อัปเดตดีมานด์วัยเก๋า โฟกัส Well-Being ตอบโจทย์การอยู่อาศัย

อัปเดตดีมานด์วัยเก๋า โฟกัส Well-Being ตอบโจทย์การอยู่อาศัย

อัปเดตดีมานด์วัยเก๋า โฟกัส Well-Being ตอบโจทย์การอยู่อาศัย

ตั้งแต่ปี 2565 ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) และจำนวนผู้สูงวัยยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตและปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไปในยุคนี้ ส่งผลให้คนไทยเลือกครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือแต่งงานแต่มีบุตรน้อยลง ซึ่งอัตราการเกิดที่ลดลงนี้สวนทางกับสัดส่วนผู้สูงอายุในไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่เผยว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ที่มีจำนวนผู้สูงอายุถึง 28% ของประชากรในประเทศ นับเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องจับตามอง 

หลายธุรกิจจึงหันมาให้ความสำคัญกับการเจาะตลาดผู้สูงอายุมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อสูง และมีความพร้อมทางการเงิน โดยเฉพาะในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทย ผู้ประกอบการเริ่มหันมาเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัยที่มาพร้อมบริการด้านสุขภาพมากขึ้น ผ่านการร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพเพื่อเพิ่มบริการทางการแพทย์หรือโปรแกรมดูแลสุขภาพไว้ในโครงการฯ

ส่องดีมานด์บ้านผู้สูงวัย มองหาพื้นที่สีเขียวเสริม Well-Being 

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบว่าเมื่อผู้สูงอายุต้องตัดสินใจซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย ปัจจัยภายในที่ให้ความสำคัญจะเน้นไปที่ความคุ้มค่ามาเป็นอันดับแรก โดยมากกว่าครึ่ง (51%) พิจารณาจากราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรเป็นหลัก รองลงมาคือขนาดที่อยู่อาศัย 48% และตามมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่อยู่อาศัย 45% ซึ่งจะต้องตอบโจทย์การอยู่อาศัยและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในช่วงวัยเกษียณด้วย ขณะที่สองอันดับแรกของผู้บริโภคในช่วงวัยอื่น ๆ จะพิจารณาจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ตามมาด้วยราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตร 

ด้านปัจจัยภายนอกโครงการที่ผู้สูงอายุใช้พิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น 2 ใน 3 (66%) ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งโครงการมากที่สุด ตามมาด้วยสามารถเดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ 55% และความปลอดภัยของทำเล 53% เนื่องจากผู้สูงอายุคำนึงถึงการใช้ชีวิตในระยะยาว จึงต้องการโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก รองรับการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเองได้อย่างสบายใจและปลอดภัย  

    • เลือกห้องตกแต่งครบ ประหยัดเวลา พร้อมเข้าอยู่ เมื่อต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง (46%) จะเลือกโครงการที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด โดยมีเหตุผลสำคัญมาจาก ช่วยประหยัดเวลาในการตกแต่ง 76% และไม่ยุ่งยาก สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที 70% ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าผู้บริโภคช่วงวัยอื่น ๆ ขณะที่ผู้สูงอายุอีก 29% สนใจโครงการที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ และ 25% เลือกโครงการที่ตกแต่งห้องให้บางส่วน (Fully Fitted) โดยเหตุผลที่ผู้สูงอายุเลือกห้องที่ไม่มีการตกแต่ง หรือตกแต่งห้องให้บางส่วน เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ 70% ชื่นชอบการตกแต่งห้องในสไตล์ของตัวเองมากกว่า และ 37% คิดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ได้ดีกว่า
    • บ้านที่ดีต้องใกล้ชิดธรรมชาติ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่บ้านเป็นหลัก จึงเห็นความสำคัญของบทบาทที่อยู่อาศัยในการเสริมสร้างสุขภาพกายควบคู่กับสุขภาพจิตที่ดี เมื่อพิจารณาคุณลักษณะภายในและบริเวณรอบบ้านที่จะช่วยให้มีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น ผู้สูงอายุกว่า 2 ใน 3 (70%) ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้สวนสาธารณะและใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากการมีพื้นที่สีเขียวไว้พักผ่อนหย่อนใจนั้นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี และมีผลทางจิตวิทยาทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น รวมทั้งต้องการพื้นที่เปิดโล่งมากขึ้นภายในละแวกบ้าน 68% ตามมาด้วยยูนิตที่มีระยะห่างมากขึ้น 64% เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและต้องการความสงบ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังเข้าใจและให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมแนวคิดรักษ์โลก เกือบ 2 ใน 3 (65%) คาดหวังว่าโครงการที่พัฒนาใหม่ทั้งหมดควรจะมาพร้อมกับหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อช่วยประหยัดรายจ่ายและลดการใช้พลังงานไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุมีความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานทางเลือก
    • รีโนเวทห้องนั่งเล่นรองรับการใช้ชีวิต พื้นที่ภายในที่อยู่อาศัยที่ผู้สูงอายุต้องการปรับปรุงเพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น อันดับแรกคือห้องนั่งเล่น 66% รองลงมาคือ ห้องนอน 59% ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุใช้เวลาในการทำกิจกรรมประจำวันมากที่สุด จึงเห็นความสำคัญในการปรับปรุงภายในห้องนั้นให้พร้อมรองรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ขณะที่อันดับสามคือห้องน้ำ 38% เนื่องจากถือเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกเมื่อผู้สูงอายุต้องใช้งาน ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้ได้มากที่สุด

ทำความรู้จัก “Reverse Mortgage” ทางเลือกสินเชื่อที่อยู่อาศัยของผู้สูงวัย 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนทำความรู้จักกับ “Reverse Mortgage หรือสินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ” ทางเลือกน่าสนใจที่ช่วยให้ผู้สูงวัยมีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาการเงินในวัยเกษียณได้โดยไม่เป็นภาระของลูกหลาน

    • Reverse Mortgage น่าสนใจอย่างไร Reverse Mortgage หรือการจำนองแบบย้อนกลับ มีความแตกต่างกับการจำนองทั่วไปอย่างชัดเจน หลักการทำงานจะมีรูปแบบเหมือนการทยอยขายบ้านให้กับธนาคาร โดยจะเป็นรูปแบบการจำนองที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้สูงอายุที่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแต่ไม่ต้องการขาย เนื่องจากต้องใช้อยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิต และต้องการรายได้เป็นแบบรายเดือนเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สามารถนำบ้าน/คอนโดฯ ไปจำนองกับธนาคาร แล้วให้ธนาคารจ่ายเงินให้ผู้กู้เป็นรายเดือนแทน
    • หลักการทำงานของ Reverse Mortgage ผู้สูงอายุสัญชาติไทย อายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80 ปี สามารถนำบ้าน/คอนโดฯ ที่ถือครองกรรมสิทธิ์อยู่มาจำนองไว้กับธนาคาร จากนั้นธนาคารจะตีมูลค่าบ้านพร้อมกับประเมินอายุเฉลี่ยของผู้กู้และทยอยจ่ายเงินค่าบ้านให้ผู้กู้เป็นรายเดือน โดยที่ผู้กู้ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นและสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้จนกระทั่งเสียชีวิตหรือตัดสินใจขายบ้านไปก่อน เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว บ้าน/คอนโดฯ นั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ซึ่งธนาคารสามารถนำไปขายทอดตลาดได้
      • ในกรณีที่ครบกำหนดสัญญาแล้วผู้กู้ยังมีชีวิตอยู่ จะสามารถยื่นเอกสารเพื่อกู้เพิ่มเติมได้ตามเงื่อนไขของธนาคาร หรือนำเงินมาไถ่บ้าน/คอนโดฯ คืนได้
      • ส่วนกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิตก่อนและทายาทไม่มาไถ่ถอนอสังหาฯ นั้นคืน ธนาคารจะนำไปขายทอดตลาด โดยหากขายอสังหาฯ นั้นได้ราคาสูงกว่ายอดหนี้ ธนาคารจะคืนส่วนต่างดังกล่าวให้กับทายาทต่อไป

Reverse Mortgage ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและเหมาะกับสังคมผู้สูงวัยของไทยในปัจจุบัน นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการมีบ้านของผู้สูงอายุเพื่อพักอาศัยในบั้นปลายชีวิตแล้ว ยังช่วยลดความกังวลในเรื่องค่าครองชีพได้อีกด้วย ทั้งนี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข่าวสารและบทความน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ ที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคทุกช่วงวัยที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย รวมทั้งเป็นแหล่งรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่า พร้อมรีวิวโครงการอสังหาฯ ที่น่าสนใจในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อช่วยให้ทุกคนพร้อมก้าวสู่เส้นทางอสังหาฯ ได้อย่างมั่นใจ และเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด

Ericsson named the leader in ABI Research sustainability assessment

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research

Ericsson named the leader in ABI Research sustainability assessment

Ericsson has been named the overall sustainability leader in a study conducted by ABI Research that evaluated the capabilities of telecom vendors to reduce energy use and waste across the industry.

ABI ranked more than 80 telco vendors and suppliers based on the two key areas of implementation and impact. The assessment provided a matrixed view of the ecosystem of companies that can best support service providers in their drive toward improved sustainability.

Ericsson led the assessment overall for implementation – ranking highest for sustainable networks and business, and number one in the main RAN (radio access network) categories, including Massive MIMO, 5G RAN, AI-driven software, and antenna solutions, according to ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report.

In terms of impact, Ericsson also topped the list among vendors for its Net Zero emission targets. The company is determined to halve its value-chain emissions by 2030 and reach Net Zero by 2040. Ericsson has also committed to become Net Zero in its own activities by 2030.

Kim Arrington Johnson, principal analyst at ABI Research says: “In the sustainability assessment, Ericsson received strong scores for innovation and sustainable impact, due to the close co-design of Ericsson Silicon with hardware and software playing a crucial role in creating high-performing, lightweight, and energy-efficient products. Ericsson designs and builds RAN hardware equipment with sustainability in mind.”

Freddie Södergren, Head of Technology and Strategy, Ericsson Networks, says: “We started our sustainability journey at Ericsson many years ago with a strong focus on supporting our customers. We have been closely working with them in recent years to achieve their energy and sustainability targets. Energy performance and achieving Net Zero targets are key pillars of Ericsson’s overall company and technology strategies.”

Assessment methodology

Vendors and suppliers were scored in each equipment category against a set of impact and implementation criteria weighted in terms of their importance, ability to reduce carbon emissions and waste, and the levels at which the equipment has been implemented across the industry. (See below an example of the scoring method used).

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

The final stage took each company’s aggregated overall score and grouped the companies into relevant market segments (traditional vendors, non-traditional vendors, software vendors, and chipset and component vendors). Ericsson ranked number one in this overall score.

Leading the way for sustainable networks

ABI Research says in its report that focus on network energy performance and product energy management is critical to Ericsson’s sustainability efforts. The analyst firm highlights as a “product impact example” the triple-band, tri-sector Radio 6646. This Ericsson radio cuts energy use by 40 percent compared to triple-band single-sector radios and is 60 percent lighter (less aluminum used in the product).

ABI Research also assessed Ericsson’s other sustainability efforts such as its Global Product Take-Back Program, as well as Ericsson’s initiative with its strategic suppliers to set their own 1.5°C aligned climate targets.

The Ericsson USA 5G Smart Factory in Lewisville, Texas, is one example of sustainable manufacturing practices by the company highlighted in the report. The factory has been recognized as a global front-runner in the Fourth Industrial Revolution (4IR) and awarded by the World Economic Forum with the prestigious “Global Lighthouse” designation.

Being named the leader in ABI Research’s sustainability assessment is a recognition of the efforts and achieved results of Ericsson’s Net Zero ambition. The company continues to step up the challenge and has recently launched more than 10 new hardware and software products that will cut carbon emissions and site footprint, increase energy performance, and boost network capacity. The new solutions were showcased at Mobile World Congress (MWC) 2023 Barcelona.

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในรายงานผลการศึกษาที่จัดทำโดย ABI Research โดยประเมินศักยภาพของอีริคสันซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมในการลดการใช้พลังงานและขยะทั่วทั้งภาคอุตสาหกรรม

ABI ได้จัดอันดับผู้จำหน่ายและซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมากกว่า 80 ราย โดยพิจารณาจากสองปัจจัยสำคัญในด้านผลกระทบ (Impact) และการนำไปใช้งาน (Implementation) โดยการประเมินดังกล่าวได้นำเสนอมุมมองหลากหลายในระบบนิเวศของบริษัทต่าง ๆ ที่สามารถสนับสนุนผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งหลายได้ดีที่สุดเพื่อผลักดันไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในรายงานการประเมินของ ABI หัวข้อ “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” อีริคสันนำหน้าการประเมินทั้งหมดทั้งด้านการนำไปใช้งาน (Implementation) โดยได้รับอันดับสูงสุดด้านเครือข่ายและธุรกิจที่มีความยั่งยืน และยังเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก RAN (Radio Access Network) ซึ่งประกอบด้วย Massive MIMO, 5G RAN, ซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ (AI-driven Software) และโซลูชันเสาอากาศ (Antenna Solutions)

ในแง่ผลกระทบ (Impact) อีริคสันยังติดอันดับสูงสุดเป็นผู้จำหน่ายที่มีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่า (Value-Chain) ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 และเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2583 นอกจากนี้ ภายในปี 2573 อีริคสันยังตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในทุกกิจกรรมและการดำเนินงานทั้งหมดขององค์กร

คิม อาร์ริงตัน จอห์นสัน นักวิเคราะห์จาก ABI Research กล่าวว่า “สำหรับการประเมินศักยภาพเรื่องความยั่งยืน เราพบว่าอีริคสันได้รับคะแนนสูงในด้านนวัตกรรมและผลกระทบที่ยั่งยืน เนื่องจากขุมพลังของ Ericsson Silicon ซึ่งเป็นระบบ Systems on a Chip ที่ออกแบบมาร่วมกับผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างประสิทธิภาพขั้นสูง น้ำหนักเบา และเป็นผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงาน อีริคสันออกแบบและสร้างอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ RAN โดยยึดมั่นความยั่งยืนเป็นหัวใจ”  

เฟรดดี้ โซเดอเกรน หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและกลยุทธ์ของ Ericsson Networks กล่าวว่า “ที่อีริคสัน เราเริ่มต้นการเดินทางไปบนถนนแห่งความยั่งยืนหลายปีมาแล้ว โดยมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือและสนับสนุนลูกค้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราทำงานอย่างใกล้ชิดกับพวกเขาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและด้านพลังงาน ซึ่งประสิทธิภาพด้านพลังงานและการบรรลุเป้าหมาย Net Zero คือหมุดหมายของอีริคสันและยังเป็นกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่สำคัญขององค์กร”

กระบวนวิธีการประเมิน

ผู้จำหน่าย (Vendor) และผู้จัดหาสินค้า (Supplier) จะได้รับคะแนนในแต่ละกลุ่มอุปกรณ์เทียบจากชุดข้อมูลด้านผลกระทบ (Impact) และชุดข้อมูลด้านการนำไปใช้งาน (Implementation) สำหรับใช้เป็นเกณฑ์การให้น้ำหนักในแง่ของความสำคัญด้านศักยภาพการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ และของเสีย และไล่ระดับที่มีการนำอุปกรณ์ไปใช้ทั่วทั้งอุตสาหกรรม (ดูตัวอย่างวิธีการให้คะแนนด้านล่าง)

 

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

ขั้นตอนสุดท้ายจะใช้คะแนนรวมของแต่ละบริษัทและจัดกลุ่มไปอยู่ในส่วนตลาดที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้จำหน่ายดั้งเดิม (Traditional Vendors) และผู้จำหน่ายรูปแบบใหม่ (Non-Traditional Vendors) ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์  (Software Vendors) และผู้จำหน่ายชิปเซ็ตและส่วนประกอบ (Chipset And Component Vendors) ซึ่งอีริคสันครองอันดับหนึ่งในคะแนนรวมนี้ทั้งหมด

นำไปสู่เครือข่ายที่มีความยั่งยืน

ABI Research กล่าวในรายงานว่าการมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพด้านพลังงานเครือข่ายและการจัดการพลังงานในผลิตภัณฑ์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความพยายามในการสร้างความยั่งยืนของอีริคสัน โดยบริษัทวิเคราะห์แห่งนี้ยังให้ความสำคัญกับ “ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่สร้างผลกระทบ (Product Impact Example)” อย่าง Triple-Band Tri-Sector Radio 6646 ที่ลดการใช้พลังงานลง 40% เมื่อเทียบกับ Triple-Band Single-Sector Radios และมีน้ำหนักเบากว่าถึง 60% (จากการใช้อะลูมิเนียมที่น้อยลง)

นอกจากนี้ ABI Research ยังประเมินความพยายามในการสร้างความยั่งยืนของอีริคสันเพิ่มเติม อาทิ โปรแกรมรับคืนสินค้า (หรือ Global Product Take-Back Program) เช่นเดียวกับโครงการริเริ่มต่าง ๆ ของอีริคสันที่ดำเนินการร่วมกับซัพพลายเออร์เชิงกลยุทธ์เพื่อกำหนดเป้าหมายทางด้านสภาพภูมิอากาศร่วมกันที่ตั้งเป้าจำกัดภาวะโลกร้อนจากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส

โรงงานอัจฉริยะ 5G ของอีริคสัน ที่เมืองลูอิสวิลล์ รัฐเท็กซัส ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างหนึ่งของแนวทางปฏิบัติของภาคการผลิตที่ยั่งยืน โดยบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญไว้ในรายงาน ซึ่งโรงงานแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำระดับโลกในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR) และได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ “Global Lighthouse” จาก World Economic Forum

การได้รับเลือกให้เป็นผู้นำความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research ถือเป็นการให้การยอมรับความพยายามและบรรลุผลตามเป้าหมายไปสู่ Net Zero ของอีริคสัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าก้าวข้ามความท้าทายอย่างต่อเนื่องและล่าสุดเราเพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่กว่า 10 รายการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงจำนวนสถานีฐาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน และเพิ่มขีดความสามารถของเครือข่าย ซึ่งโซลูชั่นใหม่นี้ได้นำไปจัดแสดงไว้ในงาน Mobile World Congress (MWC) 2023 ณ เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ที่เพิ่งจบไป

SAP and Red Hat Deepen Partnership to Power SAP® Software Workloads with Red Hat Enterprise Linux

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

SAP and Red Hat Deepen Partnership to Power SAP® Software Workloads with Red Hat Enterprise Linux

    • SAP bolsters internal IT landscape by running a continuously increasing part of its cloud infrastructure on the world’s leading enterprise Linux platform as one of its standard operating systems for software-as-a-service applications to drive hybrid cloud innovation and greater customer value
    • SAP and Red Hat extend support for the RISE with SAP solution on Red Hat Enterprise Linux, the preferred operating system for net new business for RISE with SAP solution deployments 

SAP SE (NYSE: SAP) and Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, today announced an expanded partnership to significantly increase SAP’s use of and support for Red Hat Enterprise Linux. This collaboration aims to enhance intelligent business operations, support cloud transformation across industries and drive holistic IT innovation.

Building on the two companies’ long-standing collaboration, SAP is steadily migrating part of its internal IT landscape and the SAP® Enterprise Cloud Services portfolio onto the standard foundation of Red Hat Enterprise Linux, a shift intended to better meet SAP’s evolving business and IT needs. As part of its migration road map, SAP is boosting support for the RISE with SAP solution using Red Hat Enterprise Linux as the preferred operating system for net new business for RISE with SAP solution deployments. 

A hardened, production-ready Linux operating system for hybrid cloud innovation, Red Hat Enterprise Linux is trusted by global enterprises across industries worldwide. The platform builds on this trust by offering a consistent, reliable foundation for SAP software deployments, providing a standard Linux backbone to support SAP customers across hybrid and multi-cloud environments. 

SAP’s internal IT environments and SAP Enterprise Cloud Services adopting Red Hat Enterprise Linux can gain greater flexibility to address modern and future technology requirements. Paired with the RISE with SAP solution, Red Hat Enterprise Linux offers enhanced performance capabilities to support RISE with SAP solution deployments across cloud environments, smoothing the path towards cloud adoption and transformation for customers as they plan their next wave of IT innovation. Over the next year, Red Hat and SAP will collaborate closely to deepen support for RISE with SAP solution workloads on Red Hat Enterprise Linux and accelerate SAP’s adoption of Red Hat Enterprise Linux more broadly.

To support SAP in more widely implementing Red Hat Enterprise Linux, Red Hat is providing dedicated product engineers and on-site resources to assist SAP engineering and technical teams in driving standardization on Red Hat Enterprise Linux and interoperability for SAP and Red Hat solutions. SAP associates can develop critical technical skills and deepen their knowledge of Red Hat’s hybrid cloud technologies through virtual and instructor-led Red Hat training courses and hands-on labs through Red Hat Learning Subscription Premium

This joint initiative to extend SAP software workloads on Red Hat Enterprise Linux is intended to make it easier for SAP customers to achieve greater business agility, accelerate cloud deployments and drive business innovation by building on Red Hat’s scalable, flexible, open hybrid cloud infrastructure. Customers can now more readily streamline cloud transformation projects based on SAP software, including SAP S/4HANA®, based on the RISE with SAP solution underpinned by Red Hat Enterprise Linux. 

Supporting Quotes

Lalit Patil, CTO, SAP Enterprise Cloud Services, SAP SE

“Red Hat Enterprise Linux offers a robust, open infrastructure to support SAP software deployments, providing a consistent foundation for hybrid cloud workloads. We look forward to building on our legacy of  innovation together with Red Hat to empower our customers with greater flexibility and resilience across cloud environments.” 

Gunnar Hellekson, vice president and general manager, Red Hat Enterprise Linux Business Unit, Red Hat 

“As organizations look to expand business intelligence and analytics systems across the open hybrid cloud, they need an operating system foundation that is tested, validated and trusted for these critical operations on every footprint. Red Hat Enterprise Linux already serves as a trusted backbone for the global Fortune 500, and we are pleased to further extend this trust to SAP and our joint customers as the common operating system supporting SAP software workloads and business operations.”

SAP และ Red Hat กระชับความร่วมมือ เสริมประสิทธิภาพ SAP® Software Workloads ด้วย Red Hat Enterprise Linux

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

SAP และ Red Hat กระชับความร่วมมือ เสริมประสิทธิภาพ SAP® Software Workloads ด้วย Red Hat Enterprise Linux

    • SAP เสริมศักยภาพแลนด์สเคปด้านไอทีภายในองค์กร ใช้โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม Linux ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับองค์กรคุณภาพแนวหน้า เป็นหนึ่งในระบบปฏิบัติการมาตรฐานให้กับ software-as-a-service applications เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านไฮบริดคลาวด์และเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้ามากขึ้น
    • SAP และ Red Hat ขยายการสนับสนุนการใช้ RISE with SAP solution บน Red Hat Enterprise Linux ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมกับแหล่งรายได้ใหม่ของธุรกิจที่ใช้ RISE with SAP solution 

SAP SE (NYSE: SAP) และ Red Hat, Inc., ผู้ให้บริการด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สชั้นนำของโลก ประกาศขยายความร่วมมือ เพื่อเพิ่มการใช้งานและการสนับสนุนที่สำคัญให้กับการใช้ SAP บน Red Hat Enterprise Linux ความร่วมมือครั้งนี้มีจุดหมายเพื่อให้การปฏิบัติงานทางธุรกิจมีความชาญฉลาดมากขึ้น รองรับการทรานส์ฟอร์มสู่คลาวด์ของอุตสาหกรรมทุกประเภท และขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านไอทีแบบองค์รวม

บริษัททั้งสองแห่งมีความร่วมมือกันมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ SAP กำลังย้ายแลนด์สเคปด้านไอทีภายในส่วนหนึ่งของบริษัท และพอร์ตโฟลิโอของ SAP® Enterprise Cloud Services ไปยังโครงสร้างพื้นฐานที่มีมาตรฐานของ Red Hat Enterprise Linux อย่างต่อเนื่อง การโยกย้ายนี้มุ่งตอบสนองความต้องการด้านไอทีและธุรกิจที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ SAP ได้ดีขึ้น โดยส่วนหนึ่งของโรดแมปการโยกย้ายนี้ คือ SAP กำลังส่งเสริมการให้การสนับสนุน RISE with SAP solution ให้ใช้ Red Hat Enterprise Linux เป็นระบบปฏิบัติการให้กับแหล่งรายได้ใหม่ของธุรกิจ (net new business) ที่ใช้ RISE with SAP solution

Red Hat Enterprise Linux เป็นระบบปฏิบัติการ Linux ที่แข็งแกร่งและพร้อมใช้กับนวัตกรรมด้านไฮบริดคลาวด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรใหญ่ ๆ ระดับโลก และอุตสาหกรรมทุกประเภททั่วโลก เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นมาพร้อมความเชื่อมั่นเพื่อให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่เสถียรและเชื่อถือได้ให้กับการใช้ซอฟต์แวร์ของ SAP และเป็นฐานที่แข็งแกร่งตามมาตรฐานของ Linux ที่ให้การสนับสนุนลูกค้าของ SAP บนทั้งไฮบริดและมัลติคลาวด์

สภาพแวดล้อมไอทีภายในองค์กรของ SAP และ SAP Enterprise Cloud Services ที่ใช้ Red Hat Enterprise Linux จะมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อตอบสนองความต้องการของเทคโนโลยีสมัยใหม่และเทคโนโลยีในอนาคต ทั้งนี้เมื่อทำงานร่วมกับ RISE with SAP solution แล้ว Red Hat Enterprise Linux นำเสนอความสามารถต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นให้กับลูกค้า เพื่อรองรับการใช้ RISE with SAP solution กับสภาพแวดล้อมคลาวด์ทั้งหมด ช่วยให้การใช้และการทรานส์ฟอร์มสู่คลาวด์เป็นไปอย่างราบรื่น ในเวลาที่ลูกค้าวางแผนนวัตกรรมด้านไอที และในปีหน้า Red Hat และ SAP จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนเวิร์กโหลด RISE with SAP solution บน Red Hat Enterprise Linux อย่างเข้มข้น และสนับสนุนให้ SAP นำ Red Hat Enterprise Linux ไปใช้งานในวงกว้างมากขึ้นได้เร็วขึ้น

Red Hat จัดหาวิศวกรด้านผลิตภัณฑ์ และจัดหาทรัพยากรให้ไว้ ณ สถานที่ทำงาน เพื่อช่วยทีมด้านวิศวกรรมและเทคนิคของ SAP ขับเคลื่อนการกำหนดมาตรฐานบน Red Hat Enterprise Linux และขับเคลื่อนความสามารถในการทำงานร่วมกันให้กับโซลูชันของ SAP และ Red Hat ทั้งนี้เป็นการสนับสนุน SAP ให้ใช้ Red Hat Enterprise Linux ได้ในวงกว้างมากขึ้น ผู้ร่วมงานของ SAP สามารถพัฒนาทักษะทางเทคนิคสำคัญ ๆ และเพิ่มความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีไฮบริดคลาวด์ของ Red Hat ผ่านคอร์สอบรมแบบเวอร์ชวลโดยมีผู้สอนของเร้ดแฮท และ hands-on labs ผ่าน Red Hat Learning Subscription Premium

ความร่วมมือในการขยาย SAP software workloads ไปยัง Red Hat Enterprise Linux นี้มุ่งให้ลูกค้าของ SAP มีความคล่องตัวทางธุรกิจ ใช้คลาวด์ได้เร็วขึ้น และขับเคลื่อนนวัตกรรมทางธุรกิจ ด้วยการใช้และทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ของ Red Hat ได้อย่างไม่ยุ่งยาก ปัจจุบันลูกค้าสามารถขับเคลื่อนโปรเจกต์การทรานส์ฟอร์มสู่คลาวด์ได้คล่องตัวมากขึ้นโดยใช้ซอฟต์แวร์ของ SAP รวมถึง SAP S/4HANA® ที่ทำงานบน RISE with SAP solution ที่มี Red Hat Enterprise Linux เป็นฐานที่แข็งแกร่ง

คำกล่าวสนับสนุน

Lalit Patil, CTO, SAP Enterprise Cloud Services, SAP SE 

“Red Hat Enterprise Linux ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิดที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการใช้ซอฟต์แวร์ของ SAP และมอบโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้กับเวิร์กโหลดที่ทำงานบนไฮบริดคลาวด์ เรามุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างมรดกทางนวัตกรรมร่วมกับ Red Hat เพื่อเสริมแกร่งให้ลูกค้าของเราผ่านความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการใช้สภาพแวดล้อมคลาวด์ทั้งหมด”

Gunnar Hellekson, vice president and general manager, Red Hat Enterprise Linux Business Unit, Red Hat 

“การที่องค์กรต่าง ๆ ต้องการเพิ่มการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดผ่านระบบการวิเคราะห์ต่าง ๆ บนโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ องค์กรเหล่านั้นจำเป็นต้องมีพื้นฐานระบบปฏิบัติการที่ได้รับการทดสอบและตรวจสอบแล้ว และต้องเชื่อถือได้ เพื่อรองรับปฏิบัติการสำคัญ ๆ ทุกด้าน Red Hat Enterprise Linux ทำหน้าที่เป็นเสมือนแกนหลักที่เชื่อถือได้ให้กับองค์กรใน Fortune 500 ทั่วโลก และเรายินดีที่ได้มีโอกาสขยายความเชื่อถือได้นี้มายัง SAP และลูกค้าของเราทั้งสองบริษัทฯ ในฐานะระบบปฏิบัติการพื้นฐานที่รองรับ SAP software workloads และการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ”