อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว International Product Innovation Center และ Partner Management Center แห่งแรก

Alibaba Cloud Unveils Its First International Product Innovation Center and Partner Management Center

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว International Product Innovation Center และ Partner Management Center แห่งแรก

อาลีบาบา คลาวด์ ประกาศพันธสัญญาต่อลูกค้าทั่วโลก เริ่มด้วยการเปิดสำนักงานใหญ่ระดับนานาชาติของบริษัทฯ ที่สิงคโปร์ บริษัทฯ ได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับสูงสุด พร้อมส่งเสริมการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลให้ลูกค้าในประเทศสิงคโปร์ทั้งด้านค้าปลีก โลจิสติกส์ และเกม

อาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมระดับนานาชาติด้านผลิตภัณฑ์ (Product Innovation Center) และศูนย์บริหารจัดการด้านพันธมิตร (Partner Management Center) เป็นครั้งแรก ณ งาน Alibaba Cloud Singapore Summit 2023 เพื่อยกระดับการบริการลูกค้า และให้การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

Product Innovation Center แห่งใหม่นี้จะช่วยสนับสนุนโรดแมปด้านการพัฒนาโซลูชันให้เจาะจงเฉพาะตลาดมากขึ้น และจะดูแลการบริหารจัดการด้านการอัปเกรดผลิตภัณฑ์ให้ทันกับความต้องการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าทั่วโลก ส่วน Partner Management Center จะเน้นด้านความร่วมมือในแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละประเทศ เพื่อให้เกิดการแบ่งปันเทคโนโลยีระดับแนวหน้าและความเชี่ยวชาญด้านโดเมนระหว่างพันธมิตรต่าง ๆ อย่างเข้มข้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศได้อย่างตรงจุด

การเปิดตัวศูนย์ทั้งสองนี้ไม่เพียงสร้างโอกาสการทำงานให้กับผู้มีความสามารถในประเทศสิงค์โปร์เท่านั้น แต่จะช่วยขยายความร่วมมือในประเทศอื่น ๆ ผ่านการสร้าง Innovation Accelerator Program เพื่อสนับสนุนธุรกิจต่าง ๆ ให้ขยายตัวตามการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก

Innovation Accelerator Program มีจุดประสงค์ในการนำผู้เชี่ยวชาญและผู้นำในอุตสาหกรรมมารวมตัวกัน เพื่อพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้น และสร้างความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ผ่านการแบ่งปันทักษะและแนวคิดต่าง ๆ ที่ใช้งานได้จริง และช่วยให้เข้าถึงเทคโนโลยีคลาวด์ล่าสุดต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ บริษัทแต่ละแห่งที่เข้าเกณฑ์ของโปรแกรมนี้จะได้รับการฝึกอบรมและการสนับสนุนทางเทคโนโลยีจากอาลีบาบา คลาวด์ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นอกจากโปรแกรมนี้จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและสนับสนุนด้านนวัตกรรมแก่องค์กรธุรกิจผ่านการเพิ่มทักษะ การฝึกอบรม และการอัปเกรดทางเทคโนโลยีแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้เชื่อมโยงเข้ากับระบบนิเวศที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาทั่วโลกของอาลีบาบา คลาวด์ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจต่าง ๆ เดินหน้าค้นพบและประสบความสำเร็จตามเป้าหมายการเติบโตที่คาดหวังไว้ไม่เพียงในประเทศที่บริษัทตั้งอยู่เท่านั้น แต่เป็นความสำเร็จในระดับสากล

ดร. หวัง เจี้ยน สมาชิกของ Chinese Engineering Academy และผู้ก่อตั้งอาลีบาบา คลาวด์ กล่าวว่า “ปัจจุบันเราอยู่ในระยะเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเป็นดิจิทัล ในอีกห้าหรือสิบปีต่อจากนี้ การใช้คอมพิวเตอร์และการประมวลผลจะเป็นตัวขับเคลื่อนและเป็นตัววัดผลทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นเศรษฐกิจของการประมวลผลและคลาวด์คอมพิวติ้ง และจะมีบทบาทในยุคของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เหมือนกับที่กระแสไฟฟ้าเคยมีบทบาทสำคัญในยุคของการพัฒนาพลังงานไฟฟ้า คลาวด์กำลังกลายเป็นแนวทางที่ใช้
ไม่เฉพาะกับคลาวด์คอมพิวติ้งเท่านั้น แต่เป็นวิธีการที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ในการทำงาน”

อาลีบาบา คลาวด์จะส่งเสริมกลยุทธ์การทำธุรกิจที่ยั่งยืน ด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อช่วยเหลือบริษัททั่วโลกจำนวน 10,000 แห่งเพื่อให้บริษัทเหล่านั้นมุ่งสู่การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนได้อย่างรวดเร็วในอีกสามปีข้างหน้า ทั้งนี้องค์กรในสิงคโปร์จะได้ร่วมโครงการนำร่อง Energy Expert เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน Energy Expert เป็นแพลตฟอร์มด้านความยั่งยืนลักษณะ software-as-a-service ที่อาลีบาบา คลาวด์ เป็นเจ้าของและเปิดตัวไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 จะช่วยวัด วิเคราะห์ และบริหารจัดการการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากกิจกรรมและการผลิตของธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็ให้ข้อมูลเชิงลึกและให้คำแนะนำด้านการประหยัดพลังงานแก่บริษัทต่าง ๆ เพื่อช่วยให้บริษัทเหล่านั้นบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

คุณเซลินา หยวน รองประธาน อาลีบาบา กรุ๊ป และประธานด้านธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “การจัดตั้ง International Product Innovation Center และ Partner Management Center ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ระดับโลกของอาลีบาบา คลาวด์ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลของธุรกิจทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ความคิดริเริ่มนี้และการเสริมแกร่งให้กับบุคลากรที่มีความสามารถของเรา ยังเป็นการย้ำให้เห็นว่าเราสนับสนุนลูกค้าทั่วโลกด้วยความมุ่งมั่นอย่างสูงที่จะเพิ่มและยกระดับความสามารถด้านนวัตกรรมของลูกค้า และให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน”

ได้รับมาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์ระดับสูงสุดจาก CSA

ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่สำคัญอย่างหนึ่งของอาลีบาบา คลาวด์ คือการนำเสนอบริการและข้อเสนอที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้กับธุรกิจ ซึ่งรวมถึงความปลอดภัยและการป้องกันภัยไซเบอร์ที่รัดกุมขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน Cyber Trust (Advocate) โดยมาตรฐาน Cyber Trust ที่พัฒนาโดย Cyber Security Agency of Singapore (CSA) นี้มีเป้าหมายช่วยองค์กรดิจิทัลหรือองค์กรขนาดใหญ่ให้สื่อสารเรื่องการลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรในแง่มุมที่เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและสร้างความเชื่อถือจากลูกค้า

การได้รับมาตรฐาน Cyber Trust (Advocate) ซึ่งเป็นการรับรองระดับสูงสุดนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความทุ่มเทของอาลีบาบา คลาวด์ ในการนำเสนอบริการที่เชื่อถือได้ให้กับธุรกิจต่าง ๆ ใช้ในการบริหารจัดการและปกป้องโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของตน

 สนับสนุนการเติบโตของลูกค้าด้วยเทคโนโลยีที่ใช้สร้างสรรค์สิ่งใหม่

อาลีบาบา คลาวด์ ได้ช่วย Gadget MIX ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกในประเทศสิงคโปร์ที่มีร้านค้ามากกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ มีภาพลักษณ์ด้านอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง และเน้นผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูง สามารถทรานส์ฟอร์มกลยุทธ์ด้านค้าปลีกด้วยโซลูชันคลาวด์รูปแบบใหม่ ๆ ความร่วมมือกับอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้ Gadget MIX เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการสื่อสารภายใน ดำเนินธุรกิจได้คล่องตัวมากขึ้น และโยกย้ายการทำงานไปใช้คลาวด์ได้อย่างราบรื่น เพื่อให้สามารถทรานส์ฟอร์มธุรกิจได้เร็วขึ้น

นายเรย์ ยู ซีอีโอของ Gadget MIX กล่าวว่า “โซลูชันของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยลดต้นทุนรวมและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ทำให้เราทรานส์ฟอร์มธุรกิจได้เร็วขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ DingTalk ช่วยปรับปรุงการจัดการเวิร์กโฟลว์และการทำงานร่วมกันเป็นทีม ตลอดจนการสื่อสารภายในและธุรกิจของเรา  การทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลที่ทำร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้ารายย่อย และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้วยกันอีกในอนาคต”

Project Twelve (P12) เป็นแพลตฟอร์มเกมในรูปแบบ web3 และมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ ใช้โซลูชันที่ช่วยเร่งความเร็วเกม และผลิตภัณฑ์ด้านควาปลอดภัยของอาลีบาบา คลาวด์ เช่น Game Shield และ Anti-DDoS ส่งผลให้ปัจจุบันสามารถเน้นไปที่การพัฒนาเกมที่ปรับขนาดได้ พร้อมกับมอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้กับผู้ใช้ด้วยการลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ นอกจากนี้ P12 ยังใช้ PolarDB ซึ่งเป็นคลาวด์เนทีฟดาต้าเบสของอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อลดเวลาที่ใช้ในการดูแลและเพิ่มระดับความน่าเชื่อถือในการทำงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จึงสามารถสร้างประสบการณ์การเล่นเกมที่ลื่นไหลให้กับเหล่าเกมเมอร์

Boyang ผู้ก่อตั้ง Project Twelve กล่าวว่า “ประสบการณ์การเล่นเกมอย่างปลอดภัยที่ผู้ใช้มีความมั่นใจมากขึ้นบนแพลตฟอร์ม P12 ทำให้เราสามารถมุ่งเน้นการทำงานของเราไปที่การยกระดับแพลตฟอร์มด้วยเกมที่มีคุณภาพต่าง ๆ และเศรษฐกิจแบบยั่งยืนในอุตสาหกรรม web3 gaming ที่ไดนามิกและเคลื่อนไหวรวดเร็วได้มากขึ้น โซลูชันของอาลีบาบา คลาวด์ ได้ช่วยให้เรามอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ลื่นไหลและปรับขนาดได้ตามความต้องการในระดับสูงสุด มีความพร้อมใช้งานสูงและมีลาเทนซีต่ำให้แก่ผู้ใช้ของเรา”

สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ที่คึกคัก และโลจิสติกส์กำลังเป็นหนึ่งในแกนหลักสำคัญของเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น อาลีบาบา คลาวด์ จึงได้ทำงานร่วมกับองค์กรด้านโลจิสติกส์หลายแห่ง เพื่อสนับสนุนการทรานส์ฟอร์มสูดิจิทัล เช่น JUSTI Pte. Ltd. (JUSTI) บริษัทโฮลดิ้งด้านการลงทุนแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ที่มีพอร์ตการลงทุนสำคัญมากมายรวมถึงการดำเนินงานด้าน last mile delivery หรือการส่งสินค้าจากผู้ขายถึงมือผู้รับปลายทางโดยตรง โซลูชันของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้องค์กรด้านโลจิสติกส์ปรับสู่ดิจิทัลและเพิ่มความคล่องตัวให้กับเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายลี เชามิง กรรมการผู้จัดการของ JUSTI กล่าวว่า “ความสามาถในการแก้ปัญหาการจัดเส้นทางสำหรับยานพาหนะ (VRP) ที่ติดตั้งไว้เบ็ดเสร็จในโซลูชัน EasyDispatch ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการจัดส่งภาคสนามแบบเรียลไทม์ การใช้เทคโนโลยีของอาลีบาบา คลาวด์ ทำให้เรามีทัศนวิสัยและการควบคุมขั้นตอนวงจรการจัดส่งในแต่ละขั้นตอนได้ดีขึ้น เช่น การติดตามสถานะพัสดุ การวางแผนเส้นทางและการจัดตารางงานด้วย AI แบบเรียลไทม์ เป็นต้น ซึ่งช่วยลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าของเราได้อย่างมาก”

Alibaba Cloud Named a Visionary in Gartner® Magic Quadrant™ for Cloud Infrastructure and Platform Services for Second Consecutive Year

Alibaba Cloud Launches Carbon Management Solution

Alibaba Cloud Named a Visionary in Gartner® Magic Quadrant™ for Cloud Infrastructure and Platform Services for Second Consecutive Year

Engineering capabilities, partnership ecosystem and digital channels reinforce cloud provider’s regional leadership

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, has been recognized as a Visionary in Gartner’s Magic Quadrant for Cloud Infrastructure and Platform Services (Magic Quadrant for CIPS) 2022 report for the second consecutive year. Alibaba Cloud believes the recognition for two years in a row demonstrates its key strengths in regional and engineering leadership, technology partner ecosystem, and data analytics capabilities.

According to Gartner, “Visionaries have an ambitious vision of the future and are making significant investments in the development of unique technologies.”

“We’re pleased to have once again been named a Visionary in this year’s Magic Quadrant for CIPS. We see this as an important recognition of our efforts to continuously enhance our cloud capabilities and reinforce our regional market leadership, as well as expand our corporate vision,” said Jiangwei Jiang, Senior Researcher and General Manager of Infrastructure Products, Alibaba Cloud Intelligence. “We will continue to broaden our international offerings and strengthen our core IaaS and PaaS features, aiming to bring greater value to our customers on their digital journeys.”

The scope of the Magic Quadrant for CIPS includes Infrastructure as a Service (IaaS) and integrated Platform as a Service (PaaS) offerings. The report analyzed each provider based on their Ability to Execute and the Completeness of Vision, and the evaluation criteria include Product or Service, Market Responsiveness, Business Model, Innovation and etc.

Alibaba Cloud retained a leading position in engineering capabilities, reflecting its progress in sustainable data center initiatives. By adopting self-developed immersion cooling technology, the company has significantly reduced the energy consumption of its data centers, with power usage effectiveness (PUE) reaching as low as 1.09 – a world-leading level.

Drawing on its big data and analytics capabilities, Alibaba Cloud has positioned itself as a provider of choice among businesses in Asia looking for a digital transformation partner.   Alibaba Cloud is a good fit for cloud-first digital business workloads for customers that are based in China or Southeast Asia.

Building upon its strong network of ISV partnerships in Asia, Alibaba Cloud launched a “Regional Accelerator” program to provide those operating in different markets with a localized collaboration model. In September 2022, the cloud provider also announced an investment of USD1 billion over the coming three years to expand its global ecosystem of partners, including technology partners (ISV, SaaS, and SI), service and consulting partners, and resellers.

In early 2022, Alibaba Group was shown as the third largest IaaS provider in the world and the biggest in Asia Pacific for the fourth consecutive year in Gartner’s Market Share: IT Services, 2021.

Gartner does not endorse any vendor, product or service depicted in its research publications, and does not advise technology users to select only those vendors with the highest ratings or other designation. Gartner research publications consist of the opinions of Gartner’s research organization and should not be construed as statements of fact. Gartner disclaims all warranties, expressed or implied, with respect to this research, including any warranties of merchantability or fitness for a particular purpose. GARTNER and Magic Quadrant are registered trademarks and service mark of Gartner, Inc. and/or its affiliates in the U.S. and internationally and are used herein with permission. All rights reserved.

Alibaba Cloud ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในกลุ่ม Visionary จากรายงาน Gartner® Magic Quadrant™ ด้าน Cloud Infrastructure and Platform Services เป็นปีที่สองติดต่อกัน

Alibaba Cloud Launches Carbon Management Solution

Alibaba Cloud ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในกลุ่ม Visionary จากรายงาน Gartner® Magic Quadrant™ ด้าน Cloud Infrastructure and Platform Services เป็นปีที่สองติดต่อกัน

ความสามารถด้านวิศวกรรม ระบบนิเวศด้านพันธมิตร และช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ หนุนให้บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการคลาวด์ระดับแนวหน้าในภูมิภาค

 

Alibaba Cloud ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้รับเลือกให้อยู่ในกลุ่ม Visionary จากรายงาน Gartner’s Magic Quadrant for Cloud Infrastructure and Platform Services (Magic Quadrant for CIPS) 2022 เป็นปีที่สองติดต่อกัน ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าการได้รับรางวัลนี้ติดต่อกันสองปีซ้อน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในภูมิภาคและด้านความเป็นผู้นำด้านวิศวกรรม, ระบบนิเวศด้านพันธมิตรทางเทคโนโลยี และความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล

Gartner ระบุว่า “กลุ่ม Visionaries เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์มุ่งมั่นสู่อนาคต และกำลังลงทุนอย่างมีนัยสำคัญเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์”

นายเจียงเว่ย เจียง นักวิจัยอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐานอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้รับเลือกให้อยู่ในกลุ่ม Visionary ใน Magic Quadrant for CIPS ปีนี้อีกครั้ง การได้รับเลือกครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ความพยายามต่าง ๆ ในการเพิ่มขีดความสามารถด้านคลาวด์อย่างต่อเนื่องของเราได้รับการยอมรับอย่างมาก และเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาค รวมถึงการขยายวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ เราจะขยายผลิตภัณฑ์และบริการในระดับสากล และเสริมความแข็งแกร่งให้กับฟีเจอร์สำคัญ ๆ ด้าน IaaS และ PaaS อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อมอบคุณประโยชน์ที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจบนเส้นทางดิจิทัลให้กับลูกค้าได้มากขึ้น” 

ขอบเขตการพิจารณาของการจัดลำดับ Magic Quadrant for CIPS ประกอบด้วยข้อเสนอต่าง ๆ ด้าน Infrastructure as a Service (IaaS) และ Platform as a Service (PaaS) แบบบูรณาการ รายงานนี้ได้วิเคราะห์ผู้ให้บริการแต่ละรายตามความความสามารถและความสำเร็จของการดำเนินการตามวิสัยทัศน์ ส่วนเกณฑ์การประเมิน ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์หรือบริการ การตอบสนองต่อตลาด รูปแบบทางธุรกิจ นวัตกรรม และอื่น ๆ

Alibaba Cloud ยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำด้านความสามารถทางวิศวกรรมต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการริเริ่มด้านดาต้าเซ็นเตอร์แบบยั่งยืนของบริษัทฯ ที่ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนแบบเเช่ (immersion cooling) ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นเอง และสามารถลดการใช้พลังงานในดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัทลงได้อย่างมาก โดยค่าชี้วัดความคุ้มค่าของการใช้พลังงานไฟฟ้าในดาต้าเซ็นเตอร์ (PUE) แตะระดับต่ำที่ 1.09 ซึ่งอยู่ในระดับชั้นนำของโลก

ข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัทฯ และความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลส่งให้ Alibaba Cloud วางตำแหน่งบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการที่ธุรกิจในเอเชียที่มองหาพันธมิตรเพื่อดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเลือกใช้ Alibaba Cloud เหมาะกับเวิร์กโหลดทางธุรกิจดิจิทัลที่ใช้คลาวด์ตั้งแต่เริ่มต้น สำหรับลูกค้าที่อยู่ในประเทศจีน หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

Alibaba Cloud ได้เปิดตัวโปรแกรม “Regional Accelerator” บนพื้นฐานเครือข่ายพันธมิตรด้าน ISV ที่แข็งแกร่งในเอเชีย เพื่อมอบรูปแบบการทำงานร่วมกันที่ปรับให้เหมาะกับผู้ปฏิบัติงานในแต่ละตลาดที่แตกต่างกัน โดยเมื่อเดือนกันยายน 2565 บริษัทฯ ได้ประกาศการลงทุน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเวลาสามปี เพื่อขยายระบบนิเวศด้านพันธมิตรทั่วโลก ประกอบด้วย พันธมิตรทางเทคโนโลยี (ISV, SaaS และ SI), พันธมิตรด้านการให้บริการและคำปรึกษา รวมถึงผู้ค้าปลีก

นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2565, Gartner’s Market Share: IT Services, 2021 ได้จัดให้อาลีบาบา กรุ๊ป เป็นผู้ให้บริการ IaaS ที่ใหญ่เป็นลำดับสามของโลก และใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิกเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน

 

10 Hot Consumer Trends: Life in a Climate-Impacted Future

10 Hot Consumer Trends: Life in a Climate-Impacted Future

10 Hot Consumer Trends: Life in a Climate-Impacted Future

    • Some 83 percent of urban early adopters believe the world will have reached or surpassed the 1.5°C global warming mark by the end of 2030
    • Almost 59 percent say innovation and technology will be crucial to handle everyday challenges caused by climate change
    • Climate-impact-driven behavioral changes could see major changes in the way we work and when we work

Almost 99 percent of more than 15,000 global early technology adopters consulted by Ericsson (NASDAQ: ERIC) say that they expect to be proactively using internet and connectivity-based solutions by 2030 to personally address the impact of climate change and global warming. The statistic is included in the latest annual 10 Hot Consumer Trends research from Ericsson ConsumerLab, this year called Life in a Climate-Impacted Future.

The January 2023 publication marks the twelfth edition of the report, which this year outlines consumers’ concerns, expectations, and personal technology actions related to climate issues in 2030.

Some 83 percent of respondents believe that the world will have reached, or surpassed, the 1.5C rate of global warming (above pre-industrial levels) deemed by international agreements to be the limit above which more extreme weather events and negative climate consequences are likely.

About 55 percent of early adopters in metropolitan areas believe that climate change will have a negative impact on their lives and expect to turn to connectivity solutions as countermeasures.

Main concerns include: the cost of living, access to energy and material resources, and the need for safe and reliable connectivity in turbulent times and chaotic weather. Some 59 percent of respondents believe that innovation and technology will be crucial to address everyday challenges caused by climate change in the 2030s.

More than 15,000 early adopters of AR, VR and digital assistants in 30 cities globally were asked to evaluate 120 digital service ideas across 15 areas ranging from climate related adaptation efforts in everyday life to ways to handle dire weather events.

From the resulting data, Ericsson ConsumerLab experts created ten trend areas to group consumers’ answers.

Magnus Frodigh, Head of Ericsson Research, says: Consumers are clearly saying that reliable and resilient internet connection will be of utmost importance to their daily lives, and their personal efforts to address climate change, as they expect extreme weather changes and negative climate impact to be more common. Consumers not only expect the needed connectivity to be in place on a global scale, but to be in place quickly.”

The vast majority of early adopters not only believe that climate change is happening, but also that its results will have greater impact on their lives in the 2030s than it does now. While personal economy and lifestyle interests will be the top service adoption drivers for the survey respondents in the 2030s, possible new large-scale collective behaviors may result in big changes from daily life as we currently know it – in areas such as how we work, when we work and work-life balance.

For example, the move away from ‘clock time’, such as the ‘traditional’ nine-to-five working day and routines, could be a key driver of the No-Rush Mobility trend. A society organized around energy use peaks and troughs, rather than clock-time, could become common. 

Respondents also expect the role of AI to extend into consumer behavior – as outlined in the Less Is More Digital trend – for example to help shoppers reduce their material consumption impact by using digital alternatives to physical products.

Report co-author Sara Thorson, Head of Concept Development, Ericsson ConsumerLab, addresses another of the identified trends, Smart Water: “Water use could also change dramatically, if rationing becomes much more widespread than today. Some sixty four percent of early adopters foresee digitally regulated monthly water allowances for all citizens by the 2030s.”

Dr. Michael Björn, Head of Research Agenda, Ericsson Consumer and IndustryLab, and driver of the 10 Hot Consumer Trends report since its inception in 2011, says consumers also foresee the risk of misuse of climate-impact-related solutions.

“The Climate Cheaters trend highlights an unfortunate, but very real, consideration for compliance with any climate-focused actions. There could be cheats who try to avoid compliance obligations related to climate impact regulations, perhaps such as paying a bill or recording data. In the face of climate change, about 72 percent of respondents foresee the use of digital technology to bypass environmental restrictions for personal short-term gain. This is a big warning about the continued importance of focusing on the reliability of services.”

THE TRENDS

    1. Cost Cutters
      Digital services will help consumers control food, energy and travel costs in unstable climate situations. More than 60 percent of urban early adopters are concerned about higher costs of living in the future.

    2. Unbroken Connections
      Reliable and resilient internet connection will become more important if and as extreme weather events increase. Some 80 percent of urban early adopters believe there will be smart signal locators that show optimal coverage areas during natural disasters in the 2030s.

    3. No-Rush Mobility
      Strict time schedules may become a thing of the past as climate regulations and energy efficiency change the meaning of flexibility. About 68 percent of respondents would plan activities using schedulers that optimize based on energy cost, not time efficiency.

    4. S(AI)fekeepers
      AI is expected to power services that protect consumers during increasingly unpredictable and unstable weather. Almost half of urban early adopters say they will use personalized weather warning systems for their own safety.

    5. New Working Climate
      Corporate carbon footprint constraints, rising costs and accelerated digitalization will shape work routines of the future. Seven in ten foresee company AI assistants planning commutes, tasks and resources to minimize work-related carbon footprints.

    6. Smart Water
      As freshwater may become scarcer in the 2030s, consumers anticipate smarter water services to conserve and reuse water. Almost half of urban early adopters say their household will use smart water catchers on roofs, balconies and windows that intelligently open when it is raining to catch and clean rainwater.

    7. The Enerconomy
      Digital energy-sharing services may alleviate the burden of rising energy costs in the 2030s. Energy could become a currency as 65 percent of urban early adopters predict consumers will be able to pay for goods and services in kWh using mobile apps in the 2030s.

    8. Less is more digital
      Digital product replacements may become status markers as physical overconsumption could get both expensive and socially criticized. Dematerialization of consumption habits could accelerate as one-third of urban early adopters believe they will personally use shopping apps that suggest digital alternatives to physical products.

    9. Natureverse
      Experiencing nature in urban areas without traveling could be standard in the 2030s, in the face of continued climate change and potential travel limitations. Four in ten urban early adopters want to personally use a virtual travel service that lets them experience nature reserves and mountain trails in real time as if they were there.

    10. Climate Cheaters
      Respondents say consumers will find ways to bypass stricter environmental restrictions due to higher prices and energy and water rationing. Over half of urban early adopters predict online hacking apps will enable them to tap into neighbors’ water or electricity supply illicitly.

Read the full 10 Hot Consumer Trends: Life in a Climate-Impacted Future report via this link.

อีริคสันเปิด 10 เทรนด์ผู้บริโภคมาแรง: ชีวิตในอนาคตท่ามกลางผลกระทบจากสภาพอากาศ (Life in a Climate-Impacted Future)

อีริคสันเปิด 10 เทรนด์ผู้บริโภคมาแรง: ชีวิตในอนาคตท่ามกลางผลกระทบจากสภาพอากาศ (Life in a Climate-Impacted Future)

อีริคสันเปิด 10 เทรนด์ผู้บริโภคมาแรง: ชีวิตในอนาคตท่ามกลางผลกระทบจากสภาพอากาศ (Life in a Climate-Impacted Future)

    • ประมาณ 83% ของกลุ่มผู้นำกระแสที่อาศัยอยู่ในเขตชุมชนเมือง (Urban Early Adopter) เชื่อมั่นว่าภาวะโลกร้อนจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยอุณหภูมิทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.5°C หรือสูงกว่านี้ ภายในสิ้นปี ค.ศ.2030
    • เกือบ 59% ระบุว่านวัตกรรมและเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญเพื่อรับมือความท้าทายในชีวิตประจำวันที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
    • ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับวิธีการทำงานและเวลาที่ต้องทำงาน

ประมาณ 99% ของกลุ่มผู้นำกระแสด้านเทคโนโลยีทั่วโลกกว่า 15,000 ราย ที่ให้ข้อมูลกับอีริคสัน (NASDAQ: ERIC) กล่าวว่า ภายในปี ค.ศ.2030 การใช้อินเทอร์เน็ตและโซลูชั่นการเชื่อมต่อจะเป็นแบบเชิงรุก ที่แต่ละคนจะรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนที่เจาะจงมากขึ้น โดยสถิตินี้อยู่ในผลการวิจัยประจำปีล่าสุด 10 Hot Consumer Trends จาก Ericsson ConsumerLab ซึ่งในปีนี้ให้ชื่อเรียกว่า Life in a Climate-Impacted Future (ชีวิตในโลกอนาคตที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ)

รายงานที่เผยแพร่ในเดือนมกราคมปีนี้ เป็นฉบับที่ 12 ที่ให้ภาพรวมของข้อกังวล ความคาดหวังของผู้บริโภค ตลอดจนความคิดเห็นในการใช้เทคโนโลยีส่วนบุคคลสำหรับรับมือกับปัญหาด้านสภาพอากาศในปี ค.ศ.2030

83% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.5 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น (สูงกว่าระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม) ซึ่งเกินขีดจำกัดตามข้อตกลงระหว่างประเทศ อันทำให้เกิดสภาวะอากาศแบบสุดขั้วและมีแนวโน้มสร้างผลกระทบเชิงลบ

55% ของผู้ใช้ในกลุ่ม Early Adopters ในเขตเมืองใหญ่ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลเสียต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา และเตรียมมุ่งไปใช้โซลูชั่นการเชื่อมต่อต่าง ๆ เป็นมาตรการรับมือ

ข้อกังวลหลัก ๆ ของผู้บริโภค ได้แก่ ค่าครองชีพ การเข้าถึงแหล่งพลังงานและทรัพยากร รวมถึงความต้องการการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ในเวลาที่เกิดความปั่นป่วนและสภาพอากาศแปรปรวน โดย 59% ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่า ในช่วงทศวรรษ 2030 นวัตกรรมและเทคโนโลยีจะมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อรับมือกับความท้าทายในชีวิตประจำวันที่มาจากผลการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ผู้ใช้ AR VR และผู้ช่วยดิจิทัล (Digital Assistances) กลุ่มผู้นำกระแสกว่า 15,000 รายใน 30 เมืองทั่วโลก ได้รับการสอบถามเพื่อประเมินถึงแนวคิดของบริการดิจิทัล 120 รายการ ครอบคลุม 15 ด้าน ตั้งแต่ความพยายามปรับตัวในการใช้ชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ไปจนถึงวิธีการรับมือกับเหตุการณ์สภาพอากาศอันเลวร้าย

ผู้เชี่ยวชาญของ Ericsson ConsumerLab ได้รวบรวมข้อมูลและสรุปเป็น 10 เทรนด์มาแรงของผู้บริโภค

แม็กนัส โฟรไดห์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของอีริคสัน กล่าวว่า “ผู้บริโภคระบุชัดเจนว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้และมีความยืดหยุ่นมีความสำคัญสูงสุดต่อการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา และพวกเขากำลังมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากคาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงและมีผลกระทบเชิงลบจะกลายเป็นเรื่องปกติยิ่งขึ้น ผู้บริโภคไม่คาดหวังว่าการเชื่อมต่อที่จำเป็นนั้นจะต้องเกิดขึ้นในระดับโลก แต่อย่างน้อยก็ขอให้เกิดขึ้นโดยเร็ว”

ผู้ใช้กลุ่มผู้นำกระแสส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้น แต่ยังมั่นใจว่ามันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาในช่วงทศวรรษ 2030 มากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าความสนใจด้านเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตส่วนตัวจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเลือกใช้บริการใด ๆ เป็นอันดับต้น ๆ อย่างที่เราทราบในปัจจุบันว่าพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ นั้น

มีความเป็นไปได้ที่อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ วิธีหรือรูปแบบการทำงานของเรา ระยะเวลาการทำงานและสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน

ตัวอย่างเช่น เวลาการทำงานที่ไม่อิงตาม ‘หน้าปัดนาฬิกา’ แบบเดิม เข้างาน 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น และงานประจำที่ต้องทำทุกวัน ซึ่งอาจเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญก่อให้เกิดเทรนด์ใหม่ของการทำงานที่ไม่เร่งรีบ หรือ No-Rush Mobility สังคมการทำงานที่ถูกกำหนดจากการใช้พลังงานสูงสุดหรือต่ำสุดแทนเวลาตามเข็มนาฬิกาอาจกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไป

ผู้ตอบแบบสอบถามยังคาดหวังว่าบทบาทของ AI จะขยายไปสู่พฤติกรรมของผู้บริโภค ดังที่ระบุไว้ในเทรนด์ Less Is More Digital เช่น เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการบริโภควัสดุแก่ผู้ซื้อ โดยใช้ทางเลือกดิจิทัลแทนผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้

ผู้ร่วมเขียนรายงาน ซาราห์ ธอร์สัน หัวหน้าฝ่ายพัฒนาแนวคิดของ Ericsson ConsumerLab พูดถึงเทรนด์ Smart Water โดยระบุว่า “การใช้น้ำอาจเปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน หากการปันส่วนแพร่หลายมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ประมาณหกสิบสี่เปอร์เซ็นต์ของผู้นำกระแส (Early Adopters) คาดว่าในทศวรรษ 2030 การจัดสรรการใช้น้ำรายเดือนให้แก่ประชาชนทั้งหมดจะใช้กฎกติกาดิจิทัล”

ดร.ไมเคิล บียอร์น หัวหน้าฝ่าย Research Agenda ของ Ericsson Consumer และ IndustryLab และผู้ขับเคลื่อนรายงาน 10 Hot Consumer Trends ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ. 2011 กล่าวว่า ผู้บริโภคยังเล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากการใช้โซลูชั่นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อสภาพอากาศแบบผิด ๆ

“กระแส Climate Cheaters เน้นให้เห็นถึงการรับรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ที่อาจจะฝืนความรู้สึกแต่เป็นความจริงอย่างมากที่อาจมีการโกงเพื่อเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อสภาพอากาศ เช่น การจ่ายบิลหรือการบันทึกข้อมูล เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 72% คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเลี่ยงข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวในระยะสั้น ประเด็นนี้เป็นการเตือนจริงจังเกี่ยวกับความสำคัญของการมุ่งเน้นไปที่ความน่าเชื่อถือของบริการอย่างต่อเนื่อง”

THE TRENDS

      1. Cost Cutters
        บริการดิจิทัลจะช่วยให้ผู้บริโภคควบคุมค่าอาหาร พลังงาน และค่าเดินทางในสถานการณ์สภาพอากาศที่ไม่แน่นอน มากกว่า60%ของกลุ่มผู้นำกระแสในเขตเมืองแสดงความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในอนาคต

      2. Unbroken Connections
        การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้และมีความยืดหยุ่นจะมีความสำคัญมากขึ้นหากและเมื่อมีเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเพิ่มขึ้น โดย80%ของกลุ่มผู้นำกระแสในเขตเมืองเชื่อว่าหากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจะมีตัวระบุตำแหน่งสัญญาณอัจฉริยะที่แสดงพื้นที่ครอบคลุมอย่างเหมาะสมในทศวรรษ 2030

      3. No-RushMobility
        ตารางเวลาที่เคร่งครัดอาจกลายเป็นเรื่องของเมื่อวานนี้ เมื่อความหมายของความยืดหยุ่นเปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากกฎระเบียบด้านสภาพอากาศและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ประมาณ 68% ของผู้ตอบแบบสำรวจจะวางแผนกิจกรรมโดยใช้ตัวกำหนดตารางเวลาที่เพิ่มประสิทธิภาพตามต้นทุนด้านพลังงาน ไม่ใช่ประสิทธิภาพด้านเวลา

      4. S(AI)fekeepers
        คาดว่าAI จะเป็นขุมพลังสำคัญให้กับบริการที่คอยปกป้องผู้บริโภคในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวนและคาดการณ์ไม่ได้เพิ่มขึ้น โดยเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้นำกระแสในเขตเมืองกล่าวว่า พวกเขาจะใช้ระบบเตือนภัยสภาพอากาศส่วนบุคคลเพื่อความปลอดภัยของตนเอง

      5. New WorkingClimate
        ข้อจำกัดด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลที่เร่งตัวขึ้นจะกำหนดรูปแบบกิจวัตรการทำงานในอนาคต เจ็ดในสิบคนคาดว่าผู้ช่วย AI ของบริษัทจะวางแผนการเดินทาง กำหนดภาระงาน และทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน

      6. Smart Water
        เนื่องจากน้ำจืดในทศวรรษ 2030 อาจเป็นของหายากขึ้น ผู้บริโภคจึงคาดหวังบริการน้ำที่มีความอัจฉริยะเพื่อเก็บและนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ เกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองกล่าวว่าจะใช้เครื่องดักจับน้ำอัจฉริยะบนหลังคา ระเบียง และหน้าต่างที่เมื่อฝนตกก็เปิดเพื่อเก็บกักและทำความสะอาดน้ำฝน

      7. The Enerconomy
        บริการแบ่งปันพลังงานแบบดิจิทัลอาจช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงขึ้นในทศวรรษ 2030 พลังงานอาจกลายเป็นสกุลเงินได้ เนื่องจาก 65% ของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองคาดว่าผู้บริโภคจะสามารถชำระค่าสินค้าและบริการเป็นหน่วยกิโลวัตต์/ชั่วโมง โดยใช้แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

      8. Less is moredigital
        การเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลอาจกลายเป็นเครื่องหมายแสดงสถานะ เนื่องจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัตถุมากเกินความจำเป็น อาจทำให้ต้องเผชิญกับราคาแพงและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม พฤติกรรมลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัตถุจะเร่งขยายตัวขึ้น เนื่องจากหนึ่งในสามของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองเชื่อว่าโดยส่วนตัวแล้วพวกเขาจะใช้แอปช็อปปิ้งที่แนะนำทางเลือกดิจิทัลแทนผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้

      9. Natureverse
        การสัมผัสธรรมชาติในเมืองโดยไม่ต้องเดินทางอาจเป็นเรื่องปกติในยุค 2030 เมื่อต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องและข้อจำกัดด้านการเดินทางที่อาจเกิดขึ้น สี่ในสิบของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองต้องการใช้บริการการเดินทางเสมือนจริงที่ช่วยให้พวกเขาได้สัมผัสกับเขตอนุรักษ์ธรรมชาติและเส้นทางบนภูเขาแบบเรียลไทม์ ประหนึ่งว่าพวกเขาได้อยู่ตรงนั้นเอง

      10. ClimateCheaters
        ผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าผู้บริโภคจะหาทางหลีกเลี่ยงความเข้มงวดของข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากราคาที่สูงขึ้นและการปันส่วนพลังงานและน้ำ กว่าครึ่งของกลุ่มผู้นำกระแสในเมืองคาดว่าแอปแฮ็คออนไลน์จะช่วยให้พวกเขาลักน้ำประปาหรือไฟฟ้าของเพื่อนบ้านมาใช้แบบผิดกฎหมาย

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ 10 Hot Consumer Trends: Life in a Climate-Impacted Future report