ใช้โอเพ่นซอร์สบนคลาวด์ใดก็ได้: อีกหนึ่งทางเลือกที่ Red Hat มีให้บน Cloud Marketplaces

ใช้โอเพ่นซอร์สบนคลาวด์ใดก็ได้: อีกหนึ่งทางเลือกที่ Red Hat มีให้บน Cloud Marketplaces

ใช้โอเพ่นซอร์สบนคลาวด์ใดก็ได้: อีกหนึ่งทางเลือกที่ Red Hat มีให้บน Cloud Marketplaces

บทความโดย มาร์แยม แซนด์, Vice President of Cloud Partners, Red Hat

ณ งาน AnsibleFest งานประจำปีด้าน automation จัดโดย Red Hat ประจำปี 2022 นี้ Red Hat ประกาศว่า Ansible Automation Platform พร้อมให้ใช้ได้บน AWS Marketplace และ Ansible Automation Platform พร้อมใช้บน Azure Marketplace แล้ว ซึ่งนับเป็นความคืบหน้าล่าสุดของความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานของ Red Hat กับ AWS และ Microsoft ในการทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเคลื่อนย้าย พัฒนา และปรับปรุงแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานบนคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การที่ลูกค้าพัฒนากลยุทธ์ในการใช้ไฮบริดคลาวด์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ความง่ายในการเข้าถึงการใช้งานกลายเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นในการนำโซลูชันต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการสเกลและขยายการทำงานไปยังคลาวด์ได้เต็มรูปแบบ การทำงานร่วมกันของผู้ให้บริการคลาวด์ เช่น AWS, Microsoft และ Google เพื่อพัฒนาการนำเสนอแบบเนทีฟ และทำให้โซลูชันของ Red Hat พร้อมให้บริการบน cloud marketplaces ทั้งนี้ Red Hat เร่งพัฒนานวัตกรรมไฮบริดคลาวด์ และเพิ่มประสบการณ์ให้กับลูกค้าทำให้องค์กรสามารถซื้อและปรับใช้โซลูชันที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

เสริมแกร่งนวัตกรรมและคุณประโยชน์บน cloud marketplaces

องค์กรหันมาใช้ cloud marketplaces เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นวิธีการที่ช่วยให้จัดหา และใช้บริการ คลาวด์/ซอฟต์แวร์โซลูชันต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย เพื่อช่วยเร่งการสร้างนวัตกรรมดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ IDC คาดการณ์ว่า ภายในปี 2567, 55% ขององค์กรจะค้นหาซอฟต์แวร์ที่ต้องการจาก cloud marketplaces[1]

Red Hat เห็นว่าพฤติกรรมการใช้งานที่เปลี่ยนไปนี้ เป็นโอกาสที่บริษัทฯ จะให้บริการองค์กรต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ผ่านทางเลือกที่มากขึ้น ความยืดหยุ่น และความง่ายในการใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สบนไฮบริดคลาวด์ เพื่อสนับสนุนรูปแบบการทำงานด้านคลาวด์ขององค์กรเกือบทุกรูปแบบ ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงซอฟต์แวร์โซลูชัน และบริการด้านคลาวด์หลายร้อยรายการได้เพียงคลิกเดียวบน cloud marketplaces ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้องค์กรใช้รูปแบบค่าใช้จ่ายที่ตกลงไว้กับผู้ให้บริการคลาวด์ต่าง ๆ และใช้ประโยชน์จากรูปแบบการเก็บเงิน
ที่คล่องตัว

ในปีที่ผ่านมา Red Hat ได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำเช่น AWS, Google และ Microsoft เพื่อทำให้ซอฟต์แวร์และบริการคลาวด์ของบริษัทฯ พร้อมใช้งานบน cloud marketplaces และภายในคอนโซลของผู้ให้บริการด้านเนทีฟคลาวด์ บริการที่มีการบริหารจัดการ (managed services) เต็มรูปแบบ เช่น Red Hat OpenShift Service on AWS และ Microsoft Azure Red Hat OpenShift มีวางจำหน่ายผ่านการซื้อจากคอนโซลของผู้ให้บริการ และจะได้รับการสนับสนุนจาก Red Hat และพันธมิตรด้านคลาวด์นั้น ๆ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าที่ซื้อได้รับประสบการณ์การซื้อที่ดีขึ้น ช่วยให้การจัดหา การพัฒนา และการใช้แอปพลิเคชันบนพับลิคคลาวด์ทำได้อย่างรวดเร็วขึ้น และนำศักยภาพของโอเพ่นซอร์สที่สามารถนำระบบที่แตกต่างกันทั้งหลายที่อยู่บนไฮบริดคลาวด์มาใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์และบริการอื่นของ Red Hat ที่จำหน่ายผ่าน cloud marketplaces ต่าง ๆ เช่น โซลูชันชั้นนำของอุตสาหกรรมอย่าง Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat OpenShift ทั้งนี้การวางจำหน่ายโซลูชันของ Red Hat บน cloud marketplace มีดังนี้

AWS Marketplace

นอกจาก Red Hat Ansible Automation Platform ที่กำลังจะตามมาเเล้ว โซลูชันของ Red Hat ที่วางจำหน่ายบน AWS Marketplace แล้ว มีดังนี้:

    • Red Hat OpenShift
    • Red Hat Enterprise Linux
    • Red Hat Enterprise Linux for SAP Solutions
    • Red Hat Enterprise Linux with Microsoft SQL Server 

Red Hat ยังคงเพิ่มการวางจำหน่ายโซลูชันต่าง ๆ บน AWS Marketplace อย่างต่อเนื่อง Red Hat และ AWS เดินหน้านำเสนอโซลูชันที่พร้อมใช้งานในอนาคตได้อย่างราบรื่นอย่างต่อเนื่องและจะได้ประกาศให้ผู้ใช้งานทราบต่อไป

Google Cloud Marketplace

Red Hat OpenShift เปิดให้บริการแล้วบน Google Cloud Marketplace นับตั้งแต่ปี 2556 Red Hat และ Google ได้ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น และทางเลือกในการใช้ไฮบริดคลาวด์ โดยเริ่มต้นด้วยการใช้ Red Hat Enterprise Linux ใน Google Compute Engine ปัจจุบัน Red Hat กำลังพัฒนาข้อเสนอร่วมกับ Google ในการนำโซลูชันไฮบริดคลาวด์ของ Red Hat ต่อไปนี้ วางจำหน่ายบน Google Cloud Marketplace:

    • Red Hat OpenShift
    • Red Hat Enterprise Linux
    • Red Hat Enterprise Linux for SAP Solutions

Red Hat และ Google Cloud สามารถให้บริการลูกค้าด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการสร้างและใช้งานไฮบริดและมัลติคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น จากความสามารถ
ในการตั้งค่าที่ยืดหยุ่นตามแบบฉบับของโอเพ่นซอร์ส พื้นฐานความคิดในการพัฒนาที่ยึดความปลอดภัยเป็นหลัก โครงสร้างพื้นฐานที่มีเครือข่ายทั่วโลก และการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพล้ำหน้า

Microsoft Azure Marketplace

Red Hat และ Microsoft ได้ร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องหลายปี เพื่อแนะนำบริการใหม่ในลักษณะ managed services เต็มรูปแบบสองรายการในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาก คือ Red Hat Ansible Automation Platform on Microsoft Azure และ Microsoft Azure Red Hat OpenShift โซลูชันทั้งสองที่ได้ร่วมกันพัฒนานี้ เป็นการจับคู่เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม เข้ากับความสะดวกและ
การสนับสนุนที่ managed service มีให้

Red Hat และ Microsoft ยังคงขยายการทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้าและทำให้การใช้งานง่ายขึ้น ลูกค้าและพันธมิตรสามารถใช้ประโยชน์จากโซลูชันของ Red Hat ที่มีอยู่บน Microsoft Azure Marketplace ได้แล้วดังนี้

    • Red Hat OpenShift
    • Red Hat Enterprise Linux
    • Red Hat Enterprise Linux for SAP Solutions 
    • Red Hat Ansible Automation Platform

ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่าง Red Hat กับผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่นี้ ยังนำมาซึ่งระบบนิเวศด้านพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้การสนับสนุนลูกค้าได้มากขึ้น ผู้ให้บริการด้านคอมพิวเตอร์ ผู้ออกแบบและสร้างระบบ และผู้ขายซอฟต์แวร์อิสระ สามารถนำข้อเสนอหรือผลิตภัณฑ์ด้านคลาวด์ของ Red Hat ไปรวมไว้ในโครงการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของตนเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทรัพยากรด้านไอทีที่มีอยู่ ผ่านผู้ใหบริการคลาวด์ต่าง ๆ

เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า

Red Hat มุ่งมั่นในการช่วยให้ลูกค้านำโซลูชันของ Red Hat ไปใช้งานได้ง่ายที่สุดมาโดยตลอด นอกจากที่ Red Hat เป็นเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นบนโอเพ่นซอร์สแล้ว ยังเป็นหนึ่งในบริษัทด้านเทคโนโลยีรายแรก ๆ ที่นำโมเดลธุรกิจแบบ subscription มาให้ลูกค้าใช้ เพื่อช่วยให้มีความคล่องตัวและสามารถสร้างสภาพแวดล้อมไอทีของตนได้อย่างต่อเนื่อง

แนวทางที่องค์กรจัดซื้อและใช้ซอฟต์แวร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวด้านไอทีในแง่มุมอื่น  และนี่คือเหตุผลที่ Red Hat ปรับปรุงการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อแนะนำวิธีการจัดซื้อและใช้โซลูชันของ Red Hat บนพับลิคคลาวด์ที่ยืดหยุ่น ผ่านการลงทุนใน native offerings กับผู้ให้บริการคลาวด์ต่าง ๆ ผ่านโปรแกรมส่งเสริมการขายให้กับพันธมิตร (channel enablement programs) และการวางจำหน่ายบน cloud marketplaces

[1] Source: IDC FutureScape: Worldwide Future of Digital Innovation 2022 Predictions, October 2021, Doc # US47148621.

Nutanix Launches Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix Launches Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Customers Can Seamlessly Extend Nutanix Environment to Microsoft Azure

Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, announced today the general availability of Nutanix Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure, extending its hybrid cloud environment to Microsoft Azure dedicated bare metal nodes. 

NC2 on Azure offers a seamless hyperconverged infrastructure and unified management spanning private and public cloud environments to accelerate hybrid cloud adoption. NC2 on Azure enables customers to deploy and manage their workloads in their own Azure account and VNet enabling them to keep the operating model simple and consistent between Azure and on-premises.

With license portability of Nutanix term-based software and the ability to leverage all Microsoft Azure benefits, NC2 on Azure provides customers the investment protection and choice to run their workloads in a hybrid cloud environment. NC2 on Azure is now generally available to customers on Azure dedicated bare metal nodes in North America Azure regions, with additional global Azure regions to follow in 2023.

“Organizations are embracing hybrid multicloud to easily scale from on-prem to the public cloud, optimize costs for performant and secure workloads, and tap into a flexible subscription model,” said Rajiv Ramaswami, President and CEO of Nutanix. “NC2 on Azure gives our customers a frictionless on-ramp to Azure with consistent management of apps and data across their hybrid multicloud environment.”  

“While public cloud has solidified as a crucial investment for businesses, many customers need to run and manage workloads across public and private cloud environments,” said Scott Guthrie, Executive Vice President, Cloud + AI Group, Microsoft. “NC2 on Azure provides consistent management for businesses’ infrastructure across on-premises and cloud, reduces network latency, and increases cost efficiency.”

Customers can now run workloads on NC2 on Azure and manage Azure instances from Nutanix’s management interface. This enables customers to run hybrid workloads seamlessly across private clouds and Microsoft Azure without needing to re-architect their applications. The expected result is simplified and consistent IT operations across clouds, hybrid cloud adoption in hours, and lower total cost of ownership when compared to other cloud deployment solutions.

Customers can also take advantage of Azure Hybrid Benefit as well as Extended Security Updates to improve cost, security, and efficiency. Nutanix customers will be able to port their existing term licenses to NC2 on Azure or get on-demand consumption of Nutanix software through the Azure Marketplace, enabling frictionless movement between private clouds and Microsoft Azure. 

“Customers are struggling with the reality of managing workloads across private and public clouds, and this challenge is not going away,” said Paul Nashawaty, Senior Analyst at The Enterprise Strategy Group. “This Nutanix and Azure solution addresses key challenges many enterprises are facing by providing unified management across clouds with applications, data and license portability.”

 Customers can leverage NC2 on Azure to:

    • Simplify and optimize disaster recovery, eliminating the need to maintain a secondary site by utilizing Microsoft Azure’s on-demand capacity for failover.
    • Access on-demand capacity bursting to Microsoft Azure, rapidly scaling capacity while leveraging existing applications and tooling.
    • Migrate and modernize their datacenters by easily moving their existing applications and data as-is without costly and time-consuming refactoring or retooling.

“As we strive to financially protect 39 million customers around the world with our products and services, we continue to see hybrid cloud as a key milestone in our digital transformation journey,” said David Fitzgerald, Assistant Vice President of IT Delivery at Unum. “With NC2 on Azure, we are excited about leveraging a seamless hybrid cloud platform for disaster recovery as well as to migrate and run workloads in Azure to handle a myriad of hosting scenarios. We can now, on-demand, expand our Nutanix Cloud Platform to Azure regions without having to re-factor our applications. We look forward to continuing our strong partnership with Microsoft and Nutanix.”

“TCS has a long track record of embracing technology innovations to satisfy customer demand and enable them to focus on business outcomes,” said Dinanath Kholkar, SVP and Global Head of Partner Ecosystems & Alliances at TCS. “Microsoft Azure and Nutanix have been popular technology choices of TCS customers looking for digital transformation, and NC2 on Azure is an attractive option for us to help our customers extend and migrate their on-prem workloads into a cloud space more easily. The ability to rapidly deploy and burst workloads through NC2 on Azure is vital to our customer’s hybrid and multicloud strategy.” Dina added, “TCS Microsoft Business Unit (MBU) is looking forward to taking this solution to our joint customers.”

For more information on NC2 on Microsoft Azure, please visit: nutanix.com/azure    

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

Nutanix เปิดตัว Cloud Clusters (NC2) on Microsoft Azure

ลูกค้าสามารถนำ Nutanix ไปใช้งานร่วมกับ Microsoft Azure ได้อย่างลงตัว

 Nutanix (NASDAQ: NTNX), ผู้นำด้านไฮบริดมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศว่า Nutanix Cloud Clusters (NC2) พร้อมให้ใช้งานบน Microsoft Azure แล้ว โดยขยายสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ของ Nutanix ไปใช้งานกับ Dedicated bare metal nodes ของ Microsoft Azure

NC2 on Azure มีโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จที่ทำงานอย่างไร้รอยต่อ และมีการจัดการแบบ รวมศูนย์ รองรับการใช้งานได้ทั้งบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์ เพื่อให้ลูกค้าใช้ไฮบริดคลาวด์ได้เร็วขึ้น ทั้งยังช่วยให้ลูกค้าใช้และจัดการเวิร์กโหลดที่อยู่บนแอคเค้าท์ Azure ของตน และ VNet ช่วยให้ลูกค้าสามารถคงรูปแบบการทำงานระหว่าง Azure และระบบที่อยู่ภายในองค์กร (on-premises) ได้ด้วยความเรียบง่ายและด้วยการทำงานที่สอดคล้องกัน

NC2 on Azure มีความสามารถในการย้ายไลเซนส์ซอฟต์แวร์ที่เป็นไปตามเงื่อนไขของ Nutanix และสามารถใช้ประโยชน์ต่าง ๆ จาก Microsoft Azure  ความสามารถเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าลงทุนได้อย่างคุ้มค่า และเป็นทางเลือกให้ลูกค้าในการรันเวิร์กโหลดบนสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ NC2 on Azure มีวางจำหน่ายแล้วบน Azure dedicated bare metal nodes ของ Azure ที่ให้บริการอยู่ในอเมริกาเหนือ และจะมีวางจำหน่ายตามบริการของ Azure ทั่วโลกตามมาในปี 2566

นายราจีฟ รามาสวามี ประธานและซีอีโอของ Nutanix กล่าวว่า “องค์กรจำนวนมากนำไฮบริดมัลติคลาวด์ไปใช้ เพื่อให้สามารถสเกลจากระบบที่อยู่ในองค์กรไปยังพับลิคคลาวด์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก เพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพตามต้องการ และรันเวิร์กโหลดอย่างปลอดภัยไร้กังวลด้วยต้นทุนที่เหมาะสม รวมถึงการใช้งานในรูปแบบ subcription ที่ยืดหยุ่น  NC2 on Azure ช่วยให้ลูกค้าของเราเข้าใช้งาน Azure ได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด ผ่านการบริหารจัดการแอปพลิเคชัน และข้อมูลบนสภาพแวดล้อมไฮบริด
มัลติคลาวด์ของลูกค้าได้อย่างลงตัว”

นายสก็อตต์ กูธรี รองประธานบริหารกลุ่ม Cloud และ AI ของ Microsoft กล่าวว่า “แม้ว่าธุรกิจจะให้ความสำคัญและลงทุนด้านพับลิคคลาวด์มากขึ้น แต่ยังมีลูกค้าจำนวนมากที่จำเป็นต้องรัน และจัดการเวิร์กโหลดทั้งบนพับลิคและไพรเวทคลาวด์  NC2 on Azure มอบการบริหารจัดการที่สอดคล้องกันให้กับโครงสร้างพื้นฐานไอทีขององค์กรทั้งที่อยู่บนระบบภายในและบนคลาวด์ ช่วยลดระยะเวลาในการตอบสนองของเน็ตเวิร์ค และเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุน”

ลูกค้าสามารถรันเวิร์กโหลดที่อยู่บน NC2 on Azure และบริหารจัดการ Azure instances ได้จากหน้าจออินเทอร์เฟซการบริหารจัดการของ Nutanix ซึ่งช่วยให้ลูกค้ารันไฮบริดเวิร์กโหลดได้ทั้งบนไพรเวทคลาวด์ และ Microsoft Azure ได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องออกแบบแอปพลิเคชันใหม่  ผลลัพธ์ที่คาดไว้คือการทำงานด้านไอทีที่คงเส้นคงว่าไม่ซับซ้อนบนคลาวด์ทุกประเภท การใช้ไฮบริดคลาวด์ได้ในไม่กี่ชั่วโมง และการลดต้นทุนรวม (TCO) เมื่อเทียบกับการใช้โซลูชันคลาวด์อื่น ๆ

ลูกค้ายังได้ใช้ประโยชน์จาก Azure Hybrid Benefit และ Extended Security Updates เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และมีความปลอดภัยมากขึ้น ลูกค้าของ Nutanix จะสามารถย้ายไลเซนส์ที่เหลือ อยู่ไปใช้บน NC2 on Azure หรือใช้ซอฟต์แวร์ของ Nutanix แบบออนดีมานด์ผ่าน Azure Marketplace ซึ่งช่วยให้การเคลื่อนย้ายการทำงานไปมาระหว่างไพรเวทคลาวด์ และ Microsoft Azure เป็นไปอย่างราบรื่นคล่องตัว

นายพอล นัชวาตี นักวิเคราะห์อาวุโสของ Enterprise Strategy Group กล่าวว่า “ลูกค้าต่างยังคงต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก เพื่อบริหารจัดการเวิร์กโหลดที่เกิดขึ้นจริงบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์ โซลูชัน Nutanix และ Azure นี้ช่วยขจัดความท้าทายใหญ่ ๆ ที่องค์กรจำนวนมากเผชิญอยู่ ด้วยฟังก์ชันการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์หนึ่งเดียวที่ใช้ได้กับคลาวด์ทุกประเภท รวมถึงการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันข้อมูล และนำไลเซนส์ไปใช้งานได้ทั้งบนไพรเวทและพับลิคคลาวด์”

ประโยชน์ของ NC2 on Azure ที่ลูกค้าจะได้รับ

    • ลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการกู้คืนระบบ และไม่จำเป็นต้องบำรุงรักษาไซต์สำรอง ด้วยการใช้ระบบสำรองเพื่อปัองกันความล้มเหลวแบบออนดีมานด์ของ Microsoft Azure
    • เข้าใช้งานทรัพยากรแบบออนดีมานด์บน Microsoft Azure และสามารถปรับขยายทรัพยากร และความสามารถเพื่อรองรับงานต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่ใช้แอปพลิเคชันและเครื่องมือต่าง ๆ
    • โยกย้ายและปรับปรุงดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทันสมัย ด้วยการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันและข้อมูลที่ใช้อยู่ได้อย่างง่ายดายในสภาพเดิมโดยไม่ต้องปรับโครงสร้างหรือปรับแต่งเครื่องมือใหม่ ซึ่งการปรับใหม่เหล่านี้มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลามาก

นายเดวิด ฟิตซ์เจอรัลด์ ผู้ช่วยรองประธานฝ่าย IT Delivery ของ Unum กล่าวว่า “บริษัทฯมุ่งมั่นพิทักษ์ประโยชน์ด้านการเงินให้กับลูกค้า 39 ล้านรายทั่วโลก ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ ในขณะเดียวกันเรายังคงเห็นว่าไฮบริดคลาวด์เป็นกุญแจสำคัญในการก้าวไปบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล  ทั้งนี้ NC2 on Azure ช่วยให้เราได้ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มไฮบริดคลาวด์ในด้านการกู้คืนระบบ รวมถึงการเคลื่อนย้ายและรันเวิร์กโหลดบน Azure เพื่อจัดการกับงานด้านโฮสต์ติ้งมากมาย  ปัจจุบันเราสามารถขยายการใช้ Nutanix Cloud Platform ของเราไปใช้บน Azure ที่ให้บริการตามภูมิภาคต่าง ๆ ได้แบบออนดีมานด์ โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างของแอปพลิเคชันที่ใช้อยู่ และบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสานต่อความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับ Microsoft และ Nutanix ต่อเนื่องในอนาคต”

นายดินานัทธ์ โคลคลาร์ Senior Vice President and Global Head of Partner Ecosystems & Alliances at TCS กล่าวว่า “เป็นเวลานานแล้วที่ TCS ได้นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาใช้ตอบสนองความต้องการลูกค้า และช่วยให้ลูกค้าของเราใช้เวลาและให้ความสำคัญกับงานที่สร้างผลตอบแทนทางธุรกิจมากกว่าจะมากังวลเรื่องไอที  ทั้งนี้ Microsoft Azure และ Nutanix ต่างเป็นเทคโนโลยีทางเลือกที่ลูกค้าของ TCS นิยมใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลอยู่แล้ว และ NC2 on Azure เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นที่เราจะนำไปช่วยให้ลูกค้าขยายและโยกย้ายเวิร์กโหลดต่าง ๆ จากระบบภายในองค์กรไปยังคลาวด์ได้ง่ายขึ้น  การที่เราสามารถใช้และขยายเวิร์กโหลดได้อย่างรวดเร็วผ่าน NC2 on Azure นั้นสำคัญต่อกลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์ของลูกค้ามาก  ดังนั้น TCS Microsoft Business Unit (MBU) จึงมุ่งมั่นอย่างมากที่จะนำโซลูชันนี้ไปให้ลูกค้าร่วมของเราได้ใช้งาน”

กรุณาเข้าชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NC2 on Microsoft Azure ได้ที่ลิงก์นี้ nutanix.com/azure

A More Efficient, Innovative and Greener 11.11 Runs Wholly on Alibaba Cloud

มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ทุกกิจกรรม เกิดขึ้นบนอาลีบาบา คลาวด์ เน้นมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

A More Efficient, Innovative and Greener 11.11 Runs Wholly on Alibaba Cloud

Global leading cloud provider achieving more with less whilst doubling the use of clean energy at key data centers during the world’s largest global shopping festival

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, has once again excelled in its mission of supporting the group’s 11.11 Global Shopping Festival, thanks to its high-performance computing and innovative technology.

Drawing on self-developed infrastructure upgrades, the group saw an 8% year-on-year saving in computing cost per resource unit from April 1 to November 11.

“The breadth and depth of cloud technology deployment during this year’s 11.11 has once again showcased Alibaba’s best cloud and technology practice; be it through fundamental architecture like self-proprietary technology powering high-performance computing and database products, or consumer-facing XR (extended reality) and livestreaming technologies. We intend to continue applying these proven capabilities to even better serve our customers and help them to be more efficient, innovative and greener in their own digital transformation journeys,” said Li Cheng, Chief Technology Officer (CTO) of Alibaba Group.

Doing more with less through cloud-native and serverless innovations

This year’s 11.11 was powered by Alibaba Cloud’s dedicated processing unit for the Apsara Cloud operating system. The upgraded infrastructure system, significantly improved efficiency of computing, storage and network in data centers supporting the event, while also reducing network latency. For example, with this new upgrade supported by cloud-native technology, ordering, pre-sale balance payment and refunding could be launched simultaneously with an enhanced scalability and lower latency.

During this year’s 11.11, the front page of Taobao, one of Alibaba’s e-commerce platforms, was upgraded by the latest serverless technology, allowing for automatic scaling with extreme elasticity based on actual workloads.

Alibaba Cloud’s cloud-native database products also significantly expanded the capacity of consumers’ shopping carts by more than a double, from 120 items to 300. The ApsaraDB for Redis Enhanced Edition (Tair), a cloud-based in-memory database service for enterprises, supports new functions such as product grouping and sorting, enabling consumers to organize their shopping cart according to their own preferences. They could also make use of the ‘select’ function to enjoy cross-merchant discounts, to pre-order goods and use vouchers for a more rewarding shopping experience.

Innovative technology delivers more immersive consumer experience

A more immersive shopping experience was created this year thanks to Alibaba’s proprietary technology in supporting extended reality. Alibaba’s technology in 3D modeling leverages a neural radiance field (NeRF), a neural network technology for generating novel views of complex 3D scenes. During this year’s 11.11, it assisted luxurious retail and furniture brands, like Burberry, Estee Lauder and SK-II, to build virtual stores on the e-commerce platform Tmall.

Through self-developed 3D renderings that realistically represent natural light, flames and natural flowing water, an outdoor nature scene was built for sportswear brands including Descente (Japan), to showcase its latest products in a vibrant and invigorating environment. Consumers can also view the products in three dimensions, enabling them to inspect details up close, or try on their chosen watches and accessories virtually thanks to AR technologies. Consumers are also free to arrange different items of furniture indoors, or tents for outdoor camping.

Another new expressive interaction came from an XR-powered marketplace on Tmall and Taobao. Using the automatic 3D space creation technology from Alibaba’s research institute DAMO Academy, a virtual shopping street was built, featuring over 700 products from 70 brands including 30 internationally-recognized franchises, such as Sanrio’s iconic Hello Kitty, and Hollywood’s franchise Minions. Shoppers can choose their own avatars, check out the products and place them in their virtual shopping carts.

During this year’s 12-day festival from October 31 to November 11, nearly 2 million packages were delivered by Xiaomanlv vehicles, Alibaba’s last-mile logistics vehicle. This is double the package delivery volume from the same period last year. The logistics robot was deployed in over 400 campuses across China, which has greatly reduced the time of queuing for package deliveries during peak hours.

A greener 11.11 powered by clean energy

In addition to its cloud computing solutions helping to reduce energy consumption, Alibaba Cloud’s five hyper-scale data centers across China also doubled the amount of clean energy used to support this year’s 11.11 compared to last year. More than 32 million kilowatt-hours of electricity used by Alibaba Cloud to support 11.11 this year came from renewable energy, up by 30% on a daily basis average compared to last year. Additionally, Alibaba Cloud’s Heyuan data center, the cloud company’s largest hyper-scale data center in South China, now runs entirely on clean energy. Alibaba Cloud’s self-developed immersion cooling technology has reduced the energy consumption of the data centers, with power usage effectiveness (PUE) reaching as low as 1.09 – a world-leading level.

Alibaba Cloud has also worked with Tmall to leverage the carbon management platform, Energy Expert. It provided online carbon footprint modeling, calculations and certifications for more than 40 brands in various sectors, including paper & pulp, food and personal care, to help them categorize low-carbon products, identify carbon emission resources and conduct informed sustainability practices to reduce carbon emissions.

มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ทุกกิจกรรม เกิดขึ้นบนอาลีบาบา คลาวด์ เน้นมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ทุกกิจกรรม เกิดขึ้นบนอาลีบาบา คลาวด์ เน้นมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ทุกกิจกรรม เกิดขึ้นบนอาลีบาบา คลาวด์ เน้นมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ระหว่างเทศกาลช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก บรรลุผลสำเร็จมากขึ้นด้วยการใช้พลังงานและต้นทุนน้อยลง และใช้พลังงานสะอาดในดาต้าเซ็นเตอร์หลักเพิ่มขึ้นสองเท่า

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประสบความสำเร็จอย่างงดงามอีกครั้งในการนำระบบประมวลผลสมรรถนะสูงและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนเทศกาลช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 การที่กลุ่มบริษัท ได้อัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่พัฒนาขึ้นเองหลายรายการ ทำให้สามารถประหยัดต้นทุนการประมวลผลต่อหน่วยทรัพยากรเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาได้ 8% จากวันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน

นายหลี่ เฉิง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ของ อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “การใช้เทคโนโลยีคลาวด์ทั้งในเชิงลึกและครอบคลุม ในช่วงเทศกาล 11.11 ปีนี้ ตอกย้ำให้เห็นแนวทางการใช้คลาวด์และเทคโนโลยีที่ประสบผลสำเร็จที่สุดของอาลีบาบา ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เทคโนโลยีที่เป็นของตนเอง (self-proprietary technology) ที่ใช้รองรับการประมวลผลประสิทธิภาพสูง และ ผลิตภัณฑ์ด้านดาต้าเบส หรือเทคโนโลยีที่ XR (extended reality) และไลฟ์สตรีมมิ่งต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานจริง เราตั้งเป้านำความสามารถที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วเหล่านี้ไปใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น และช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในแนวทางที่เป็นนวัตกรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น”

ประสิทธิภาพสูงขึ้น สิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยลง ด้วยการใช้นวัตกรรมด้าน cloud-native และ serverless

มหกรรม 11.11 ปีนี้ ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผลเฉพาะที่ใช้กับระบบปฏิบัติการ Apsara Cloud ของอาลีบาบา คลาวด์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการอัปเกรดนี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมหาศาลให้กับการประมวลผล การจัดเก็บ และเน็ตเวิร์กในดาต้าเซ็นเตอร์ต่าง ๆ ที่รองรับปริมาณงานในช่วง 11.11 และช่วยลดระยะเวลาในการตอบสนองของเน็ตเวิร์กควบคู่กันไปด้วย เช่น การอัปเกรดใหม่นี้ใช้เทคโนโลยีคลาวด์-เนทีฟ (cloud-native) ช่วยให้การสั่งซื้อ การชำระเงินให้ครบจากสินค้า pre-sale และการคืนเงิน สามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน ด้วยความสามารถในการปรับขนาดได้มากขึ้นและระยะเวลาในการตอบสนองที่เร็วขึ้น

ในช่วงงาน 11.11 ปีนี้ ได้มีการอัปเดตหน้า front page ของแอปพลิเคชัน Taobao ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านอีคอมเมิร์ซของอาลีบาบาด้วยเทคโนโลยี serverless ล่าสุด ช่วยให้สามารถปรับขนาดการใช้งานได้อัตโนมัติตามปริมาณงานที่เกิดขึ้นจริง ด้วยความยืดหยุ่นเต็มพิกัด

ผลิตภัณฑ์ด้านดาตาเบสที่เป็นแบบ cloud-native ของอาลีบาบา คลาวด์ ได้เพิ่มความจุให้กับตะกร้าสินค้าของผู้บริโภคมากกว่าสองเท่า จาก 120 รายการเป็น 300 รายการ ทั้งนี้ ApsaraDB for Redis Enhanced Edition (Tair) ซึ่งเป็นบริการฐานข้อมูลในหน่วยความจำที่ทำงานบนคลาวด์สำหรับองค์กรต่าง ๆ สามารถรองรับฟังก์ชันใหม่ ๆ เช่น การจัดกลุ่มและการจัดเรียงผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคจัดระเบียบตะกร้าสินค้าของตนได้ตามต้องการ ทั้งยังสามารถใช้ฟังก์ชัน ‘select’ เพื่อรับส่วนลดจากร้านค้าต่าง ๆ เพื่อสั่งสินค้าล่วงหน้า และเพื่อใช้บัตรกำนัลต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่คุ้มค่ามากขึ้น

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้ผู้บริโภค

เทคโนโลยีกรรมสิทธิ์ของอาลีบาบาที่ขยายการใช้งาน AR จำลองวัตถุเสมือนสู่โลกความจริง ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์สุดพิเศษในการช้อปปิ้งปีนี้ เทคโนโลยี 3D modeling ของอาลีบาบาใช้ประโยชน์จาก neural radiance field (NeRF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับการสร้างมุมมองฉาก 3D ที่ซับซ้อน ได้ช่วยให้แบรนด์ค้าปลีกและเฟอร์นิเจอร์ เช่น Burberry, Estee Lauder และ SK-II สร้างร้านค้าเสมือนจริงบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Tmall 

ฉากธรรมชาติกลางแจ้งสร้างขึ้นจาก 3D renderings ที่พัฒนาขึ้นเอง ที่ทำการเรนเดอร์แสงธรรมชาติ ความเจิดจรัส และธรรมชาติการไหลของน้ำที่สมจริง เพื่อให้แบรนด์สินค้ากีฬาต่าง ๆ เช่น Descente ของญี่ปุ่น ใช้เป็นฉากจัดแสดงผลิตภัณฑ์ล่าสุดในสภาพแวดล้อมที่สดใสมีชีวิตชีวา เทคโนโลยี AR ยังช่วยให้ผู้บริโภคสามารถดูผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในรูปแบบสามมิติ จึงสามารถตรวจสอบข้อมูลของผลิตภัณฑ์ได้อย่างละเอียด หรือลองใช้นาฬิกาและอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้แบบเวอร์ชวล หรือสามารถสัมผัสและรู้ว่าเมื่อจัดวางเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ในบ้านแล้วจะออกมาในรูปแบบใด ให้ความรู้สึกแบบไหน หรือหากกลางเต็นท์สำหรับการตั้งแคมป์กลางแจ้งแล้วจะอยู่ในลักษณะใด

การปฏิสัมพันธ์อีกหนึ่งรูปแบบที่เกิดขึ้นใหม่มาจากมาร์เก็ตเพลสที่ขับเคลื่อนด้วย XR บน Tmall และ Taobao มาจากถนนช้อปปิ้งเสมือนจริงที่สร้างขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีในการสร้าง automatic 3D space จากสถาบันวิจัย DAMO Academy ของอาลีบาบา โดยมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 700 รายการ จาก 70 แบรนด์ อยู่บนถนนสายนี้ รวมทั้งแฟรนไชส์ที่ได้รับการยอมรับในนานาประเทศ 30 แห่ง เช่น Hello Kitty ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ Sanrio และ Minions ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ของ Hollywood  นักช้อปทั้งหลายยังสามารถเลือกรูปอวาตาของตนเอง ตรวจสอบสินค้าและเพิ่มสินค้าเหล่านั้นไว้ในตะกร้าช้อปปิ้งเสมือนจริงของตนได้

ในช่วงเวลา 12 วันของเทศกาลปีนี้ ซึ่งเริ่มจาก 31 ตุลาคม ถึง 11 พฤศจิกายน มีพัสดุเกือบ 2 ล้านชิ้นส่งผ่าน Xiaomanlv ซึ่งเป็นพาหนะขนส่งสินค้าถึงมือลูกค้าของอาลีบาบา จำนวนพัสดุปีนี้เพิ่มขึ้นสองเท่าจากปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน มีการนำหุ่นยนต์ด้านโลจิสติกส์นี้ไปใช้มากกว่า 400 แห่งทั่วประเทศจีน ซึ่งช่วยลดเวลารอคิวจัดส่งพัสดุในเวลาเร่งด่วน

 เทศกาล 11.11 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

นอกจากโซลูชันคลาวด์คอมพิวติ้งที่ช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ไฮเปอร์-สเกล ดาต้าเซ็นเตอร์ห้าแห่งทั่วประเทศจีนของอาลีบาบา คลาวด์ ยังช่วยเพิ่มปริมาณพลังงานสะอาดที่ใช้ในมหกรรม 11.11 ปีนี้ได้สองเท่าของปีที่ผ่านมา ในมหกรรม 11.11 ปีนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ใช้ไฟจากพลังงานสะอาดมากกว่า 32 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น 30% ต่อวันโดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ดาต้าเซ็นเตอร์ Heyuan ของอาลีบาบา คลาวด์ ซึ่งเป็นไฮเปอร์-สเกล ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทคลาวด์ในประเทศจีนตอนใต้ ใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด เทคโนโลยี immersion cooling ที่พัฒนาขึ้นเองของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยลดการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งหลายด้วยประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ที่ต่ำถึง 1.09 ซึ่งนับเป็นระดับที่อยู่ในแนวหน้าของโลก

อาลีบาบา คลาวด์ ยังทำงานร่วมกับ Tmall เพื่อใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มบริหารจัดการคาร์บอนที่เรียกว่า Energy Expert โดยการจัดทำแบบจำลองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การคำนวณ และการรับรองต่าง ๆ ผ่านทางออนไลน์ ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ มากกว่า 40 แบรนด์จากหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น กระดาษและเยื่อกระดาษ อาหาร และของใช้ส่วนตัว เพื่อช่วยจัดหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ แจกแจงที่มาของการปล่อยคาร์บอน และปฏิบัติตามแนวทางด้านความยั่งยืนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน