Top 6 predictions for the food and beverage industry in 2023

Supply Chain’s Wild Ride Continues

Top 6 predictions for the food and beverage industry in 2023

Expect rising automation and deployment of AI/ML, supply chain agility & cost, food innovation, and demand for consumer transparency and sustainability

By Terry Smagh, Senior Vice President and General Manager for Asia Pacific and Japan, Infor

As we roll into 2023, the food & beverage industry will explore new avenues for products, sourcing, and technology to become better equipped for the unexpected. The industry has been greatly affected by consumer preferences in the past decade, which has catalyzed and pushed businesses to innovate quickly. Food & beverage organizations will further lean on cloud-based solutions to get to the next level in 2023 and will scale their businesses to meet consumer demand while addressing the pressures of supply chain instability and climate change. 

Anticipated trends and predictions that food & beverage organizations should consider in 2023 include:

    1. Supply chain agility & cost: Disruption is the new normal. An unpredictable future is the only certainty we know for the global supply chain. Coupled with the inflation of commodity prices and other external factors such as geopolitical tensions and the global chip shortage, the food & beverage supply chain needs agility in planning to spot issues sooner and meet demand. Food manufacturers need to be agile and plan for the unexpected with frequent changes in demand and supply and keep a close eye on its impact on production. Food & beverage businesses will diversify their raw material and supplier options further in 2023 to make up for supply disruptions. Organizations will need to meet demand as accurately as possible to ensure smooth operations and optimize production.
    2. Manufacturing automation: Undoubtedly, the global labor shortage has become a post-pandemic issue affecting the output of the food & beverage industry. The new generation of workers is not looking for life-long employment and is interested in careers that align with their values. Given the pressure to maintain supply with heightened demand, food & beverage organizations will need to invest in Industry 4.0 technologies to make up for the lack of employees. An example is using image recognition with machine learning (ML) so robots can automate labor-intensive tasks that previously required human eyes and decisions, such as in sorting, grading, cutting, and slicing. Food and beverage organizations that embrace these new technologies sooner will likely become the future leaders.
    3. Rise of artificial intelligence & ML: Artificial intelligence (AI) and machine learning (ML) solutions will be more heavily adopted for businesses in the cloud. For example, a dairy company implemented a machine learning model that optimizes the yield and minimizes waste in cheese making. In the past, the company could only analyze production output and a few contributing parameters such as protein, butterfat, and temperature looking backwards, which was too late to improve the yield. Today, the dairy can adjust the process continuously, considering many more contributing parameters. A 1 percent improvement in yield already equals $500,000 of cost savings. We will see more of these smart cost-saving use cases being implemented next year.
    4. Accelerated food innovation: Swapping out ingredients, sourcing from alternative suppliers, and decreasing pack sizes because of shortages and price increases will be a top trend. Besides that, true food innovation is becoming the new norm. Many startups in alternative proteins, lab-grown meats or synthetic dairy will be scaling up rapidly thanks to consumer adoption and the willingness of large food companies to invest in these innovations. There is also accelerated speed of product innovation to respond to consumers request, introduce different packaging sizes, to swap ingredients, or to source from alternative suppliers.
    5. Consumer transparency: Consumers are looking to learn more about the product, e.g., where is it from, are farmers and animals treated well, environmental impact, what are the functional benefits, etc. There is an ask from consumers but also an opportunity for food and beverage processors to tell their story with smart packaging showing traceability, freshness, etc., but also to connect and interact with the consumer in a digital way. There is a wealth of data that can be collected and analyzed, and then used in improving existing products and/or for new product innovation.
    6. Sustainability and transparency: As climate change becomes a more imminent threat, the food and beverage industry will undoubtedly be affected. Organizations will need to consider alternative local sourcing for products and lean into machine learning for energy, water, and food waste reduction. Within manufacturing, businesses primarily reduce waste (water, energy, food), as well as extending up and downstream the supply chain, e.g., farming practices, certifications, transportation. It’s important to evaluate suppliers based on total carbon footprint, i.e., within manufacturing and in transportation. Sourcing locally is not only about supporting the community but overall reducing the larger carbon footprint. For businesses to be more sustainable with packaging, the use of more environmentally friendly, reusable or even edible options can reduce waste and a carbon footprint. Full supply chain transparency will continue to be top of mind, as governmental and public pressures push organizations to share their progress on sustainability and transparency.

Learn more about how we deliver cloud-based software innovation to food and beverage businesses.

 

Infor คาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในปี 2566

Supply Chain’s Wild Ride Continues

Infor คาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในปี 2566

จะมีการใช้ระบบอัตโนมัติและการปรับใช้ AI/ML, ความคล่องตัวและต้นทุนของซัพพลายเชน, นวัตกรรมด้านอาหาร และความต้องการของผู้บริโภคในด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น

บทความโดย นายเทอร์รี สมา, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, อินฟอร์

ในปี 2566 อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มต่างพากันแสวงหาช่องทางใหม่ ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ การคัดเลือกซัพพลายเออร์เพื่อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจมีความพร้อมมากขึ้นสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด  ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งได้กระตุ้นและผลักดันให้ธุรกิจต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  ในปีนี้บริษัทอาหารและเครื่องดื่มจะยังคงพึ่งพาโซลูชันคลาวด์เพื่อทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้น และจะขยายธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของซัพพลายเชนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วย

แนวโน้มและการคาดการณ์ในปี 2566 ที่บริษัทอาหารและเครื่องดื่มควรคำนึงถึง ได้แก่:

    1. ความคล่องตัวและต้นทุนของซัพพลายเชน: การเปลี่ยนแปลงคือเรื่องปกติ  สิ่งที่แน่นอนเพียงหนึ่งเดียวสำหรับซัพพลายเชนทั่วโลกคืออนาคตที่ไม่สามารถคาดเดาได้  กอปรกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการขาดแคลนชิปทั่วโลก ซัพพลายเชนด้านอาหารและเครื่องดื่มจึงต้องมีความคล่องตัวในการวางแผน เพื่อให้สามารถตรวจพบปัญหาได้ตรงจุดตั้งแต่เนิ่น ๆ  อีกทั้งยังต้องยืดหยุ่นและมีแผนรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดจากความผันผวนด้านอุปสงค์และอุปทานที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง รวมทั้งต้องคอยจับตาดูผลกระทบที่เกิดกับการผลิตอย่างใกล้ชิด  สำหรับปี 2566 นี้ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเพิ่มทางเลือกด้านวัตถุดิบและซัพพลายเออร์มากขึ้น เพื่อชดเชยกับการหยุดชะงักของอุปทาน  ดังนั้น องค์กรจะต้องตอบสนองความต้องการให้ถูกต้องแม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้มั่นใจในการดำเนินงานที่ราบรื่นและประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิต
    2. ระบบอัตโนมัติสำหรับการผลิต: แน่นอนว่าการขาดแคลนแรงงานทั่วโลกได้กลายเป็นปัญหาหลังการแพร่ระบาดที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม  เนื่องจากแรงงานรุ่นใหม่สนใจอาชีพที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนมากกว่าการจ้างงานตลอดชีพ  อนึ่ง จากแรงกดดันที่ต้องรักษาอุปทานให้สอดคล้องกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น บริษัทอาหารและเครื่องดื่มจะต้องลงทุนในเทคโนโลยี Industry 4.0 เพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน เช่น การใช้แมชชีนเลิร์นนิง (ML) ในการจดจำภาพ (image recognition) เพื่อให้กระบวนการต่าง ๆ ซึ่งเดิมต้องใช้พนักงานจำนวนมากในการตรวจคัดเลือกสามารถดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ เช่น ในการคัดแยกขนาด,การคัดคุณภาพ, การตัดชิ้นและการฝาน เป็นต้น  บริษัทอาหารและเครื่องดื่มที่นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้มาใช้ก่อนก็มีแนวโน้มจะขึ้นแท่นครองตลาดได้ในอนาคต
    3. การใช้ AI และ ML เพิ่มขึ้น: ธุรกิจที่ใช้คลาวด์จะนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning: ML) มาใช้งานเพิ่มขึ้นอีกมาก เช่น บริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์จากนมแห่งหนึ่งได้นำแมชชีนเลิร์นนิงมาใช้งาน เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดของเสียในการผลิตชีสให้เหลือน้อยที่สุด  ในอดึตเมื่อเกิดปัญหา บริษัทฯ ทำได้เพียงย้อนกลับไปตรวจสอบผลผลิตและพารามิเตอร์ที่เกี่ยวข้องไม่กี่ชนิด เช่น โปรตีน ไขมันเนย และอุณหภูมิ ซึ่งก็สายเกินไปแล้วที่จะปรับปรุงผลผลิตให้ดีขึ้น  ทว่าทุกวันนี้ บริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์จากนมสามารถใช้พารามิเตอร์ที่เกี่ยวข้องอีกมากมายมาปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น 1% จะประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ถึง 500,000 เหรียญสหรัฐฯ และเราจะได้เห็นวิธีการประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดเหล่านี้มากขึ้นในปีหน้า
    4. เร่งความเร็วนวัตกรรมด้านอาหาร: การเปลี่ยนแปลงส่วนผสม การจัดหาจากซัพพลายเออร์รายอื่น ตลอดจนการลดขนาดบรรจุภัณฑ์เพื่อรองรับการขาดแคลนและการปรับขึ้นราคาจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมมาก  ยิ่งไปกว่านั้น นวัตกรรมด้านอาหารที่แท้จริงกำลังจะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่  ด้วยแรงหนุนจากผู้บริโภคและความเต็มใจของบริษัทอาหารขนาดใหญ่ที่จะลงทุนในนวัตกรรมเหล่านี้ ส่งผลให้สตาร์ทอัปจำนวนมากที่ทำธุรกิจด้านโปรตีนทางเลือก เช่น เนื้อสัตว์ในห้องแล็บ หรือผลิตภัณฑ์จากนมสังเคราะห์เติบโตอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ ยังมีการเร่งความเร็วของนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยนำเสนอในบรรจุภัณฑ์ขนาดต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงส่วนผสม หรือจัดหาจากซัพพลายเออร์รายอื่น ๆ 
    5. ความโปร่งใสเพื่อผู้บริโภค: บรรดาผู้บริโภคต่างต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตนซื้อ เช่น แหล่งที่มา, วิธีการปฏิบัติต่อเกษตรกรและสัตว์เลี้ยง, ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, ประโยชน์ที่จะได้รับ เป็นต้น  สำหรับการเรียกร้องของผู้บริโภค นอกจากจะเป็นโอกาสให้ผู้แปรรูปอาหารและเครื่องดื่มได้บอกเล่าเรื่องราวผ่านบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะที่แสดงให้เห็นถึงการตรวจสอบย้อนกลับและความสดใหม่ของสินค้าหรืออื่น ๆ แล้ว ยังทำให้ผู้ผลิตสามารถเชื่อมต่อและมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคในรูปแบบดิจิทัลได้อีกด้วย  เพราะสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ปัจจุบันและ/หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของบริษัท
    6. ความยั่งยืนและความโปร่งใส: เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มก็ย่อมได้รับผลกระทบอย่างไม่ต้องสงสัย  บริษัทจะต้องคำนึงถึงทางเลือกในการจัดหาผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น และใช้ประโยชน์จากแมชชีนเลิร์นนิงเพื่อลดการใช้พลังงาน น้ำ และอาหารเหลือทิ้ง  ส่วนภาคการผลิต ธุรกิจจะให้ความสำคัญกับการลดของเสียเป็นหลัก (น้ำ, พลังงาน, อาหาร) เฉกเช่นเดียวกับการขยายซัพพลายเชนทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ เช่น แนวทางปฏิบัติด้านการเกษตร การปฏิบัติตามมาตรฐานรับรอง และการขนส่ง เป็นต้น

ดังนั้น การประเมินซัพพลายเออร์โดยพิจารณาจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ปริมาณมลพิษที่เกิดขึ้นระหว่างการผลิตและการขนส่ง เป็นต้น  ส่วนการจัดหาวัตถุดิบในท้องถิ่นไม่เพียงแต่จะเป็นการสนับสนุนชุมชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมอีกด้วย  นอกจากนี้ การทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนมากขึ้นด้วยการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นำกลับมาใช้ซ้ำได้หรือเป็นวัสดุที่รับประทานได้ก็สามารถช่วยลดของเสียและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เช่นกัน  ดังนั้น การที่ภาครัฐและสาธารณะกดดันให้องค์กรรายงานความคืบหน้าด้านความยั่งยืนและความโปร่งใส แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าความโปร่งใสของซัพพลายเชนทั้งระบบยังคงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก 

สำหรับประเทศไทย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยภาพรวมของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมีประเด็นที่น่าจับตามองในด้าน (1) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดอาจจะปรับลดและส่งผลกระทบถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่รวมถึงด้านอาหารและเครื่องดื่มได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ยอดขายเกิดการชะลอตัวในระยะต่อไป (2) ต้นทุนการผลิตยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในหลาย ๆ ส่วนตลอดห่วงโซ่การผลิต ในฐานะผู้บริโภคปลายน้ำจะสังเกตเห็นได้ว่าราคาสินค้าหลายอย่างแพงขึ้น ส่งผลกระทบให้ค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้นด้วย (3) การให้ความสำคัญเรื่องอาหารปลอดภัย (Food safety) ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญมาก ดังนั้นผู้ผลิตฯ จะต้องยกระดับมาตรฐานการผลิตให้มีความปลอดภัยและตรวจสอบย้อนกลับได้เพื่อให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น (4) แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภค Gen Y หรือ Gen Z ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น จะชอบเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ปรุงแต่งน้อยลง และยังมีแนวโน้มที่จะบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลงด้วย  ส่วนอีกกลุ่มที่ไม่สามารถมองข้ามได้คือ กลุ่มผู้สูงอายุที่เติบโตและขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคม Aging Society  ดังนั้นผู้ผลิตฯ จะต้องปรับตัว ปรับสูตรผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้มากขึ้นด้วย และสุดท้าย (5)  แนวโน้มการแข่งขันจากสินค้าทดแทนหรือสินค้านวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม plant-based หรือโปรตีนทางเลือกจากพืช หรือกลุ่มของ lab-grown meat ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์เทียม  แม้ว่าปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้จะยังไม่อยู่ในกระแสหลักของตลาด แต่จะเริ่มเห็นพัฒนาการที่ก้าวหน้าและชัดเจนขึ้น ทำให้เชื่อได้ว่าในอนาคตสินค้ากลุ่มนี้จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดอาหารอย่างแน่นอน

จากประเด็นท้าทายทั้งห้าเรื่องด้านบน ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ ปรับกลยุทธ์เพื่อให้ตอบโจทย์เทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายและการแข่งขันในตลาดต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ที่เราให้บริการแก่ของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

Nutanix releases Starter Kit Bundle to supercharge partner sales cycle

Nutanix releases Starter Kit Bundle to supercharge partner sales cycle

Nutanix releases Starter Kit Bundle to supercharge partner sales cycle

Nutanix has announced the release of a Starter Kit Bundle for its channel partners across Thailand as of today.

The kit provides customers new to Nutanix the quickest and easiest way to get started with the Nutanix Cloud Platform. It includes Nutanix’s leading hybrid multicloud platform, integrated virtualization, and one-click management, along with deployment and migration services to accelerate time-to-value, and education vouchers to get IT staff the skills they need to maximize the value of their investment. 

Han Chon, managing director, Nutanix ASEAN, said the starter kit can be deployed on any hardware within the Nutanix hardware compatibility list or on supported public or service provider clouds.

“Our bundle is purpose-built to help our partners engage new logos and get them started with Nutanix in an effortless way,” Han said. “It’s an express on-ramp that will simplify and streamline the initial sales cycle, then open the door to future expansion deals.”

Key features of the Nutanix Starter Kit Bundle include:

    • The Nutanix Cloud Platform: Nutanix Cloud Infrastructure Pro and Nutanix Cloud Manager Starter are included in the bundle. These provide rich data services, resilience, and management features with infrastructure AIOps, monitoring, planning, right sizing, and low code automation.
    • Deployment and Migration Services: Cluster deployment at a single site for up to eight nodes on the customer’s choice of supported hardware platforms. Fastrack deployments are also available for integrations of Nutanix Prism (intelligent infrastructure management) and Nutanix Move (for VM migration). 
    • Education and certification: Nutanix Certified Professional (NCP) exam vouchers for three students and three individual seats for NCP – Multicloud Infrastructure classes with virtual instructor-led training. 

Michael Magura, vice president, APAC Channel Sales at Nutanix, said, “We created this bundle following feedback from partners that customers are looking to mitigate risk due to changes in the vendor landscape. As a result, customers are looking to establish a dual vendor strategy for particular workloads or migrate from their current vendor, and the Starter Kit is designed to help build that migration bridge for ease and assurance of transition.”

“Critically, we believe that once customers experience Nutanix, it won’t be long before they engage our partners to increase their deployment.” 

 

นูทานิคซ์เปิดตัว Starter Kit Bundle เสริมแกร่งการขายให้กับพันธมิตร

Nutanix releases Starter Kit Bundle to supercharge partner sales cycle

นูทานิคซ์เปิดตัว Starter Kit Bundle เสริมแกร่งการขายให้กับพันธมิตร

นูทานิคซ์เปิดตัว Starter Kit Bundle สำหรับพันธมิตรช่องทางการขายผลิตภัณฑ์และบริการของนูทานิคซ์ในประเทศไทย

Starter kit นี้ ช่วยให้ลูกค้าที่เริ่มใช้และยังใหม่กับโซลูชันของนูทานิคซ์ สามารถเริ่มต้นใช้ Nutanix Cloud Platform ได้ง่ายและเร็วที่สุด โดยในชุดประกอบด้วยแพลตฟอร์มไฮบริดมัลติคลาวด์คุณภาพระดับแนวหน้าของนูทานิคซ์ เวอร์ชวลไลเซชันแบบบูรณาการ และระบบการบริหารจัดการแบบคลิกเดียว มาพร้อมด้วยบริการด้านการใช้งานและการโยกย้ายการทำงาน เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์จากการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการ (time to value) ได้เร็วขึ้น และให้การรับรองความรู้ต่าง ๆ (education vouchers) เพื่อเสริมทักษะด้านไอทีที่จำเป็นให้กับเจ้าหน้าที่ไอที และลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน

นายฮัน ชอน กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียนของนูทานิคซ์ กล่าวว่า starter kit นี้สามารถนำไปใช้กับฮาร์ดแวร์ใดก็ได้ที่อยู่ในลิสต์รายการฮาร์ดแวร์ที่ใช้กับนูทานิคซ์ได้ หรือใช้บนพับลิคคลาวด์ หรือผู้ให้บริการคลาวด์ต่าง ๆ ที่รองรับการทำงานกับนูทานิคซ์

“Starter kit ที่รวมคุณประโยชน์ต่าง ๆ ไว้ด้วยกันนี้ สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้พันธมิตรของเราได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และเริ่มต้นใช้งานนูทานิคซ์ได้อย่างเรียบง่าย เป็นเหมือนเส้นทางลัดที่รวดเร็วที่ช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มความคล่องตัวให้กับการเริ่มต้นวงจรด้านการขาย และเปิดโอกาสสู่การตกลงทางธุรกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต” 

ฟีเจอร์สำคัญของ Nutanix Starter Kit Bundle มีดังนี้ 

    • Nutanix Cloud Platform: ชุด starter kit นี้มี Nutanix Cloud Infrastructure Pro และ Nutanix Cloud Manager Starter รวมอยู่ด้วย โซลูชันทั้งสองนี้มอบบริการด้านการจัดเก็บข้อมูลที่ครบเครื่อง มอบความยืดหยุ่น และฟีเจอร์ด้านการบริหารจัดการด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ AIOps การติดตามตรวจสอบ การวางแผน การปรับขนาดให้เหมาะสมกับการใช้งาน และระบบจัดการอัตโนมัติที่ใช้โค้ดน้อยที่สุด
    • บริการด้านการติดตั้งและการโยกย้าย: ให้บริการติดตั้งจำนวนหนึ่งคลัสเตอร์​ภายในไซต์เดียวกัน
      และได้มากถึงแปดโหนดบนฮาร์ดแวร์ที่รองรับการใช้งานกับนูทานิคซ์ที่ลูกค้าเลือก ทั้งยังมีฟาสต์แทร็ก ต่าง ๆ ที่พร้อมใช้งานผ่านการทำงานร่วมกันของ Nutanix Prism (โซลูชันด้านการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ชาญฉลาด) และ Nutanix Move (โซลูชันเพื่อการโยกย้ายเวอร์ชวลแมชชีน)
    • การให้ความรู้และให้การรับรอง: ให้การรับรองการสอบ Nutanix Certified Professional (NCP) กับผู้เรียนสามรายและอีกสามรายที่นั่งเพื่อเข้าชั้นเรียน NCP – Multicloud Infrastructure ซึ่งมีผู้สอนให้การฝึกอบรมแบบเวอร์ชวล
  •  

นายไมเคิล มากุระ รองประธานฝ่ายช่องทางการขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “การรวมโซลูชันต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นไว้ใน starter kit นี้เป็นไปตามข้อมูลที่เราได้รับจากพันธมิตรว่า ลูกค้ากำลังมองหาแนวทางลดความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในวงการผู้ขายเทคโนโลยี (เวนเดอร์) ดังนั้นลูกค้าจึงต้องการสร้างกลยุทธ์ในการใช้เวนเดอร์คู่สำหรับเวิร์กโหลดที่เฉพาะเจาะจงหรือการโยกย้ายจากเวนเดอร์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น starter kit นี้ จึงออกแบบมาเพื่อช่วยสร้างสะพานเชื่อมการโยกย้ายนั้นๆ ให้ลูกค้ามีความสะดวกและมั่นใจในการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ”

“เราเชื่อมั่นว่าไม่นานหลังจากที่ลูกค้าได้ใช้โซลูชันของนูทานิคซ์แล้ว ลูกค้าเหล่านั้นจะใช้โซลูชันของนูทานิคซ์ผ่านมาทางพันธมิตรของเราเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”

ธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศของ Alipay และ AlipayHK ดีดตัวสูงขึ้นในช่วงตรุษจีน ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว

ธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศของ Alipay และ AlipayHK ดีดตัวสูงขึ้นในช่วงตรุษจีน ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว

ธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศของ Alipay และ AlipayHK ดีดตัวสูงขึ้นในช่วงตรุษจีน ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว

ไทยครองแชมป์อันดับหนึ่งสำหรับ ‘ประเทศที่มีปริมาณการทำธุรกรรมสูงสุด’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    • เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ติดอันดับท็อปด้านการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านบริการ Alipay นอกเหนือจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและเขตบริหารพิเศษมาเก๊า ในช่วงวันหยุดดังกล่าว
    • ช่วงวันที่ 21-27 มกราคม ซึ่งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ยาว 7 วันในจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองการเริ่มต้นปีเถาะ Alipay และ AlipayHK ซึ่งเป็นพันธมิตรวอลเล็ทของ Alipay+ รายงานว่าปริมาณการทำธุรกรรมระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากจีนผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการเดินทาง

การเดินทางในประเทศและระหว่างประเทศของจีนฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาสำหรับการเริ่มต้นปีเถาะ โดยเห็นได้จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของยอดการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

ในช่วงวันที่ 21 ถึง 26 มกราคม ปริมาณการทำธุรกรรมในต่างประเทศของผู้ใช้ Alipay เพิ่มสูงขึ้นถึง150% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและมาเก๊าเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อพิจารณาจากจำนวนธุรกรรมในช่วงวันหยุดตรุษจีนที่ผ่านมา

ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง โดยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ นอกจากฮ่องกงและมาเก๊า ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 5 อันดับแรกที่มีปริมาณการทำธุรกรรมสูงสุดโดยผู้ใช้ Alipay ในช่วง 6 วันแรกของเทศกาลตรุษจีน ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา โดยไทย ‘ครองแชมป์อันดับหนึ่ง’

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำนวนการทำธุรกรรมผ่าน Alipay จากนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ไปยังมาเก๊าเพิ่มขึ้น 100% ขณะที่ธุรกรรมจากนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ไปยังฮ่องกงเพิ่มขึ้นเกือบ 70%  ปัจจุบัน Alipay ให้บริการแก่ผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านคน และได้ทรานส์ฟอร์มจากการเป็นเครื่องมือการชำระเงินที่เชื่อถือได้มาเป็นโอเพ่นดิจิทัลแพลตฟอร์มในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ไทยเป็นหนึ่งในห้าจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ Alipay ในช่วงเวลาดังกล่าว เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเก๊า และมาเลเซีย การชำระเงินข้ามพรมแดนของ Alipay ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับผู้ค้ารายย่อย เช่น คนขายของริมถนน และร้านสะดวกซื้อ และยอดใช้จ่ายเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ร้านค้าปลอดภาษีในประเทศต่าง ๆ

เมื่อวันที่ 8 มกราคม จีนได้ประกาศมาตรการเบื้องต้นเพื่อลดข้อจำกัดการเดินทางระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง โดยยกเลิกข้อกำหนดการกักกันโรคที่บังคับใช้มาเกือบ 3 ปี  วันหยุดนักขัตฤกษ์ช่วงตรุษจีนมีการเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มหันมาท่องเที่ยวต่างประเทศอีกครั้ง ส่วนนักเดินทางจากฮ่องกงและมาเก๊าเดินทางกลับไปยังจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อพักผ่อนหรือร่วมงานรวมญาติ

AlipayHK อีวอลเล็ทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในฮ่องกง มีผู้ใช้งาน 3.3 ล้านคน รายงานยอดธุรกรรมในจีนแผ่นดินใหญ่และมาเก๊าเพิ่มสูงขึ้นถึง 18 เท่าในช่วงวันที่ 21 ถึง 24 มกราคม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนจำนวนผู้ใช้ AlipayHK ที่ทำธุรกรรมในจีนแผ่นดินใหญ่และมาเก๊าเพิ่มขึ้น 15 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้ง Alipay และ AlipayHK เป็นพันธมิตรอีวอลเล็ทของ Alipay+ ผู้ให้บริการโซลูชั่นการชำระเงินและการตลาดดิจิทัลระหว่างประเทศระดับโลกที่ Ant Group เป็นเจ้าของ โดยเชื่อมโยงผู้ค้ากับบริการอีวอลเล็ทและช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย ปัจจุบัน Alipay+ มีพันธมิตรด้านโมบายล์เพย์เมนท์มากกว่า 15 รายทั่วโลก ผู้บริโภคสามารถใช้ช่องทางการชำระเงินในท้องถิ่นตามความต้องการได้อย่างสะดวกสบาย ควบคู่ไปกับการทำธุรกรรมในต่างประเทศได้อย่างราบรื่น และรับสิทธิประโยชน์จากข้อเสนอทางการตลาด และโปรโมชั่นจากผู้ค้าผ่าน Alipay+

AlipayHK อีวอลเล็ทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในฮ่องกง มีผู้ใช้งาน 3.3 ล้านคน รายงานยอดธุรกรรมในจีนแผ่นดินใหญ่และมาเก๊าเพิ่มสูงขึ้นถึง 18 เท่าในช่วงวันที่ 21 ถึง 24 มกราคม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ส่วนจำนวนผู้ใช้ AlipayHK ที่ทำธุรกรรมในจีนแผ่นดินใหญ่และมาเก๊าเพิ่มขึ้น 15 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้ง Alipay และ AlipayHK เป็นพันธมิตรอีวอลเล็ทของ Alipay+ ผู้ให้บริการโซลูชั่นการชำระเงินและการตลาดดิจิทัลระหว่างประเทศระดับโลกที่ Ant Group เป็นเจ้าของ โดยเชื่อมโยงผู้ค้ากับบริการอีวอลเล็ทและช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย

ปัจจุบัน Alipay+ มีพันธมิตรด้านโมบายล์เพย์เมนท์มากกว่า 15 รายทั่วโลก ผู้บริโภคสามารถใช้ช่องทางการชำระเงินในท้องถิ่นตามความต้องการได้อย่างสะดวกสบาย ควบคู่ไปกับการทำธุรกรรมในต่างประเทศได้อย่างราบรื่น และรับสิทธิประโยชน์จากข้อเสนอทางการตลาด และโปรโมชั่นจากผู้ค้าผ่าน Alipay+