัน สามารถปรับใช้แอปพลิเคชันได้เร็วขึ้นถึง 60% และเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้รวดเร็วขึ้นกว่าเคย โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้ดีขึ้นหลังจากเปลี่ยนมาใช้ Nutanix ส่งผลให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น

สำหรับ Marist College Canberra ได้ลบการจัดการโครงสร้างพื้นฐานออกจากรายการสิ่งที่ต้องทำแล้ว ทำให้ปัจจุบันนี้มีแบนด์วิธมากขึ้นเพื่อทำโครงการเชิงกลยุทธ์ Nutanix ช่วยให้ทีมไอทีสามารถตั้งค่าสภาพแวดล้อมในการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อทดสอบแนวคิดของบริการใหม่ ๆ ได้โดยไม่ขัดจังหวะการดำเนินงาน

กรณีตัวอย่างที่กล่าวมา และอีกมากมายล้วนแสดงให้เห็นถึงคุณประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับจากการมีสภาพแวดล้อมเป็นหนึ่งเดียว สามารถรับรู้ และเห็นการทำงานบนคลาวด์ทั้งหมดที่ใช้อยู่ และใช้ประโยชน์จากระบบอัตโนมัติ โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานที่ต้องประสบกับภัยคุกคามจากภายนอก และความไม่แน่นอนจำนวนมาก ถึงเวลาแล้วที่องค์กรต้องเลิกใช้แพทช์เวิร์คไอที และหาโซลูชันที่ยั่งยืน ปรับขนาดได้ และสามารถรองรับการใช้งานในอนาคตได้ยาวนาน

 

Red Hat Global Customer Tech Outlook 2023 Security is the top priority as digital transformation continues

Red Hat Global Customer Tech Outlook 2023

Red Hat Global Customer Tech Outlook 2023 Security is the top priority as digital transformation continues

Article by: Supannee Amnajmongkol, Country Manager for Thailand, Red Hat

Results from Red Hat’s ninth Global Tech Outlook survey are in, and, as in years past, we explore what the data reveals about where organizations are in their digital transformation initiatives, IT and non-IT funding priorities, and challenges they are facing. We surveyed 1,700+ information technology (IT) leaders worldwide, across various industries to help us better understand new aspects of technology use and track trends. Here, we highlight key findings and trends from the report and how these results have changed over time.

No surprise: Security remains priority

Security remains the top IT funding priority across all regions and almost all industries, with 44% of respondents calling it a top 3 funding priority— 8 points higher than the second highest priority, cloud infrastructure. Specifically, network security (40%) and cloud security (38%) were the top priorities, while third-party or supply chain risk management (12%) and security or compliance staffing (13%) ranked as the lowest security funding priorities.

Security was also at the top of the list across many other categories. Cloud security was the top cloud infrastructure priority (42%). Data security and integrity was the top analytics funding priority (45%), edging out artificial intelligence (AI) / machine learning (ML). Security automation (35%) beat out cloud services automation (33%) and network automation (30%) as the top automation priority. Lastly, 3 out of 4 respondents “somewhat increased” or “significantly increased” their investments in securing access by applications to other applications, data sources, or both, this year.

Question: Over the next 12 months, what are your company’s top funding priorities for big data and analytics?

Digital transformation priorities shift

While there wasn’t much change in companies’ digital transformation journeys compared to last year, the top two digital transformation priorities shifted significantly. In years past, innovation has been the transformation imperative, and rightly so. This year, however, innovation isn’t the most significant priority for transformation work. Security took the new top position with a 3-point increase from last year to 20%. Innovation dropped 5 points, with 19% now identifying it as their top priority for digital transformation.

Question: If you were to characterize your absolute top priority for your company’s digital transformation in a single term, which of the following would best fit?

We have a few theories about the decrease in prioritization of innovation from year to year. In year’s past, the question allowed for respondents to select multiple priorities. This year, we asked respondents to choose one priority from the list of options to see if honing in on the top priority would yield the same or different rankings. Given many high-profile security threats and data breaches this year, security is naturally top of mind — and again, rightfully so. Separately, however, the survey data shows an increase in companies in the accelerating phase of their digital transformation efforts (now 23%), showing no slowdown in companies’ innovation plans.

Talent gaps remains the top digital transformation barrier

Mirroring last year, the most common digital transformation challenge that companies are grappling with is talent and skill gaps. With an increasing focus on IT automation, security and AI/ML, IT leaders are rightfully concerned that progress in these important initiatives could be stalled without the proper skills and talent. Organizational culture, people and processes are just as essential to digital transformation success as technology.

Among non-IT funding priorities outside of IT, 37% of respondents chose both digital transformation strategy and technical / technology skills training. People / process skills training came in third (30%), with IT or developer hiring and retention just behind (28%). All of this year’s the top non-IT funding priorities involve upskilling and people, perhaps speaking to evolving market conditions and a tight labor market and pushing companies to get more creative about how they not only define their strategy and priorities, but also how they recruit, retain and reskill.

Question: Over the next 12 months, what are your company’s top funding priorities outside of IT technology products or solutions?

Find out more in the report

The report has a wealth of additional insights, such as cloud strategies, industry data, automation plans, and more. For a deeper analysis, check out our 2023 Global Tech Outlook and learn more about how enterprises plan to modernize their IT approach in the coming year.

Survey methodology

In May and June 2022, Red Hat surveyed 1,703 information technology leaders, with more than half of the respondents working at companies with more than US$100 million in revenue. The respondents comprised a subset of Red Hat customers together with others drawn from a broad industry panel.


ผลสำรวจ Global Customer Tech Outlook 2023 จากเร้ดแฮท เผยว่า ความปลอดภัยมีความสำคัญสูงสุด ในเวลาที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Red Hat Global Customer Tech Outlook 2023

ผลสำรวจ Global Customer Tech Outlook 2023 จากเร้ดแฮท เผยว่า ความปลอดภัยมีความสำคัญสูงสุด ในเวลาที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บทความโดย สุพรรณี อำนาจมงคล, ผู้จัดการประจำประทศไทย, เร้ดแฮท

Global Tech Outlook 2023 ผลสำรวจครั้งที่ 9 ของเร้ดแฮท และเช่นเดียวกับหลายปีที่ผ่านมา เร้ดแฮทสำรวจข้อมูลว่าองค์กรต่าง ๆ อยู่ ณ จุดใดในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน การจัดลำดับความสำคัญของเงินลงทุนด้านไอทีและด้านที่ไม่เกี่ยวกับไอที และความท้าทายต่าง ๆ ที่องค์กรกำลังเผชิญอยู่ โดยทำการสำรวจผู้นำด้านไอทีมากกว่า 1,700 รายทั่วโลกจากอุตสาหกรรมหลากหลาย เพื่อช่วยให้เข้าใจแง่มุมใหม่ ๆ ด้านการใช้เทคโนโลยีและติดตามแนวโน้มต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ต่อไปนี้เป็นแนวโน้มและข้อมูลที่น่าสนใจที่ได้จากรายงานฉบับนี้ และผลสำรวจเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป

ไม่แปลกใจความปลอดภัยยังคงมีความสำคัญเป็นลำดับแรก

ความปลอดภัยยังคงเป็นความสำคัญสูงสุดของการจัดสรรงบประมาณด้านไอทีของทุกภูมิภาค และเกือบทุกอุตสาหกรรม ผู้ตอบแบบสอบถาม 44% ยกให้ความปลอดภัยเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งสูงกว่าด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ซึ่งสำคัญเป็นลำดับสอง โดยแบ่งความสำคัญของการจัดสรรงบประมาณด้านความปลอดภัยออกเป็น ความปลอดภัยของเน็ตเวิร์ก (40%) ความปลอดภัยของคลาวด์ (38%) เป็นสองลำดับแรกที่สำคัญสูงสุด และลำดับที่มีความสำคัญน้อยที่สุดสองด้าน คือการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนหรือบุคคลภายนอก (12%) และความปลอดภัยหรือการปฏิบัติตามกฎระเบียบของพนักงาน (13%) 

ความปลอดภัยยังคงมีความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ โดยความปลอดภัยบนคลาวด์จัดอยู่ในลำดับแรกในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ (42%) ความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของข้อมูลแซงหน้า AI/ML ขึ้นเป็นความสำคัญเป็นอันดับแรกในเรื่องของการวิเคราะห์ด้านเงินทุน (45%) ระบบอัตโนมัติด้านความปลอดภัย (35%) เบียดแซงหน้าระบบอัตโนมัติด้านบริการคลาวด์ (33%) และระบบอัตโนมัติด้านเน็ตเวิร์ก (30%) ขึ้นเป็นความสำคัญสูงสุดในเรื่องของระบบอัตโนมัติ และ 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าได้ลงทุนด้านความปลอดภัยในการเข้าใช้งานโดยแอปพลิเคชันหนึ่งไปยังแอปพลิเคชันหนึ่ง หรือแอปพลิเคชันไปยังแหล่งข้อมูลอื่น หรือทั้งสองอย่าง “เพิ่มขึ้นบ้าง” หรือ “เพิ่มขึ้นอย่างมาก” 

คำถาม: ในอีก 12 เดือนข้างหน้า บริษัทของคุณให้ความสำคัญด้านใดในเรื่องของการลงทุนสำหรับบิ๊กดาต้าและการวิเคราะห์ต่าง ๆ

การจัดลำดับความสำคัญในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเปลี่ยนไป

แม้ว่าเส้นทางการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของบริษัทต่าง ๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปมากนักจากปีที่แล้ว แต่ลำดับความสำคัญสูงสุดของการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันสองอันดับแรกกลับเปลี่ยนไปอย่างมาก ในอดีตการเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องใช้นวัตกรรม อย่างไรก็ตาม การสำรวจครั้งนี้พบว่านวัตกรรมไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป เนื่องจากการรักษาความปลอดภัยกลับขึ้นมาติดอันดับสูงสุดแทน โดยเพิ่มขึ้น 3 จุดจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมาเป็น 20% ส่วนคำตอบที่เลือกนวัตกรรมนั้นลดลงไป 5 จุด เหลือเพียง 19% ที่ระบุว่านวัตกรรมมีความสำคัญสูงสุดในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน 

คำถาม: ข้อใดต่อไปนี้อธิบายถึงลำดับความสำคัญสูงสุดในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของบริษัทคุณได้เหมาะสมที่สุด

เรามีทฤษฎีบางประการเกี่ยวกับสาเหตุที่นวัตกรรมได้รับความสนใจน้อยลงในแต่ละปี คำถามในการสำรวจครั้งที่ผ่านมา อนุญาตให้ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกลำดับความสำคัญได้หลายข้อ แต่ในครั้งนี้เราได้ขอให้เลือกลำดับความสำคัญได้ข้อเดียวจากตัวเลือกที่มีให้ เพื่อดูว่าการจำกัดโฟกัสให้แคบลงจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกัน จากภัยคุกคามด้านความปลอดภัยระดับสูงและการละเมิดข้อมูลจำนวนมากที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาทำให้การรักษาความปลอดภัยกลับมามีความสำคัญสูงสุดอีกครั้งตามที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการสำรวจแสดงให้เห็นว่ามีจำนวนบริษัทที่อยู่ในช่วงเร่งความพยายามในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเพิ่มขึ้น (ปัจจุบันอยู่ที่ 23%) ซึ่งหมายความว่า บริษัทต่าง ๆ จะยังคงดำเนินแผนงานด้านนวัตกรรมไปอย่างต่อเนื่อง

การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดต่อการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

เช่นเดียวกับการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ปัญหาที่บริษัทต่าง ๆ พบบ่อยที่สุดในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันคือช่องว่างด้านความสามารถและทักษะ ผู้นำด้านไอทีเข้าใจดีว่า ความคืบหน้าในโครงการสำคัญที่เน้นระบบอัตโนมัติด้านไอที ความปลอดภัย และ AI/ML มากขึ้นอาจจะหยุดชะงักลงได้ หากขาดทักษะและความสามารถที่เหมาะสม นอกจากนี้ วัฒนธรรมองค์กร ผู้คน และกระบวนการล้วนมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเฉกเช่นเดียวกันกับเทคโนโลยี

37% ของผู้ตอบแบบสำรวจเลือกทั้งกลยุทธ์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการฝึกทักษะด้านเทคนิค/เทคโนโลยีเป็นวัตถุประสงค์หลักในการจัดลำดับความสำคัญด้านเงินทุนที่ไม่ใช่ด้านไอที โดยมีการฝึกอบรมทักษะบุคลากรและกระบวนการอยู่ในอันดับที่สาม (30%) ตามมาด้วยการจ้างงานและรักษาพนักงานไอทีหรือนักพัฒนา (28%)  ส่วนลำดับความสำคัญสูงสุดด้านเงินทุนที่ไม่ใช่ไอทีสำหรับการสำรวจครั้งนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการยกระดับทักษะและบุคลากร ซึ่งอาจสะท้อนถึงสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงและตลาดแรงงานที่ตึงตัว ซึ่งบีบให้บริษัทต่าง ๆ ต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นในการกำหนดกลยุทธ์และลำดับความสำคัญ ตลอดจนวิธีการสรรหาบุคลากร รักษาและยกระดับทักษะพนักงานของตน

คำถาม: ในอีก 12 เดือนข้างหน้า สิ่งที่อยู่ในลำดับความสำคัญสูงสุดในเรื่องของเงินทุน ที่ไม่เกี่ยวกับโซลูชันหรือผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีไอทีของบริษัทคุณคืออะไร

ผลสำรวจอื่นจากรายงานนี้

รายงานฉบับนี้มีข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมอีกมาก เช่น กลยุทธ์ด้านคลาวด์, ข้อมูลอุตสาหกรรม, แผนการทำงานแบบอัตโนมัติ และอื่น ๆ  สำหรับการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับวิธีที่องค์กรต่าง ๆ วางแผนที่จะปรับปรุงแนวทางด้านไอทีให้ทันสมัย กรุณาเข้าอ่านได้ที่ 2023 Global Tech Outlook 

วิธีการสำรวจ

เร้ดแฮทสำรวจผู้นำด้านไอที 1,703 คน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2565 โดยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามทำงานในบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผู้ตอบแบบสำรวจประกอบด้วยลูกค้าส่วนหนึ่งของเร้ดแฮทและบุคคลอื่นจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย