อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวโมเดล AI รูปแบบใหม่ สนับสนุนให้องค์กรทรานส์ฟอร์มอย่างชาญฉลาด

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวโมเดล AI รูปแบบใหม่ สนับสนุนให้องค์กร ทรานส์ฟอร์มอย่างชาญฉลาด

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวโมเดล AI รูปแบบใหม่ สนับสนุนให้องค์กร ทรานส์ฟอร์มอย่างชาญฉลาด

ให้บริการคลาวด์ด้วยราคาสมเหตุสมผล พร้อมให้ทดลองใช้และให้การอบรมฟรี ส่งเสริมให้องค์กรและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้คอมพิวติ้งที่มีความครอบคลุมมากขึ้น และประสบความสำเร็จกับการใช้ AI ยุคใหม่

อาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เปิดตัว Tongyi Qianwen โดยจะนำโมเดล AI ใหม่นี้ไปใช้กับธุรกิจต่าง ๆ ของอาลีบาบา ในอนาคตอันใกล้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ นอกจากนี้ลูกค้าของบริษัท และนักพัฒนาซอฟต์แวร์จะสามารถเข้าใช้โมเดลนี้ได้ เพื่อสร้างฟีเจอร์ AI ที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการด้วยวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่าย

อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้ประกาศทางเลือกด้านราคาของบริการหลักด้านคลาวด์ของบริษัทฯ ให้ต่ำลง เช่น Elastic Compute Service (ECS) และ Object Storage Service (OSS) ด้วยการแนะนำ ECS instance ใหม่, OSS Reserved Capacity (OSS-RC) และ OSS Anywhere Reserved Capacity (OSS-ARC) เพื่อช่วยให้บริษัทต่าง ๆ เข้าถึงคอมพิวติ้งได้มากขึ้น และสามารถใช้โอกาสที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ในยุค AI สมัยใหม่ในประเทศจีนให้เป็นประโยชน์ได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล

นายแดเนียล จาง ประธานและซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป และซีอีโอของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “เอไอแบบรู้สร้าง (generative AI) และคลาวด์คอมพิวติ้ง รวมถึงการที่ธุรกิจทุกภาคส่วนได้เริ่มทรานส์ฟอร์มอย่างชาญฉลาดเพื่อให้อยู่ในแถวหน้าของการแข่งขัน เป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เราเข้าสู่ช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งชั้นนำของโลก มีความมุ่งมั่นให้บริการด้านคอมพิวติ้งและ AI ที่ครอบคลุมมากขึ้น และให้องค์กรต่าง ๆ รวมถึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์เข้าใช้งานได้มากขึ้น เพื่อให้พวกเขาได้รับข้อมูลเชิงลึก สามารถเสาะหารูปแบบทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อการขยายธุรกิจ รวมถึงสามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ล้ำสมัยให้กับสังคม”

การนำ Tongyi Qianwen ไปใช้กับธุรกิจต่าง ๆ ของอาลีบาบา และการสร้างโมเดลต่าง ๆ ที่เฉพาะเจาะจงให้กับลูกค้า

Tongyi Qianwen (通义千问 ในภาษาจีน) จะผสานรวมเข้ากับแอปพลิเคชันทางธุรกิจทั้งหมดภายในระบบนิเวศของอาลีบาบาในอีกไม่นานจากนี้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารในองค์กร, ผู้ช่วยอัจฉริยะด้านเสียง, อีคอมเมิร์ซ, การค้นหา, เพื่อการนำทาง และด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ โมเดลนี้มีความสามารถทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ และจะนำไปใช้ครั้งแรกกับ DingTalk ซึ่งเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับการทำงานร่วมกันและเป็นแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชันของอาลีบาบา
และใช้กับ Tmall Genie ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครื่องใช้ในบ้านอัจฉริยะที่ใช้อินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT)

    • เสริมประสิทธิภาพ DingTalk ด้วย Tongyi Qianwen ออกแบบเพื่อช่วยให้การสื่อสารในการทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น เช่น DingTalk สามารถสรุปบันทึกการประชุม เปลี่ยนการสนทนาในการประชุมให้เป็นข้อความตัวอักษร เขียนอีเมล และร่างการนำเสนอทางธุรกิจหรือแผนแคมเปญส่งเสริมการขายต่าง ๆ ผ่านคำแนะนำง่าย ๆ ผู้ใช้ยังสามารถถ่ายภาพร่างไอเดียบนกระดาษ และเปลี่ยนเป็น mini application บน DingTalk ได้ทันที
    • เพิ่มสมรรถนะ Tmall Genie Tongyi ด้วย Qianwen จะช่วยให้มีส่วนร่วมในการสนทนากับผู้ใช้ในประเทศจีนได้แบบไดนามิกและมีชีวิตชีวามากขึ้น เช่น สามารถพัฒนาและบอกเล่านิทานสำหรับเด็ก จัดหาสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ นำเสนอคำแนะนำในการเดินทาง และแนะนำเพลงที่เหมาะกับการออกกำลังกายแบบใดแบบหนึ่ง เป็นต้น

อาลีบาบา คลาวด์ ยังนำเสนอให้ลูกค้าสามารถเข้าใช้ Tongyi Qianwen บนคลาวด์ และช่วยลูกค้าสร้างโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ที่ปรับแต่งอย่างเจาะจง เพื่อเป็นการสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ ได้เก็บเกี่ยวประโยชน์จากนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI

การปรับแต่ง Tongyi Qianwen อย่างละเอียดโดยใช้ข้อมูลอัจฉริยะที่เป็นกรรมสิทธิ์ของลูกค้า ผนวกกับความรู้เชิงอุตสาหกรรมบนสภาพแวดล้อมคลาวด์ที่ปลอดภัย ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถสร้างโมเดล AI ที่ปรับแต่งอย่างเจาะจงของตนได้บนคลาวด์ เพื่อให้ตรงกับความต้องการเฉพาะทางธุรกิจขององค์กรนั้น ๆ เป็นที่คาดการณ์ว่าสมรรถนะนี้จะจุดประกายให้เกิดคลื่นลูกใหม่ที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตให้กับลูกค้า โดยที่ลูกค้าไม่ต้องใช้ทรัพยากรมาก และไม่ต้องผ่านกระบวนการฝึกอบรมล่วงหน้าที่มีค่าใช้จ่ายสูงเพื่อสร้างโมเดลโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ปัจจุบัน Tongyi Qianwen พร้อมบริการเป็นรุ่นเบต้าให้กับลูกค้าองค์กรทั่วไปในประเทศจีน

นอกจากนี้ นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะสามารถเข้าใช้ Tongyi Qianwen ของอาลีบาบา คลาวด์ ได้เร็ว ๆ นี้ เพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ตามที่ตนต้องการ ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนระบบนิเวศด้านซอฟต์แวร์ AI ให้กับทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่โลจิสติกส์ ไปจนถึงวงการสื่อ การเงิน ภาคการผลิต พลังงาน ค้าปลีก และอื่น ๆ อีกมาก ปัจจุบันมีการให้บริการ Tongyi Qianwen ในลักษณะ API รุ่นเบต้าให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศจีนให้สมัครทดสอบได้แล้ว

นอกจากนี้จะมีการเพิ่มเติมขีดความสามารถอีกหลากหลายรูปแบบให้กับ Tongyi Qianwen ในเร็ว ๆ นี้ เช่น ความเข้าใจรูปภาพ และการเปลี่ยนข้อความเป็นรูปภาพ เพื่อให้ผู้ใช้ได้ใช้ฟีเจอร์ AI ต่าง ๆ ที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายจินเหริน โซว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ของอาลีบาบา คลาวด์ กล่าวว่า “Generative AI ขับเคลื่อนด้วยโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ กำลังนำเราเดินสู่ช่วงเวลาใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ในยุค AI ล่าสุดนี้ เราสามารถสร้างคุณค่าเพิ่มเติมให้กับลูกค้าของเรา และคอมมูนิตี้ต่าง ๆ ที่กว้างขวางขึ้น ผ่านโครงสร้างพื้นฐานพับลิคคลาวด์ที่ยืดหยุ่น และความสามารถด้าน AI ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของเรา”

“เราเห็นกระบวนทัศน์ใหม่ของการพัฒนา AI ที่คลาวด์และโมเดล AI มีบทบาทสำคัญ เราหวังว่าการทำให้กระบวนทัศน์นี้ครอบคลุมมากขึ้น จะช่วยให้ธุรกิจจากอุตสาหกรรมทุกประเภทสามารถทรานฟอร์มอย่างชาญฉลาดได้อย่างสะดวกง่ายดาย และท้ายที่สุด ช่วยเพิ่มผลผลิตทางธุรกิจ เพิ่มความเชี่ยวชาญและความสามารถด้านต่าง ๆ ควบคู่กับการปลดล็อกให้ธุรกิจได้รับโอกาสที่น่าตื่นเต้นผ่านนวัตกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น”

Tongyi Qianwen สร้างจาก Tongyi ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กโมเดลพรีเทรนด์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของอาลีบาบา ที่รวมเอาโมเดล AI ต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน รวมถึงโมเดลที่สามารถเปลี่ยนข้อความเป็นรูปภาพและวิดีโอสั้น ๆ เมื่อปีที่ผ่านมา อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดตัว ModelScope ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม model-as-a-service (MaaS) ที่เป็นโอเพ่นซอร์ส และมาพร้อมกับโมเดล AI หลายร้อยแบบ เช่น โมเดล Tongyi-based text-to-image สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์และนักวิจัยทั่วโลก ปัจจุบัน ModelScope มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านราย มีโมเดล 800 แบบ และมีการดาวน์โหลดโมเดลไปแล้วมากกว่า 16 ล้านครั้ง

องค์กรและนักศึกษาสามารถเข้าถึงคอมพิวติ้งได้มากขึ้นด้วยราคาที่สมเหตุสมผล

กลุ่มอินสแตนซ์ ECS Universal ใหม่นี้ออกแบบสำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) มีความเสถียรเหมือนกับบริการอื่นที่คล้ายกัน แต่ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 40% จึงเหมาะกับ SME ที่ใช้เว็บแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ต่าง ๆ แอปพลิเคชันที่ใช้ในองค์กร และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบออฟไลน์

OSS-RC ช่วยลูกค้าให้สามารถสำรองพื้นที่สตอเรจใน region ที่กำหนดได้เป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้าน capacity ได้มากถึง 50% จากราคาที่เป็นแบบ pay-as-you-go และเมื่อลูกค้าไม่ต้องการจัดเก็บดาต้าใน region ใด region หนึ่ง ก็สามารถสร้าง OSS “Anywhere Bucket” เพื่อเก็บดาต้าไว้บน region ที่อาลีบาบาคลาวด์เลือกให้ ทั้งนี้ OSS-ARC สามารถสำรอง capacity สำหรับ objects ที่เก็บไว้ใน OSS Anywhere Buckets จึงเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้าน capacity ลงได้ถึง 70% จากราคาที่เป็นแบบ pay-as-you-go

อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้ประกาศให้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์หลักต่าง ๆ เช่น ECS และ PolarDB database ได้นานสูงสุดสามเดือนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศจีนเข้าถึงทรัพยากรด้านคอมพิวติ้งได้มากขึ้น อาลีบาบา คลาวด์ จะมอบคอร์สฝึกอบรมผ่านเทคโนโลยีคลาวด์ 1,000 คอร์ส โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงการทดลองภาคปฏิบัติตามฉากทัศน์สถานการณ์จริงทางธุรกิจประมาณ 500 รายการ เพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีคลาวด์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก

Red Hat Launches Ansible Automation Platform on Google Cloud

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

Red Hat Launches Ansible Automation Platform on Google Cloud

Marketplace offering enables rapid cloud automation to better manage IT ecosystems, deliver and scale high-quality applications and drive greater business innovation

Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, today announced the availability of Red Hat Ansible Automation Platform on Google Cloud, providing a common and flexible IT automation solution that extends from the cloud, to the datacenter and out to the edge without additional complexity or required skills. Delivering Ansible Automation Platform on Google Cloud gives IT teams easier access to a familiar, industry-leading IT automation framework already integrated with their operations, enabling them to start automating more quickly at scale across the entire IT ecosystem.

According to an IDC report[1], “to reduce the complexity and training costs of supporting multiple clouds, IT will look for a ‘learn-once and run-anywhere approach’ to automation. Vendors with an infrastructure as code approach to provisioning cloud resources tightly coupled with automation will gain market share.” 

As the complexity of managing multiple cloud footprints grows and leads to expanding skills gaps, organizations need technology that’s flexible and innovative while maximizing existing knowledge and resources. Ansible Automation Platform provides the critical infrastructure to deploy more scalable automation, with a cloud-native architecture. This helps to extend the role of automation across the IT organization, lowering barriers to entry and freeing up IT teams to drive greater business value. The platform’s availability on Google Cloud Marketplace helps simplify self-deployments, providing ready access to straightforward, cloud-optimized automation that’s ready from Day 0.

Organizations can deploy Red Hat’s self-managed offering directly from the Google Cloud Marketplace to quickly start automating the management of their Google Cloud resources. With Ansible Automation Platform, Google Cloud customers can access pre-integrated services that they are already familiar with, including Google Virtual Private Cloud, security groups, load balancers, Google Compute and instance groups, making it easier to deploy and manage their automation. In addition to integrated billing, customers can count Ansible Automation Platform toward any existing enterprise committed spend agreements with Google.

Packaged cloud content like Red Hat Ansible Certified Content Collection for Google Cloud helps perform automation in customers’ environment and across the organization by enabling more efficient ways to create, share and manage content, with the security to run it when and where it’s needed. IT teams can integrate automation with existing organizational processes and governance at scale as demand requires, with a consistent, end-to-end cloud automation experience.

Ansible Automation Platform on Google Cloud Marketplace deepens Red Hat’s commitment to customer choice across the hybrid cloud, making it easier for customers to purchase and deploy Red Hat solutions on leading cloud providers. Joining Red Hat Enterprise LinuxRed Hat Enterprise Linux for SAP and Red Hat OpenShift on Google Cloud Marketplace, customers and partners can consume Red Hat solutions in the ways best suited for their IT and business needs.

Availability

Self-managed Red Hat Ansible Automation Platform is now available directly to customers through Google Cloud Marketplace.

Supporting Quotes

Thomas Anderson, vice president, Ansible, Red Hat

“As organizations grow and scale their infrastructure, they need the ability to choose their environments while maintaining consistency. Combining the right platforms and services with a given cloud footprint gives organizations a way to build a connected cloud ecosystem for success. We’re giving organizations greater choice, flexibility and ease in deploying our solutions across the hybrid cloud in support of nearly any enterprise cloud operating model. Then, automation is the glue that brings these services together. So with a leading solution like Ansible Automation Platform, you can build on its innovation and scalability to establish critical consistency across your cloud footprint.”

Dai Vu, managing director, Marketplace & ISV GTM Programs, Google Cloud

“Google Cloud Marketplace greatly simplifies deployment of the Ansible platform on Google Cloud, bringing customers integrated billing and management capabilities and faster access to Google Cloud’s trusted infrastructure for their automation projects.”

Jevin Jensen, vice president of Intelligent CloudOps, IDC

“Enterprises are increasing investments in the automation of their cloud infrastructure. As geopolitical concerns and rising inflation put IT budgets under pressure, enterprises recognize the need to invest in the tools that will help them remain competitive, control costs, and deliver value to their customers.”1

[1] IDC, Worldwide Intelligent CloudOps Software Forecast, 2022–2026, Doc #US46366421, July 2022

Red Hat เปิดตัว Ansible Automation Platform on Google Cloud

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

Red Hat เปิดตัว Ansible Automation Platform on Google Cloud

เป็น Marketplace ช่วยให้ระบบอัตโนมัติบนคลาวด์บริหารจัดการระบบนิเวศด้านไอทีได้ดีและเร็วขึ้นให้บริการและปรับขนาดแอปพลิเคชันคุณภาพสูง และขับเคลื่อนนวัตกรรมทางธุรกิจมากขึ้น

Red Hat, Inc. ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สชั้นนำของโลก เปิดให้บริการ Red Hat Ansible Automation Platform บน Google Cloud พรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติของโซลูชันอัตโนมัติด้านไอทีที่ยืดหยุ่น และเป็นมาตรฐานกลางที่ใช้ร่วมกันได้ ใช้งานได้ทั้งบนคลาวด์ ในดาต้าเซ็นเตอร์ และการประมวลผลที่ edge ปราศจากความซับซ้อน และไม่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางใด ๆ การให้บริการ Ansible Automation Platform บน Google Cloud ช่วยให้ทีมไอทีใช้งานเฟรมเวิร์กอัตโนมัติด้านไอทีที่คุ้นเคย และอยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมได้อย่างไม่ยุ่งยาก เพราะได้มีการผสานรวมไว้ในการดำเนินงานต่าง ๆ แล้ว จึงช่วยให้ทีมไอทีเริ่มต้นการทำงานแบบอัตโนมัติกับระบบนิเวศไอทีทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วตามต้องการ 

รายงานของ IDC[1] ระบุว่า “ฝ่ายไอทีจะมองหาระบบอัตโนมัติที่เป็น ‘การเรียนรู้เพียงครั้งเดียวแต่ใช้งานได้ทุกที่’ เพื่อลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมการใช้มัลติคลาวด์ ดังนั้นผู้จำหน่ายเทคโนโลยีรายใดที่มีแนวทางการใช้โค้ดในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอที (infrastructure as code) เพื่อจัดเตรียมทรัพยากรต่าง ๆ บนคลาวด์ได้อย่างอัตโนมัติ จะได้ส่วนแบ่งทางการตลาดด้านนี้ไป” 

ความซับซ้อนในการจัดการฟุตพริ้นท์ของมัลติคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นจนนำไปสู่ช่องว่างทางทักษะที่ขยายกว้างขึ้น ทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องการเทคโนโลยีที่ยืดหยุ่นและใหม่ ทั้งยังต้องเสริมความรู้ และใช้ทรัพยากร
ที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์มากที่สุดไปพร้อม ๆ กัน Ansible Automation Platform มอบโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่สำคัญต่อการใช้งานกับระบบอัตโนมัติที่ปรับขนาดการทำงานได้มากขึ้น ด้วยสถาปัตยกรรมแบบคลาวด์-เนทีฟ ซึ่งช่วยให้ระบบอัตโนมัติมีบทบาทเพิ่มขึ้นกับทุกส่วนขององค์กรด้านไอที ช่วยลดอุปสรรคในการเข้าใช้งาน และช่วยให้ทีมไอทีขับเคลื่อนงานที่มีมูลค่าทางธุรกิจได้มากขึ้น แพลตฟอร์มที่ให้บริการผ่าน Google Cloud Marketplace นี้ ช่วยให้การใช้งานด้วยตนเองง่ายขึ้น มอบความพร้อมในการเข้าถึงระบบอัตโนมัติที่ไม่ซับซ้อนและปรับให้เหมาะกับการใช้งานบนคลาวด์ ที่พร้อมใช้ตั้งแต่เริ่มต้น

องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ self-managed ของเร้ดแฮทจาก Google Cloud Marketplace ได้โดยตรง เพื่อให้สามารถเริ่มต้นการจัดการทรัพยากรบน Google Cloud ได้โดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว Ansible Automation Platform ช่วยให้ลูกค้าของ Google Cloud สามารถเข้าใช้บริการต่าง ๆ ที่ผสานรวมกันไว้ล่วงหน้าที่คุ้นเคยอยู่แล้ว เช่น Google Virtual Private Cloud, security groups, load balancers, Google Compute และ instance groups ซึ่งช่วยให้ลูกค้าใช้และจัดการระบบอัตโนมัติของตนได้ง่ายขึ้น นอกจากการเรียกเก็บเงินรวมกันแล้ว ลูกค้าสามารถนับรวมการใช้ Ansible Automation Platform ไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้จ่ายขององค์กรที่ตกลงกันไว้ที่มีอยู่กับ Google ได้

คลาวด์คอนเทนต์ที่ให้บริการเป็นแพ็คเกจ อย่างเช่น Red Hat Ansible Certified Content Collection for Google Cloud ช่วยให้สามารถใช้ระบบอัตโนมัติกับสภาพแวดล้อมไอทีของลูกค้าและทั่วทั้งองค์กร ด้วยการทำให้ลูกค้าสามารถสร้าง แชร์ และจัดการคอนเทนต์ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่เรียกใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาตามต้องการ  ทีมไอทีสามารถนำระบบอัตโนมัติไปใช้กับกระบวนการต่าง ๆ ที่องค์กรใช้อยู่ และสามารถกำกับดูแลได้ตามระดับความต้องการ ด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติบนคลาวด์ที่ครบวงจรและสอดคล้องกัน

Ansible Automation Platform on Google Cloud Marketplace ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Red Hat ในการมอบทางเลือกในการใช้ไฮบริดคลาวด์ให้กับลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าซื้อและใช้โซลูชันของ Red Hat ที่ให้บริการบนโซลูชันของผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยุ่งยาก Red Hat Enterprise Linux, Red Hat Enterprise Linux for SAP และ Red Hat OpenShift on Google Cloud Marketplace ช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรสามารถใช้โซลูชันของ Red Hat ในรูปแบบที่ดีที่สุดที่จะตรงกับความต้องการทางธุรกิจและด้านไอทีของตน

การวางจำหน่าย

Self-managed Red Hat Ansible Automation Platform พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าผ่าน Google Cloud Marketplace.

คำกล่าวสนับสนุน

Thomas Anderson, vice president, Ansible, Red Hat

“ในเวลาที่องค์กรต่าง ๆ เติบโตและปรับขนาดโครงสร้างพื้นฐานไอที องค์กรเหล่านั้นต้องการความสามารถในการเลือกสภาพแวดล้อมที่ต้องการ และรักษาความสม่ำเสมอไว้ได้ในเวลาเดียวกัน การรวมแพลตฟอร์มและบริการต่าง ๆ ที่เหมาะสมไว้ด้วยกันกับคลาวด์ฟุตพริ้นท์ที่มีให้ ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ มีแนวทางในการสร้างระบบนิเวศของคลาวด์ที่เชื่อมต่อกันเพื่อความสำเร็จ เรามีโซลูชันที่ทำงานกับไฮบริดคลาวด์หลากหลายเพื่อเป็นทางเลือกมากขึ้นให้กับลูกค้า มีความยืดหยุ่น และใช้งานง่าย เพื่อรองรับรูปแบบการดำเนินงานบนคลาวด์ขององค์กรเกือบทุกรูปแบบ จากนั้นระบบอัตโนมัติก็จะผสานรวมบริการต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ด้วยกัน ดังนั้นด้วยโซลูชันชั้นนำเช่น Ansible Automation Platform องค์กรสามารถสร้างการทำงานที่สอดคล้องสม่ำเสมอกันทั่วทั้งคลาวด์ฟุตพริ้นท์ขององค์กรได้จากนวัตกรรมและความสามารถในการปรับขนาดการทำงานของแพลตฟอร์มนี้” 

Dai Vu, managing director, Marketplace & ISV GTM Programs, Google Cloud

“Google Cloud Marketplace ช่วยให้ใช้ Ansible platform on Google Cloud ง่ายขึ้น ช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินและการบริหารจัดการได้ ณ จุดเดียว และสามารถเข้าใช้งานโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ของ Google Cloud เพื่อทำโครงการที่เป็นระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น”

Jevin Jensen, vice president of Intelligent CloudOps, IDC

“องค์กรต่าง ๆ กำลังลงทุนด้านระบบอัตโนมัติในโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของตนเพิ่มขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางภูมิศาสตร์ที่มีต่อการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้งบประมาณด้านไอทีตกอยู่ภายใต้ความกดดัน องค์กรต่างตระหนักว่าต้องลงทุนกับเครื่องมือต่าง ๆ ที่จำเป็นที่จะช่วยให้แข่งขันได้ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ และมอบบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าให้กับลูกค้าของตนได้”

[1] IDC, Worldwide Intelligent CloudOps Software Forecast, 2022–2026, Doc #US46366421, July 2022

 

อัปเดตดีมานด์วัยเก๋า โฟกัส Well-Being ตอบโจทย์การอยู่อาศัย

อัปเดตดีมานด์วัยเก๋า โฟกัส Well-Being ตอบโจทย์การอยู่อาศัย

อัปเดตดีมานด์วัยเก๋า โฟกัส Well-Being ตอบโจทย์การอยู่อาศัย

ตั้งแต่ปี 2565 ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) และจำนวนผู้สูงวัยยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตและปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไปในยุคนี้ ส่งผลให้คนไทยเลือกครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือแต่งงานแต่มีบุตรน้อยลง ซึ่งอัตราการเกิดที่ลดลงนี้สวนทางกับสัดส่วนผู้สูงอายุในไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่เผยว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ที่มีจำนวนผู้สูงอายุถึง 28% ของประชากรในประเทศ นับเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องจับตามอง 

หลายธุรกิจจึงหันมาให้ความสำคัญกับการเจาะตลาดผู้สูงอายุมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อสูง และมีความพร้อมทางการเงิน โดยเฉพาะในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทย ผู้ประกอบการเริ่มหันมาเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัยที่มาพร้อมบริการด้านสุขภาพมากขึ้น ผ่านการร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพเพื่อเพิ่มบริการทางการแพทย์หรือโปรแกรมดูแลสุขภาพไว้ในโครงการฯ

ส่องดีมานด์บ้านผู้สูงวัย มองหาพื้นที่สีเขียวเสริม Well-Being 

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบว่าเมื่อผู้สูงอายุต้องตัดสินใจซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย ปัจจัยภายในที่ให้ความสำคัญจะเน้นไปที่ความคุ้มค่ามาเป็นอันดับแรก โดยมากกว่าครึ่ง (51%) พิจารณาจากราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรเป็นหลัก รองลงมาคือขนาดที่อยู่อาศัย 48% และตามมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่อยู่อาศัย 45% ซึ่งจะต้องตอบโจทย์การอยู่อาศัยและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในช่วงวัยเกษียณด้วย ขณะที่สองอันดับแรกของผู้บริโภคในช่วงวัยอื่น ๆ จะพิจารณาจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ตามมาด้วยราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตร 

ด้านปัจจัยภายนอกโครงการที่ผู้สูงอายุใช้พิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น 2 ใน 3 (66%) ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งโครงการมากที่สุด ตามมาด้วยสามารถเดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ 55% และความปลอดภัยของทำเล 53% เนื่องจากผู้สูงอายุคำนึงถึงการใช้ชีวิตในระยะยาว จึงต้องการโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก รองรับการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเองได้อย่างสบายใจและปลอดภัย  

    • เลือกห้องตกแต่งครบ ประหยัดเวลา พร้อมเข้าอยู่ เมื่อต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง (46%) จะเลือกโครงการที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด โดยมีเหตุผลสำคัญมาจาก ช่วยประหยัดเวลาในการตกแต่ง 76% และไม่ยุ่งยาก สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที 70% ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าผู้บริโภคช่วงวัยอื่น ๆ ขณะที่ผู้สูงอายุอีก 29% สนใจโครงการที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ และ 25% เลือกโครงการที่ตกแต่งห้องให้บางส่วน (Fully Fitted) โดยเหตุผลที่ผู้สูงอายุเลือกห้องที่ไม่มีการตกแต่ง หรือตกแต่งห้องให้บางส่วน เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ 70% ชื่นชอบการตกแต่งห้องในสไตล์ของตัวเองมากกว่า และ 37% คิดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ได้ดีกว่า
    • บ้านที่ดีต้องใกล้ชิดธรรมชาติ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่บ้านเป็นหลัก จึงเห็นความสำคัญของบทบาทที่อยู่อาศัยในการเสริมสร้างสุขภาพกายควบคู่กับสุขภาพจิตที่ดี เมื่อพิจารณาคุณลักษณะภายในและบริเวณรอบบ้านที่จะช่วยให้มีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น ผู้สูงอายุกว่า 2 ใน 3 (70%) ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้สวนสาธารณะและใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากการมีพื้นที่สีเขียวไว้พักผ่อนหย่อนใจนั้นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี และมีผลทางจิตวิทยาทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น รวมทั้งต้องการพื้นที่เปิดโล่งมากขึ้นภายในละแวกบ้าน 68% ตามมาด้วยยูนิตที่มีระยะห่างมากขึ้น 64% เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและต้องการความสงบ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังเข้าใจและให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมแนวคิดรักษ์โลก เกือบ 2 ใน 3 (65%) คาดหวังว่าโครงการที่พัฒนาใหม่ทั้งหมดควรจะมาพร้อมกับหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อช่วยประหยัดรายจ่ายและลดการใช้พลังงานไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุมีความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานทางเลือก
    • รีโนเวทห้องนั่งเล่นรองรับการใช้ชีวิต พื้นที่ภายในที่อยู่อาศัยที่ผู้สูงอายุต้องการปรับปรุงเพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น อันดับแรกคือห้องนั่งเล่น 66% รองลงมาคือ ห้องนอน 59% ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุใช้เวลาในการทำกิจกรรมประจำวันมากที่สุด จึงเห็นความสำคัญในการปรับปรุงภายในห้องนั้นให้พร้อมรองรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ขณะที่อันดับสามคือห้องน้ำ 38% เนื่องจากถือเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกเมื่อผู้สูงอายุต้องใช้งาน ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้ได้มากที่สุด

ทำความรู้จัก “Reverse Mortgage” ทางเลือกสินเชื่อที่อยู่อาศัยของผู้สูงวัย 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนทำความรู้จักกับ “Reverse Mortgage หรือสินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ” ทางเลือกน่าสนใจที่ช่วยให้ผู้สูงวัยมีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาการเงินในวัยเกษียณได้โดยไม่เป็นภาระของลูกหลาน

    • Reverse Mortgage น่าสนใจอย่างไร Reverse Mortgage หรือการจำนองแบบย้อนกลับ มีความแตกต่างกับการจำนองทั่วไปอย่างชัดเจน หลักการทำงานจะมีรูปแบบเหมือนการทยอยขายบ้านให้กับธนาคาร โดยจะเป็นรูปแบบการจำนองที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้สูงอายุที่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแต่ไม่ต้องการขาย เนื่องจากต้องใช้อยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิต และต้องการรายได้เป็นแบบรายเดือนเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สามารถนำบ้าน/คอนโดฯ ไปจำนองกับธนาคาร แล้วให้ธนาคารจ่ายเงินให้ผู้กู้เป็นรายเดือนแทน
    • หลักการทำงานของ Reverse Mortgage ผู้สูงอายุสัญชาติไทย อายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80 ปี สามารถนำบ้าน/คอนโดฯ ที่ถือครองกรรมสิทธิ์อยู่มาจำนองไว้กับธนาคาร จากนั้นธนาคารจะตีมูลค่าบ้านพร้อมกับประเมินอายุเฉลี่ยของผู้กู้และทยอยจ่ายเงินค่าบ้านให้ผู้กู้เป็นรายเดือน โดยที่ผู้กู้ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นและสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้จนกระทั่งเสียชีวิตหรือตัดสินใจขายบ้านไปก่อน เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว บ้าน/คอนโดฯ นั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ซึ่งธนาคารสามารถนำไปขายทอดตลาดได้
      • ในกรณีที่ครบกำหนดสัญญาแล้วผู้กู้ยังมีชีวิตอยู่ จะสามารถยื่นเอกสารเพื่อกู้เพิ่มเติมได้ตามเงื่อนไขของธนาคาร หรือนำเงินมาไถ่บ้าน/คอนโดฯ คืนได้
      • ส่วนกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิตก่อนและทายาทไม่มาไถ่ถอนอสังหาฯ นั้นคืน ธนาคารจะนำไปขายทอดตลาด โดยหากขายอสังหาฯ นั้นได้ราคาสูงกว่ายอดหนี้ ธนาคารจะคืนส่วนต่างดังกล่าวให้กับทายาทต่อไป

Reverse Mortgage ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและเหมาะกับสังคมผู้สูงวัยของไทยในปัจจุบัน นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการมีบ้านของผู้สูงอายุเพื่อพักอาศัยในบั้นปลายชีวิตแล้ว ยังช่วยลดความกังวลในเรื่องค่าครองชีพได้อีกด้วย ทั้งนี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข่าวสารและบทความน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ ที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคทุกช่วงวัยที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย รวมทั้งเป็นแหล่งรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่า พร้อมรีวิวโครงการอสังหาฯ ที่น่าสนใจในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อช่วยให้ทุกคนพร้อมก้าวสู่เส้นทางอสังหาฯ ได้อย่างมั่นใจ และเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด

Ericsson named the leader in ABI Research sustainability assessment

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research

Ericsson named the leader in ABI Research sustainability assessment

Ericsson has been named the overall sustainability leader in a study conducted by ABI Research that evaluated the capabilities of telecom vendors to reduce energy use and waste across the industry.

ABI ranked more than 80 telco vendors and suppliers based on the two key areas of implementation and impact. The assessment provided a matrixed view of the ecosystem of companies that can best support service providers in their drive toward improved sustainability.

Ericsson led the assessment overall for implementation – ranking highest for sustainable networks and business, and number one in the main RAN (radio access network) categories, including Massive MIMO, 5G RAN, AI-driven software, and antenna solutions, according to ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report.

In terms of impact, Ericsson also topped the list among vendors for its Net Zero emission targets. The company is determined to halve its value-chain emissions by 2030 and reach Net Zero by 2040. Ericsson has also committed to become Net Zero in its own activities by 2030.

Kim Arrington Johnson, principal analyst at ABI Research says: “In the sustainability assessment, Ericsson received strong scores for innovation and sustainable impact, due to the close co-design of Ericsson Silicon with hardware and software playing a crucial role in creating high-performing, lightweight, and energy-efficient products. Ericsson designs and builds RAN hardware equipment with sustainability in mind.”

Freddie Södergren, Head of Technology and Strategy, Ericsson Networks, says: “We started our sustainability journey at Ericsson many years ago with a strong focus on supporting our customers. We have been closely working with them in recent years to achieve their energy and sustainability targets. Energy performance and achieving Net Zero targets are key pillars of Ericsson’s overall company and technology strategies.”

Assessment methodology

Vendors and suppliers were scored in each equipment category against a set of impact and implementation criteria weighted in terms of their importance, ability to reduce carbon emissions and waste, and the levels at which the equipment has been implemented across the industry. (See below an example of the scoring method used).

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

The final stage took each company’s aggregated overall score and grouped the companies into relevant market segments (traditional vendors, non-traditional vendors, software vendors, and chipset and component vendors). Ericsson ranked number one in this overall score.

Leading the way for sustainable networks

ABI Research says in its report that focus on network energy performance and product energy management is critical to Ericsson’s sustainability efforts. The analyst firm highlights as a “product impact example” the triple-band, tri-sector Radio 6646. This Ericsson radio cuts energy use by 40 percent compared to triple-band single-sector radios and is 60 percent lighter (less aluminum used in the product).

ABI Research also assessed Ericsson’s other sustainability efforts such as its Global Product Take-Back Program, as well as Ericsson’s initiative with its strategic suppliers to set their own 1.5°C aligned climate targets.

The Ericsson USA 5G Smart Factory in Lewisville, Texas, is one example of sustainable manufacturing practices by the company highlighted in the report. The factory has been recognized as a global front-runner in the Fourth Industrial Revolution (4IR) and awarded by the World Economic Forum with the prestigious “Global Lighthouse” designation.

Being named the leader in ABI Research’s sustainability assessment is a recognition of the efforts and achieved results of Ericsson’s Net Zero ambition. The company continues to step up the challenge and has recently launched more than 10 new hardware and software products that will cut carbon emissions and site footprint, increase energy performance, and boost network capacity. The new solutions were showcased at Mobile World Congress (MWC) 2023 Barcelona.