The hybrid employee experience – why HR should be involved in IT decision making

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

The hybrid employee experience – why HR should be involved in IT decision making

Article by Han Chon, managing director, Nutanix ASEAN

The pandemic has completely rewritten the rule book when it comes to the workplace. After more than two years of total disruption, it’s clear we’re never going back to ‘business-as-usual’. Although enabling remote workforces might have started out as a temporary measure, the newfound freedom it provided workers means they don’t want to go back to the way things were. Hybrid working is here to stay.

A 2021 McKinsey report showed that work-life balance, flexibility and mental health are now front of mind for employees; and they want these issues prioritised in the workplace. Faced with a plethora of new employee demands, HR Managers are needing to implement new procedures and policies, in addition to new IT solutions, which enable a more flexible working environment. 

IT may not have formed an integral part of the HR role before. But with the growing number of remote and hybrid workers, HR and IT have become inextricably linked. When legacy and poorly designed IT infrastructure compromises the employee experience, it impacts the core HR function. The issue HR Managers are facing, is that many of the IT systems put in place during the pandemic were done so in haste – a temporary, band-aid solution to keep businesses up and running in an emergency. But now, as organisations transition out of crisis mode and into ‘living with the pandemic’, those systems need to be re-evaluated and re-implemented in a way that better suits long-term organisational needs. And because the employee experience must be at the heart of those IT decisions, HR needs to have a say when it comes to IT infrastructure design. 

Designing IT for employee experience 

There is no doubt that a flexible, hybrid working environment will be a hallmark of the new normal. A 2022 PWC report shows that three quarters (74%) of Australian employees now want to work from home at least three days a week, and Gartner reports that organisations who demand employees return to a fully on-site arrangement are at risk of losing up to 39% of their workforce. This new way of working not only offers employees greater flexibility, but removing geographical constraints means businesses can benefit from access to a broader talent pool; plus fewer on-site staff can reduce real estate and operating expenses.

However, a highly effective and agile workforce isn’t quite as simple as letting employees stay home. In order to be productive, employees must have ease of access to corporate applications and resources and the ability to seamlessly collaborate with their teams. This requires an on-demand, secure cloud-based infrastructure that gives organisations the flexibility to scale up and back as needed.

Outdated technology and legacy infrastructure that can’t keep up with the demands of a remote workforce severely impacts the hybrid employee experience. Employees require high-grade solutions that provide an equality of experience no matter where they choose to work. Whether that’s easily accessible virtual workspaces or videoconferencing and collaboration tools, digital connectivity is critical to ensure that employees feel connected to their teams, and are empowered to perform their best. When it comes to catering for a hybrid workforce, there’s no one-size-fits all solution. HR managers need to understand different employee preferences and varying work styles, and use these insights to ensure IT infrastructure is designed with employee experiences in mind.  

Keeping businesses and employees secure 

Because hybrid work can lead to an increase in potential cyberattacks, more complex security measures are needed to keep both employees and critical business IP safe. However, many companies that face challenges with legacy or poorly designed infrastructure, are also faced with major security, business continuity and disaster recovery risks. 

To overcome the security challenges of public cloud and remote environments, many organisations are instead turning toward hyperconverged infrastructures – a type of IT architecture which gives organisations the best of both worlds. Hyperconverged infrastructure allows businesses to continue supporting the agile demands of a remote workforce, without compromising critical data or the hybrid employee experience. For IT teams, it’s easier to manage and can be easily scaled up and down as needed, while for HR Managers, it ensures that employee experiences remain at the heart of the solution. 

A people-centric digital transformation

In the future, there is no doubt we will look back on 2020 as one of the most pivotal years in modern history. Not only did the pandemic turn the entire world on its head, it has permanently altered the relationship employees have with their work; shifting the concept of work from ‘somewhere you go’ to ‘something you do’. 

As businesses fast-track their digital transformation strategies to support a remote workforce, it’s important to remember that digital transformation isn’t just about the technology – it’s about improving the way work and the way we communicate. As organisations re-evaluate their IT systems, they should be doing so with a human-centred focus in mind. HR and IT need to join forces to ensure employee experience is at the heart of all IT decisions.

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

บทความโดยฮัน ชอน กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียนของนูทานิคซ์

การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่กินเวลามากกว่าสองปีที่ผ่านมา เป็นปัจจัยที่ทำให้บริบทของคำว่า “สถานที่ทำงาน” เปลี่ยนแปลงไป และแน่นอนว่าจะไม่กลับไปเหมือนเดิม แม้ว่าการให้พนักงานทำงานจากระยะไกลเป็นการเริ่มต้นจากมาตรการชั่วคราวในช่วงการระบาด แต่ความเป็นอิสระของวิถีการทำงานแบบนั้นทำให้พนักงานได้เรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกลับไปใช้ชีวิตการทำงานแบบเดิมที่ต้องเดินทางเข้าไปทำงานที่สำนักงาน และสามารถทำงานได้แบบไฮบริด

รายงานของ McKinsey ในปี 2564 แสดงให้เห็นว่าพนักงานให้ความสำคัญเรื่องความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว ความยืดหยุ่น และสุขภาพจิตที่ดี เป็นลำดับแรก ๆ และต้องการได้สิ่งเหล่านี้จากสถานที่ทำงาน เมื่อฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องเผชิญกับความต้องการใหม่ ๆ จำนวนมากเหล่านี้จากพนักงาน ผู้ดูแลด้านนี้จึงต้องนำกระบวนการและนโยบายใหม่รวมถึงโซลูชันด้านไอทีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

ในอดีตฝ่ายไอทีอาจไม่เชื่อมโยงกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลโดยตรง แต่เมื่อมีพนักงานทำงานแบบไฮบริดและทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น ทำให้ฝ่ายไอทีและฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องทำงานร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ออกแบบมาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและล้าสมัยทำให้ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับเป็นไปในทางลบ และส่งผลกระทบต่อการทำงานหลักของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ทั้งนี้ปัญหาต่าง ๆ ที่ผู้รับผิดชอบด้านทรัพยากรบุคคลกำลังเผชิญ คือการนำระบบไอทีจำนวนมากมาใช้อย่างเร่งรีบระหว่างการระบาดเพื่อทำให้ธุรกิจดำเนินงานต่อไปได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งระบบเหล่านั้นเป็นโซลูชันชั่วคราวที่ไม่ได้แก้ไขต้นตอของปัญหา ในปัจจุบัน การที่องค์กรต่างเปลี่ยนจากการทำงานในภาวะวิกฤตเข้าสู่รูปแบบการทำงานที่ต้องสามารถ “อยู่ร่วมกับการระบาด” ได้นั้น องค์กรจำเป็นต้องประเมินระบบเหล่านี้ใหม่ และนำมาปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะกับความต้องการระยะยาวขององค์กร นอกจากนี้ การที่ประสบการณ์ของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญต่อการตัดสินใจด้านไอที ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจึงควรมีสิทธิ์มีเสียงในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานไอที

การออกแบบไอทีเพื่อประสบการณ์ของพนักงาน

สภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริดที่ยืดหยุ่นเป็นลักษณะเด่นของ new normal อย่างไม่ต้องสงสัย รายงาน PWC ประจำปี 2565 แสดงให้เห็นว่าสามในสี่ของพนักงานชาวออสเตรเลีย (74%) ปัจจุบันต้องการทำงานจากบ้านอย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์ และรายงานของ Gartner ระบุว่า องค์กรที่ต้องการให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงานทุกวันนั้นเสี่ยงต่อการสูญเสียพนักงาน 39% ของพนักงานทั้งหมด รูปแบบการทำงานใหม่นี้ ไม่เพียงช่วยให้พนักงานมีความยืดหยุ่นสูงมากเท่านั้น แต่ยังทำให้ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์หมดไปด้วย โดยธุรกิจจะสามารถเข้าถึงกลุ่มบุคคลที่มีความสามารถสูงได้กว้างขึ้น และการที่พนักงานเข้ามายังสำนักงานน้อยลง ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้

อย่างไรก็ตาม บุคลากรที่ทำงานมีประสิทธิภาพสูงและคล่องตัวนั้น ไม่ใช่เพียงการอนุญาตให้พนักงานนั้น ๆ ทำงานจากที่บ้านได้เพียงอย่างเดียว  เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิผล พนักงานเหล่านี้ต้องเข้าใช้งานแอปพลิเคชันและทรัพยากรขององค์กรได้อย่างไม่ยุ่งยาก และสามารถทำงานร่วมกับทีมงานของตนได้อย่างราบรื่น การจะทำเช่นนี้ได้องค์กรต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทำงานบนคลาวด์ได้อย่างปลอดภัยและเรียกใช้ได้ตามต้องการ ซึ่งช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการปรับเพิ่มหรือลดขนาดการทำงานได้ตามต้องการ

เทคโนโลยีที่ล้าสมัยและโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการต่าง ๆ ให้กับการทำงานจากระยะไกลของบุคลากร และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประสบการณ์การทำงานแบบไฮบริดของพนักงาน พนักงานทุกคนต้องการโซลูชันคุณภาพสูงที่มอบประสบการณ์ที่เท่าเทียมและเหมือนกันไม่ว่าเขาจะทำงานจากที่ใด การเชื่อมต่อทางดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบเวอร์ชวลที่เข้าถึงได้ง่าย หรือการประชุมผ่านวิดีโอและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ทำงานร่วมกัน  เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนรู้สึกเชื่อมต่อถึงกันกับทีมของเขา และมีเครื่องมือพร้อมที่จะสามารถทำงานได้อย่างดีที่สุด ในการจัดเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรที่ทำงานแบบไฮบริด ไม่มีโซลูชันใดเหมาะกับทุกสถานการณ์ ผู้รับผิดชอบฝ่ายทรัพยากรบุคคลจำเป็นต้องเข้าใจความต้องการของพนักงานและสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน และใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เป็นข้อมูลในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ยึดประสบการณ์ของพนักงานเป็นสำคัญ

คงความปลอดภัยให้กับธุรกิจและพนักงาน

การทำงานแบบไฮบริดอาจนำไปสู่โอกาสการโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น เครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อนมากขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อคงความปลอดภัยให้กับพนักงานและ IP ที่สำคัญของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทหลายแห่งที่เผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดจากโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมที่ออกแบบมาไม่ดีเท่าที่ควร ยังพบกับความเสี่ยงสำคัญ ๆ ด้านความปลอดภัย ความต่อเนื่องทางธุรกิจ และการกู้คืนระบบ

องค์กรจำนวนมากหันมาใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมด้านไอทีที่ช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ทั้งจากระบบที่อยู่ในองค์กรและบนพับลิคคลาวด์ แทนโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม เพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้พับลิคคลาวด์และสภาพแวดล้อมการทำงานจากระยะไกล โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จช่วยให้ธุรกิจสามารถรองรับความต้องการด้านความคล่องตัวให้กับบุคลากรที่ทำงานจากระยะไกลได้อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญ และประสบการณ์ที่ดีของพนักงานไว้ได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีมไอทีบริหารจัดการได้อย่างไม่ยุ่งยาก สามารถปรับขนาดการทำงานขึ้นลงได้ง่ายตามต้องการ ในขณะเดียวกัน ผู้รับผิดชอบฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็มั่นใจได้ว่าโซลูชันที่ใช้ยังคงยึดประสบการณ์ของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญ

ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง

ในอนาคต ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจะมองย้อนกลับมายังปี 2563 ว่าเป็นหนึ่งในปีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ไม่เพียงทำให้โลกเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมเท่านั้นแต่ยังเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่พนักงานมีต่องานของตนอย่างถาวร เปลี่ยนคอนเซปต์การทำงานจาก “ไปทำงานที่ไหนสักแห่ง” เป็น “งานที่คุณทำได้”

การประเมินระบบไอทีขององค์กรใหม่ ควรคำนึงถึงและยึดคนเป็นศูนย์กลาง ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและฝ่ายไอทีจำเป็นต้องผนึกพลังกันเพื่อให้ประสบการณ์ที่ดีของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจด้านไอทีทั้งหมด

Ericsson reinforces the value of 5G towards accelerating digital transformation in Thailand

อีริคสันตอกย้ำประสิทธิภาพ 5G เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันในประเทศไทย

Ericsson reinforces the value of 5G towards accelerating digital transformation in Thailand

    • Mobile operators in Asia Pacific join forces in Thailand to drive the digital transformation across the region.
    • Ericsson to share insights on its 5G technology and solutions, monetization and digital transformation through forums, workshops and demonstrations at DTWA 2023

Ericsson (NASDAQ: ERIC) today showcased its global 5G leadership and latest 5G solutions at the Digital Transformation World Asia (DTWA) 2023, a three-day event in Bangkok, Thailand, that serves as a platform for all key stakeholders in Asia Pacific’s telecommunication industry to share business insights and accelerate digital transformation across the region.

Aside from Thai mobile operators; Advanced Info Service (AIS) and True Corporation (true), DTWA 2023 welcomes communication service providers in Asia Pacific, including Jio, Axiata, Telenor Asia and Indosat Ooredoo Hutchinson.

Igor Maurell, Head of Ericsson Thailand, said Ericsson will share its global 5G deployment and monetization experiences, 5G technology and solutions as well as digital transformation through forums, workshops and demonstrations at the DTWA.

“We have established a leadership position in 5G. We have been investing for cost and performance leadership, which has also enabled us to also bring sustainable solutions to our customers,” Igor said. ”Along with our customers, Ericsson will continue to work closely with key stakeholders to support the development of the 5G ecosystem with our state-of-the -art technology and solutions.”

Ericsson’s leadership was recently recognized by important independent analysts’ reports: Gartner 5G Magic Quadrant 2023, (third year in a row) and Frost Radar Global 5G Infrastructure. Ericsson also scored #1 position in the latest ABI Research report on telco vendors sustainability.

“Mobile networks need to be increasingly resilient, open, sustainable and intelligent, with the best performance and total cost of ownership. As a technology leader in the telecom industry, we build secure and sustainable networks that are trusted to perform at the highest standard to meet the demand from both consumers and enterprises,” Igor said.

The majority of the world’s most popular apps, social media sites and music or video streaming services depend on connectivity that works anywhere and anytime. In Q3 2022 mobile networks carried 108 EB of traffic per month, growing at a rate of around 40 percent per year.

The November 2022 update of an Ericsson study of consumer retail packages offered by 310 mobile service providers in 139 countries showed that, although the various types of service packaging remain largely the same globally, consumers are being offered increased variety in most markets.

Service providers will provide the 5G technology platform that underpins nearly USD31 trillion in cumulative consumer revenues for the ICT industry by 2030. Service providers could clinch a cumulative USD 3.7 trillion of these 5G-enabled consumer revenues by 2030.

For enterprises, 5G enables significant value with private 5G networks and wireless wide area networks being deployed for enterprise and industrial use. 5G introduces innovation possibilities which go beyond today’s enterprise limitations, enabling new ways to work, think, and solve traditional business challenges.

There are some important common characteristics that emerge when looking at the value of 5G for business transformation, for example:

    • the ability to run any process remotely, regardless of how critical it is
    • real-time control of every business process
    • automating operations
    • using compute resources where it makes sense, running applications on the edge where relevant
    • inherent higher security levels without sacrificing overall performance

อีริคสันตอกย้ำประสิทธิภาพ 5G เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันในประเทศไทย

อีริคสันตอกย้ำประสิทธิภาพ 5G เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันในประเทศไทย

อีริคสันตอกย้ำประสิทธิภาพ 5G เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันในประเทศไทย

    • ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกร่วมผนึกกำลังในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลทั่วทั้งภูมิภาคฯ
    • อีริคสันเปิดข้อมูลเชิงลึกด้านเทคโนโลยีและโซลูชัน 5G พร้อมแนวทางการสร้างรายได้และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลผ่านงานประชุมสัมมนาระดับสูงและการแสดงนวัตกรรมต่าง ๆ ในงาน DTWA 2023

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ตอกย้ำความเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก พร้อมจัดแสดงโซลูชั่น 5G ล่าสุด ภายในงาน Digital Transformation World Asia (DTWA) 2023 ที่จัดขึ้นสามวันเต็มในกรุงเทพฯ เปิดเป็นเวทีให้พันธมิตรในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดได้มาร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจและแนวทางการเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ให้เกิดขึ้นทั่วทั้งภูมิภาคฯ

นอกจากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประเทศไทยทั้ง Advanced Info Service (AIS) และ True Corporation (true) แล้วยังมีผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ Jio, Axiata, Telenor Asia และ Indosat Ooredoo Hutchinson มาร่วมงาน DTWA 2023 อีกด้วย

มร.อิกอร์ มอเรล ประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในงาน DTWA 2023 อีริคสันได้จัดการประชุม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสาธิตนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อเผยประสบการณ์การนำเครือข่าย 5G มาปรับใช้และสร้างรายได้ทั่วโลก รวมถึงเทคโนโลยีและโซลูชันของ 5G และแนวทางการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล”

“อีริคสันได้สร้างความเป็นผู้นำในตลาดการสื่อสาร 5G ของโลกได้อย่างแท้จริง เรามุ่งมั่นลงทุนเพื่อสร้างความเป็นผู้นำในตลาด 5G มาโดยตลอด ทั้งในเรื่องต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันที่เน้นความยั่งยืนแก่ลูกค้าได้ และเรายังทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลักเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศของ 5G ด้วยเทคโนโลยีและโซลูชันที่ล้ำสมัยของอีริคสัน” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

อีริคสันตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด โดยได้รับการยอมรับในรายงาน Gartner 5G Magic Quadrant 2023 (เป็นปีที่สามติดต่อกัน) และรายงาน Frost Radar Global 5G Infrastructure ทั้งนี้อีริคสันยังได้คะแนนอันดับ 1 ในรายงาน ABI Research ล่าสุด ด้านความยั่งยืนของผู้ให้บริการโทรคมนาคม

“เครือข่ายมือถือต้องยืดหยุ่น เปิดกว้าง ยั่งยืนและอัจฉริยะมากยิ่งขึ้น พร้อมให้ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าการลงทุนสูงสุด (Total Cost of Ownership) ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เราสร้างเครือข่ายที่มีความปลอดภัยและยั่งยืนที่สามารถไว้วางใจได้ในมาตรฐานสูงสุดเพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจ” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

แอปพลิเคชันยอดนิยมทั่วโลก โซเชียลมีเดียต่าง ๆ และบริการสตรีมมิ่งเพลงหรือวิดีโอจะใช้การเชื่อมต่อที่สามารถเปิดใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา ช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มีปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือถึง 108 เอกซะไบต์ (Exabyte) ต่อเดือน ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 40% ต่อปี

จากผลการศึกษาของอีริคสันฉบับปรับปรุงล่าสุดเมื่อพฤศจิกายน ปี 2565 ด้านแพ็คเกจบริการมือถือของผู้บริโภค จากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือจำนวน 310 ราย ใน 139 ประเทศ แสดงให้เห็นว่า แม้แพ็คเกจบริการมือถือจะมีจำนวนมากและหลากหลายเหมือนกันทั่วโลก แต่ผู้บริโภคก็ยังได้รับข้อเสนอแพ็คเกจมือถือใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นในตลาดส่วนใหญ่

ในปี 2573 ผู้ให้บริการจะนำเสนอแพลตฟอร์มเทคโนโลยี 5G ที่รองรับการสร้างรายได้สะสมจากผู้บริโภคในอุตสาหกรรมไอซีที คิดเป็นมูลค่าเกือบ 31 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี 2573 ผู้ให้บริการยังจะมีรายได้สะสมจากที่ผู้บริโภคเปิดใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับในภาคองค์กร 5G ช่วยสร้างมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญกับ Private 5G Network และ Wireless Wide Area Networks ที่สามารถนำมาปรับใช้กับภาคองค์กรและภาคอุตสาหกรรมได้ โดย 5G ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ก้าวข้ามขีดจำกัดที่มีในปัจจุบันและเปิดโอกาสการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เป็นไปได้ และยังก่อให้เกิดวิธีการทำงานใหม่ ๆ กระบวนการคิดและแก้ไขปัญหาความท้าทายทางธุรกิจแบบเดิม

ประโยชน์และคุณค่าของเครือข่าย 5G สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ เช่น:

    • ความสามารถในการทำงานใด ๆ จากระยะไกล ไม่ว่ากระบวนการดังกล่าวจะมีความสำคัญหรือวิกฤตระดับไหน
    • การควบคุมทุกกระบวนการทางธุรกิจแบบเรียลไทม์ได้ (Real-Time Control)
    • การปฏิบัติงานแบบอัตโนมัติ
    • การใช้ทรัพยากรการประมวลผลอย่างเหมาะสม เรียกใช้เฉพาะแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้อง
    • มีระดับความปลอดภัยที่สูงขึ้นโดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพโดยรวม

เช็กความพร้อมคนหาบ้าน 2566 ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งวางแผนซื้อบ้านใน 1 ปีข้างหน้า แม้สภาพคล่องทางการเงินยังท้าทาย

เช็กความพร้อมคนหาบ้าน 2566 ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งวางแผนซื้อบ้านใน 1 ปีข้างหน้า แม้สภาพคล่องทางการเงินยังท้าทาย

เช็กความพร้อมคนหาบ้าน 2566 ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งวางแผนซื้อบ้านใน 1 ปีข้างหน้า แม้สภาพคล่องทางการเงินยังท้าทาย

แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่ดีดังเดิมเนื่องจากเผชิญความท้าทายรอบด้านในปีที่ผ่านมา แต่ในปี 2566 เริ่มมีสัญญาณบวกอีกครั้งเมื่อจีนประกาศเปิดประเทศ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขับเคลื่อนให้ภาคท่องเที่ยวเริ่มเติบโตอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตในภาพรวมของเศรษฐกิจและกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานรวมถึงการใช้จ่ายในประเทศให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า ข้อมูลจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 52.6 จาก 51.7 ในเดือนก่อนหน้า ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 36 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการใช้จ่ายจะเริ่มกลับมาตามไปด้วย

ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากผู้พัฒนาอสังหาฯ ปรับกลยุทธ์ทำการตลาดเจาะกลุ่มผู้ซื้อที่มีความพร้อมทางการเงิน รวมทั้งเลือกพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคยังคงมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคชาวไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 49% จากเดิม 51% ในรอบก่อน อันเป็นผลมาจากความท้าทายด้านการเงินที่รุมเร้าทั้งจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพโดยตรง ทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ 65% (จาก 67% ในรอบก่อนหน้า) 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยนั้นพบว่าเติบโตอย่างน่าสนใจ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 65% จากเดิมที่มีเพียง 57% เท่านั้น โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ (40%) เผยว่ามีความพึงพอใจเนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยปัจจุบันยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ 33% มองว่าตลาดที่อยู่อาศัยมีความมั่นคงและยืดหยุ่น ส่วน 32% มองเห็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทั้งนี้ ปัจจัยหนึ่งที่เอื้อต่อการซื้อบ้านคือมาตรการรัฐ ซึ่งผู้บริโภครู้สึกพึงพอใจเพิ่มขึ้น จาก 12% ในรอบก่อนหน้า มาอยู่ที่ 19% โดยเชื่อว่ามาตรการรัฐจะช่วยให้สามารถซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้

กางแผนการซื้อที่อยู่อาศัย ปีนี้คนไทยพร้อมเป็นเจ้าของบ้านมากแค่ไหน

ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า แม้ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (52%) วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้านี้ แต่สัดส่วนลดลงจากรอบก่อนที่มีถึง 57% สะท้อนให้เห็นว่าแม้สถานการณ์ต่าง ๆ จะเริ่มคลี่คลาย แต่ความท้าทายเหล่านั้นยังมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยไม่น้อย ขณะที่สัดส่วนผู้เลือกเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มเป็น 9% จากเดิมที่มีเพียง 7% ส่วนอีก 39% ยังไม่มีการวางแผนซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยใด ๆ 

    • “ขอพื้นที่ส่วนตัว – มองโอกาสลงทุน” เหตุผลหลักดันคนซื้อบ้าน 2 ใน 5 ของผู้บริโภค (40%) เผยว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจซื้อที่อาศัยมาจากต้องการพื้นที่ส่วนตัว รองลงมาคือ ซื้อเพื่อการลงทุน (33%) และต้องการพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลานเพื่อรองรับการขยายครอบครัว (28%) อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับรอบก่อนหน้าจะพบว่า ความต้องการพื้นที่ส่วนตัว รวมถึงความต้องการพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลานนั้นลดลง (43% และ 30% ตามลำดับในรอบก่อนหน้า) แต่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกทำเลที่เดินทางสะดวก เช่น ใกล้ที่ทำงาน, ใกล้โรงเรียนบุตรหลานมากขึ้น จาก 22% ในรอบก่อนหน้า มาอยู่ที่ 24% สะท้อนให้เห็นว่าทำเลยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับผู้ซื้อบ้านยุคนี้ หลังจากผู้ซื้อบ้านให้ความสำคัญกับเรื่องของพื้นที่มากขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดฯ แต่เมื่อเริ่มกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ การ Work from Home น้อยลง ดังนั้น การเลือกที่อยู่อาศัยในทำเลที่สะดวกสบายในการเดินทางจึงเป็นปัจจัยที่คนให้ความสำคัญและตอบโจทย์คนหาบ้านในปัจจุบัน
    • ผู้บริโภค 1 ใน 3 พร้อมที่จะซื้อบ้าน เมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินของผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า เกือบ 1 ใน 3 (32%) มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้ว โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากรอบก่อนหน้าที่มีเพียง 25% ขณะที่ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (51%) เผยว่าเก็บเงินเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น (เพิ่มขึ้นจาก 47% ในรอบก่อนหน้า) สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมทางการเงินก่อนซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น เนื่องจากการซื้ออสังหาฯ ถือเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงและมีการผ่อนชำระยาวนาน ประกอบกับสถาบันการเงินยังคงมีการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวด ผู้บริโภคจึงต้องเตรียมพร้อมให้มากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ที่เกินตัว ส่วนอีก 16% ยังไม่ได้เริ่มวางแผนเก็บเงินใด ๆ เลย
    • “เงินเก็บไม่พร้อม – ไม่อยากลงหลักปักฐาน” ดึงดูดให้เลือกเช่า เหตุผลหลักของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้านั้น เกือบครึ่ง (45%) เผยว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ตามมาด้วยไม่ต้องการตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่เพียงที่เดียว (36%) ขณะที่อีก 31% มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงเกินไป จึงเลือกเก็บออมเงินไว้แทน สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การอยู่อาศัยที่ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทแวดล้อม การเช่าที่อยู่อาศัยช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดรายจ่ายจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของคนหาบ้านในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองหลวงมากกว่า รวมทั้งมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวกว่าหากต้องการโยกย้ายทำเลในอนาคต 

ส่องความต้องการคนหาบ้าน “ขนาด-ทำเล” มีผลต่อการตัดสินใจมากที่สุด 

สำหรับปัจจัยภายในอันดับต้น ๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยนั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะพิจารณาจากขนาดที่อยู่อาศัยมาเป็นอันดับแรกถึง 46% โดยคำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน/คอนโดฯ ที่ต้องเพียงพอและตอบโจทย์ของสมาชิกในครอบครัว พร้อมรองรับการทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามมาด้วยราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย (39%) และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่พัก (37%)

ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (52%) ให้ความสำคัญไปที่ทำเลที่ตั้งมากที่สุด รองลงมาคือการเดินทางที่สะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และความปลอดภัยในโครงการและทำเลในสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกัน (48% และ 47% ตามลำดับ) สะท้อนให้เห็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยของคนหาบ้านยุคนี้ ที่ต้องการบ้าน/คอนโดฯ ที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและการดำเนินชีวิตด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก หรือมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต นอกจากนี้ โครงการที่อยู่ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะยังเพิ่มโอกาสให้ที่อยู่อาศัยนั้นมีราคาดีและน่าสนใจมากขึ้น หากต้องการขายหรือปล่อยให้เช่าในอนาคตอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้บริโภคเลือกใช้บริการเอเจนต์หรือนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้ช่วยให้การซื้อ/ขายที่อยู่อาศัยราบรื่นยิ่งขึ้น โดยปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อ/ขายที่อยู่อาศัยผ่านเอเจนต์อสังหาฯ นั้น กว่า 4 ใน 5 (81%) ให้ความสำคัญไปที่ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเอเจนต์ ตามมาด้วยประสบการณ์ของเอเจนต์ (78%) และชื่อเสียงของเอเจนต์ (71%) นอกจากนี้ พบว่า 80% ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกทำธุรกรรมซื้อ/ขายอสังหาฯ กับเอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Verified Agents) เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือมากกว่า และช่วยเพิ่มความมั่นใจในการทำธุรกรรมมากขึ้น

DDproperty CSS H1 2023

ความท้าทายที่ต้องจับตา “ภาวะเงินเฟ้อ” ฉุดคนชะลอซื้อบ้าน 

ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนกุมภาพันธ์ 2566 เท่ากับ 108.05 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (104.10) ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 3.79% (YoY) ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และอยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือน แต่ยังไม่เข้ากรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงถือเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งภาวะเงินเฟ้อถือเป็นอีกความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยผู้บริโภคเกือบ 4 ใน 5 (73%) เผยว่าภาวะเงินเฟ้อส่งผลกระทบให้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนรายวันปรับสูงขึ้น รวมทั้งกระทบแผนการเงิน ทำให้เงินเก็บรายเดือนลดน้อยลง (50%) นอกจากนี้ยังทำให้ต้องลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนรายวันลงไป (ในสัดส่วนเท่ากันที่ 41%)

แน่นอนว่าภาวะเงินเฟ้อยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสั่นคลอนแผนการซื้อที่อยู่อาศัยตามไปด้วย ในช่วงที่ต้องเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูง มีผู้บริโภคเพียง 1 ใน 5 (23%) เท่านั้นที่ยังเดินหน้าซื้อที่อยู่อาศัยตามแผนเดิม ขณะที่ 3 ใน 5 (63%) เลือกชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนจนกว่าภาวะเงินเฟ้อจะลดลง ส่วนอีก 14% ยกเลิกแผนการซื้อที่อยู่อาศัยทั้งหมด เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อถือเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินและการผ่อนชำระที่อยู่อาศัย 

แม้ว่าปีนี้ภาครัฐจะมีการต่ออายุมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ บางส่วน เพื่อสนับสนุนให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยง่ายขึ้น แต่มาตรการที่มีอาจไม่ดึงดูดใจผู้บริโภคมากเพียงพอ โดยมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยจากภาครัฐในช่วงภาวะเงินเฟ้อที่ผู้บริโภคต้องการนั้น มากกว่าครึ่ง (56%) ต้องการมาตรการที่ช่วยลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเพิ่มเติม ตามมาด้วยมาตรการลดดอกเบี้ยทั้งสินเชื่อบ้านที่กู้ใหม่และที่มีอยู่ (54%) และมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก (41%) นอกจากนี้ 39% คาดหวังให้มีการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระสูงสุด สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่คาดหวังมาตรการทางการเงินที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในกลุ่ม Real Demand ในช่วงที่มีความท้าทายเช่นนี้ได้อย่างตรงจุดมากขึ้น 

หมายเหตุ: DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่จัดทำขึ้นทุก 6 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและความต้องการของผู้บริโภค รวมไปถึงนักลงทุนและเอเจนต์ต่อประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัย รวมไปถึงพฤติกรรมและแนวโน้มการซื้อ-ขาย-เช่า ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ในกลุ่มตัวอย่างอายุตั้งแต่ 22-69 ปี จำนวน 1,000 คน 

อ่านและศึกษาข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยรอบล่าสุดได้ที่ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study