ดีป้าและอีริคสันร่วมเดินหน้าขับเคลื่อน Thailand Digital Valley

ดีป้าและอีริคสันร่วมเดินหน้าขับเคลื่อน Thailand Digital Valley

ดีป้าและอีริคสันร่วมเดินหน้าขับเคลื่อน Thailand Digital Valley

    • ความร่วมมือกันครั้งนี้จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในประเทศไทยสอดรับกับวิสัยทัศน์ Thailand 4.0
    • โซลูชัน 5G ชั้นนำของอีริคสันจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ทดสอบสำหรับการทดลองเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายและเครือข่ายใหม่ ๆ อาทิ การจัดสรรทรัพยากรคลื่นความถี่ การพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ของประเทศไทย

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ประเดิมขับเคลื่อนความร่วมมือในโครงการ Thailand Digital Valley ของดีป้า เพื่อมุ่งพัฒนาซิลิคอนวัลเลย์เวอร์ชั่นประเทศไทย

ภายในงานเปิดตัว มีการนำเสนอข้อมูลจากเหล่าพันธมิตรหลัก ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีและโซลูชันระดับโลก และสตาร์ทอัพ

Thailand Digital Valley ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศตะวันออกระยะทาง 50 ไมล์ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถรองรับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค โดยคาดว่าจะเกิดการจ้างงานใหม่ในพื้นที่ประมาณ 20,000 ราย และดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 5 พันล้านบาทต่อปี  

เมื่อไม่นานมานี้ อีริคสันและดีป้ายังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เพื่อขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันผ่านการใช้เครือข่าย 5G ในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะประกอบด้วยการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ความรู้ความเข้าใจขั้นสูง และเทคโนโลยีล้ำสมัยของอีริคสันเพื่อเร่งเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ส่วนหนึ่งในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ยังระบุว่า อีริคสันและดีป้าจะจัดตั้งห้องปฏิบัติการด้านนวัตกรรม (Innolab) ขึ้นใน Thailand Digital Valley ของดีป้าในจังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นศูนย์ทดสอบเครือข่าย 5G และศูนย์บริการสำหรับการทดสอบเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายและเครือข่ายใหม่ ๆ อาทิ การแบ่งปันคลื่นความถี่ (Spectrum Sharing) ตลอดจนการพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ในประเทศไทย

ดร.เจษฎา ศิวารักษ์ หัวหน้างานฝ่ายรัฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำ 5G ที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทยมายาวนาน 117 ปี เราจะดึงศักยภาพและใช้ประโยชน์จากโซลูชันชั้นนำที่ไว้วางใจได้รวมถึงระบบนิเวศของพันธมิตรระดับโลกมาขับเคลื่อนการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศ เราพร้อมทำงานร่วมกับดีป้า ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารของไทย องค์กรธุรกิจ และสตาร์ทอัพเพื่อปลดล็อกศักยภาพของ 5G ผ่านการสร้างยูสเคส 5G ใหม่ ๆ ร่วมกัน”

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า “Thailand Digital Valley จะมีบทบาทสำคัญช่วยยกระดับระบบนิเวศดิจิทัลของประเทศไทยและเพิ่มขีดความสามารถให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมดิจิทัล กระตุ้นบรรยากาศการลงทุน การค้า และความร่วมมือระดับโลก”

จากข้อมูลของดีป้าระบุว่า Thailand Digital Valley จะกลายเป็นระบบนิเวศดิจิทัลสำคัญ และเป็นฐานรากของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ โดยจะสนับสนุนการร่วมกันคิดค้นและพัฒนาฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะใหม่ ๆ (Hardware and Smart Devices) รวมถึงเทคโนโลยีด้านการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (BigData) เทคโนโลยี IoT, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ซอฟต์แวร์คอนเวอร์เจนซ์ (Software Convergence), นวัตกรรมคลาวด์ (Cloud Innovation) และบริการเนื้อหาดิจิทัล รวมถึงบริการดิจิทัลในด้านอื่น ๆ ครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมแอนิเมชัน เกม และอีสปอร์ต

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 147 เครือข่ายใน 63 ประเทศ พร้อมยังเปิดให้บริการเครือข่าย 5G Standalone 24 เครือข่ายทั่วโลก

Ericsson collaborates with Intel on advancing Thailand’s 5G usage and adoption

Ericsson collaborates with Intel on advancing Thailand’s 5G usage and adoption

Ericsson collaborates with Intel on advancing Thailand’s 5G usage and adoption

Ericsson (NASDAQ: ERIC) and Intel will collaborate on the development of 5G use cases that can accelerate the digitalization of enterprises to support the Thailand 4.0 vision.

Intel and Ericsson will collaborate on their respective technology expertise to show how communications service providers (CSPs) can accelerate 5G adoption and expand their business-to-business (B2B) engagements based on 5G use-cases. Amongst the areas identified for collaboration are the joint development of enterprise use cases in select verticals such as manufacturing, transport, and logistics. In addition, it involves showcasing the role 5G connectivity can play in building sustainable and resilient digital economies.

Both Ericsson and Intel are committed to enabling the Thailand Industry 4.0 vision through 5G technology.

Igor-Maurell

“As a long term and trusted strategic partner to Thailand, Ericsson will continue to work closely with key stakeholders to support the development of a diverse 5G ecosystem in Thailand to accelerate innovation. We will leverage our global 5G experience and collaborations with Intel to the benefit of CSPs in Thailand, with resilient network performance, scalability, simplicity, and security as a primary focus.” states Igor Maurell, Head of Ericsson Thailand.

Thomas Sennhauser, CTO for Communications Business, Asia Pacific Japan region, Intel Corporation said, “With the increasing digitalization of our society and economy, 5G is becoming fundamental in driving innovation across all business segments. Through this collaboration, we will help enable Thailand’s 5G infrastructure with innovative edge services – powered by Ericsson and Intel technologies – to help local enterprises transform and accelerate their businesses through digital solutions. Together, we aim to support the CSPs in Thailand to meet their energy-efficiency and broader sustainability goals as the communications industry embraces virtualized RAN and distributed architectures.”

Thailand has been a 5G front-runner market in the region, and Ericsson aims to ensure the country continues to be competitive on a global stage. Ericsson and Intel share their vision to bring both companies’ state-of-the -art technology and solutions, together with their global experience and expertise towards building trustworthy, open, and intelligent networks to realize Thailand’s goal of becoming a digital economy.

Ericsson is a global 5G leader and today powers 147 live 5G networks in 63 countries with 40 live 5G standalone networks across the world.

อีริคสัน ร่วมมือกับ อินเทล ขยายศักยภาพการใช้ 5G ของประเทศไทย

อีริคสัน ร่วมมือกับ อินเทล ขยายศักยภาพการใช้ 5G ของประเทศไทย

อีริคสัน ร่วมมือกับ อินเทล ขยายศักยภาพการใช้ 5G ของประเทศไทย

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) และอินเทลจะร่วมมือกันพัฒนายูสเคส 5G ที่สามารถเร่งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) ขององค์กรธุรกิจพร้อมสนับสนุนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0

อินเทลและอีริคสันจะผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องพร้อมนำเสนอกรณีการใช้งาน 5G ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเร่งการนำ 5G ไปใช้งานและขยายการดำเนินธุรกิจของผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ไปสู่รูปแบบ B2B ตามที่ระบุไว้ในขอบเขตของการทำงานร่วมกัน ทั้งสององค์กรจะร่วมกันพัฒนากรณีการใช้งาน 5G ระดับองค์กรในกลุ่มธุรกิจเฉพาะ อาทิ กลุ่มการผลิต กลุ่มการขนส่งและลอจิสติกส์ นอกจากนี้ยังร่วมกันนำเสนอและจัดแสดงศักยภาพด้านการเชื่อมต่อ 5G สำหรับการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น

ทั้งอีริคสันและอินเทลต่างมุ่งมั่นนำเทคโนโลยี 5G มาเพิ่มขีดความสามารถให้แก่อุตสาหกรรมของประเทศไทย ให้เดินหน้าไปสู่วิสัยทัศน์ Thailand Industry 4.0

Igor-Maurell

อิกอร์ มอเรล ประธานบริหาร บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะที่เราเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และได้รับความไว้วางใจมายาวนานในประเทศไทย อีริคสันจะทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลัก ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศ 5ที่หลากหลายในประเทศไทยเพื่อเร่งสร้างนวัตกรรม โดยเราจะใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ 5ระดับโลก ผนวกกับความร่วมมือกับอินเทล มอบประโยชน์ให้แก่ผู้ให้บริการในไทย ด้วยประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยืดหยุ่น มีความสามารถในการปรับขนาด ใช้งานง่าย และมีความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ”

โธมัส เซนน์เฮาเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ธุรกิจการสื่อสาร ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่น อินเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ด้านสังคมและเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ทำให้ 5G กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานสำคัญสำหรับขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกกลุ่มธุรกิจ และจากความร่วมมือกับอีริคสัน เราจะร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G ของประเทศไทยพร้อมกับบริการ Edge Innovation ต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจากอีริคสันและอินเทล ช่วยให้องค์กรท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงและเร่งกระบวนการทางธุรกิจผ่านดิจิทัลโซลูชัน เราพร้อมสนับสนุนผู้ให้บริการในประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการประหยัดพลังงานและความยั่งยืนมากขึ้น ตามที่อุตสาหกรรมการสื่อสารต่างให้การยอมรับโซลูชัน Virtualized RAN  และ Distributed Architectures

ประเทศไทยคือตลาด 5G แถวหน้าของภูมิภาค โดยอีริคสันตั้งเป้าร่วมผลักดันประเทศให้เดินหน้าแข่งขันบนเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งอีริคสันและอินเทลจะนำวิสัยทัศน์ พร้อมเทคโนโลยีและโซลูชันล้ำสมัยมาผสานเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับโลกเดินหน้าสร้างเครือข่ายที่มีความอัจฉริยะ เปิดกว้าง และน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 147 เครือข่ายใน 63 ประเทศ พร้อมยังเปิดให้บริการเครือข่าย 5G Standalone 40 เครือข่ายทั่วโลก

นักท่องเที่ยวจากสี่ประเทศในเอเชียสามารถชำระเงินในประเทศไทยด้วยโมบายล์วอลเล็ตของประเทศตัวเองได้แล้ว

นักท่องเที่ยวจากสี่ประเทศในเอเชียสามารถชำระเงินในประเทศไทยด้วยโมบายล์วอลเล็ตของประเทศตัวเองได้แล้ว

นักท่องเที่ยวจากสี่ประเทศในเอเชียสามารถชำระเงินในประเทศไทยด้วยโมบายล์วอลเล็ตของประเทศตัวเองได้แล้ว

    • โมบายล์วอลเล็ตที่สามารถใช้ได้แล้วในประเทศไทย โดยชำระเงินผ่าน Alipay+ ได้แก่ AlipayHK, KakaoPay, Touch ‘n Go eWallet และ Alipay
    • การบินไทย คือหนึ่งในสายการบินรายแรก ๆ ที่ใช้ Alipay+ เพื่อเป็นช่องทางการชำระเงิน

แอนท์กรุ๊ป ผู้ให้บริการอาลีเพย์พลัส (Alipay+) โซลูชันการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศและโซลูชันการตลาด ประกาศรองรับโมบายล์วอลเล็ตจำนวน 4 รายที่สามารถใช้ชำระค่าใช้จ่ายได้แล้วในประเทศไทย ได้แก่ AlipayHK (ฮ่องกง SAR), KakaoPay (เกาหลีใต้), Touch ‘n Go eWallet (มาเลเซีย) และ Alipay (จีนแผ่นดินใหญ่) ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ค้าในไทยตั้งแต่ปี 2558

การพัฒนาล่าสุดและการเพิ่มการรองรับโมบายล์วอลเล็ตอีก 3 รายของอาลีเพย์พลัส (Alipay+) จะขยายประสบการณ์การท่องเที่ยวดิจิทัลแบบไร้รอยต่อสำหรับนักท่องเที่ยวเอเชียที่มาเยือนเมืองไทย สอดรับกับภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศที่กำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

แอนท์กรุ๊ปเผยความร่วมมือครั้งใหม่กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (“TAT”) เพื่อส่งเสริมแคมเปญ Amazing Thailand และกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทย นอกจากจะช่วยให้เกิดความสะดวกสบายด้านการชำระเงินและการทำธุรกรรมบนโมบายล์วอลเล็ตที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยแล้ว แอนท์กรุ๊ปยังให้บริการโซลูชันดิจิทัลกับธุรกิจท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นการบริการแบบดิจิทัลไลเซชัน, การทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่มีประสิทธิภาพ, และการพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งเน้นในการช่วยให้ร้านค้าท้องถิ่นสามารถปฏิสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพตลอดการเดินทาง ตั้งแต่ก่อนเดินทางจนจบการเดินทาง โดยธุรกิจท้องถิ่นสามารถใช้โซลูชัน Alipay+ D-storeTM  ในการสร้างร้านค้าดิจิทัลในรูปแบบมินิโปรแกรม และใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มในการเข้าถึงและดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยว

นายยุทธศักดิ์ สุภสร, ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT) กล่าวว่า “เราได้สร้างความไว้วางใจและความร่วมมือกับอาลีเพย์มานานหลายปีในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่ เรายินดีที่จะขยายความร่วมมือเพื่อเข้าถึงนักท่องเที่ยวอีกสามประเทศในเอเชียผ่านอาลีเพย์พลัส (Alipay+) ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สำคัญกับประเทศไทย”

“เราพร้อมสนับสนุนการทำงานของแอนท์กรุ๊ปเพื่อส่งเสริมการทำดิจิทัลไลเซชันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยการใช้บริการโซลูชันดิจิทัลที่ล้ำสมัยและทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้ค้าท้องถิ่น ซึ่งเรามั่นใจว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่การสร้างรายได้และสร้างโอกาสการเติบโตสำหรับธุรกิจท้องถิ่น”

การบินไทย คือหนึ่งในสายการบินรายแรก ๆ ที่ใช้ Alipay+ เป็นช่องทางการชำระเงิน นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการโมบายล์วอลเล็ตทั้งสี่รายสามารถชำระค่าตั๋วเครื่องบินผ่านโมบายล์วอลเล็ตได้อย่างราบรื่น และยังเพลิดเพลินไปกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่แข่งขันได้

ดร. เชอร์รี่ หวง, ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการร้านค้าออฟไลน์ของ Alipay+ แสดงความเห็นเกี่ยวกับการขยายการใช้งานล่าสุดของอาลีเพย์พลัส (Alipay+) ว่า “เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าการรองรับโมบายล์วอลเล็ตของประเทศในเอเชียมากขึ้นในประเทศไทยจะเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยว และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ยั่งยืน และน่าดึงดูดใจสำหรับนักท่องเที่ยว สิ่งที่เราให้ความสำคัญในวันนี้คือการให้ความรู้กับผู้ค้าท้องถิ่นในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว, ธุรกิจค้าปลีก, ธุรกิจhospitality และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อเชื่อมต่อและใช้ประโยชน์จากกโซลูชันอาลีเพย์พลัส (Alipay+)”

“เราหวังว่าจะได้ร่วมงานกับผู้ค้าท้องถิ่น ไม่เพียงแค่ในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเท่านั้น แต่รวมไปถึงพื้นที่ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว เพื่อช่วยภาคธุรกิจให้เติบโตและประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของโซลูชันดิจิทัล” ดร. เชอร์รี่ กล่าวเสริม

เมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยจำนวนการลงทะเบียนใหม่อย่างมหาศาลของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว โดยจำนวนการลงทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2566

แอนท์กรุ๊ปเปิดตัวอาลีเพย์พลัส (Alipay+) ตั้งแต่ปี 2563 มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง สามารถรับการชำระเงินผ่านโมบายล์วอลเล็ตได้หลากหลาย และเข้าถึงผู้บริโภคระดับภูมิภาคและทั่วโลกมากถึง 1 พันล้านคน ผ่านการเชื่อมระบบอย่างง่ายดายเพียงครั้งเดียว นอกจากประเทศไทยแล้ว อาลีเพย์พลัส (Alipay+) ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในจีนแผ่นดินใหญ่, มาเก๊า SAR, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, และอีกหลายประเทศ

Project Beacon: Nutanix Announces Vision for Hybrid Multicloud Platform-as-a-Service

Nutanix เปิดตัว Project Beacon เสริมแกร่งวิสัยทัศน์ Hybrid Multicloud Platform-as-a-Service

Project Beacon: Nutanix Announces Vision for Hybrid Multicloud Platform-as-a-Service

Aims to enable developers to write applications once and run them anywhere

 Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, announced Project Beacon, a multi-year effort to deliver a portfolio of data-centric Platform as a Service (PaaS) level services available natively anywhere – including on Nutanix or on native public cloud. With a vision of decoupling the application and its data from the underlying infrastructure, Project Beacon aims to enable developers to build applications once and run them anywhere.

According to the Enterprise Cloud Index, 75% of IT teams expect to leverage more than one IT infrastructure – including on-premises, in public cloud or at the edge – in the next one to three years. Moving applications to a different environment is currently possible at the infrastructure layer. However, the PaaS services that many organizations use to help developers build and ship applications faster cause lock-in as they are tied to specific public clouds. This leads to high switching costs when looking to move applications to an environment that is more suitable, whether it’s due to cost, compliance, latency or other factors. Project Beacon aims to change that.

“Project Beacon is our vision for enabling developers to write applications once and run them anywhere by delivering data-centric PaaS level services that are no longer tied to a single infrastructure provider,” said Rajiv Ramaswami, President & CEO at Nutanix. “We hope to enable enterprises to fully embrace the benefits of hybrid multicloud, not only at the infrastructure layer but also at the application data layer.”

As part of Project Beacon, Nutanix aims to deliver the platform services that many organizations rely on, with a single API and console, integrated with Kubernetes® container orchestration, and consistent management across environments. This suite of data-centric platform services would be characterized by a consistent and simplified management experience, automated mobility, portable licensing, developer self-service, with built-in security and governance for cloud operations teams. Through these services, developers would have access to a suite of data-centric PaaS services whether in native public cloud, on-premises or at the edge, while operations teams would be able to remain in full control of data governance, compliance and data protection.

“As the industry’s leading enterprise Kubernetes platform, Red Hat OpenShift helps customers build, deploy and manage any application, anywhere,” said Matt Hicks, President and Chief Executive Officer, Red Hat. “With Project Beacon, Nutanix will build on our mission with a vision of data-centric platform services delivered consistently, anywhere, further extending customer choice on Red Hat’s open hybrid cloud platforms with Nutanix’s advanced data services.”

Nutanix is starting with database services, the foundation of all apps. As part of this effort, the company aims to extend the customer benefits of the Nutanix Database Service (NDB) solution as a managed service in the public cloud. This will build on the NDB database automation and management experience already available on Nutanix Cloud Infrastructure (NCI), as a managed service on native public cloud infrastructure. 

Nutanix would then expand from there to the most popular data-centric platform services, such as streaming, caching and search. The goal of this effort is to deliver all key elements needed to build modern applications so that developers would not have to rely on solutions that will lock them into a single infrastructure.

“Organizations have come to rely on public cloud services to accelerate the speed of development and innovation, but there are trade-offs – in terms of complexity, cost, lock-in, and more,” said Dave Pearson, IDC RVP for Infrastructure Systems, Platforms and Technologies. “With Project Beacon, Nutanix aims to reduce lock-in and increase application development simplicity through unified management, automated mobility and the ability to write applications once and deploy them as-needed on appropriate infrastructure.”