Ericsson เปิดตัวโซลูชันเครือข่ายใหม่ในงาน MWC 2023 มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

Ericsson เปิดตัวโซลูชันเครือข่ายใหม่ในงาน MWC 2023 มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

Ericsson เปิดตัวโซลูชันเครือข่ายใหม่ในงาน MWC 2023 มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

    • ระบบวิทยุสื่อสารใหม่ 10 รุ่น นำโดย Triple-Band Radio 4485 ที่มีน้ำหนักเบากว่าผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงกันถึง 53% นอกจากนี้ ยังเปิดตัวโซลูชันการขนส่งและซอฟต์แวร์เคลื่อนที่ใหม่
    • เปิดตัวระบบคลื่นวิทยุ Massive MIMO บนคลื่น 600MHz เป็นรายแรกในอุตสาหกรรม มาพร้อมซอฟต์แวร์ตรวจจับสัญญาณรบกวนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอีริคสัน เพิ่มความจุมากกว่าเดิม 40% และมีฮาร์ดแวร์รองรับทั้งพอร์ตโฟลิโอ
    • อีริคสันวางแผนนำเสนอโซลูชั่น AIR 6419 และ Radio 4490 ในตลาดประเทศไทย เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพเครือข่ายขั้นสูงสุดให้แก่ทั้งผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจ

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) แสดงวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำสนับสนุนผู้ให้บริการสื่อสาร เดินหน้าไปสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ด้วยการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ RAN และ Transport ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสร้างรายได้ของผู้ให้บริการสื่อสารและเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ณ งาน Mobile World Congress (MWC) 2023 ที่จะจัดขึ้นที่เมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน

โซลูชันใหม่ของอีริคสันมากกว่า 10 โซลูชัน จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงจำนวนสถานีฐาน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและเพิ่มศักยภาพเครือข่าย ด้วย New Remote Radios ใหม่ที่มีศักยภาพครบวงจร สำหรับการขยายประสิทธิภาพเครือข่าย 4G และ 5G ที่นำโดยคลื่นวิทยุแบบ ย่านความถี่ 4485 หรือ Triple-Band Radio 4485 for FDD (Frequency-Division Duplexing สำหรับใช้รับ-ส่งสัญญาณข้อมูล Downlink และ Uplink ในความถี่ต่างกัน) ซึ่งมีน้ำหนักเบาขึ้นกว่า 53% และใช้พลังงานน้อยกว่า 22% เทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวระบบวิทยุสื่อสารแบบดูอัลแบนด์และซิงเกิลแบนด์ใหม่

 อีริคสันยังเปิดตัวระบบคลื่นวิทยุ Massive MIMO แบบไวด์แบนด์รุ่นล่าสุด Ultra-wideband AIR 6476 ซึ่งเป็นรายแรกในอุตสาหกรรม บนคลื่นความถี่ 600MHz ช่วงช่องสัญญาณที่ใช้งานได้ต่อเนื่องกัน (Instantaneous Bandwidth) ซึ่งให้ความจุเพิ่มเป็น 2 เท่าโดยไม่ต้องติดตั้งเสาอากาศเพิ่ม มอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ผู้ใช้

 นอกจากนี้ซอฟต์แวร์ยังได้รับความสนใจในงานนี้ด้วยคุณสมบัติใหม่ ๆ ที่โดดเด่น เช่น การตรวจจับสัญญาณรบกวนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Massive MIMO ช่วงย่านความถี่ระดับกลาง โดยลดการรบกวนสัญญาณระหว่างเซลล์พร้อมเพิ่มความจุเครือข่ายสูงสุดถึง 40%

 โซลูชันใหม่จะจัดแสดงที่บูธของอีริคสันที่งาน MWC Barcelona 2023, Hall 2 ที่ Fira Gran Via ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ถึง 2 มีนาคม พอร์ตโฟลิโอเพิ่มเติมต่าง ๆ จะเริ่มวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในปีนี้และไตรมาสที่ 1 ปี ค.ศ.2024

สำหรับในประเทศไทย อีริคสันจะทำการตลาดโซลูชั่น Massive MIMO, AIR 6419 B41 และ Radio 4490 B1/B3 เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพเครือข่ายขั้นสูงสุดสำหรับทั้งผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจ

มร.อิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด

มร. อิกอร์ มอเรล ประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “เรากำลังขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในประเทศไทยด้วยโซลูชันประสิทธิภาพสูงผนวกกับความแข็งแกร่งของเครือข่าย 5G ทั่วโลก เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าสำหรับผู้บริโภค และเป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในกลุ่มองค์กรธุรกิจ เพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิทัลของพวกเขาเป็นไปได้ในต้นทุนที่แข่งขันได้”

เมื่อเร็ว ๆ นี้อีริคสันได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ Massive MIMO รุ่นล่าสุด รวมถึงโซลูชัน AIR 6419 B41 บนคลื่นความถี่ 2600MHz และผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ให้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม โดยมีความต้องการการบำรุงรักษาน้อยลงเนื่องจากระบบระบายความร้อนแบบพาสซีฟ

ทั้งนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการทดสอบผลิตภัณฑ์ Radio 4490 B1/B3 บนย่านความถี่ดูอัลแบนด์ 2100MHz และ 1800MHz ซึ่งโซลูชั่นนี้เป็นระบบคลื่นวิทยุหลักสำหรับใช้งานในเขตเมืองที่มีความหนาแน่นสูง ซึ่งใช้พลังงานน้อยลง 25% และมีน้ำหนักลดลง 25% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ Radio 4490 ยังต้องการการบำรุงรักษาน้อยกว่าด้วยระบบระบายความร้อนแบบพาสซีฟ ซึ่งคาดว่าการทดสอบจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้

Find out more about the latest macro and mobile transport portfolio additions.

Manav Kamboj appointed as Managing Director, Fintech, in addition to his current role of Chief Technology Officer at PropertyGuru Group

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บริษัทแม่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com ประกาศแต่งตั้ง “มานาฟ แคมบอช” นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจฟินเทค ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีในปัจจุบัน

Manav Kamboj appointed as Managing Director, Fintech, in addition to his current role of Chief Technology Officer at PropertyGuru Group

PropertyGuru Group Limited (NYSE: PGRU) (“PropertyGuru” or “the Group”), Southeast Asia’s leading[4], property technology (“PropTech”) company today announced that Manav Kamboj, the Chief Technology Officer of PropertyGuru Group will assume leadership of the PropertyGuru Fintech business as the Managing Director (MD) with immediate effect.

 PropertyGuru ventured into fintech with the launch of PropertyGuru Finance in 2020 in Singapore and as of Q3 2022, the mortgage business had brokered over S$3 billion in homes loans. Manav will lead the business, leveraging technology, data, and analytics to drive further digitisation of the home loan process and operational excellence. He has been working closely with PropertyGuru Fintech team since its inception, focusing on its technology systems and infrastructure and brings with him these insights to his new role. 

Speaking about the appointment, Hari V Krishnan, Chief Executive Officer and Managing Director, PropertyGuru Group said, “Manav brings a strong skillset in technology and experience in financial services, combined with deep understanding of our markets and customer needs. This will help in targeting our Fintech ambitions starting with PropertyGuru Finance which is digitising the home loan process in Singapore. I wish him the very best for this new additional role.” 

Manav Kamboj, Chief Technology Officer and Managing Director, Fintech, PropertyGuru Group said, “I am excited about my new role as MD, Fintech and the opportunities that are out there in helping the consumers maximise the value of their property assets. Our focus will be on developing products and solutions for the mortgage market that guide the home buyers’ financing needs and that are more often than not the biggest hurdle in their home ownership journey.” 

Manav joined PropertyGuru Group as CTO in 2017 and since then has grown the technology team to double its size. As the CTO, he leads a distributed team of engineers, software developers and data scientists who deliver technology solutions to address the ever-changing needs of home seekers, real estate agents and property developers across the region. Under his leadership, PropertyGuru Group was recently certified ISO/IEC 27001 Information Security Management System (#ISMS). ISO/IEC 27001:2013 is the international standard for information security. He also spearheaded the inauguration of PropertyGuru Group’s technology Centre of Excellence in Bengaluru, India. The inauguration of the centre marks the Group’s sixth country office (talent-only), alongside offices in Singapore, Malaysia, Thailand, Vietnam, and Indonesia. This CoE is a significant step to scale the technology capability and capacity to drive PropertyGuru’s mission to help property seekers, sellers and owners make confident property decisions, beyond ‘property search’. 

He has more than two decades of extensive experience in the consumer internet industry across eCommerce, mobile applications and technology consulting. On top of his extensive experience in technology, Manav spent more than 7 years in retail banking, leading cross-functional teams in retail lending, product management and customer acquisition strategy. 

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บริษัทแม่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com ประกาศแต่งตั้ง “มานาฟ แคมบอช” นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจฟินเทค ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีในปัจจุบัน

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บริษัทแม่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com ประกาศแต่งตั้ง “มานาฟ แคมบอช” นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจฟินเทค ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีในปัจจุบัน

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป” บริษัทแม่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ และ thinkofliving.com ประกาศแต่งตั้ง “มานาฟ แคมบอช” นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจฟินเทค ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีในปัจจุบัน

บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด บริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ[1] (Prop Tech) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้ชื่อ PGRU (NYSE: PGRU) (โดยต่อจากนี้จะเรียกว่า “พร็อพเพอร์ตี้กูรู” หรือ “กรุ๊ป”) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ 2 แพลตฟอร์มชั้นนำด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยอย่าง DDproperty.com แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อ-ขาย-เช่า-ลงทุน และ thinkofliving.com เว็บไซต์ที่รวบรวมรีวิว ข่าวสารด้านอสังหาฯ และโครงการใหม่ชั้นนำของประเทศ โดยวันนี้ทางกรุ๊ปได้ประกาศแต่งตั้งนายมานาฟ แคมบอช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ขึ้นดำรงตำแหน่งในฐานะกรรมการผู้จัดการ (MD) หน่วยธุรกิจฟินเทคของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ควบคู่กับตำแหน่งเดิม โดยมีผลทันที

พร็อพเพอร์ตี้กูรูได้เข้าสู่ธุรกิจฟินเทค และเปิดตัวพร็อพเพอร์ตี้กูรู ไฟแนนซ์ ในปี 2563 ในประเทศสิงคโปร์ และในไตรมาส 3 ของปี 2563 ธุรกิจสินเชื่อได้สร้างสถิติโดยการสร้างยอดสินเชื่อบ้านสูงกว่า 3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (ราวกว่า 77.6 หมื่นล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566) ซึ่งในการเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้ นายมานาฟจะนำเทคโนโลยี ดาต้า และการวิเคราะห์เข้ามาขับเคลื่อนขั้นตอนการขอสินเชื่อในรูปแบบดิจิทัลให้มากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในแต่ละขั้นตอนให้ดียิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้ นายมานาฟได้ร่วมงานกับทีมพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟินเทคอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มต้น โดยให้ความสำคัญกับการวางระบบและเทคโนโลยี ซึ่งเขาพร้อมนำข้อมูลและประสบการณ์ต่าง ๆ มาปรับใช้ในตำแหน่งใหม่ที่ได้รับนี้ 

ด้านนายแฮร์รี่ วี. คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวถึงการแต่งตั้งในครั้งนี้ว่า “คุณมานาฟมาพร้อมด้วยทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยี รวมถึงประสบการณ์ทางบริการด้านการเงินที่หลากหลาย ผนวกกับมีความเข้าใจความต้องการของลูกค้าในตลาดต่าง ๆ ที่เราดำเนินการอยู่ สิ่งเหล่านี้จะช่วยในการตั้งเป้าหมายสำหรับธุรกิจฟินเทค โดยเริ่มจาก พร็อพเพอร์ตี้กูรู ไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นการนำขั้นตอนการขอสินเชื่อบ้านมาสู่โลกดิจิทัลในสิงคโปร์ และผมขอให้เขาประสบความสำเร็จในบทบาทใหม่ที่เพิ่มเข้ามา” 

ในขณะที่นายมานาฟ แคมบอช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี และกรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจฟินเทค พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “ผมตื่นเต้นกับบทบาทใหม่ในฐานะกรรมการผู้จัดการของหน่วยธุรกิจฟินเทค ผมคิดว่ามีโอกาสมากมายรอเราอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถใช้มูลค่าของสินทรัพย์อย่างอสังหาริมทรัพย์ของตนเองได้อย่างสูงสุด โดยเป้าหมายของเราคือ การพัฒนาโปรดักส์และโซลูชั่นสำหรับตลาดสินเชื่อ ที่สามารถช่วยแนะนำคนที่กำลังซื้อบ้านที่มีความต้องการบริการทางด้านการเงิน เปลี่ยนอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่จะขัดขวางการมีบ้านเป็นของตัวเองให้กลายเป็นโอกาสมอบให้แก่พวกเขาได้” 

นายมานาฟ ร่วมงานกับพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปครั้งแรกในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) เมื่อปี พ.ศ. 2560 และนับจากนั้นเขาได้สร้างทีมเทคโนโลยีที่ใหญ่ขึ้นถึงสองเท่า ในฐานะ CTO นายมานาฟทำหน้าที่หัวหน้าทีมวิศวกร นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลในหลายประเทศ ซึ่งทีมเหล่านี้ได้นำเสนอโซลูชั่นต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของผู้ที่ต้องการมีบ้าน เอเจนต์อสังหาฯ รวมไปถึงบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ทั่วภูมิภาค 

ภายใต้การนำทีมของนายมานาฟ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปเพิ่งได้รับการรับรองด้านระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ISO/IEC 27001 (#ISMS). ISO/IEC 27001:2013 คือการรับรองพื้นฐานระดับนานาชาติสำหรับการรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูล นอกจากนี้ เขายังเป็นหัวหอกในการสร้างศูนย์ความเป็นเลิศ (CoE) แห่งแรกของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปในเมืองเบงกาลูรู ประเทศอินเดีย ซึ่งการเปิดศูนย์ดังกล่าวนับเป็นสำนักงานแห่งที่หกของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ปอีกด้วย (มีเฉพาะพนักงานเท่านั้น) นอกเหนือไปจากสำนักงานในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยศูนย์ CoE จะเป็นก้าวที่สำคัญในการขยายกำลังและความสามารถทางเทคโนโลยี เพื่อที่จะขับเคลื่อนภารกิจของพร็อพเพอร์ตี้กูรูที่มุ่งหวังจะช่วยให้คนหาบ้าน คนขายบ้าน และเจ้าของบ้านตัดสินใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอสังหาฯ ได้อย่างมั่นใจ และแน่นอนว่า “เป็นมากกว่าการค้นหาบ้าน” 

คุณมานาฟมีประสบการณ์อย่างยาวนานกว่า 2 ทศวรรษในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับผู้บริโภค อาทิ อินเทอร์เน็ต อีคอมเมิร์ซ บริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ และบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี นอกจากนี้ นายมานาฟยังมีประสบการณ์กว่า 7 ปีในธุรกิจธนาคารเพื่อธุรกิจรายย่อย โดยเป็นผู้นำทีมต่าง ๆ ในหลายตลาด และหลายสาขาธุรกิจ  ไม่ว่าจะเป็นทีมสินเชื่อรายย่อย ทีมดูแลจัดการโปรดักส์ และทีมกลยุทธ์ในการหาลูกค้า  

เกาะติดเทรนด์อสังหาฯ ดัชนีราคายังไม่ฟื้น “เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย” แท็กทีมฉุดดีมานด์ซื้อ-เช่าลด

เกาะติดเทรนด์อสังหาฯ ดัชนีราคายังไม่ฟื้น "เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย" แท็กทีมฉุดดีมานด์ซื้อ-เช่าลด

เกาะติดเทรนด์อสังหาฯ ดัชนีราคายังไม่ฟื้น "เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย" แท็กทีมฉุดดีมานด์ซื้อ-เช่าลด

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้มีปัจจัยบวกจากกำลังซื้อต่างชาติหลังจากจีนประกาศเปิดประเทศช่วยขับเคลื่อนการเติบโต แต่ยังมีความท้าทายในประเทศไม่น้อย เมื่อกำลังซื้อผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัย ผนวกกับมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ของรัฐบาลไม่ดึงดูดใจเพียงพอ ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ผ่านมาลดลงถึง 20% ขณะที่ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยปรับลดลงทุกประเภท หลังจากผู้ประกอบการชะลอขึ้นราคาอสังหาฯ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2565 ส่วนตลาดเช่าที่อยู่อาศัยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว โดยภาพรวมความต้องการเช่าลดลงถึง 32% ในรอบไตรมาส แม้ดัชนีค่าเช่ายังทรงตัว จับตาการเลือกตั้งรอบใหม่ อีกหนึ่งตัวชี้วัดทิศทางการเติบโตตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ หลังผู้บริโภค/นักลงทุนชะลอการตัดสินใจซื้อเพื่อรอดูนโยบายภาคอสังหาฯ และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ คาดตลาดอสังหาฯ จะมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 หลังทิศทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น  

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง 7% จากไตรมาสก่อน (QoQ) หรือลดลง 9% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยดัชนีราคายังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ (ไตรมาส 4 ปี 2562) ถึง 23% และต่ำกว่าดัชนีราคาปี 2561 ซึ่งเป็นปีฐานถึง 24% สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยยังไม่กลับมาฟื้นตัวดีดังเดิม 

ทั้งนี้ ไตรมาสที่ผ่านมาดัชนีราคาปรับตัวลดลงทุกประเภท ขณะที่ที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งได้รับความนิยมตั้งแต่ช่วงที่มีการแพร่ระบาดฯ ก็ชะลอตัวเช่นกัน หลังจากภาคธุรกิจกลับมาดำเนินการตามปกติทำให้การทำงานออนไลน์ลดลง ประกอบกับการที่ผู้ประกอบการและผู้ขายที่มีสินค้าแนวราบในมือนำออกมาประกาศขายในตลาดมากขึ้น จึงต้องใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมลดลงในสัดส่วนเท่ากันที่ 5% QoQ และลดลง 4% YoY ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์แม้จะลดลงเพียง 1% ในรอบไตรมาส แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าก็ลดลง 4% เช่นกัน

นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า “นอกจากปัจจัยบวกจากการที่จีนเปิดประเทศเต็มรูปแบบจะช่วยขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวและตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย เนื่องจากจีนถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ไทยมากที่สุด แต่กำลังซื้อต่างชาติเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯ ไทยกลับมาคึกคักดังเดิมได้ เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักยังคงเผชิญความท้าทายหลายประการ ทั้งกำลังซื้อที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง ภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้กู้ซื้อบ้านที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นหรือใช้เวลาในการผ่อนนานขึ้น” 

“ขณะเดียวกันมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ จากภาครัฐบางส่วนได้สิ้นสุดลงในปี 2565 อย่างเช่นการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ส่วนมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่แม้จะมีการต่ออายุ แต่ถูกปรับเปลี่ยนรายละเอียดเป็นลดค่าโอนกรรมสิทธิ์เพียง 1% จากมาตรการเดิมที่ลดเหลือ 0.01% เท่านั้น ทำให้ผู้ซื้อ-ผู้ขายที่อยู่อาศัยปีนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้น ผู้บริโภคที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้จึงต้องมั่นใจในสภาพคล่องของตนเอง และมีวินัยทางการเงินที่มากพอด้วยเช่นกัน” นายวิทยา กล่าวเพิ่มเติม

“ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปี 2565 ขยายตัว 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวจาก 4.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2565 ขยายตัวเพียง 2.6% ต่ำกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 3.2% ขณะที่ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย เผยว่ายอดหนี้ครัวเรือนของไทย ณ ไตรมาส 3 ปี 2565 อยู่ที่ระดับ 87% ของ GDP มีปริมาณหนี้รวมสูงถึง 14.9 ล้านล้านบาท ซึ่ง 1 ใน 3 นั้นเป็นหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย แม้หนี้ครัวเรือนจะลดลงจากช่วงก่อนหน้าแต่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเร่งขึ้นเร็วในช่วงโควิด-19 จากรายได้ที่ลดลงเป็นหลัก 

นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกยังส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะก่อหนี้ใหม่เพิ่ม โดยเฉพาะหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งมีราคาสูงและระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน ซึ่งถือเป็นจุดเปราะบางที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด”  

ไร้สัญญาณภาวะฟองสบู่อสังหาฯ – การเลือกตั้งใหม่ฉุดคนชะลอซื้อบ้าน  

“อย่างไรก็ดี แม้ความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยโดยรวมจะลดลงจากไตรมาสก่อน แต่มีทิศทางเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยความต้องการซื้อโดยรวมเพิ่มขึ้น 36% และเพิ่มขึ้นทุกประเภทที่อยู่อาศัยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ จากดีมานด์ที่ปรับเพิ่มขึ้นนี้ คาดว่าที่อยู่อาศัยคงเหลือในตลาดจะค่อย ๆ ถูกดูดซับไป โดยภาพรวมยังไม่มีแนวโน้มจะเกิดภาวะสินค้าล้นตลาด (Oversupply) ขณะที่ความต้องการเช่าเพิ่มขึ้นถึง 124% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเทรนด์เช่าที่อยู่อาศัยได้รับความนิยมมากกว่าการซื้อ เนื่องจากผู้บริโภคไม่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะใช้ในการซื้ออสังหาฯ และการเช่ายังยืดหยุ่นเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคปัจจุบันมากกว่า 

นอกจากปัจจัยท้าทายข้างต้น อีกประเด็นที่น่าจับตามองในปีนี้ คือ การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงต้นปี 2566 ออกไปก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ รวมถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ คาดว่าตลาดอสังหาฯ ไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาติอื่น ๆ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้ออสังหาฯ รวมถึงส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวดียิ่งขึ้น” นายวิทยา กล่าวสรุป

อัปเดตความเคลื่อนไหวตลาดอสังหาฯ ปี 66 ดีมานด์ซื้อ-เช่าชะลอตัว 

รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาฯ ไทยในไตรมาสล่าสุด สรุปภาพรวมดัชนีราคาและความต้องการที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจในตลาดซื้อและเช่า พร้อมเผยทำเลศักยภาพที่ดัชนีราคามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ 

      • อุปทานแนวราบยังมาแรง สวนทางดีมานด์คนซื้อลด 20% ภาพรวมอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ไตรมาสที่ผ่านมานั้น ที่อยู่อาศัยแนวราบมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบ้านเดี่ยวมีสัดส่วนอยู่ที่ 12% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนอยู่ที่ 9% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ (เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 2% QoQ) ด้านคอนโดฯ แม้จะมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 80% แต่พบว่ามีสัดส่วนลดลง 2% QoQ แสดงให้เห็นว่าเทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นในยุคโควิด-19 นั้น ได้ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ หันมาจับตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผู้ขายที่มีสินค้าแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์/ทาวน์โฮมยังนำสินค้าออกมาขายมากขึ้นตามไปด้วย

ขณะที่ภาพรวมที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนถึง 26% ของที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ทั้งหมด เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า คอนโดฯ ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท (สัดส่วน 26%) ขณะที่บ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ราคามากกว่า 15 ล้านบาท (สัดส่วน 42%) ด้านทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่ราคา 1-3 ล้านบาท (สัดส่วน 42%)

ด้านแนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยโดยรวมในไตรมาสล่าสุดลดลงถึง 20% QoQ หรือลดลง 14% YoY โดยปรับลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัย อันเป็นผลมาจากภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ซื้อชะลอการซื้อออกไปก่อน โดยความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวลดลง 21% QoQ ตามมาด้วยคอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งลดลงในสัดส่วนเท่ากันที่ 20% QoQ

      • ดีมานด์ผู้เช่าลดลง 32% ดึงดัชนีค่าเช่าทรงตัว ภาพรวมดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากเจ้าของอสังหาฯ ให้เช่ายังคงตรึงราคาให้สอดคล้องกับความสามารถในการใช้จ่ายของผู้เช่าในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ยังต่ำกว่าปี 2561 ซึ่งเป็นปีฐานอยู่ที่ 9% และต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ ถึง 12% ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของอสังหาฯ ให้เช่าในพื้นที่ใจกลางเมืองหลายทำเล สอดคล้องกับตลาดงานและตลาดท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวกลับมา

โดยคอนโดฯ เป็นอสังหาฯ ประเภทเดียวในกรุงเทพฯ ที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 1% ในรอบไตรมาส และเพิ่มขึ้น 2% YoY สวนทางกับดัชนีค่าเช่าของสินค้าแนวราบที่ปรับลดลงอย่างมาก โดยบ้านเดี่ยวลดลงถึง 17% QoQ และลดลง 14% YoY ส่วนทาวน์เฮ้าส์ลดลง 9% QoQ และลดลง 2% YoY ต่างจากตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในจังหวัดปริมณฑลที่ดัชนีค่าเช่ายังคงเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา อาทิ จังหวัดสมุทรปราการ ทาวน์เฮ้าส์มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ (เพิ่มขึ้น 17% YoY) ส่วนปทุมธานี บ้านเดี่ยวมีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 21% QoQ (เพิ่มขึ้น 22% YoY) และทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 4% QoQ (เพิ่มขึ้น 21% YoY)

ด้านจำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับเช่าในกรุงเทพฯ นั้น คอนโดฯ ยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 95% ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว 3% และทาวน์เฮ้าส์ 2%

ที่อยู่อาศัยสำหรับเช่าส่วนใหญ่มีอัตราค่าเช่าอยู่ที่ 10,000-30,000 บาท/เดือน เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า คอนโดฯ (สัดส่วน 54%) และทาวน์เฮ้าส์ (สัดส่วน 37%) ส่วนใหญ่มีอัตราค่าเช่าอยู่ที่ 10,000-30,000 บาท/เดือน ด้านบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่มีอัตราค่าเช่ามากกว่า 100,000 บาท/เดือน โดยมีสัดส่วนถึง 48% สะท้อนให้เห็นว่า บ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่กว้างขวางและอยู่ในทำเลทองยังเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มผู้เช่าที่มีกำลังซื้อสูงและมีแผนย้ายถิ่นฐานในอนาคต

ขณะที่ดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ โดยรวมแม้จะลดลง 32% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 29% YoY และเพิ่มขึ้นถึง 124% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ

โดยดัชนีความต้องการเช่าคอนโดฯ ลดลง 32% QoQ (เพิ่มขึ้น 45% YoY) แต่เพิ่มขึ้น 150% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ บ้านเดี่ยวลดลง 28% QoQ (ลดลง 25% YoY) แต่เพิ่มขึ้น 48% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ และทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 29% QoQ (ลดลง 32% YoY) แต่เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ จะเห็นว่าแนวโน้มความต้องการเช่าเพิ่มขึ้นอย่างมากจากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ สะท้อนให้เห็นถึงตลาดเช่าที่มีแนวโน้มเติบโต รองรับเทรนด์ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมเช่ามากกว่าซื้อ

ทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ได้แก่

      • เขตดอนเมือง เพิ่มขึ้น 6% QoQ (ลดลง 3% YoY) อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม บางซื่อ-รังสิต ทำให้ทำเลนี้เป็นที่จับตามองอีกครั้ง พร้อมรองรับการเดินทางที่หลากหลาย ใกล้สนามบิน และจะมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในอนาคตอีกด้วย
      • ตามมาด้วย เขตหนองแขม มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 5% QoQ (เพิ่มขึ้น 9% YoY) เป็นทำเลที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง ในปัจจุบัน รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย บางแค-พุทธมณฑลสาย 4 ในอนาคต
      • เขตสะพานสูง มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 5% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2567 
      • เขตบางนา มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 4% QoQ (ลดลง 3% YoY) ถือเป็นทำเลที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ด้วยรูปแบบที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ที่เป็นแนวราบตอบโจทย์คนหาบ้านปัจจุบัน ทั้งยังมีความเจริญในพื้นที่ ใกล้ห้างสรรพสินค้า ใกล้ทางด่วน และใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว
      • เขตสาทร ถือเป็นทำเลใจกลางเมืองเพียงทำเลเดียวที่ดัชนีราคาเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 2% YoY) ด้วยความเจริญจากการเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ของกรุงเทพฯ และเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (สายสีลม)

ทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ส่วนใหญ่เป็นทำเลแนวรถไฟฟ้าสายใหม่หรือเส้นทางที่เปิดให้บริการแล้ว รวมทั้งเป็นทำเลแหล่งงานขนาดใหญ่ ได้แก่

      • เขตสะพานสูง ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นถึง 168% QoQ (เพิ่มขึ้น 213% YoY) ซึ่งได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่จะเปิดให้บริการในปี 2567
      • ตามมาด้วย เขตหนองแขม ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 23% QoQ (ลดลง 6% YoY) ทำเลฝั่งธนบุรีที่สามารถเชื่อมต่อใจกลางเมืองได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค และในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4
      • เขตบางขุนเทียน ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 6% QoQ (ลดลง 1% YoY) แม้จะเป็นทำเลที่ไม่มีรถไฟฟ้าพาดผ่าน แต่เป็นทำเลใกล้แหล่งงานขนาดใหญ่ในโซนพระราม 2
      • นอกจากนี้ ทำเลใจกลางเมืองยังกลายเป็นทำเลน่าสนใจที่ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเช่าในย่านเหล่านี้ที่เริ่มฟื้นกลับมาอีกครั้ง ได้แก่
        • เขตปทุมวัน ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 4% QoQ (เพิ่มขึ้น 3% YoY) 
        • เขตคลองเตย ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 2% YoY) 
        • เขตราชเทวี ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 1% YoY) 
        • เขตวัฒนา ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 1% YoY) 

หมายเหตุ: รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2566 เป็นรายงานแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยที่จัดทำขึ้นเป็นรายไตรมาส (ทุก 3 เดือน) โดยใช้ข้อมูลจากประกาศขาย-เช่าบนเว็บไซต์ DDproperty มาทำการคํานวณด้วยวิธีการทางสถิต วิเคราะห์ และจัดทำเป็นดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคา, จํานวนที่อยู่อาศัยที่มีอยู่ในตลาด และความต้องการที่มีต่อที่อยู่อาศัยในช่วงเวลานั้น ๆ โดยรายงานฉบับนี้ประกอบไปด้วย ดัชนีราคา (Price Index) และดัชนีความต้องการ (Demand Index) จากทั้งฝั่งตลาดซื้อ-ขายและตลาดเช่า แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในรอบไตรมาสว่าเป็นไปในทิศทางใด โดยนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 เป็นต้นมา ดัชนีราคาและความต้องการในรายงานนี้ได้ใช้ข้อมูลในช่วงไตรมาส 1 ปี 2561 เป็นปีฐาน  

อ่านและศึกษาข้อมูลแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสล่าสุดได้ที่ รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2566

Micro Leasing Becomes a Leader in Loan Services Using Nutanix to Bolster its Infrastructure

Micro Leasing ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านสินเชื่อครบวงจร เสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้วย Nutanix

Micro Leasing Becomes a Leader in Loan Services Using Nutanix to Bolster its Infrastructure

Nutanix technology enables Micro Leasing to expand and help its customers be successful

Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, today said Micro Leasing PCL. used the Nutanix platform to modernize its datacenter, which enabled it to create a centralized environment to handle applications used by all of its branches across Thailand. 

Micro Leasing PCL (MICRO:BKK) is listed on the Stock Exchange of Thailand and has almost 3 decades of expertise in used truck hire-purchase. It realizes the significance and necessity of incorporating technology to transform its operating procedures to tackle various challenges and embrace the digital age. It also strives to become a market leader offering a complete range of financial loan services by expanding its businesses and product offerings to support the company’s growth and meet customer demands.

Mr. Preeda Iramaneerat, deputy managing director of Business Resources and Investment for Micro Leasing PCL said, “Because we are a financial institution offering hire-purchase services, we must adhere to stringent standards for operational reliability, timeliness, and transparency for all customer services and have robust security for customer data to comply with regulatory requirements.

“Therefore, we require high-performance, flexible, and efficient solutions that are scalable, can handle massive workloads, and provide our branches in 25 locations around the country with simultaneous access to our core applications.  Our hire-purchase sales department also must be able to function seamlessly from anywhere, at any time, enhancing our professional image. 

“We can confidently say Nutanix helps us meet every one of our needs.”

Preeda also noted COVID-19 had presented an unexpected influx of challenges including opportunities to broaden Micro Leasing’s services. The logistics industry became the fastest-growing segment during that time frame, so Micro Leasing seized on the opportunity to expand its offerings in that area. The new offerings include refinancing, loans, motorcycle hire-purchase, insurance brokers, and more. “We are able to be resilient during unexpected situations and achieve our goals because we have a long-term strategy to support technological changes today and in the future, which has included using Nutanix since 2018,” he said. 

Micro Leasing modernized the legacy infrastructure in its datacenter using Nutanix’s hyperconverged infrastructure. Moreover, Nutanix solutions have enabled it to improve its programs and disaster recovery systems, including the virtual desktops that enable its employees to access the company operating system from anywhere, and centralize and simplify the management of its IT from any one of its branches nationwide.  

Micro Leasing also aims to strengthen its IT through automation and cloud computing. Preeda said, “We are currently evaluating Nutanix’s hybrid multicloud solution and expect to install it soon since we are confident it will enable us to utilize the performance and capabilities of the cloud with total efficiency and achieve the security needed to protect our customers’ data.”

Mr. Han Chon, MD Sales – ASEAN, at Nutanix, said, “Having our products and services chosen by Micro Leasing is a tremendous honor for Nutanix. Nutanix’s hyperconverged infrastructure and our extensive solution suite are helping Micro Leasing achieve its current and future objectives”.

“Our hybrid multicloud solution will also help Micro Leasing achieve its goals of embracing private and public clouds. Moreover, it will enable them to develop innovative businesses and customer services, both online and offline, across multiple platforms in a short time with safety and stability.”