องค์กรธุรกิจแห่งอนาคตต้องเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร: จะสร้างความยืดหยุ่นให้เกิดขึ้นในปี 2566 และในอนาคตได้อย่างไร

องค์กรธุรกิจแห่งอนาคตต้องเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร: จะสร้างความยืดหยุ่นให้เกิดขึ้นในปี 2566 และในอนาคตได้อย่างไร

องค์กรธุรกิจแห่งอนาคตต้องเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร: จะสร้างความยืดหยุ่นให้เกิดขึ้นในปี 2566 และในอนาคตได้อย่างไร

Marjet-Andriesse

บทความโดย มาร์เจ็ท แอนเดรส, รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก, เร้ดแฮท

แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ปัญหาต่าง ๆ เช่น เงินเฟ้อ ความตึงเครียดทางการเมือง และซัพพลายเชนที่ประสบกับความยุ่งยาก กำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ รายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ทิศทางเศรษฐกิจในปี 2566[1] จีดีพีไทยจะขยายตัวในช่วง 3.2-4.2% โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักยังคงมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจโลก โดยแม้ยังไม่มองการเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่โอกาสมีมากขึ้น เนื่องจากมีหลายปัจจัยเสี่ยงให้ติดตามทั้งเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ย และภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลายประเทศ

การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องทำอย่างระมัดระวัง มีการวางแผนและจัดระเบียบการใช้จ่ายระยะสั้นอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถทำกำไรได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องวางเดิมพันครั้งใหญ่ควบคู่กันไป เพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวเมื่อฟื้นตัวจากตลาดที่ประสบกับภาวะตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นองค์กรต่าง ๆ จะต้องวางแผนยาวไปจนถึงปี 2573 ไม่ใช่เพียงแผนสำหรับปี 2566 เท่าน้้น 

คำถามสำคัญที่ธุรกิจทั้งหลายต้องถามตัวเองคือ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ต่อจากนี้ความต้องการของลูกค้าจะเป็นอย่างไร นวัตกรรมด้านการผลิตจะเป็นอย่างไร และภาพรวมของธุรกิจจะเป็นไปในทิศทางใด

เป็นการยากที่จะรับมือกับการวิเคราะห์สิ่งที่ไม่เคยรู้จักมากมายดังกล่าวนี้ แต่บริษัทที่สามารถวิเคราะห์ได้เร็ว และมีประสิทธิภาพจะพร้อมฟื้นตัวจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดได้อย่างแข็งแกร่งและยืดหยุ่นกว่า

เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือปรับสมดุลที่ยอดเยี่ยม

ในระยะสั้น เทคโนโลยีมีบทบาทในการช่วยให้ธุรกิจดำเนินกิจการต่อไปได้ในระหว่างเกิดวิกฤต ด้วยการช่วยให้ทำงานจากระยะไกลได้ ช่วยให้ธุรกิจมีความคล่องตัว และมีส่วนร่วมภายนอกองค์กรผ่านช่องทางดิจิทัล ในระยะยาว องค์กรต่าง ๆ ย่อมต้องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อเป็นฐานที่แข็งแกร่งให้กับกระบวนการทำงานทั้งหมด ความคิดริเริ่ม หรือ ห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงขั้นตอนการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงมือผู้บริโภค (value chain) ซึ่งสนับสนุนการเดินบนเส้นทางสู่การเป็นองค์กรแห่งอนาคตของตน

องค์กรธุรกิจที่ชาญฉลาดในปัจจุบันจะจัดลำดับความสำคัญใหม่ เพื่อการลงทุนที่ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก, กระบวนการอัตโนมัติและการปรับขยายเสริมข้อมูล, ข้อมูลและการวิเคราะห์ และ DevOps ที่มีความคล่องตัวจะขับเคลื่อนนวัตกรรมในธุรกิจและรูปแบบการทำงานใหม่ ๆ

ในขณะที่ธุรกิจเดินหน้า ดิจิทัลจะเป็นเครื่องมือปรับสมดุลที่เป็นทางลัดให้องค์กรฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้องค์กรแห่งอนาคตทั้งหลายให้ใช้แพลตฟอร์ม, มีระบบนิเวศเป็นศูนย์กลางการทำงาน และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

สร้างธุรกิจที่ยืดหยุ่น

ก้าวแห่งการเปลี่ยนแปลงในเอเชียแปซิฟิกนั้นทั้งยากที่จะรับมือและน่ากังวล การที่ดิจิทัลเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ทำให้อุตสาหกรรมเกือบทุกแขนงต้องหยุดทบทวนและประเมินกลยุทธ์ของตนใหม่

องค์กรที่อยู่ในเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเรียบร้อยแล้ว สามารถก้าวข้ามความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น และมีโครงสร้างทางดิจิทัลที่มั่นคงที่สามารถลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดให้เหลือน้อยที่สุดได้

โอเพ่นซอร์สสำคัญต่อการสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างยิ่ง สามารถช่วยองค์กรลดผลกระทบต่าง ๆ เหล่านี้ได้มาก โดยมอบความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากขึ้นในอนาคต

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในองค์กรไทยที่ได้นำโซลูชันและแพลตฟอร์มด้านโอเพ่นซอร์สของเร้ดแฮท เข้ามาช่วยให้บริการมีความคล่องตัว ปรับขนาดการทำงานได้ และยืดหยุ่น สามารถรองรับปริมาณงานพัฒนาแอปพลิเคชันจำนวนมากได้ทั้งบนคลาวด์ และระบบภายในองค์กร ตอบโจทย์วิสัยทัศน์ในการเป็นธนาคารดิจิทัลระดับแนวหน้าในอาเซียนของธนาคารได้อย่างประสบผลสำเร็จ ในขณะที่ธนาคารกสิกรไทย ผู้นำด้านธนาคารดิจิทัลในประเทศไทย โดย KBTG หน่วยงานด้านไอทีของธนาคารได้ใช้โซลูชันด้านโอเพ่นซอร์สของเร้ดแฮท เพิ่มประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างพื้นฐานหลัก และใช้แพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดเวลาในการจัดเตรียมระบบและการออกแอปพลิเคชันจากสามวันเหลือเพียงวันเดียว ทำให้ส่งมอบแอปพลิเคชันและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น

โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ยืดหยุ่นคือรากฐานของนวัตกรรม

องค์กรแห่งอนาคตต้องมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยที่มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และปรับขนาดการทำงานได้ไม่จำกัด เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ที่กว้างขวาง ผ่านช่องทางดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

IDC ICT Predictions[2] คาดการณ์ว่าจะมีองค์กรธุรกิจในเอเชียมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่วางแผนและดำเนินกลยุทธ์และกิจกรรมที่เริ่มต้นด้วยดิจิทัลตั้งแต่เริ่มแรก (digital-first) มากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดการณ์ว่าภายในปี 2566 จะมีอัตราบริษัทหนึ่งในสามบริษัท ที่สร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลมากกว่า 30% ของรายได้ทั้งหมด เทียบกับอัตราส่วน 1 ใน 5 ของปี 2563

สิ่งที่จำเป็นมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย digital-first คือ คน กระบวนการ และเทคโนโลยี ต้องสอดคล้องกัน โอเพ่นซอร์สเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนนวัตกรรมและสามารถปูทางสู่ความสำเร็จนี้ได้ เพราะโอเพ่นซอร์สนำคนที่มีประสบการณ์หลากหลายมาทำงานร่วมกันเพื่อแก้ความท้าทายที่พบเจอเหมือนกัน และจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ

ในขณะที่โลกในปัจจุบันให้ความสำคัญอย่างเหนียวแน่นกับเศรษฐกิจแบบ digital-first ซึ่งเศรษฐกิจแบบนี้และแนวโน้มทางธุรกิจในอีกสองสามปีต่อจากนี้ยังคงมีความผันผวนสูง เพราะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจระดับโลกและเศรษฐกิจมหภาคเพิ่มมากขึ้น ความสำเร็จขององค์กรในอีก 12-36 เดือนนับจากนี้จะถูกกำหนดด้วยความสามารถขององค์กรนั้น ๆ ว่าจะสามารถจัดการกับความท้าทายที่ปะทะเข้ามาเหล่านี้ได้ดีเพียงใด

องค์กรธุรกิจต้องถามตัวเองว่า จะเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร

[1] https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/economy/Pages/KR-Press-19-12-22-pp.aspx

[2]  Source:  IDC FutureScape: Worldwide Top ICT Predictions – Asia/Pacific (Excluding Japan)  Implications, November 2021

Alibaba Cloud to Introduce Blockchain Node Service to Facilitate Growth of Web 3.0 Ecosystem

Alibaba Cloud to Introduce Blockchain Node Service to Facilitate Growth of Web 3.0 Ecosystem

Alibaba Cloud to Introduce Blockchain Node Service to Facilitate Growth of Web 3.0 Ecosystem

Leading cloud service provider aims to empower developers with a scalable, efficient, and secure PaaS platform

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, today announced a roadmap for the launch of its first Blockchain Node Service. Scheduled for the first quarter of 2023, the Blockchain Node Service will support the growth of the evolving Web3.0 ecosystem and better serve developers with Alibaba Cloud’s scalable, efficient and secure infrastructure for a more user-friendly and immersive experience.

The new PaaS platform aims to aid developers by reducing operational and maintenance time while they are building and deploying new products. Leveraging Alibaba Cloud’s scalable, high performance and stable infrastructure, the node-hosting service actively monitors the nodes and automatically switches in case of an outage. As it doesn’t require hands-on monitoring or problem mitigation, developers are free to concentrate on product development and thus speed up the pace of the product roll-out process.

With Alibaba Cloud’s world-class security and global compliance capabilities, the Blockchain Node Service is backed with security configurations that can help prevent unauthorized access to the nodes. The nodes are placed behind the cloud firewall and only verified users and machines are allowed to communicate with client endpoints. Moreover, Alibaba Cloud security solutions can further protect nodes from DDoS attacks.  

“Driven by enterprises’ increasing demand for simplifying the complex inter-silo dependencies, we can see the popularity of nodes has grown significantly in recent years in Asia,” said Raymond Xiao, Head of International Industry Solutions and Architect, Alibaba Cloud Intelligence. “On top of its flexibility and efficiency, Alibaba Cloud’s stable and reliable enterprise-class node service backed with comprehensive security features, offers developers an extra layer of confidence as they navigate seamlessly across different frameworks.”

To prepare for the launch early next year, Alibaba Cloud has already started offering partners a scalable, highly efficient and secure infrastructure to help build the Web3.0 ecosystem and community with developers from across the world.

For example, Alibaba Cloud has recently expanded its line of infrastructure technology and intelligence tools to the Avalanche public blockchain (AVAX). This enables users to launch validator nodes through the service and access computing, storage, and distribution resources through Alibaba Cloud’s suite of products in Asia. The two sides will also work together to support innovative Web3.0 projects, including hackathons, developer education and mentorship programs, to help Web2.0 developers transition to Web3.0. 

It has also created an infrastructure and technology platform for Web3.0 developers in partnership with HashKey Group, a Hong Kong-based end-to-end digital asset financial services group and Web3.0 infrastructure provider, and PlatON, a next-generation internet infrastructure protocol based on the fundamental properties of blockchain and supported by the privacy-preserving computation network.

“Web 3.0 is currently at an early stage, and with it being the next generation of the Internet, it is already being embraced by users, especially in Southeast Asia,” said Dr Derek Wang, General Manager of Singapore, South Asia and Thailand, Alibaba Cloud Intelligence, “Alibaba Cloud’s strong infrastructure across APAC and global leading security and compliance capabilities put us in a strong position to support the growth of the Web 3.0 ecosystem. We are committed to better serving customers to help explore new business opportunities, while supporting consumers to ensure a more user-friendly and immersive experience.”

As part of the evolution of the Web 3.0 ecosystem, initially 100 users will be recruited in an open beta test for the launch of the Node Service, while a series of Web 3.0 Hackathon Campaigns will be held in Singapore, Japan, Thailand and Hong Kong, early next year.

New Web 3.0 industry offerings in E-sports and the metaverse

As a global leading IaaS and PaaS provider, Alibaba Cloud aims to provide robust, secure and high-performance technology platforms and intelligence tools for worldwide Web3.0 developers to build their own applications, in the metaverse, gaming environments and across social media platforms for example.

Alibaba Cloud launched the “Cloud ME” hologram powered by its real-time communication (RTC) solution at the Olympic Winter Games Beijing 2022. The technology facilitates social interactions for people keen to explore bona fide meeting experiences during the Olympic Winter Games, enabling them to meet and enjoy real-time conversations via life-sized, true-to-life projection.

Alibaba Cloud and Japan’s leading development studio, JP Games, have also jointly launched a series of new services developed to create realistic virtual spaces and avatars for global customers who venture into space. The service includes the automatic creation of visually stunning 3D virtual spaces, high-quality graphics from 2D landscape photos as well as the automatic creation of user avatars, simply by taking selfie photos.

อาลีบาบา คลาวด์ สนับสนุนระบบนิเวศ Web 3.0 ด้วย Blockchain Node Service

Alibaba Cloud to Introduce Blockchain Node Service to Facilitate Growth of Web 3.0 Ecosystem

อาลีบาบา คลาวด์ สนับสนุนระบบนิเวศ Web 3.0 ด้วย Blockchain Node Service

มุ่งเสริมสมรรถนะให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ด้วยแพลตฟอร์ม PaaS ที่ปรับขนาดได้ตามต้องการ เปี่ยมประสิทธิภาพ และปลอดภัย

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เปิดตัว Blockchain Node Service เป็นครั้งแรกและพร้อมให้บริการในไตรมาสแรกของปี 2566 โดย Blockchain Node Service นี้จะสนับสนุนระบบนิเวศ Web3.0 ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านโครงสร้างพื้นฐานของอาลีบาบา คลาวด์ ที่ปรับขนาดการใช้งานได้ตามต้องการ มีประสิทธิภาพสูง และมีความปลอดภัย เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่น่าประทับใจและใช้งานง่ายให้กับผู้ใช้งาน

แพลตฟอร์ม PaaS ใหม่นี้ ตั้งเป้าเพื่อช่วยลดเวลาการทำงานในการสร้าง ดูแลรักษา และการใช้งานผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้กับนักพัฒนาทุกคน บริการ node-hosting service ใช้คุณสมบัติจากโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับขนาดการทำงานได้ มีประสิทธิภาพสูง และมีความเสถียรของอาลีบาบา คลาวด์ จึงสามารถติดตามตรวจสอบโหนดต่าง ๆ ได้อย่างคล่องตัว และหากเกิดไฟดับก็สามารถสลับการใช้งานได้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องพึ่งพาคนมาทำการตรวจสอบหรือแก้ปัญหาด้วยตนเอง นักพัฒนาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ และหันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลให้กระบวนการสร้างและส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดทำได้เร็วขึ้น 

ระบบความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และความสามารถในการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วโลกของอาลีบาบา คลาวด์ ทำให้ Blockchain Node Service ได้รับการสนับสนุนจากคอนฟิก กูเรชันด้านความปลอดภัยต่าง ๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงโหนดต่าง ๆ ได้ โดยวางโหนดทุกโหนดไว้หลังไฟร์วอลล์ของคลาวด์ และมีเพียงผู้ใช้และเครื่องมือที่ได้รับการตรวจสอบแล้วเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้สื่อสารกับอุปกรณ์ปลายทางที่เป็นจุดติดต่อกับภายนอกได้ นอกจากนี้ โซลูชันด้านความปลอดภัยของอาลีบาบา คลาวด์ ยังสามารถปกป้องโหนดต่าง ๆ จากการโจมตี DDoS ได้ด้วย

นายเรย์มอนด์ เซียว Head of International Industry Solutions and Architect ของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “การที่องค์กรต่าง ๆ ในเอเชีย ต้องการลดความซับซ้อนระหว่างการใช้งานไซโลต่าง ๆ ทำให้มีการใช้โหนดแพร่หลายมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพแล้ว อาลีบาบา คลาวด์ ยังให้บริการโหนดสำหรับการใช้งานระดับองค์กรที่เสถียรและเชื่อถือได้ที่มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยครบวงจรสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาที่ทำงานข้ามไปมาระหว่างเฟรมเวิร์กต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นและมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง”

อาลีบาบา คลาวด์ เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวบริการนี้ในต้นปีหน้า โดยได้เริ่มนำเสนอโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับขนาดได้ มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยนี้ให้กับพันธมิตรแล้ว เพื่อช่วยสร้างระบบนิเวศและชุมชน Web3.0 ร่วมกับนักพัฒนาจากทั่วโลก

เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ อาลีบาบา คลาวด์ได้ขยายสายผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมืออัจฉริยะไปยัง Avalanche public blockchain (AVAX) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานเปิดใช้โหนดที่มีหน้าที่ตรวจสอบผ่านบริการและการเข้าใช้การประมวลผล สตอเรจ และดิสทริบิ้วชันรีสอร์สผ่านชุดผลิตภัณฑ์ในเอเชียของอาลีบาบา คลาวด์ บริษัททั้งสองแห่งยังจะทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนโครงการ Web3.0 ใหม่ ๆ เช่น แฮ็กกาธอน การให้ความรู้กับนักพัฒนา และโปรแกรมการให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้นักพัฒนา Web2.0 เปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนา Web3.0

บริษัทฯ ยังได้สร้างแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีให้นักพัฒนา Web3.0 โดยร่วมมือกับ HashKey Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ให้บริการสินทรัพย์การเงินดิจิทัลครบวงจรตั้งอยู่ที่ฮ่องกง และเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Web3.0 นอกจากนี้ยังร่วมมือกับ PlatON ซึ่งเป็นโปรโตคอลโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตตามคุณสมบัติพื้นฐานของบล็อกเชนเน็ตรุ่นต่อไปที่ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายคอมพิวติ้งที่ปกปิดความเป็นส่วนตัวได้

ดร. เดเรก หวัง ผู้จัดการทั่วไปประจำสิงคโปร์ เอเชียใต้และประเทศไทย, อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ปัจจุบัน Web 3.0 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และด้วยความที่เป็นอินเทอร์เน็ตยุคต่อไป มันจึงได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาลีบาบา คลาวด์ อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่สามารถสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศ Web 3.0 เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงที่ได้รับการยอมรับทั่วเอเชียแปซิฟิก และมีระบบรักษาความปลอดภัยรวมถึงความสามารถในการปฏิบัติตามกฎระเบียบอยู่ในระดับชั้นนำของโลก เรามุ่งมั่นให้บริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าได้พบกับโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนผู้บริโภคให้ได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและการใช้งานที่ง่ายอย่างแท้จริง”

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบนิเวศของ Web 3.0 ผู้ใช้งาน 100 รายแรกจะได้รับการคัดเลือกให้ทดสอบแบบเบต้าในการเปิดตัว Node Service นอกจากนี้ ต้นปีหน้าเราจะจัด Web 3.0 Hackathon Campaign ในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไทย และฮ่องกง 

ข้อเสนอใหม่สำหรับอุตสาหกรรม Web 3.0 ด้านอีสปอร์ตและเมตาเวิร์ส 

อาลีบาบา คลาวด์ ในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการ IaaS และ PaaS ชั้นนำระดับโลก ตั้งเป้าที่จะนำเสนอแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย ประสิทธิภาพสูง และเครื่องมืออัจฉริยะสำหรับนักพัฒนา Web3.0 ทั่วโลกที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันของตนเอง เช่น ในเมตาเวิร์ส เกม และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เป็นต้น

ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่ง 2022 อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดตัวโฮโลแกรม “Cloud ME” ที่ขับเคลื่อนด้วยโซลูชันการสื่อสารแบบเรียลไทม์ (real-time communication: RTC) ทั้งนี้ระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว Cloud ME ได้ช่วยให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น สามารถสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงด้วยกัน ผู้คนได้พบปะและเพลิดเพลินกับการสนทนาแบบเรียลไทม์ผ่านการยิงภาพเท่าของจริงเหมือนอยู่ในสถานการณ์จริง

อาลีบาบา คลาวด์ และ JP Games ซึ่งเป็นสตูดิโอด้านการพัฒนาทางเทคโนโลยีระดับแนวหน้าของญี่ปุ่นได้ร่วมกันเปิดตัวชุดบริการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างพื้นที่เสมือนจริงและอวาตาร์สำหรับลูกค้าทั่วโลกที่ชอบผจญภัยในอวกาศ บริการนี้ประกอบด้วยการสร้างพื้นที่เสมือนจริง 3 มิติ ที่สวยงามแบบอัตโนมัติ กราฟิกคุณภาพสูงจากภาพถ่ายทิวทัศน์ 2 มิติ รวมถึงการสร้างอวาตาร์ของผู้ใช้งานได้แบบอัตโนมัติง่าย ๆ ด้วยการถ่ายภาพเซลฟี่

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองครองใจคนหาบ้านประจำปี 65

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองครองใจคนหาบ้านประจำปี 65

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองครองใจคนหาบ้านประจำปี 65

คอนโดฯ Affordable โดนใจผู้ซื้อชาวกรุง สวนกระแสบ้านหรูครองใจผู้ซื้อบ้านเดี่ยว 

ปี 2565 เป็นปีแห่งความหวังของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย แต่กลายเป็นว่าต้องเผชิญมรสุมความท้าทายทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผนวกกับภาวะเงินเฟ้อที่ผลักดันให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ล้วนส่งผลให้ทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่คิดไว้ อย่างไรก็ดีมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ของภาครัฐอย่างต่อเนื่องและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะสิ้นสุดลงในปลายปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ดึงดูดให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้มากขึ้น ข้อมูลจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 46.1 เป็น 47.9 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือนนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นต้นมา ถือเป็นสัญญาณบวกสะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้กลับมาแล้ว  

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ปัจจัยภายนอกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญอันดับต้น ๆ เมื่อเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั้น มากกว่าครึ่งต้องการโครงการที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (53%) ตามมาด้วยเลือกจากทำเลที่ตั้งของโครงการ (50%) สะท้อนให้เห็นว่าคนหาบ้านปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ พร้อมรองรับการเดินทางไปทำงานและไลฟ์สไตล์ทุกด้านด้วยนั่นเอง 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.ddproperty.com และแอปพลิเคชัน DDproperty ในรอบปี 2565 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2565) สะท้อนเทรนด์ความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ

21-Dec_Buyer-search-from-DDproperty_resize-(1)

โดย 10 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี 2565 ได้แก่ 

    • อันดับ 1 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง
    • อันดับ 2 แขวงบางจาก เขตพระโขนง
    • อันดับ 3 แขวงบางนา เขตบางนา
    • อันดับ 4 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา 
    • อันดับ 5 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว
    • อันดับ 6 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง
    • อันดับ 7 แขวงจอมพล เขตจตุจักร
    • อันดับ 8 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ
    • อันดับ 9 แขวงดินแดง เขตดินแดง
    • อันดับ 10 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุด เมื่อแบ่งตามประเภทของอสังหาฯ แล้วพบว่า 

    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อคอนโดฯ สูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา
    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อบ้านเดี่ยวสูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงประเวศ เขตประเวศ
    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อทาวน์เฮ้าส์สูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน

“บางจาก” ทำเลศักยภาพมาแรง ผู้เช่าค้นหามากที่สุดแห่งปี

ท่ามกลางความท้าทายทางการเงินจากสภาพเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาเลือกเช่าแทนการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและสะดวกในการโยกย้ายถิ่นฐานมากกว่า ข้อมูลจากจำนวนการเข้าชมประกาศอสังหาฯ ให้เช่า บนเว็บไซต์ DDproperty พบว่า ในปี 2565 นี้ “บางจาก” เป็นทำเลที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุด ด้วยความโดดเด่นจากการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยยอดนิยมของวัยทำงานทั้งชาวไทยและต่างชาติ อยู่ใกล้ใจกลางเมือง รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีรถไฟฟ้าผ่าน ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีคอนโดฯ ที่มีราคาเอื้อมถึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

โดย 10 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในรอบปี 2565 ได้แก่ 

    • อันดับ 1 แขวงบางจาก เขตพระโขนง
    • อันดับ 2 แขวงบางนา เขตบางนา
    • อันดับ 3 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา 
    • อันดับ 4 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง
    • อันดับ 5 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย
    • อันดับ 6 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง
    • อันดับ 7 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา
    • อันดับ 8 แขวงดินแดง เขตดินแดง
    • อันดับ 9 แขวงจอมพล เขตจตุจักร
    • อันดับ 10 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ

ขณะที่ทำเลที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในรอบปี เมื่อแบ่งตามประเภทของอสังหาฯ พบว่า “สวนหลวง” ครองอันดับ 1 ของการค้นหาที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อเช่า เนื่องจากเป็นย่านที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงระดับบนที่สามารถเดินทางได้สะดวก 

    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจเช่าคอนโดฯ สูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง 
    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจเช่าบ้านเดี่ยวสูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง
    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจเช่าทาวน์เฮ้าส์สูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง

คอนโดฯ – ทาวน์เฮ้าส์ราคาจับต้องได้ตอบโจทย์ผู้ซื้อ ด้านกลุ่มรายได้สูงมองหาบ้านเดี่ยว

ขณะที่ประเภทอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ที่มีความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี 2565 พบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (55%) ค้นหาคอนโดฯ มาเป็นอันดับ 1 สะท้อนให้เห็นว่า คอนโดฯ ยังคงมีดีมานด์ทั้งจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือนักลงทุน เนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมายในการอยู่อาศัยชัดเจน และมีจุดเด่นที่อำนวยความสะดวกให้ใช้ชีวิตในเมืองหลวงได้คล่องตัวกว่า ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว (28%) และทาวน์เฮ้าส์ (17%) โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวกรุงสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี 2565 เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า

    • ระดับราคาคอนโดฯ ที่มีการค้นหามากที่สุดในรอบปี ได้แก่ ระดับราคา 1-3 ล้านบาท มีการค้นหามากถึง 42% สะท้อนให้เห็นดีมานด์ของกลุ่มลูกค้าในตลาดกลาง-ล่างที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในราคาจับต้องได้ (Affordable price) หรือซื้อที่อยู่อาศัยเป็นครั้งแรก จึงเลือกที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ และคุ้มค่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยบวกที่ได้จากมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์-ค่าจดจำนอง เหลือเพียง 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้สามารถกู้ได้เต็ม 100% ภายในสิ้นปี 2565 นี้ ตามมาด้วยระดับราคา 5-10 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท (ในสัดส่วน 18% และ 16% ตามลำดับ) 
    • สวนทางกับระดับราคาบ้านเดี่ยวที่มีความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี ได้แก่ ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยสัดส่วน 36% ตามมาด้วยระดับราคา 5-10 ล้านบาท (30%) และระดับราคา 3-5 ล้านบาท (20%) สะท้อนให้เห็นถึงดีมานด์ในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและมีเงินเก็บเพียงพอ ที่สนใจเป็นเจ้าของบ้านหรู (Luxury) โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ และผู้บริโภคที่ต้องการพื้นที่รองรับการอยู่อาศัยของสมาชิกในครอบครัว จำเป็นต้องเลือกพิจารณาบ้านเดี่ยวที่ราคาสูงขึ้น เพื่อแลกกับพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์
    • ส่วนระดับราคาของทาวน์เฮ้าส์ที่มีความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี พบว่า ผู้บริโภคเกือบครึ่ง (48%) ค้นหาทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด ตามมาด้วยระดับราคา 3-5 ล้านบาท ( 27%) และ 5-10 ล้านบาท (15%) จะเห็นว่าผู้บริโภคให้ความสนใจเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคาที่จับต้องได้ เช่นเดียวกับในกลุ่มคอนโดฯ 

คอนโดฯ – ทาวน์เฮ้าส์ต่ำ 2 หมื่น ครองใจผู้เช่า

ในฝั่งตลาดเช่าที่อยู่อาศัยพบว่า “คอนโดฯ” ยังคงครองความนิยมและเป็นประเภทอสังหาฯ สำหรับเช่าที่มีคนค้นหามากที่สุดในรอบปี 2565 ด้วยสัดส่วนถึง 86% เนื่องด้วยเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในสังคมเมือง ซึ่งมีทั้งวัยทำงานและวัยเรียนเข้ามากระจุกตัวเป็นจำนวนมาก ด้านที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์นั้นมีความสนใจเช่าในสัดส่วนเท่ากันที่ 7% เมื่อพิจารณาระดับค่าเช่าต่อเดือนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในรอบปี แบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า

    • ระดับค่าเช่าคอนโดฯ ที่มีคนค้นหามากที่สุดในรอบปี เกือบ 4 ใน 5 ของผู้เช่า (74%) สนใจค้นหาที่ระดับราคาไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าในการเช่าคอนโดฯ บนทำเลที่เดินทางสะดวก มีระบบความปลอดภัยที่ไว้วางใจได้ และระบบบริหารจัดการที่ได้มาตรฐาน 
      • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 10,000-20,000 บาท สัดส่วน 38% 
      • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า ไม่เกิน 10,000 บาท สัดส่วน 36% 
      • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 15%
  • ระดับค่าเช่าบ้านเดี่ยวที่มีคนค้นหามากที่สุดในรอบปี ผู้เช่ามากกว่าครึ่ง (59%) สนใจเช่าที่ระดับราคา 30,000 บาทขึ้นไป โดยให้ความสำคัญไปที่การเช่าบ้านเดี่ยวที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตั้งอยู่ในทำเลทองที่หาซื้อบ้านใหม่ในราคาที่เหมาะสมได้ยาก มีพื้นที่เพียงพอรองรับการใช้ชีวิตของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งถือว่าคุ้มค่าหากเทียบกับการมีภาระหนี้ก้อนโตในระยะยาวจากการซื้อบ้านในเวลานี้
      • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 59%
      • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 10,000-20,000 บาท สัดส่วน 19%
      • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 20,000-30,000 บาท สัดส่วน 16% 
  • ระดับค่าเช่าทาวน์เฮ้าส์ที่มีคนค้นหามากที่สุดในรอบปี ผู้เช่าส่วนใหญ่ (38%) ต้องการเช่าที่ระดับราคาไม่เกิน 20,000 บาท โดยมองว่าเป็นราคาที่สอดคล้องและสมเหตุสมผลในการเช่าทาวน์เฮ้าส์ ที่ได้พื้นที่ส่วนตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการเช่าห้องพักหรือคอนโดฯ ซึ่งสามารถต่อยอดในการทำธุรกิจได้ด้วย       
      • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 10,000-20,000 บาท สัดส่วน 38%
      • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 27%
      • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 20,000-30,000 บาท สัดส่วน 20% 

CIMB Thai Bank and KASIKORN Business-Technology Group Announced as Winners of the Red Hat APAC Innovation Awards 2022 for Thailand

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

CIMB Thai Bank and KASIKORN Business-Technology Group Announced as Winners of the Red Hat APAC Innovation Awards 2022 for Thailand

The winners were recognized for using Red Hat open source to enhance customer experiences and to boost productivity to adapt in a fast-changing business landscape

Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, today announced the winner of the Red Hat APAC Innovation Awards 2022 for Thailand. CIMB Thai Bank and KASIKORN Business-Technology Group (KBTG) were honored at the Red Hat Summit: Connect today for leveraging Red Hat solutions to enhance their customers’ experiences and accelerate their infrastructure team’s productivity in an evolving business landscape.

In line with this year’s theme of “Explore what’s next”, the Red Hat Summit: Connect celebrates organizations’ ability to adapt to rapidly changing business environments, transform their business models and deliver better experiences to customers with open source. This year, the Red Hat APAC Innovation Awards recognizes the digital transformation success of 26 organizations in the region for their creative use of Red Hat solutions to stay ahead of industry trends and customer needs.

In today’s fast changing business environment, agility and innovation are crucial for business success. According to Red Hat’s State of Enterprise Open Source 2022 report, 95 percent of Asia Pacific enterprises say that open source is important to their organization’s overall enterprise infrastructure software strategy, helping them stay nimble and respond to changing customer demands in the long run.

The winners showcased the positive impact of their Red Hat deployments to support their business vision, workplace culture, industry and communities. They demonstrate how open source tools and culture have the power to accelerate business processes, enhance productivity, stimulate innovation and address future challenges.

The awards comprise five categories: Digital Transformation, Hybrid Cloud Infrastructure, Cloud-native Development, Automation and Resilience.

Category: Digital Transformation and Hybrid Cloud Infrastructure
Winner: CIMB Thai Bank

CIMB Thai Bank Public Company Limited (CIMB Thai Bank), envisions becoming a leading digital bank within ASEAN and aims to shape itself as a high-performing sustainable organization to advance customers and society through leveraging best-in-class financial solutions, ASEAN networks and technology. Today, CIMB Thai Bank is the 8th largest commercial bank in Thailand and is listed on the Stock Exchange of Thailand.

To fulfill their vision of becoming a leading digital bank and better meet the demands of their digitally savvy customers, CIMB Thai Bank prioritized the development of digital banking solutions, such as e-payments and cross bank transfer services. In their initial efforts to build these solutions, CIMB Thai Bank wanted to accelerate their development cycles as their digital infrastructure needed to support a higher volume of workloads. In order to ensure the building and scaling of innovative applications, and to deliver these apps at accelerated speeds, CIMB Thai Bank identified the need for a new digital banking platform.  CIMB Thai Bank leveraged open source solutions Red Hat OpenShift and Red Hat OpenShift on AWS (ROSA) to provide the new banking platform’s agility, scalability and resiliency to support high development volumes on both cloud and on-premise environments.

The solutions have managed to speed up the delivery of new digital banking solutions which has also contributed to improvements in their customer experience scores. The Bank’s infrastructure team has also experienced cost savings, and now has greater flexibility to build more digital business functions and leverage new technologies thanks to the benefits offered by open source solutions.

Category: Digital Transformation and Cloud-Native Development
Winner: KASIKORN Business-Technology Group (KBTG)

KASIKORNBANK (KBank) is a banking group founded in 1945 that provides services to a comprehensive set of consumers, including commercial and corporate banking products such as foreign exchange, lending, credit card, and personal-home-car loan and hire purchases. KBank is currently Thailand’s number one mobile banking provider with more than 18.6 million users on K PLUS. As of 2022, KBank is ranked the fourth highest bank in Thailand in terms of assets and deposits, and ranked third in terms of loans market share. KBTG is the dedicated IT arm of the bank that maintains its digital infrastructure and develops technology for the future of KBank.

To maintain their leadership as Thailand’s top digital banking provider and to support continuous business growth, KBTG looked to further modernize their digital infrastructure and continue delivering a broader range of digital services and offerings. KBTG sought greater flexibility and agility than its previous platform, in order to deploy more services and applications that would keep pace with the rapid growth of digital transactions. This required KBTG to enhance their platform to speed up the time-to-market for digital channel services and products. In January 2022, KBTG expanded their use of open source solutions Red Hat OpenShift and Red Hat Advanced Cluster Management, which helped orchestrate, build and deploy new applications on-premise quickly by modernizing key infrastructure technologies such as programming languages and containers. Leveraging Red Hat’s solutions enabled KBTG’s infrastructure team to reduce time to provision systems and deploy applications from 3 days to within a day, improving the team’s speed in delivering new applications and features.

Supporting Quotes

Marjet Andriesse, senior vice president and general manager, APJC, Red Hat
“As digital transformation via the Thailand 4.0 plan continues to accelerate, we celebrate the achievements of our customers who have demonstrated how open source can help them stay agile and responsive to market and customer trends. Our Thailand winners have showcased exceptional agility and innovation when it comes to using technologies like hybrid cloud to increase application development speed and time-to-market for their business and customers. I hope that they will serve as an inspiration for more organizations in Asia Pacific to unlock the potential of open source.”

Paisan Thumpothong, Head of Technology and Data , CIMB Thai Bank

“As part of our efforts to remain competitive in Thailand’s financial landscape, CIMB Thai Bank has prioritized the need for more personalized digital banking solutions for our customers. To ensure that our digital infrastructure could keep up with the increased pace of product development efforts, we built a new digital banking platform to harness the flexibility and scalability of hybrid cloud technologies. Red Hat’s open source solutions were instrumental in supporting this shift by providing the ability, scalability and resiliency capabilities for this platform on both our on premise and cloud environments.”

Tawan Jithavech, Chief Technology Officer, KBTG

“KBank has been the number one digital bank in Thailand, and we are constantly innovating to make sure we maintain that position. Modernizing our application infrastructure was thus a necessity for us to ensure that we could continue enhancing our customers’ digital experiences by delivering new digital services and offerings. Red Hat’s solutions ensured that our infrastructure’s key components, such as our programming languages and containers, were optimized to deliver new applications and features to market quickly.”