นูทานิคซ์ผสาน Data Services กับการใช้ Hybrid Multicloud มอบการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน

Nutanix releases Starter Kit Bundle to supercharge partner sales cycle

นูทานิคซ์ผสาน Data Services กับการใช้ Hybrid Multicloud มอบการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน

เปิดตัวบริการด้านดาต้าสำหรับ Kubernetes และการเคลื่อนย้ายดาต้าบนคลาวด์

นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริดมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศว่าได้เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ให้กับ Nutanix Cloud Platform โดยเป็นความสามารถที่จะช่วยให้ลูกค้าผสานรวมการบริหารจัดการดาต้าที่อยู่บนคอนเทนเนอร์ และเวอร์ชวลแอปพลิเคชันที่อยู่ในระบบภายในองค์กร บนพับลิคคลาวด์และที่ edge ได้ ซึ่งรวมถึงบริการด้านดาต้าให้กับแอปพลิเคชัน Kubernetes ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม และการเคลื่อนย้ายดาต้าข้ามคลาวด์ประเภทต่าง ๆ

ข้อมูลของ IDC ระบุว่า ภายในปี 2568 จะมี logical applications ใหม่ถึง 750 ล้านรายการ ซึ่งมากกว่างานด้านคอมพิวติ้งตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่าน การเพิ่มขึ้นนี้เป็นการสร้างดาต้าปริมาณมหาศาลบนคลาวด์* และนั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่องค์กรต้องผสานรวมการบริหารจัดการดาต้า ทั้งที่อยู่บนคอนเทนเนอร์และเวอร์ชวลแอปพลิเคชัน รวมถึงสภาพแวดล้อมที่หลากหลายแตกต่างกันเข้าด้วยกัน

นายโธมัส คอร์เนลี รองประธานอาวุโสด้านการจัดการผลิตภัณฑ์ของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “ผลสำรวจ Enterprise Cloud Index ของนูทานิคซ์ พบว่า องค์กรเกือบทั้งหมดได้เริ่มใช้ Kubernetes กับคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชันของตนแล้ว ปัจจุบันทีมงานด้านไอทีจำเป็นต้องหาแนวทางเพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนใช้บริการด้านดาต้าที่พวกเขาสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง (self-service data services) และในขณะเดียวกันแนวทางนั้นต้องให้ความมั่นใจได้ว่า จะมีการนำนโยบายด้านการกำกับดูแลและนโยบายด้านความปลอดภัยมาใช้ในรูปแบบเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ Nutanix Data Services for Kubernetes จะเสริมให้ Nutanix Cloud Platform สามารถเพิ่มการทำงานด้านการเตรียมสตอเรจ, สแน็ปช็อต และการกู้คืนระบบ ให้กับ Kubernetes application ต่าง ๆ ได้ เพื่อช่วยให้การพัฒนาคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชันในองค์กรทำได้รวดเร็วขึ้น”

Data Services for Kubernetes

นักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้ดูแลระบบในปัจจุบันต้องเผชิญกับความแตกต่างและความซับซ้อนที่ stateful Kubernetes® applications ต่าง ๆ มีอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องมือจาก third-party จำนวนมาก หรือใช้โปรเจกต์ DIY ที่ซับซ้อน เพื่อแก้ปัญหาให้กับแอปพลิเคชันและเลเยอร์เนมสเปซต่าง ๆ Nutanix Data Services for Kubernetes™ (NDK) ที่เปิดตัวในคราวนี้ จะช่วยให้ลูกค้าควบคุมคลาวด์-เนทีฟแอปพลิเคชันและดาต้าได้ตามต้องการ

ในเบื้องต้น NDK ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Nutanix Cloud Infrastructure (NCI) จะนำความสามารถอย่างเต็มประสิทธิภาพของสตอเรจ, สแน็ปช็อต, และการกู้คืนระบบ ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานระดับองค์กร ของนูทานิคซ์มาใช้กับ Kubernetes ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชันที่ใช้กับ stateful workloads ทำได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการเพิ่มการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดเตรียมสตอเรจ, สแน็ปช็อต และการกู้คืนระบบให้กับ Kubernetes pods และเนมสเปซแอปพลิเคชันต่าง ๆ NDK จะเสริมให้นักพัฒนา Kubernetes สามารถจัดการสตอเรจและบริการด้านดาต้าต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ควบคู่กับสามารถมองเห็นความเป็นไปและควบคุมการใช้งานได้ นอกจากนี้ NDK ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับ Red Hat OpenShift ได้อีกด้วย

Yongju Jo, Chief Manager, IDC Business Dept, Shinsegae กล่าวว่า “การปรับแอปพลิเคชันให้ทันสมัยเป็นเกณฑ์สำคัญอย่างหนึ่งของเส้นทางทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลของเรา เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่า Nutanix Data Services for Kubernetes มีศักยภาพสูงที่ช่วยให้เราสามารถเตรียมสตอเรจเกรดระดับองค์กรที่ใช้งานง่าย, การทำสแน็ปช็อต และการกู้คืนระบบที่มีประสิทธิภาพให้กับการใช้ Kubernetes ของเรา”

การเคลื่อนย้ายดาต้าข้ามคลาวด์

นูทานิคซ์ ยังได้เปิดตัวความสามารถที่เรียกว่า Multicloud Snapshot Technology™ (MST) เพื่อมอบความสามารถด้านการเคลื่อนย้ายดาต้าข้ามคลาวด์ โดย MST จะขยายบริการไฮบริดมัลติคลาวด์ดาต้าเซอร์วิสของนูทานิคซ์ ด้วยการให้สามารถทำสแน็ปช็อตตรงไปยังที่จัดเก็บคลาวด์เนทีฟออบเจกต์ได้ โดยเริ่มจากบริการออบเจกต์สตอเรจ AWS S3™ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ความสามารถในการปกป้องดาต้าที่อยู่บนสภาพแวดล้อมไฮบริดมัลติคลาวด์ได้ สามารถใช้การกู้คืนดาต้า และการเคลื่อนย้าย เช่น ความสามารถในการปกป้องและโยกย้าย stateful Kubernetes แอปพลิเคชันต่าง ๆ และดาต้าไปบนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นด้วย NDK ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้

MST ใช้ได้ในสถานการณ์หลากหลาย เช่น การกู้คืนระบบ และการสำรองดาต้า ทั้งกับคอนเทนเนอร์และเวอร์ชวลแอปพลิเคชัน, ใช้สร้างสแน็ปช็อตและกู้คืนแบบทันทีทุกที่, ใช้ในการเคลื่อนย้ายดาต้าข้ามคลาวด์, ใช้แชร์ดาต้าให้กับเวิร์กโฟลว์ต่าง ๆ เช่น การทดสอบ/การพัฒนา, การเก็บรักษาดาต้าในระยะยาวเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด และอื่น ๆ อีกมาก สิ่งที่กล่าวมานี้จะช่วยให้ลูกค้าจำนวนมากบริหารค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานหลักของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถจัดเก็บสแน็ปช็อตได้อย่างไม่ยุ่งยาก ด้วยการใช้ที่จัดเก็บในราคาไม่แพง และกู้คืนได้ง่าย กับทุกโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นไพรเวทหรือพับลิคคลาวด์

นอกจากความสามารถใหม่ ๆ ที่กล่าวข้างต้น โซลูชัน Nutanix Objects Storage™ ยังได้ผสานรวมกับ Snowflake ซึ่งเป็นบริษัทด้าน Data Cloud เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ใช้ประโยชน์จาก Snowflake Data Cloud เพื่อวิเคราะห์ดาต้าตรงไปยัง Nutanix Objects ได้ ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าดาต้าจะถูกเก็บอยู่ภายใน ช่วยให้สามารถสร้างมูลค่าได้เร็วขึ้น และมอบข้อมูลเชิงลึกได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ single namespace ใน Nutanix Objects ยังช่วยให้สามารถเข้าถึง distributed data ทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย

NDK แะ MST อยู่ระหว่างการพัฒนา ส่วนการทำงานร่วมกันของ Nutanix ObjectsStorage และ Snowflake ปัจจุบันมีให้บริการลูกค้าแล้ว กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

คำกล่าวสนับสนุน

“สำหรับองค์กรที่กำลังมองหาความสำเร็จของการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลระลอกใหม่ แนวทางข้างหน้าคือต้องสามารถรันเวิร์กโหลดไว้บนโซนที่เหมาะสมที่สุดที่มีโอเพ่นไฮบริดมัลติคลาวด์แพลตฟอร์มเป็นฐานรองรับและมาพร้อมบริการด้านดาต้ามากมาย เพื่อรันและบริหารจัดการแอปพลิเคชันใดก็ได้ ได้ทุกที่ Nutanix Cloud Platform และ Wipro FullStride Cloud ช่วยให้ลูกค้าสร้างไฮบริดมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น เพื่อใช้และมอบการบริหารจัดการมัลติคลาวด์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก สามารถส่งบริการหรือผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น และลดต้นทุนรวมลงได้”

  • Jo Debecker, Head FullStride Cloud, Wipro

“แอปพลิเคชันดาต้ามักเป็นปัจจัยที่ผลักดันการตัดสินใจด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับหลาย ๆ องค์กร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย การกำกับดูแล หรือ locality แต่มักเป็นเลเยอร์ด้านไอทีที่แยกจากโครงสร้างพื้นฐานหลัก ไม่ว่าจะเป็นบนพับลิคคลาวด์หรือระบบที่อยู่ในองค์กร  Nutanix Cloud Platform มอบโมเดลคลาวด์ที่เป็นสากลด้วยบริการด้านดาต้าแบบบูรณาการมาตั้งแต่ต้นให้กับทั้งคอนเทนเนอร์และเวอร์ชวลแอปพลิเคชัน ช่วยให้องค์กรนำนโยบายด้านการกำกับดูแลดาต้าไปใช้กับคอนเทนเนอร์แอปพลิเคชัน รวมถึงไปใช้กับคลาวด์ต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยุ่งยาก”

  • Paul Nashawaty, Principal Analyst, Enterprise Strategy Group

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

Blog: Nutanix Objects Storage and Snowflake Data Cloud optimize Data Accessibility

จับกระแสอสังหาฯ โต้คลื่นความท้าทาย “ดอกเบี้ยขาขึ้น” สั่นคลอนดีมานด์ผู้ซื้อ – ราคายังลดลง

จับกระแสอสังหาฯ โต้คลื่นความท้าทาย "ดอกเบี้ยขาขึ้น" สั่นคลอนดีมานด์ผู้ซื้อ - ราคายังลดลง

จับกระแสอสังหาฯ โต้คลื่นความท้าทาย "ดอกเบี้ยขาขึ้น" สั่นคลอนดีมานด์ผู้ซื้อ - ราคายังลดลง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เติบโตไม่หวือหวา เหตุยังเผชิญปัจจัยท้าทายรอบด้าน แม้ทิศทางเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวแต่กำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่แข็งแรงเพียงพอ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นยังคงเป็นอุปสรรคในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ผ่านมาลดลง 2% ขณะที่แนวโน้มราคายังไม่ฟื้น ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยปรับลดลงทุกประเภท หลังจากผู้ประกอบการรวมถึงผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือ ตรึงราคาสินค้าต้นทุนเดิมเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ด้านตลาดเช่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจหลังผู้บริโภคชะลอแผนการซื้อ ส่งผลดัชนีค่าเช่าปรับเพิ่มขึ้น 3% แม้ภาพรวมความต้องการเช่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย แต่เพิ่มขึ้น 17% ในรอบปี คาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย​ยังเป็นตัวแปรสำคัญ​ในการตัดสินใจซื้อที่อยู่​อาศัยของผู้บริโภคระดับกลางและล่างในปีนี้ หวังความชัดเจนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะเป็นตัวช่วยสำคัญพลิกฟื้น​เศรษฐกิจพร้อมกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกช่วยสร้างการเติบโตแก่ตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาคึกคัก​อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ 

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty เผยภาพรวมดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง 10% จากไตรมาสก่อน (QoQ) หรือลดลง 18% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยมีการปรับลดลงถึง 31% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ (ไตรมาส ปี 2562) สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยยังชะลอตัวต่อเนื่อง  

ทั้งนี้ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวลดลงทุกประเภท ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวดังเดิม ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือจึงต้องตรึงราคาขายของสินค้าต้นทุนเดิมไว้และจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่มีดัชนีราคาทรงตัวจากไตรมาสก่อน ขณะที่ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมลดลงในสัดส่วนเท่ากันที่ 4% QoQ สะท้อนให้เห็นว่าความนิยมของที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้เริ่มชะลอตัวพอสมควร อย่างไรก็ดี หากเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า บ้านเดี่ยวยังมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยถือเป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ลดลง 5% และคอนโดฯ ลดลงมากที่สุดถึง 20% 

นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า “ปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีแรกที่หลายฝ่ายจับตามอง คือ การที่จีนเปิดประเทศ ซึ่งส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวและตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย เนื่องจากจีนเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ไทยมากที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยบวกจากกำลังซื้อต่างชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ตลาดอสังหาฯ ยังคงเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อในประเทศเช่นกัน แม้ภาวะเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ปัจจัยท้าทายสำคัญมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% ต่อปี และยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ส่งผลให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทุกประเภทตามไปด้วย กระทบกับผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยและผู้ที่กำลังผ่อนบ้านอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้”  

จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้ออสังหาฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลให้ความสนใจซื้อของผู้บริโภคในประเทศชะลอตัวลง  โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ระดับกลางและล่าง ซึ่งต้องพึ่งพาสินเชื่อจากสถาบันการเงินในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดยอาจต้องทบทวนความพร้อมทางการเงินและวางแผนรับมือหากต้องผ่อนบ้านในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งจะมีภาระผ่อนชำระเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังมีเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวด ซึ่งจะส่งผลให้โอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในกลุ่ม Real Demand โดยเฉพาะกลุ่มที่รายได้ยังคงอ่อนแอจะมีความท้าทายยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม โครงการรีเซลหรือตลาดบ้านมือสองซึ่งมีต้นทุนราคาเดิมที่ถูกกว่า จึงอาจกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในเวลานี้” นายวิทยา กล่าวเสริม 

จับตาเทรนด์ตลาดเช่าโต หวังแผนกระตุ้นเศรษฐกิจดึงกำลังซื้อฟื้น  

ความท้าทายด้านการเงินและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดเช่ามีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในทำเลแหล่งงานและแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน เห็นได้ชัดจากความต้องการเช่าที่เพิ่มขึ้น 118% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ และอาจกลายเป็นเทรนด์สำหรับคนยุคปัจจุบันที่ต้องการความยืดหยุ่นในการอยู่อาศัยโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ และไม่ต้องการมีภาระหนี้ระยะยาว จึงนับเป็นโอกาสของผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อลงทุนปล่อยเช่าเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ภาคธุรกิจและผู้บริโภคเฝ้ารอ สิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองต่อจากนี้ คือ ความชัดเจนของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมทั้งช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาดีดังเดิม ขณะเดียวกันผู้พัฒนาอสังหาฯ และผู้บริโภคต่างคาดหวังนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ ที่จะเข้ามาเพิ่มโอกาสให้คนไทยเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้นในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ให้ฟื้นตัวดีดังเดิมเช่นกัน” นายวิทยา กล่าวสรุป 

เกาะติดทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย หลังดีมานด์ซื้อ-เช่าระยะสั้นชะลอตัว 

รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาฯ ไทยในไตรมาสล่าสุด พร้อมสรุปภาพรวมดัชนีราคา และความต้องการที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามองในตลาดซื้อและเช่า รวมทั้งอัปเดตทำเลศักยภาพที่ดัชนีราคามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ 

      • เขตธนบุรี ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นถึง 8% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) ความน่าสนใจอยู่ที่เป็นทำเลใกล้ย่านธุรกิจ และสามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีลม
      • ตามมาด้วย เขตสัมพันธวงศ์ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 8% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ทำเลแหล่งการค้าขนาดใหญ่ ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง 
      • เขตดินแดง ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) ทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) แห่งใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางซื่อ
      • เขตสายไหม ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 5% QoQ (เพิ่มขึ้น 5% YoY) ทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต
      • เขตประเวศ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 5% QoQ (เพิ่มขึ้น 2% YoY) ถือเป็นทำเลที่เดินทางสะดวกทั้งจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท-สนามบินสุวรรณภูมิ และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง

    • ดีมานด์คนซื้อยังไม่ฟื้น อุปทานแนวราบโตไม่แผ่ว ภาพรวมอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ไตรมาสที่ผ่านมา พบว่าที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีสัดส่วนเติบโตต่อเนื่อง โดยบ้านเดี่ยวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนที่ 11% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ (เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 3% QoQ) ด้านคอนโดฯ แม้จะครองสัดส่วนมากที่สุดในตลาดถึง 74% แต่มีสัดส่วนลดลง 6% QoQ สะท้อนให้เห็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน หลังผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้มุ่งเน้นไปที่การเปิดตัวโครงการแนบราบอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ขายที่มีสินค้าแนวราบต่างนำสินค้าออกมาขายมากขึ้น เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น

      ขณะที่ภาพรวมที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่มีราคาขายอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนถึง 29% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ เมื่อพิจารณาตามประเภทอสังหาฯ พบว่า คอนโดฯ (31%) และทาวน์เฮ้าส์ (44%) ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ด้านบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ (41%) มีราคามากกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านระดับพรีเมียมและบ้านหรูที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงและมีความพร้อมทางการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ หันมาทำตลาดทดแทนกำลังซื้อระดับกลางและล่างที่ชะลอตัวลง


      อย่างไรก็ดี ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในระยะสั้นมีการปรับตัวลดลง 2% QoQ และลดลง 15% YoY ซึ่งเมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าปรับลดลงใกล้เคียงกัน โดยบ้านเดี่ยวลดลงมากที่สุด 3% QoQ และคอนโดฯ ลดลง 2% QoQ มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่ถือเป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีดัชนีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 1% QoQ

      หากเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ จะพบว่าภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 44% และมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะแนวราบที่มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยบ้านเดี่ยวมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากถึง 60% ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ (เพิ่มขึ้น 47% และ 38% ตามลำดับ) ดังนั้น แม้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวลงในระยะสั้นในรอบไตรมาส แต่หากมองในระยะยาวยังมีสัญญาณที่ดี

    • ดัชนีค่าเช่าเริ่มกระเตื้อง แม้ดีมานด์ผู้เช่ารอบไตรมาสยังไม่ฟื้น ภาพรวมดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% QoQ หรือเพิ่มขึ้น 3% YoY แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ อยู่ถึง 10% โดยเมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า มีเพียงทาวน์เฮ้าส์เท่านั้นที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 2% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ขณะที่บ้านเดี่ยวลดลง 6% QoQ (ลดลง 18% YoY) ด้านคอนโดฯ ยังทรงตัวจากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 2% YoY)

      อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า ดัชนีค่าเช่าของที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีทิศทางเติบโต โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 8% และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 4% สวนทางกับคอนโดฯ ที่ดัชนีค่าเช่าปรับลดลงถึง 12% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดเช่าคอนโดฯ ยังมีการแข่งขันสูง ผู้ให้เช่าบางส่วนจึงใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคเพื่อดึงดูดการตัดสินใจเช่า 

      ด้านจำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับเช่านั้น แม้คอนโดฯ จะครองสัดส่วนมากที่สุดถึง 93% ของจำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับเช่าทั้งหมดในกรุงเทพฯ แต่มีสัดส่วนลดลง 2% QoQ ต่างจากจำนวนที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีการปรับเพิ่มในรอบไตรมาส ส่งผลให้บ้านเดี่ยวมีสัดส่วนเพิ่มมาอยู่ที่ 4% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนอยู่ที่ 3% (เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 1% QoQ) ทำให้ตลาดเช่ามีตัวเลือกที่อยู่อาศัยแนวราบที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าที่มีครอบครัวมากขึ้น

      สำหรับภาพรวมดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ แม้จะปรับลดลง 3% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 17% YoY เมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่ดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ ขณะที่บ้านเดี่ยวลดลง 8% QoQ และคอนโดฯ ลดลง 3% QoQ  

      ทั้งนี้ ดีมานด์ในตลาดเช่ายังมีทิศทางเติบโตน่าสนใจ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่าดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นถึง 118% และปรับเพิ่มขึ้นทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวดิ่งอย่างคอนโดฯ ที่ยังคงครองความนิยมในตลาดเช่า โดยมีดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 143% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ (เพิ่มขึ้น 36% และ 24% ตามลำดับ)

      ทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ปัจจุบันเริ่มกลับมาอยู่ในย่านใจกลางเมือง และพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ ต่างจากรอบก่อนหน้าที่ทำเลส่วนใหญ่เป็นพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก โดยทำเลที่น่าจับตามองในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน ได้แก่

      • เขตปทุมวัน ถือเป็นทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 6% QoQ (เพิ่มขึ้น 4% YoY) อานิสงส์จากการเป็นทำเลใจกลางเมืองหลวงที่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งงาน รวมทั้งใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท
      • ตามมาด้วย เขตสัมพันธวงศ์ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 4% QoQ (เพิ่มขึ้น 4% YoY) ถือเป็นทำเลแหล่งการค้าขนาดใหญ่ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง
      • เขตบางคอแหลม มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 4% QoQ (ลดลง 7% YoY) ทำเลแหล่งงานย่านพระราม 3 ใกล้สาทร-สีลม ความน่าสนใจอยู่ที่ปัจจุบันยังมีโครงการพัฒนาต่อเนื่อง เช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่
      • เขตคลองสาน มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 5% YoY) อีกหนึ่งทำเลศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีทอง กรุงธนบุรี-คลองสาน
      • เขตคลองสามวา มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 3% YoY) ทำเลพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอกที่มีที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นสินค้าแนวราบ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand)
      • เขตวัฒนา มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (ลดลง 2% YoY) ทำเลธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท
      • เขตหลักสี่ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (ลดลง 25% YoY) เติบโตจากอานิสงส์ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่เชื่อมต่อการเดินทางไปยังใจกลางเมืองให้ง่ายขึ้น


      ทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส
      ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน และเป็นทำเลแหล่งงานขนาดใหญ่ซึ่งมีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงตามไปด้วย ได้แก่

      • เขตธนบุรี ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นถึง 8% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) ความน่าสนใจอยู่ที่เป็นทำเลใกล้ย่านธุรกิจ และสามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีลม
      • ตามมาด้วย เขตสัมพันธวงศ์ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 8% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ทำเลแหล่งการค้าขนาดใหญ่ ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง
      • เขตดินแดง ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) ทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) แห่งใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางซื่อ
      • เขตสายไหม ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 5% QoQ (เพิ่มขึ้น 5% YoY) ทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต
      • เขตประเวศ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 5% QoQ (เพิ่มขึ้น 2% YoY) ถือเป็นทำเลที่เดินทางสะดวกทั้งจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท-สนามบินสุวรรณภูมิ และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง

หมายเหตุ: รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report เป็นรายงานแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยที่จัดทําขึ้นเป็นรายไตรมาส (ทุก 3 เดือน) โดยใช้ข้อมูลจากประกาศขาย-เช่าบนเว็บไซต์ DDproperty มาคํานวณด้วยวิธีการทางสถิติ วิเคราะห์ และจัดทําเป็นดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคา, จํานวนที่อยู่อาศัยที่มีอยู่ในตลาด และความต้องการที่มีต่อที่อยู่อาศัยในช่วงเวลานั้น ๆ โดยรายงานฉบับนี้ประกอบไปด้วย ดัชนีราคา (Price Index) และดัชนีความต้องการ (Demand Index) จากทั้งฝั่งตลาดซื้อ-ขายและตลาดเช่า แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในรอบไตรมาสว่าเป็นไปในทิศทางใด โดยนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 เป็นต้นมา ดัชนีราคาและความต้องการในรายงานนี้ได้ใช้ข้อมูลในช่วงไตรมาส 1 ปี 2561 เป็นปีฐาน  

อ่านและศึกษาข้อมูลแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสล่าสุดได้ที่ รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2566

ยอดธุรกรรมบนแพลตฟอร์มอาลีเพย์ช่วงวันหยุดแรงงานโตขึ้น 70% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาด

ยอดธุรกรรมบนแพลตฟอร์มอาลีเพย์ช่วงวันหยุดแรงงานโตขึ้น 70% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาด

ยอดธุรกรรมบนแพลตฟอร์มอาลีเพย์ช่วงวันหยุดแรงงานโตขึ้น 70% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาด ไทยครองอันดับ “Top Five” ประเทศในเอเชียที่มีปริมาณการทำธุรกรรมบนอาลีเพย์สูงสุด ในช่วงวันหยุดแรงงาน

ในช่วงวันหยุดวันแรงงานปี 2566 ที่ทุกคนนิยมท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 29 เมษายนถึง 1 พฤษภาคม ซึ่งเป็นสามวันแรกของวันหยุดธนาคารจำนวน 5 วันในประเทศจีน การใช้จ่ายโดยรวมของผู้บริโภคชาวจีนที่ใช้แพลตฟอร์มอาลีเพย์ชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวพุ่งสูงขึ้นถึง 70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2562 ก่อนสถานการณ์แพร่ระบาด โดยเป็นการใช้จ่ายให้กับธุรกิจการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม โรงแรม การเดินทาง และร้านอาหาร

เนื่องจากความต้องการเดินทางพุ่งสูงสุดในช่วงวันหยุด ผู้ใช้อาลีเพย์ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง เช่น การใช้รถโดยสาร หรือการเช่าจักรยานสาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 220% เมื่อเทียบกับปี 2562 นอกจากนี้ จำนวนการค้นหาคำว่า “เช่ารถ” และ “จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า” ในแอปอาลีเพย์เพิ่มขึ้นถึง 240% และ 300% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2565  

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแล้ว เมืองต่าง ๆ ในประเทศจีนที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักซึ่งสามารถมอบประสบการณ์แปลกใหม่ไม่เหมือนใครให้นักท่องเที่ยวได้กำลังกลายเป็นที่นิยมในหมู่คนอายุน้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น เมืองจือปั๋ว (Zibo) ซึ่งเป็นเมืองชั้นสามในมณฑลซานตงและมีชื่อเสียงเรื่องอาหารปิ้งย่างได้มีเงินสะพัดในช่วงสามวันแรกของวันหยุดวันแรงงานปี 2566 และเมื่อเทียบกับปี 2565 ปริมาณการชำระเงินผ่านอาลีเพย์ในร้านอาหารปิ้งย่างในเมืองจือปั๋วเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 500% และยังเพิ่มขึ้นถึง 200% สำหรับธุรกิจโรงแรม

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เฟื่องฟูยังช่วยสร้างงานใหม่ ๆ โดยบนแพลตฟอร์มอาลีเพย์มีจำนวนการค้นหางานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น การมองหางานตำแหน่งผู้จัดการโฮมสเตย์ เพิ่มขึ้นถึง 60%ระหว่างวันที่ 21 – 30 เมษายน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในเดือนมีนาคม

จากข้อมูลของสถาบันวิจัยการท่องเที่ยวแห่งชาติจีน (China Tourism Academy) คาดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะมีทริปการเดินทางถึง 240 ล้านทริปในช่วงวันหยุดวันแรงงานปี 2566 โดยตัวเลขสูงกว่าก่อนการแพร่ระบาดในปี 2562[1] วันหยุดวันแรงงานจึงถือเป็นวันหยุดสำคัญในประเทศจีนที่คนจำนวนมากนิยมท่องเที่ยว

ในขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง การท่องเที่ยวต่างประเทศในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีนก็คึกคักเช่นกัน โดยในช่วงวันหยุดปีนี้ การใช้จ่ายโดยเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ใช้อาลีเพย์ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับปี 2562

ในช่วงวันหยุดวันแรงงานปี 2566 ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียยังคงเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน โดย ประทศไทย, เขตบริหารพิเศษฮ่องกง, เขตบริหารพิเศษมาเก๊า, ญี่ปุ่น, และเกาหลีติดตำแหน่ง “ Top Five ประเทศในเอเชียที่มีปริมาณการทำธุรกรรมบนอาลีเพย์สูงสุด” ตามมาด้วย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ในอันดับที่หกและเก้าตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม สถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไกลกว่านั้นก็ได้รับความสนใจเช่นกัน เช่น ฝรั่งเศสอยู่ในอันดับที่ 7 และออสเตรเลียในอันดับที่ 8

การใช้จ่ายโดยเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในจุดหมายปลายทางยอดนิยมแถบยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน และสหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงวันหยุดปีนี้เมื่อเทียบกับปี 2562 การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นชี้ให้เห็นถึงความนิยมที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ของประเทศในยุโรปในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน

หมายเหตุ:

เป็นการรวบรวมข้อมูลจากวันที่ 29 เมษายนถึง 1 พฤษภาคม 2023 ซึ่งเป็นสามวันแรกจากวันหยุดวันแรงงาน 5 วัน เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น

Alibaba Cloud Announces Tongyi Qianwen Partnership Program

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Tongyi Qianwen Partnership Program

Alibaba Cloud Announces Tongyi Qianwen Partnership Program

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, announces the launch of “Tongyi Qianwen Partnership Program”, which aims to co-create large language models tailored for different industries with partners. The first batch of industrial models in the program will cover sectors including petrochemicals, electricity, transportation, hospitality, enterprise services, telecommunications and finance.

Earlier last month, Alibaba Cloud unveiled Tongyi Qianwen, its latest large language model, and committed to making the new AI model accessible to the company’s customers and developers to create customised AI features in a cost-effective way. Since the model was announced on April 11, over 200,000 beta testing requests were received from enterprises from a broad range of sectors, including fintech, electronics, transport, fashion and dairy.

“To cater for the skyrocketing demand for Tongyi Qianwen from different sectors that are keen to accelerate their intelligence transformation process, we are fully committed to working closely with our partners to develop customised, specialised AI models,” said Daniel Zhang, Chairman and CEO of Alibaba Group and CEO of Alibaba Cloud Intelligence. “Together with our industrial partners, we can deliver more tangible value to enterprise customers to suit their specific business needs.”

Through the partnership program, Alibaba Cloud will provide underlying technology support, cloud computing, AI and machine learning products and services to participating partners. They can fine-tune Tongyi Qianwen and retrain the model with their proprietary intelligence and industrial know-how in a secure and designated cloud environment. The co-building models will be available through websites and APIs for enterprise customers and developers to create various applications, such as intelligent customer services, shopping guides, domain-specific virtual consultants and design assistants.

The initial partners enrolled in the program include Kunlun Digital Technology (petrochemicals), LongShine Technology (electricity), China Transinfo Technology (transportation), Shiji Group (hospitality), Yonyou Network Technology (enterprise services), AsiaInfo Technologies (telecommunications services) and CICC Wealth Management (finance).

Alibaba Cloud also plans to integrate Tongyi Qianwen into all business applications across its ecosystem in the near future to further enhance the user experience. As one of the latest incorporations, Tongyi Qianwen is currently being integrated into Alibaba’s operating system for cars, AliOS, for internal tests. IM Motors, a premium electric vehicle venture backed by Alibaba Group and SAIC Motor, is signed up to be the first auto brand to implement Tongyi Qianwen-powered AliOS in the coming future.

Last week, DingTalk, Alibaba’s digital collaboration workplace and application development platform, demonstrated various AI functions powered by the new model, including meeting notes and group chat summaries, as well as creating a mini application on DingTalk by photographing a draft idea written on paper.

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Tongyi Qianwen Partnership Program

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Tongyi Qianwen Partnership Program

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศเปิดตัว “Tongyi Qianwen Partnership Program”

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศเปิดตัว “Tongyi Qianwen Partnership Program” ซึ่งตั้งเป้าหมายร่วมกับพันธมิตรสร้างโมเดลขนาดใหญ่ด้านภาษาที่ปรับให้เหมาะกับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท โดยโมเดลสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ชุดแรกนี้จะครอบคลุมภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ปิโตรเคมี ไฟฟ้า การคมนาคมขนส่ง ภาคส่วนที่เกี่ยวกับงานบริการ งานบริการสำหรับองค์กร โทรคมนาคม และภาคการเงิน

อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดตัว Tongyi Qianwen (ทงอี้ เชียนเวิ่น) ซึ่งเป็นโมเดลขนาดใหญ่ด้านภาษาล่าสุดของบริษัทเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา และให้คำมั่นว่าจะเปิดให้ลูกค้าของบริษัทและนักพัฒนาซอฟต์แวร์เข้าใช้งานโมเดล AI ใหม่นี้ได้ เพื่อสร้างฟีเจอร์ AI ที่ปรับได้อย่างเฉพาะเจาะจงด้วยวิธีการที่คุ้มค่าใช้จ่าย นับจากเปิดตัวเมื่อวันที่ 11 เมษายนเป็นต้นมา มีคำร้องขอทดสอบรุ่นเบต้ามากกว่า 200,000 คำร้องจากองค์กรในหลายแวดวง เช่น ฟินเทค อิเล็กทรอนิกส์ ขนส่ง แฟชั่น และผลิตภัณฑ์จากนม

นายแดเนียล จาง ประธานและซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป และซีอีโอของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “เราตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะเติมเต็มและสนองความต้องการใช้ Tongyi Qianwen ที่พุ่งสูงขึ้นจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่จดจ่อกับการเร่งกระบวนการทรานส์ฟอร์มอย่างชาญฉลาดของตนให้เร็วขึ้น โดยเรามุ่งมั่นทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาโมเดล AI ที่ปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะทางได้ เราจะร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งมอบคุณค่าที่จับต้องได้มากขึ้น และตรงกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจแต่ละประเภทให้กับลูกค้าองค์กรของเรา”

อาลีบาบา คลาวด์ จะให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน คลาวด์คอมพิวติ้ง AI และแมชชีนเลิร์นนิ่ง ให้กับพันธมิตรที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ พันธมิตรสามารถปรับแต่ง Tongyi Qianwen และได้เรียนรู้โมเดลที่ปรับแต่งแล้วนี้ด้วยความชาญฉลาด และความรู้ในอุตสาหกรรมที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง บนสภาพแวดล้อมคลาวด์ที่กำหนดได้และปลอดภัย โมเดลต่าง ๆ ที่ร่วมกันสร้างเหล่านี้จะเปิดให้ลูกค้าองค์กรและนักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถใช้ผ่านเว็บไซต์และ API ต่าง ๆ เพื่อใช้สร้างแอปพลิเคชันหลากหลาย เช่น บริการอัจฉริยะสำหรับลูกค้า คู่มือการช้อปปิ้ง ที่ปรึกษาเสมือนที่เจาะจงโดเมน และผู้ช่วยในการออกแบบด้านต่าง ๆ

พันธมิตรรุ่นแรกที่ลงทะเบียนกับโปรแกรมนี้ ประกอบด้วย Kunlun Digital Technology (ปิโตรเคมี) LongShine Technology (ไฟฟ้า) China Transinfo Technology (การคมนาคมขนส่ง) Shiji Group (ธุรกิจบริการ) Yonyou Network Technology (บริการสำหรับองค์กร) AsiaInfo Technologies (บริการด้านโทรคมนาคม) และ CICC Wealth Management (ภาคการเงิน)

ในอนาคตอันใกล้นี้ อาลีบาบา คลาวด์ วางแผนนำ Tongyi Qianwen ไปใช้กับแอปพลิเคชันทางธุรกิจทุกประเภทในระบบนิเวศทั้งหมดของบริษัท เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน หนึ่งในนั้น คือ กำลังมีการนำ Tongyi Qianwen ไปใช้ร่วมกับระบบปฏิบัติการ AliOS ของอาลีบาบา เพื่อเป็นการทดสอบภายในกับการใช้งานในรถยนต์ ทั้งนี้ IM Motors ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมี่ยม ที่ได้รับการสนับสนุนจากอาลีบาบา กรุ๊ป และ SAIC Motor ได้ลงนามเป็นแบรนด์รถยนต์แห่งแรกที่จะนำ Tongyi Qianwen-powered AliOS ไปใช้ในอนาคตอันใกล้

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา DingTalk ซึ่งเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับการทำงานร่วมกันและเป็นแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชันของอาลีบาบา ได้สาธิตฟังก์ชัน AI หลากหลายด้านที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดลใหม่นี้ เช่น บันทึกการประชุม และ สรุปการสนทนากลุ่ม รวมถึงการสร้าง mini application บน DingTalk จากการถ่ายภาพร่างไอเดียที่เขียนไว้บนกระดาษ