CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

พิจารณาจากความสำเร็จในการใช้โซลูชันด้านโอเพ่นซอร์สของ Red Hat เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อปรับกระบวนทัพให้ทันกับแนวทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

Red Hat, Inc. ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการไทยที่ได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Red Hat APAC Innovation Awards) ประจำปี 2565 ได้แก่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMB Thai Bank) และ กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ณ งาน Red Hat Summit: Connect รางวัลนี้พิจารณาจากการนำโซลูชันของ Red Hat ไปใช้เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และเร่งให้ทีมงานด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างรวดเร็ว รองรับแนวทางการดำเนินธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลง

การจัดงาน Red Hat Summit: Connect ภายใต้ธีม “Explore what’s next” ในปีนี้ได้ยกย่องความสามารถขององค์กรต่าง ๆ ที่นำเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สไปใช้เพื่อปรับตัวได้ทันกับสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปรับเปลี่ยนรูปแบบในการทำธุรกิจได้อย่างเหมาะสม และมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งในปีนี้ Red Hat APAC Innovation Awards ให้การยกย่ององค์กรจำนวน 26 แห่งในภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล จากการนำโซลูชันของRed Hat ไปใช้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อก้าวล้ำเทรนด์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที

ความคล่องตัวและนวัตกรรมมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จของธุรกิจในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน รายงาน State of Enterprise Open Source 2022 ของ Red Hat ระบุว่า 95 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า โอเพ่นซอร์สเป็นเทคโนโลยีสำคัญต่อกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดขององค์กร โอเพ่นซอร์สช่วยให้องค์กรมีความคล่องตัว ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้ในระยะยาว

ผู้ได้รับรางวัลในสาขาต่าง ๆ จะต้องแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกจากการนำโซลูชันของ Red Hat ไปใช้สนับสนุนวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ วัฒนธรรมองค์กร อุตสาหกรรมและชุมชนต่าง ๆ โดยต้องแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือและวัฒนธรรมแบบโอเพ่นซอร์สสามารถเร่งให้กระบวนการทางธุรกิจ และการทำงานรวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม และสามารถแก้ไขความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างไร

รางวัลในปีนี้แบ่งเป็นห้าสาขา ได้แก่ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น (Digital Transformation), โครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud Infrastructure), การพัฒนาคลาวด์-เนทีฟ (Cloud-native Development), ระบบอัตโนมัติ (Automation) และความยืดหยุ่น (Resilience) สำหรับประเทศไทยมีองค์กรได้รับรางวัลสอง แห่ง คือ CIMB Thai Bank และ KBTG

สาขา: Digital Transformation และ Hybrid Cloud Infrastructure
องค์กรที่ได้รับรางวัล: ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMB Thai Bank)

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMB Thai Bank) มีวิสัยทัศน์ในการเป็นธนาคารดิจิทัลระดับแนวหน้าในอาเซียน และมุ่งมั่นสร้างองค์กรให้เป็นธนาคารที่มีสมรรถนะสูงอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างความก้าวล้ำให้ลูกค้าและสังคม ผ่านบริการทางการเงินที่ดีที่สุดในแต่ละด้าน ผ่านความแข็งแกร่งของเครือข่ายของธนาคารในอาเซียน และด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุด ปัจจุบันธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศไทย

เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นธนาคารดิจิทัลระดับแนวหน้าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านดิจิทัลจำนวนมาก ธนาคารจึงได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการต่าง ๆ ในรูปแบบธนาคารดิจิทัล เช่น การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-payments) และบริการโอนเงินระหว่างธนาคาร เป็นต้น ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของธนาคารฯ จำเป็นต้องมีวงจรในการพัฒนาให้รวดเร็วขึ้น รองรับปริมาณเวิร์กโหลดที่มากขึ้น เพื่อให้สามารถสร้างและปรับขนาดแอปพลิเคชันใหม่ ๆ และส่งแอปพลิเคชันเหล่านี้ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ธนาคารฯ จึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องนำแพลตฟอร์มใหม่ด้านธนาคารดิจิทัลมาใช้ โดย Red Hat OpenShift และ Red Hat OpenShift on AWS (ROSA) เป็นโซลูชันด้านโอเพ่นซอร์สแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้บริการด้านธุรกรรมการเงินของธนาคารมีความคล่องตัว ปรับขนาดการทำงานได้ตามต้องการ และมีความยืดหยุ่น สามารถรองรับปริมาณงานพัฒนาแอปพลิเคชันจำนวนมากทั้งบนระบบคลาวด์และในระบบภายในองค์กรได้ 

โซลูชันดังกล่าว ช่วยให้ธนาคารฯ สามารถทำการพัฒนาและส่งมอบแอปพลิเคชัน รวมทั้งบริการด้านธนาคารดิจิทัลใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ซึ่งส่งผลถึงการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างฟังก์ชั่นทางธุรกิจในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งยังได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่โซลูชันด้านโอเพ่นซอร์สมีให้อีกด้วย

สาขา: Digital Transformation และ Cloud-Native Development
องค์กรที่ได้รับรางวัล: กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)

ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2488 เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการธนาคารแบบครบวงจรแก่ผู้บริโภค การพาณิชย์ และองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การให้กู้ยืม บัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน รถ และสินเชื่อเช่าซื้อ เป็นต้น ปัจจุบัน KBank เป็นผู้ให้
บริการ K PLUS โมบายแบ้งกิ้งอันดับหนึ่งของประเทศไทยที่มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 18.6 ล้านคน และในปี พ.ศ. 2565 KBank เป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์และเงินฝากสูงสุดเป็นอันดับสี่ในประเทศ ทั้งยังมีส่วนแบ่ง ตลาดด้านสินเชื่อมากสุดเป็นอันดับสาม โดย KBTG หน่วยงานด้านไอทีของ KBank ทำหน้าที่ดูแล Infrastrucutre และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับธุรกิจของธนาคารทั้งในปัจจุบันและอนาคต

KBTG จำเป็นต้องพัฒนาระบบ Infrastructure ของธนาคารให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้า และนำเสนอผลิตภัณฑ์ดิจิทัลใหม่ ๆ ที่หลากหลาย รวมถึงการคงสถานะการเป็นผู้นำทางด้านธนาคารดิจิทัลของไทย KBTG จึงมองหาแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และมีประสิทธิภาพการทำงานเท่าทันการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกรรมดิจิทัล ให้สามารถรองรับแอปพลิเคชันจำนวนมาก ทั้งยังทวีความรวดเร็วในการส่งผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลออกสู่ตลาด เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 KBTG ได้นำ Red Hat OpenShift และ Red Hat Advanced Cluster Management ซึ่งเป็นโซลูชันด้านโอเพ่นซอร์สที่ช่วยอำนวยความสะดวก ให้การสร้างและออกแอปพลิเคชันใหม่ ๆ แบบ On-premise สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการปรับปรุงเทคโนโลยี Infrastructure ที่สำคัญให้ทันสมัยมากขึ้น เช่น ภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรม และคอนเทนเนอร์ การนำโซลูชันของ Red Hat มาใช้ ช่วยให้ KBTG สามารถลดเวลาในการจัดเตรียมระบบ และออกแอปพลิเคชันจาก 3 วัน เหลือเพียงวันเดียว ทำให้เราสามารถส่งมอบแอปพลิเคชันและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น

คำกล่าวสนับสนุน

Marjet Andriesse, senior vice president and general manager, APJC, Red Hat

“ในขณะที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลตามแผน Thailand 4.0 ยังคงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว Red Hat ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของลูกค้าของเรา ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าโอเพ่นซอร์สสามารถช่วยให้พวกเขามีความคล่องตัวและตอบสนองเทรนด์ของตลาดและลูกค้าได้อย่างไร ลูกค้าไทยของเราที่ได้รับรางวัลล้วนยืนยันให้เห็นถึงความคล่องตัว และสมรรถนะของนวัตกรรมในแง่มุมของการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น ไฮบริดคลาวด์ เพื่อให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชัน และส่งผลิตภัณฑ์/บริการออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วขึ้น เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและลูกค้าขององค์กรเหล่านั้น ฉันหวังว่าความสำเร็จเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับองค์กรอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิกให้ปลดล็อก และใช้ประโยชน์จากศักยภาพของโอเพ่นซอร์สได้เต็มประสิทธิภาพ”

นายไพศาล ธรรมโพธิทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เทคโนโลยีและวิทยาการข้อมูล ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

“ความมุ่งมั่นอย่างหนึ่งของเราเพื่อคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดด้านการเงินในประเทศไทย คือการให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้าด้วยบริการธนาคารดิจิทัลที่ปรับให้เจาะจงตามความต้องการของแต่ละบุคคลมากขึ้น และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของเราจะสามารถรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการที่เพิ่มมากขึ้นได้ เราจึงสร้างแพลตฟอร์มธนาคารดิจิทัลขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับขนาดการทำงานซึ่งเป็นคุณสมบัติของเทคโนโลยีไฮบริดคลาวด์ เราใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สของ Red Hat เป็นเทคโนโลยีสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านนี้ เราจึงมั่นใจว่าแพลตฟอร์มที่เราใช้มีประสิทธิภาพ สามารถปรับขนาดการทำงานได้ตามความเหมาะสม และมีความยืดหยุ่น ทั้งการใช้งานในระบบที่อยู่ภายในองค์กรและบนคลาวด์ต่าง ๆ”

นายตะวัน จิตรถเวช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี, KBTG

“ในฐานะที่ KBank เป็นธนาคารดิจิทัลอันดับหนึ่งของไทย เราจำเป็นที่จะต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่าง ต่อเนื่องเพื่อคงจุดยืนนี้ไว้ ดังนั้นการปรับโครงสร้างพื้นฐานแอปพลิเคชันของธนาคารฯ ให้ทันสมัยอยู่เสมอจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้เราสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลาย ที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในโลกดิจิทัลของลูกค้า โซลูชันของ Red Hat ช่วยให้เรามั่นใจว่าองค์ประกอบสำคัญใน Infrastructure ของเรา เช่น ภาษาที่ใช้การเขียนโปรแกรมและคอนเทนเนอร์ นั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด และเราจะสามารถส่งมอบแอปพลิเคชันและฟีเจอร์ใหม่ ๆ สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว”

Ericsson & depa Join Forces to Drive 5G Digital Transformation in Thailand

Ericsson & depa Join Forces to Drive 5G Digital Transformation in Thailand

Ericsson & depa Join Forces to Drive 5G Digital Transformation in Thailand

    • Collaboration will focus on driving digitization in Thailand
    • An innovation lab to be set up in Thailand Digital Valley that will serve as a 5G testbed

Ericsson (NASDAQ: ERIC) and the Digital Economy Promotion Agency (depa) today signed a Memorandum of Understanding to collaborate towards driving 5G based digital transformation in Thailand. The collaboration entails sharing best practices, advanced understanding and Ericsson’s state-of-the-art technology to accelerate Thailand’s journey towards becoming a digital economy.

As part of the MoU, Ericsson and depa will establish an innovation lab (Innolab) in depa’s Thailand Digital Valley in Chonburi province that will serve as a 5G testbed and service center for trials of new wireless and network technologies, spectrum sharing, as well as new applications and services in Thailand.

“Ericsson will continue to work closely with key stakeholders to drive the vision of Thailand 4.0 and support the development of the 5G ecosystem. As the global 5G technology leader, Ericsson will bring its state-of-the -art technology and solutions together with our global experience and expertise to realize Thailand’s goal of becoming a digital economy and society,” states Igor Maurell, Head of Ericsson Thailand.

“We will be working with Ericsson as our strategic partner in driving the ecosystem development in Thailand. Our key mission is to partner with stakeholders in the industry to come up with strategic plans to enhance the digital economy together with fostering innovations that are relevant to depa’s goal of creating better living and bolstering the competitiveness of the country,” said Asst.Prof. Dr. Nuttapon Nimmanphatcharin, depa’s President & CEO.

The collaboration also aims at creating new opportunities for business development, capability and skill development and encouraging foreign direct investments, while strengthening the role of Thailand Digital Valley in the development of next generation 5G products, services, and applications.

Both organizations share their common goal of supporting 5G based innovation and applications across sectors ranging from manufacturing, service, smart city, agriculture to social development. They also aim to bolster knowledge sharing and develop training programs in terms of technology, applied cases and regulations.

“Digital infrastructure plays a critical role in our society, with communication technologies help to address social, environmental, and economic challenges all across the globe,” Igor said. “We are working to ensure that the robust 5G network platform of today continues to evolve towards the 6G era, delivering new capabilities and superior performance.”

Ericsson is a global 5G leader and today powers 134 live 5G networks in 59 countries with 17 live 5G standalone networks across the world.

อีริคสันและดีป้าผนึกกำลังร่วมกันขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้วยเครือข่าย 5G ในประเทศไทย

อีริคสันและดีป้าผนึกกำลังร่วมกันขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้วยเครือข่าย 5G ในประเทศไทย

อีริคสันและดีป้าผนึกกำลังร่วมกันขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้วยเครือข่าย 5G ในประเทศไทย

    • โดยความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เดินหน้าไปสู่ดิจิทัล
    • พร้อมเตรียมจัดตั้งห้องปฏิบัติการด้านนวัตกรรม (Innovation Lab) ใน Thailand Digital Valley เพื่อเป็นสนามทดสอบเครือข่าย 5G

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เพื่อขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันผ่านการใช้เครือข่าย 5G ในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะประกอบด้วยการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ความรู้ความเข้าใจขั้นสูง และเทคโนโลยีล้ำสมัยของอีริคสันเพื่อเร่งเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ส่วนหนึ่งในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ยังระบุว่า อีริคสันและดีป้าจะจัดตั้งห้องปฏิบัติการด้านนวัตกรรม (Innolab) ใน Thailand Digital Valley ของดีป้าในจังหวัดชลบุรี เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์ทดสอบเครือข่าย 5G และศูนย์บริการสำหรับการทดสอบเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายและเครือข่ายใหม่ ๆ อาทิ การแบ่งปันคลื่นความถี่ (Spectrum Sharing) ตลอดจนการพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ในประเทศไทย

 มร. อิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “อีริคสันจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 พร้อมสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศ 5G ในฐานะผู้นำเทคโนโลยี 5G ระดับโลก อีริคสันจะนำเทคโนโลยีและโซลูชันล้ำสมัยมาผสานรวมเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับโลกของเรา เพื่อช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล”

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า “เราจะทำงานร่วมกับอีริคสันในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) ของเรา เพื่อผลักดันการพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลในประเทศไทย ทั้งนี้การร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมจัดทำแผนยุทธศาสตร์สำหรับยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลควบคู่ไปกับการส่งเสริมนวัตกรรม ถือเป็นอีกภารกิจสำคัญของดีป้า โดยมุ่งสู่การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”

ความร่วมมือนี้ยังช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาธุรกิจ พัฒนาศักยภาพและทักษะของบุคลากร รวมถึงกระตุ้นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังเป็นกลไกขับเคลื่อนระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรที่จะเกิดขึ้นใน Thailand Digital Valley ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และแอปพลิเคชัน 5G ในเจเนอเรชั่นถัดไป

นอกจากนี้อิริคสันและดีป้ายังมีเป้าหมายร่วมกันในการสนับสนุนนวัตกรรมและแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นจากเครือข่าย 5G ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยทั่วทั้งภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ ภาคการผลิต การบริการ การพัฒนาสมาร์ทซิตี้ การเกษตร ไปจนถึงการพัฒนาสังคม อีกทั้งยังส่งเสริมการแบ่งปันองค์ความรู้และร่วมกันพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมด้านเทคโนโลยี การนำกรณีการใช้งาน 5G ต่าง ๆ มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมถึง กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

“โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในสังคมของเรา ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารต่าง ๆ ช่วยให้เราจัดการกับความท้าทายทางสังคม สิ่งแวดล้อม และทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ดังนั้นเราจึงมุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ทุกภาคส่วนมั่นใจว่าแพลตฟอร์มเครือข่าย 5G ที่มีประสิทธิภาพสูง ณ ปัจจุบันจะเดินหน้าพัฒนาไปสู่ยุค 6G พร้อมส่งมอบความสามารถใหม่ ๆ และประสิทธิภาพที่เหนือกว่า” มร อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ขยายการให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 134 เครือข่าย ใน 59 ประเทศ พร้อมเครือข่าย 5G แบบ Standalone จำนวน 17 เครือข่ายทั่วโลก

PropertyGuru Group Launches Enterprise Brand, PropertyGuru For Business

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

PropertyGuru Group Launches Enterprise Brand, PropertyGuru For Business

Comprehensive suite of enterprise solutions under the brand to support real estate businesses and public sector stakeholders across Southeast Asia with enhanced data software, analytic tools and insights

PropertyGuru Group Limited (NYSE: PGRU) (“PropertyGuru” or the “Company”), Southeast Asia’s leading[1], property technology (“PropTech”) company, today launched its enterprise brand, at the annual PropertyGuru Asia Real Estate Summit, where top business leaders from the real estate industry gather to share insights and network.

Hari V. Krishnan, Chief Executive Officer and Managing Director, PropertyGuru Group said, “Today, PropertyGuru completes fifteen years of operations, and we mark it with the launch of our enterprise solutions brand ‘PropertyGuru For Business’, that aims to guide enterprise clients such as property developers, agencies, banks, valuers, city planners and policy makers. It is our ambition to bring transparency within the real estate journey and create a trust platform for home seekers and our business partners. By harnessing the integrated power of our proprietary data, technology and people, we hope to empower our business partners and customers to make better informed decisions.

At an enterprise or a city level, these decisions can impact thousands, or even millions of people, and PropertyGuru For Business is here to guide our clients to maximise growth opportunities, while reducing risk and uncertainty. We believe PropertyGuru for Business is a timely launch as we hope to equip our enterprise clients with the right data, tools and information to be able to navigate the uncertain economic conditions that lie ahead and be better prepared to serve their customers.”

PropertyGuru For Business includes a unified service and proprietary solutions such as DataSense, ValueNet, FastKey, event solutions as well as marketing-as-a-service (MaaS).

Hari also announced that PropertyGuru For Business market insights and intelligence platform DataSense (formerly known as Vantage+) will introduce a new suite of features and solutions catering to property developers to leverage analytics as a tool to improve their business. DataSense is currently available in Malaysia and will soon be introduced in our other markets – Singapore, Vietnam, Thailand and Indonesia.

PropertyGuru For Business’s debut at the event came at the right time as the property industry in Southeast Asia is undergoing a technology renaissance, with more enterprises and organisations looking towards digitalisation, making it an integral part of their operations transformation.

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

Shyn  Yee  Ho-Strangas,  Managing  Director for  Data  and  Software Solutions (DSS), PropertyGuru Group said, “Recognising that countries have different approaches to land and  property ownership, transaction  and  management  processes,  PropertyGuru For Business will be working with property stakeholders to improve systems in markets where it operates by championing and enabling digitalisation so that all property stakeholders can leverage deeper insights to make more confident decisions in a more transparent property ecosystem.

Most Southeast Asian countries still have legacy systems and processes that are not digitally shared  and  are difficult  to  update, optimise and customise. However, for organisations or enterprises that are ready to harness the power of digital transformation, PropertyGuru For Business’s suite of products and solutions will have an answer for a broad range of clients seeking to leverage reliable data platforms and intelligent software to boost their competitiveness. Data and insights in property is not useful only for developers or aspiring developers – digitalisation benefits practically everyone in the orbit of the property sector such as banking, construction, and those offering professional services to the real estate industry.

It is our endeavour to support sustainability, innovation, and technology efforts throughout the region.”

Responding to the changing needs of the real estate industry, Jeremy Williams, Managing Director of Marketplaces, PropertyGuru Group, said, “Southeast Asia is witnessing a surge in demand for digitisation and Big Data, coupled with the ability to provide more personalised customer experiences. Consolidating our offerings and solutions into our single unified brand will enable us to better serve our clients, but more importantly, the people who rely on property data to make critical life decisions.”

Jeremy concluded by saying, “PropertyGuru For Business will go beyond merely helping property stakeholders tap into millions of real estate listings, as it will be able to provide additional insights not available on other platforms to help clients see the larger picture.”

(From left to right) Dr. Nai Jia Lee, Head of Real Estate Intelligence, Digital and Software Solutions, PropertyGuru Group, Jeremy Williams, Managing Director, Marketplaces, PropertyGuru Group, Hari V. Krishnan, Chief Executive Officer and Managing Director, PropertyGuru Group, Shyn Yee Ho-Strangas, Managing Director, Data and Software Solutions (DSS), PropertyGuru Group, Manav Kamboj, Chief Technology Officer, PropertyGuru Group, and Bob Koppes, Director of Product and Strategy, Data and Software Solutions (DSS), PropertyGuru Group

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

แบรนด์ใหม่มาพร้อมโซลูชั่นครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มธุรกิจและองค์กรในภาคอสังหาริมทรัพย์ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเน้นการใช้ซอฟต์แวร์ด้านข้อมูล และเครื่องมือวิเคราะห์รวมไปถึงข้อมูลเชิงลึก

บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด (บริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1[1]ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE: PGRU) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ ของไทย และ thinkofliving.com เว็บไซต์รีวิวอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ) เปิดตัวแบรนด์ใหม่ล่าสุดที่งานสัมมนาประจำปี พร็อพเพอร์ตี้กูรู เอเชีย เรียล เอสเตท ซัมมิท (PropertyGuru Asia Real Estate Summit) ที่รวบรวมเหล่าผู้นำธุรกิจชั้นนำในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มาร่วมแชร์ข้อมูลเชิงลึก รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมร่วมกัน 

นายแฮรี่ วี คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “วันนี้พร็อพเพอร์ตี้กูรูของเรามีอายุครบ 15 ปีพอดี และเราขอใช้โอกาสนี้เปิดตัวแบรนด์ใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรของเรา นั่นคือ “พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส (PropertyGuru For Business)”  ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยให้คำแนะนำลูกค้าในกลุ่มธุรกิจและองค์กร อาทิ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, เอเจนซี่อสังหาฯ, ธนาคารและสถาบันการเงิน, นักประเมินค่าทรัพย์สิน, นักวางผังเมือง รวมไปถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการวางนโยบายต่าง ๆ ความใฝ่ฝันของเราคือการสร้างความโปร่งใสให้กับเส้นทางอสังหาฯ และสร้างแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้สำหรับทุกคนที่หาบ้านรวมไปถึงพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ด้วยการทุ่มเทสรรพกำลังทั้งข้อมูล เทคโนโลยี และบุคลากรที่เรามี เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจให้กับพันธมิตรทางธุรกิจและลูกค้าของเราได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น”

การตัดสินใจต่าง ๆ ในระดับองค์กร หรือในระดับเมือง นับเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อผู้คนนับพัน หรืออาจมากกว่าหลายล้านคน พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสจะเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ ที่ช่วยแนะแนวทางให้กับลูกค้าของเราเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนลง เราเชื่อว่า พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส เปิดตัวในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าองค์กรของเรามีข้อมูล, เครื่องมือ และรายละเอียดที่ถูกต้องในการตัดสินใจ เพื่อรับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า และเตรียมพร้อมให้บริการลูกค้าของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น”

บริการและโซลูชั่นหลักของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส ประกอบด้วย ดาต้าเซนส์ (DataSense), แวลูเน็ต (ValueNet), ฟาสต์คีย์ (FastKey), การจัดอีเวนต์ต่าง ๆ รวมไปถึงการบริการด้านกลยุทธ์การตลาด (MaaS)

นายแฮรี่ยังเผยอีกด้วยว่า ข้อมูลตลาดเชิงลึกของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส อย่าง “ดาต้าเซนส์” นั้น (ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ แวนเทจพลัส (Vantage+)) จะนำเสนอชุดฟีเจอร์และโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่ช่วยตอบโจทย์ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ นำข้อมูลบทวิเคราะห์ไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินธุรกิจของตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันดาต้าเซนส์มีให้บริการเฉพาะในประเทศมาเลเซียเท่านั้น โดยมีแผนจะขยายบริการดังกล่าวมายังประเทศสิงคโปร์, เวียดนาม, ไทย และอินโดนีเซียต่อไป

การเปิดตัวของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเนื่องจากภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในช่วงที่เทคโนโลยีกำลังได้รับความสนใจ และองค์กรต่าง ๆ กำลังพยายามเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ทำให้บริการและโซลูชั่นของเรามีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ 

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บ.แม่ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com เปิดตัวแบรนด์สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business

ด้านนางชินยี โฮ-สแตรนกาส กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจการบริการข้อมูลและซอฟต์แวร์ (DSS) พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “เราทราบดีว่าแต่ละประเทศมีขั้นตอน กฎระเบียบในการครอบครอง รวมไปถึงการจัดการที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสจะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบในประเทศที่เราให้บริการ โดยจะนำเอาระบบดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจอสังหาฯ สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ในระบบนิเวศของธุรกิจอสังหาฯ ที่มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น

ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ยังใช้ระบบและกระบวนการทำงานแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ได้แบ่งปันแบบดิจิทัลทำให้ยากต่อการอัปเดต แก้ไข หรือปรับปรุง อย่างไรก็ตาม สำหรับองค์กรและบริษัทต่าง ๆ ที่พร้อมจะใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลแล้ว บริการและโซลูชั่นของ พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส คือคำตอบสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของคุณ ข้อมูลเชิงลึกในภาคอสังหาฯ นั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่เฉพาะกับผู้พัฒนาโครงการที่มีวิสัยทัศน์เท่านั้น แต่การทำให้ข้อมูลเป็นดิจิทัลยังมีประโยชน์นานัปการสำหรับทุกคนในวงจรของอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็น การเงิน-การธนาคาร, การก่อสร้าง รวมไปถึงผู้ให้บริการต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมอสังหาฯ อีกด้วย 

นี่คือความตั้งใจของเราที่จะสนับสนุนความยั่งยืน, นวัตกรรม และเทคโนโลยีให้กับภูมิภาคนี้” 

ในขณะที่นายเจเรมี วิลเลียมส์ กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลส พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในภาคธุรกิจอสังหาฯ ว่า “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับความต้องการในการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัล และบิ๊กดาต้า ควบคู่กับความสามารถที่จะมอบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี การรวมบริการและโซลูชั่นของเราให้อยู่ภายใต้แบรนด์เดียวจะช่วยให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเราได้ดียิ่งขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของผู้คนที่พึ่งพาข้อมูลด้านอสังหาฯ เหล่านี้” 

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสจะช่วยให้ผู้คนในแวดวงอสังหาฯ เข้าถึงรายการประกาศอสังหาฯ กว่าล้านรายการบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ของเรา ซึ่งประกาศเหล่านี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมที่หาไม่ได้จากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ช่วยให้ลูกค้าของเราเห็นตลาดภาพรวมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” นายเจเรมีกล่าวสรุป

(บุคคลในภาพจากซ้ายไปขวา) ดร.ไนเจีย ลี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลเชิงลึกด้านอสังหาริมทรัพย์ หน่วยธุรกิจการบริการข้อมูลและซอฟต์แวร์ (DSS) พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปนายเจเรมี วิลเลียมส์ กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลส พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปนายแฮรี่ วี คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปนางชินยี โฮ-สแตรนกาส กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจการบริการข้อมูลและซอฟต์แวร์ (DSS) พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปนายมานาฟ แคมบอจ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป และ นายบ็อบ ค็อปปส์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์ หน่วยธุรกิจการบริการข้อมูลและซอฟต์แวร์ (DSS) พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป