ซีเมนส์ ประกาศกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร มุ่งสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่นในอนาคต

ซีเมนส์ ประกาศกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร มุ่งสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่นในอนาคต

ซีเมนส์ ประกาศกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร มุ่งสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่นในอนาคต

    • เพิ่มการลงทุนในโรงงานไฮเทค ห้องปฏิบัติการนวัตกรรม และศูนย์การเรียนรู้ใหม่ ๆ ทั่วโลกเพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ และความยั่งยืน
    • ส่วนใหญ่ของการลงทุนรวม 2 พันล้านยูโร ที่จะเปิดเผยในปีนี้ มุ่งไปที่การขยายกำลังการผลิต เป็นหลัก
    • หลังจากการลงทุนในเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา ซีเมนส์เตรียมขยายเครือข่ายการผลิตและศักยภาพการวิจัยและพัฒนาในเอเชีย
    • เตรียมสร้างโรงงานไฮเทคแห่งใหม่ในสิงคโปร์เพื่อรองรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเติบโต
    • ขยายโรงงานดิจิทัลในเฉิงตูเพื่อต่อยอดการเติบโตในจีน
    • เตรียมประกาศการลงทุนเพิ่มเติมในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

ซีเมนส์ได้นำเสนอกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร เพื่อกระตุ้นการเติบโตในอนาคต พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่น โดยมุ่งเน้นการลงทุนหลักไปที่การเพิ่มกำลังการผลิต ห้องปฏิบัติการนวัตกรรม ศูนย์การเรียนรู้ และโรงงานใหม่ โดยซีเมนส์ประกาศสร้างโรงงานไฮเทคแห่งใหม่ในสิงคโปร์ เพื่อรองรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเติบโตอย่างมาก

โรแลนด์ บุช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอของ ซีเมนส์ เอจี กล่าวว่า “เทคโนโลยีของเราตอบสนองแนวโน้มการเติบโตที่แน่นอนในอนาคต หรือ Secular Growth ที่สนับสนุนให้ลูกค้าของเราสามารถแข่งขัน สร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้น ซีเมนส์กำลังเติบโตในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และล่าสุดเราประกาศกลยุทธ์การลงทุนเพื่อกระตุ้นการเติบโตในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่น”

“การลงทุนนี้สนับสนุนกลยุทธ์ของเราในการผสานโลกจริงและโลกดิจิทัลเข้าด้วยกัน การมุ่งเน้นการกระจายธุรกิจและธุรกิจท้องถิ่นต่อท้องถิ่น (Local-for-Local Business) การขยายฐานที่ตั้งเพิ่ม Global Presence เพื่อรองรับการเติบโตในตลาดสำคัญ”

ในปีงบประมาณ ค.ศ. 2023 บริษัทฯ คาดว่าจะเพิ่มงบประมาณการวิจัยและพัฒนาอีกประมาณห้าร้อยล้านยูโรเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งจะเน้นในด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และ

เมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรม (Industrial Metaverse) การวิจัยและพัฒนานี้มุ่งเสริมความแข็งแกร่งในความเป็นผู้นำของซีเมนส์ในเทคโนโลยีหลักๆ ซึ่งรวมถึง Simulation, Digital Twins, Artificial Intelligence หรือ Power Electronics พร้อมสนับสนุน Siemens Xcelerator  ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิดของบริษัทฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทได้ประกาศความร่วมมือกับ Microsoft เพื่อเร่งการสร้างโค้ดสำหรับระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรมโดยใช้ ChatGPT และซีเมนส์ยังกำลังทำงานร่วมกับ NVIDIA เพื่อสร้างเมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาการออกแบบ การวางแผน การผลิต และการดำเนินงานของโรงงานและโครงสร้างพื้นฐาน

กำลังการผลิตใหม่และเพิ่มเติมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเมนส์ได้ประกาศสร้างโรงงาน ไฮเทคแห่งใหม่ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะได้รับการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี Digital Twin พร้อมนวัตกรรมฮาร์ดแวร์อัจฉริยะของซีเมนส์ โดยใช้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านยูโร โรงงานแห่งใหม่ นี้จะกำหนดมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยี ดิจิทัลมาเพิ่มศักยภาพรวมถึงการใช้กระบวนการผลิตอัตโนมัติขั้นสูง และการลงทุนนี้ยังสร้างงาน มากกว่า 400 ตำแหน่ง

กลยุทธ์มุ่งเน้นทุกภูมิภาคด้วยแผนการลงทุนทั่วโลก

อีกส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรองรับธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศจีน ซีเมนส์จะขยายโรงงานดิจิทัลในเฉิงตู เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในท้องถิ่นของจีนในแบบ in China for China ด้วยการลงทุน 140 ล้านยูโร (1.1 พันล้านหยวน) สร้างงานใหม่ 400 ตำแหน่ง ลูกค้าในประเทศจีนของซีเมนส์จำนวนมากอยู่ในกลุ่ม Early Adopters ในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัลและการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง นี่คือเหตุผลที่ซีเมนส์ประกาศการลงทุนในศูนย์นวัตกรรมวิจัยและพัฒนาแบบดิจิทัลแห่งใหม่ในเซินเจิ้น เพื่อเร่งการพัฒนาระบบควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและ Power Electronics โดยแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิด Siemens Xcelerator เปิดตัวในประเทศจีนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2022

การประกาศการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ซีเมนส์มีความมุ่งมั่นที่จะขยายการผลิตในเมือง Trutnov ในประเทศสาธารณรัฐเช็ก เพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงงานของบริษัทฯ ที่เมือง Amberg ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่าย WEF Global Lighthouse(1) นอกจากนี้ซีเมนส์ยังลงทุนอีก 30 ล้านยูโรเพื่อขยายโรงงานสวิตช์เกียร์ที่ Frankfurt-Fechenheim ในประเทศเยอรมนี ขณะที่ ซีเมนส์ โมบิลิตี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ประกาศการลงทุน 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตตู้รถไฟแห่งใหม่ในเมืองเล็กซิงตัน รัฐนอร์ทแคโรไลนา เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถไฟโดยสารในสหรัฐอเมริกา โดยโรงงานแห่งนี้จะสร้างงานมากกว่า 500 ตำแหน่งภายในปี ค.ศ. 2028

แผนการลงทุนมูลค่า 2 พันล้านยูโร และอีกประมาณห้าร้อยล้านยูโรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสำหรับการวิจัยและพัฒนานั้นรวมถึงการลงทุนใน ซีเมนส์ เฮลท์ธิเนียร์ส

The Moment for AI

เวลาของ AI

The Moment for AI

บทความโดยนายแมทต์ ฮิกส์ ประธานและซีอีโอ เร้ดแฮท

Article by Matt Hicks, President & CEO, Red Hat

Throughout history, there have been technological moments when you can feel a shift. Moments when you know a discovery or innovation is going to change the industry, and in some cases, the world as we know it.

Going back centuries you might think of Johannes Gutenberg inventing the printing press in 1455, James Watt creating the steam engine in 1765 or Alexander Graham Bell designing the first telephone in 1876. In more modern times, the first computer sprang to life in 1937 and both the personal computer and the internet came to be in 1974. There are more of these instances, of course, but what stands out to me is the pace of change.

In the past it took years, if not decades, to see the next development. Nowadays, we’re seeing innovations happen faster and faster. And more often than not, if you are slow to adopt new technology, you will get left behind. We saw this happen with open source software, cloud computing and automation, and now we’re seeing it with artificial intelligence and machine learning. 

However, this doesn’t mean abandoning what you’ve worked so hard to achieve already. The next generation of technologies like AI need to mesh seamlessly with what already runs your business. We need innovation that moves us forward but doesn’t delete our present.

AI has reached the tipping point and we cannot ignore it. Instead, we need to decide how, where and WHY we will harness it and use it to further our organizations. 

From where I sit, this is one of the most exciting moments to be in technology. Advancements which sounded like science fiction mere decades ago are now commonplace. AI has moved from the obscurity of academia to the ubiquity of ChatGPT. It’s also moved from a tool that was only accessible to the few to a movement that is now powered and utilized by the masses. Combining the impact and collaborative nature of open source with the potential of AI will enable us to solve the world’s problems more effectively and more quickly than we ever dreamed possible.

We are only limited by our creativity. The ingenious element of AI is that it does not need to be one thing for everyone. Each of us needs to analyze how we use it for our businesses and for our industries. While there may not be a one-size-fits-all solution, none of us can ignore AI as a driver for change. We have the opportunity to embrace this moment and be a part of shaping the future.

Despite the excitement that exists with AI, I recognize that there are conflicting truths that we are all faced with. First, we are being asked to do more with less. That’s a common challenge in IT, but today, it’s ironclad – less headcount, fewer tools or reduced budget. And second, we’re also being asked to continue to drive innovation to scale – adjust resources quickly, meet changing demand or grow to new footprints. While addressing these seemingly incompatible needs can be daunting, the biggest mistake any of us can make is to hunker down and attempt to maintain what we have instead of pushing for growth and development. Even though it is difficult to coalesce, now is the moment to drive forward. Try something new, change our processes, and disrupt the status quo.

At Red Hat Summit, that’s what we are encouraging – change. Not just for the sake of it, but to help drive an innovation moment for YOUR business. Maybe it will be built around Event-Driven Ansible, where you’re able to free an IT team to open up new revenue streams. Or maybe you’ll adopt Red Hat Trusted Software Supply Chain, and be able to push innovation even faster while retaining resiliency to supply chain vulnerabilities.

What we present with Ansible Lightspeed and Red Hat OpenShift AI may be what you need to build your moment. The promise of domain-specific AI, in this case for IT automation, or a standardized foundation for consistent AI/ML model training could let you break into the benefits of AI that works for YOUR organization.

We don’t know what the future holds – not even ChatGPT-3 is precognitive yet. This doesn’t mean that we can’t anticipate what challenges we may be facing in the coming months and years. To prepare, we can shore up our resources and simplify – distilling our work to focus on what matters the most and what will drive you forward to your moment of innovation.

เวลาของ AI

เวลาของ AI

เวลาของ AI

บทความโดยนายแมทต์ ฮิกส์ ประธานและซีอีโอ เร้ดแฮท

บทความโดยนายแมทต์ ฮิกส์ ประธานและซีอีโอ เร้ดแฮท

เมื่อนึกย้อนหลังไปเราคงเคยรู้สึกว่า มีหลายครั้งหลายหนที่เราสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มีช่วงเวลาที่เรารู้ว่าการค้นพบสิ่งใหม่และนวัตกรรมกำลังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม หรือถึงขั้นเปลี่ยนโลกที่เราเคยรู้จักไปเลย

ย้อนกลับไปหลายศตวรรษที่ผ่านมา เราอาจจำได้ว่า Johannes Gutenberg ประดิษฐ์แท่นพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1455 หรือ James Watt สร้างเครื่องจักรไอน้ำเมื่อปี ค.ศ. 1765 หรือ Alexander Graham Bell ออกแบบโทรศัพท์เครื่องแรกเมื่อปี ค.ศ. 1876 ในเวลาต่อ ๆ มา คอมพิวเตอร์เครื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1937 จากนั้นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวและอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1974 และอื่น ๆ อีกมาก แต่สิ่งที่โดดเด่นมาก ๆ คือสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

การพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ในอดีตต้องใช้เวลาหลายปี หรือหลายสิบปี แต่ปัจจุบันนวัตกรรมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และหากองค์กรใดนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ช้า ก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ตัวอย่างของนวัตกรรมเหล่านี้ เช่น ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส คลาวด์คอมพิวติ้ง รวมถึงออโตเมชันและ ณ ช่วงเวลานี้คือปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML)

อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ได้หมายความว่าองค์กรต้องทิ้งวิธีการและการดำเนินการที่ลงทุนลงแรงทำจนประสบความสำเร็จมาแล้ว เทคโนโลยีที่เป็น next generation เช่น AI จำเป็นต้องทำงานร่วมกับเทคโนโลยีหรือโซลูชันที่ธุรกิจใช้อยู่แล้วในปัจจุบันให้ได้อย่างราบรื่น ธุรกิจต้องการนวัตกรรมที่ช่วยให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าโดยไม่ละทิ้งสิ่งที่ธุรกิจใช้อยู่ในปัจจุบัน

AI มาถึงจุดที่เป็นเทคโนโลยีที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่าและสำคัญกว่าที่เคยมีมา ซึ่งองค์กรไม่สามารถมองข้ามได้ แต่ต้องตัดสินใจว่าจะควบคุมและใช้ AI เพื่อความก้าวหน้าขององค์กรได้อย่างไร ใช้ ณ จุดใด และด้วยจุดประสงค์อะไร

การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดช่วงหนึ่งในแวดวงเทคโนโลยี ความล้ำหน้าที่ดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์เมื่อหลายสิบปีก่อนกลายเป็นเรื่องธรรมดาในปัจจุบัน และ AI ได้เปลี่ยนจากงานวิจัยในมหาวิทยาลัยที่ไม่เป็นที่รู้จัก เป็น ChatGPT ที่แพร่หลายทุกแห่งหน เปลี่ยนจากเครื่องมือที่คนใช้กันไม่กี่คน เป็นกระบวนการที่คนทั่วไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างในปัจจุบัน การผสานรวมผลที่จะได้รับและลักษณะการทำงานร่วมกันของโอเพ่นซอร์สเข้ากับศักยภาพของ AI จะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ของโลกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเร็วขึ้นเกินกว่าที่เราเคยฝันไว้ 

ความคิดสร้างสรรค์ของเราเท่านั้นที่จะจำกัดความก้าวหน้าขององค์กรได้ องค์ประกอบที่ชาญฉลาดของ AI คือ ธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้งาน AI ในรูปแบบเดียวกัน ธุรกิจแต่ละแห่งต้องวิเคราะห์ว่าจะใช้ AI กับธุรกิจและอุตสาหกรรมของตนอย่างไร แม้ว่าอาจไม่มีโซลูชันใดเหมาะกับธุรกิจทุกราย แต่องค์กรทุกแห่งไม่สามารถมองข้าม AI ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้ องค์กรทุกแห่งสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะกำหนดอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม บนความตื่นเต้นกับ AI ยังมีความจริงที่ขัดแย้งกันปรากฎอยู่ ประการแรก เรามักถูกขอให้ใช้ทรัพยากรน้อยแต่ได้ผลสำเร็จมาก ซึ่งเป็นความท้าทายปกติด้านไอที แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องยากที่จะทำเช่นนั้น เพราะด้วยจำนวนพนักงานที่น้อยลง เครื่องมือน้อยลง หรืองบประมาณลดลง ประการที่สอง เรายังได้รับการร้องขอให้ขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องตามความต้องการ ทำการปรับทรัพยากรอย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลง หรือ เติบโตด้วยฟุตพริ้นท์ใหม่ ๆ ซึ่งการจัดการกับความต้องการที่แตกต่างกันเหล่านี้อาจเป็นเรื่องน่ากลัว แต่ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งอาจทำคือ ยอมแพ้และพยายามรักษาสิ่งที่มีอยู่ไว้ แทนที่จะผลักดันการเติบโตและการพัฒนาต่อไป และแม้ว่าการรวมพลังทุกด้านเพื่อจัดการความต้องการที่แตกต่างกันเป็นเรื่องยาก แต่ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่ต้องขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้า ด้วยการลองทำสิ่งใหม่ เปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆ และเลิกหรือปรับเปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่เดิมขนานใหญ่

เร้ดแฮทสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ที่จะได้จากการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการช่วยขับเคลื่อนช่วงเวลาแห่งการคิดค้นสิ่งใหม่ให้กับธุรกิจต่าง ๆ ที่อาจสร้างขึ้นผ่านโซลูชันใหม่ ๆ ที่เปิดตัวในงาน Red Hat Summit ที่จัดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เช่น Event-Driven Ansible ที่จะช่วยให้ทีมไอทีสามารถใช้เวลากับงานที่จะสร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้องค์กรได้ หรือองค์กรที่ใช้ Red Hat Trusted Software Supply Chain จะสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมได้เร็วขึ้นในขณะที่ยังคงความยืดหยุ่นในการจัดการช่องโหว่ต่าง ๆ ของซัพพลายเชนไว้ได้

 

 

The Moment of AI

Ansible Lightspeed และ Red Hat OpenShift AI จะช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น domain-specific AI สำหรับไอทีออโตเมชันที่เชื่อถือได้ หรือ โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานทั่วไปสำหรับการอบรมโมเดล AI/ML ที่สอดคล้องกันอาจช่วยให้องค์กรแต่ละแห่งได้ประโยชน์จาก AI ที่เหมาะกับองค์กรของตนได้

เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แม้แต่ ChatGPT-3 ก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ก่อนได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะเกิดความท้าทายอะไรในเดือนหรือปีต่อ ๆ ไป เราจึงต้องเตรียมพร้อม เราสามารถสำรองทรัพยากรต่าง ๆ ทำให้ชัดเจนใช้งานง่าย กลั่นกรองงานเพื่อให้สามารถโฟกัสไปที่เรื่องสำคัญที่สุด และพิจารณาว่าจะใช้โซลูชันใดขับเคลื่อนองค์กรให้รุดหน้าสู่ช่วงเวลาแห่งนวัตกรรมได้ดีที่สุด

 

HERE Technologies เผยการศึกษาล่าสุดชี้ธุรกิจลอจิสติกส์ยังเผชิญความท้าทายด้านการติดตามและจัดการข้อมูลในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (End-To-End)

HERE Technologies เผยการศึกษาล่าสุดชี้ธุรกิจลอจิสติกส์ยังเผชิญความท้าทายด้านการติดตามและจัดการข้อมูลในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (End-To-End)

HERE Technologies เผยการศึกษาล่าสุดชี้ธุรกิจลอจิสติกส์ยังเผชิญความท้าทายด้านการติดตามและจัดการข้อมูลในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (End-To-End)

    • HERE Technologies เผยผลการศึกษาใหม่ของผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจจำนวน 1,300 ราย ในภาคการขนส่งและลอจิสติกส์ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงผู้ตอบแบบสอบถามจากประเทศไทยอีก 100 ราย
    • พบว่า การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการติดตามและใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับธุรกิจลอจิสติกส์ไทยที่กำลังใช้ และ/หรือ กำลังพิจารณาจะใช้ข้อมูล Location Data
    • โดรน ปัญญาประดิษฐ์ แมชชีนเลิร์นนิ่ง และบล็อกเชน เป็นเทคโนโลยีชั้นนำสำหรับบริษัทลอจิสติกส์ไทยในอนาคต

HERE Technologies  ผู้นำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและข้อมูล Location Data  เปิดเผยผลการศึกษาใหม่ APAC On The Move นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งและลอจิสติกส์ (Transportation and Logistics หรือ T&L) ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เกี่ยวกับแนวโน้มและแนวทางปฏิบัติด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนโฉมห่วงโซ่อุปทาน การจัดการยานพาหนะ และการจัดการด้านลอจิสติกส์

สาระสำคัญในรายงาน APAC On the Move 2023 เป็นรายละเอียดการติดตามสินทรัพย์แบบ End-To-End และเผยให้เห็นการมองเห็นและติดตามสถานะการขนส่ง (Visibility Shipments) นั้นยังเป็นความท้าทายสำคัญของธุรกิจลอจิสติกส์มาตลอดสามปีตั้งแต่เกิดการระบาด บริษัทลอจิสติกส์ไทยตอบแบบสอบถามระบุว่าความท้าทายในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายในการติดตามและจัดการความเคลื่อนไหวของข้อมูลในห่วงโซ่อุปทานแบบเรียลไทม์ (Real-Time End-To-End Supply Chain Visibility) นอกเหนือจากจะมีแรงจูงใจในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานก็ตาม

อุตสาหกรรมลอจิสติกส์ของประเทศไทยกำลังเติบโต โดยในปี พ.ศ.  2566 เติบโตเป็นอันดับ 34 จาก 139 ประเทศ ในดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพลอจิสติกส์ (Logistics Performance Index หรือ LPI) ของธนาคารโลก[[i]]บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพและคุณภาพในบริการลอจิสติกส์ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งประเทศไทยยังคงรักษาอันดับผู้นำ โดยทำคะแนน LPI อยู่ใน 11 อันดับแรกของของประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับสูง (Upper-Middle-Income) ในปี พ.ศ. 2566 และยังอยู่ในอันดับต้นย้อนหลังไปสี่ปี ในปี พ.ศ. 2561, พ.ศ. 2559, พ.ศ.2557 และ พ.ศ. 2555[1] ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านลอจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง ประกอบกับความมุ่งมั่นของกระทรวงคมนาคมของประเทศไทยที่ตั้งเป้าพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านลอจิสติกส์สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สรุปสาระสำคัญจากการศึกษาของ HERE Technologies APAC On The Move 2023 มีดังนี้:

พันธมิตรเทคโนโลยีและการนำเทคโนโลยีไปใช้เป็นความท้าทายสำคัญ

มากกว่า 1 ใน 5 ของบริษัทในประเทศไทย (22%) ระบุว่าความท้าทายในการหาพันธมิตรและ/หรือซัพพลายเออร์ที่เหมาะสม และการคำนวณผลตอบแทนของการลงทุนเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการดำเนินการใช้เทคโนโลยี นอกจากนั้นต้นทุนก็ยังเป็นเรื่องต้องกังวล (17%) เช่นกัน

บริษัทลอจิสติกส์ในประเทศไทยต้องการโซลูชันพร้อมใช้ ติดตั้งง่ายค่าใช้จ่ายไม่สูง ใช้เวลาไม่นาน และไม่ต้องใช้ทีมงานจำนวนมากกับการยกเครื่องระบบใหม่ทั้งหมด จากการศึกษาของ HERE ความท้าทายในการผสานรวมซอฟต์แวร์เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ (20%) ต้นทุนของ Internet of Things -IoT สูง (15%) และการขาดบุคลากรที่มีทักษะเพื่อใช้และจัดการโซลูชันการติดตาม (14%) ล้วนเป็นอุปสรรคหลักในการติดตามสินทรัพย์ลอจิสติกส์และการตรวจสอบการจัดส่ง/สินค้า

บริษัทลอจิสติกส์ไทยยังพึ่งพาการติดตามแบบแมนนวล

การระบาดใหญ่ของโควิดเผยช่องโหว่ของการเข้าถึงและติดตามข้อมูลด้วยตนเองในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ประมาณ 50% ของบริษัทลอจิสติกส์ไทยกำลังใช้ซอฟต์แวร์การติดตามสินทรัพย์และตรวจสอบการจัดส่งร่วมกับการป้อนข้อมูลแบบแมนนวลสำหรับติดตามสินทรัพย์ การจัดส่ง และตู้สินค้า

กระบวนการแบบแมนนวลมีโอกาสทำให้เกิดช่องโหว่สูงและยังสร้างความเปราะบางภายในห่วงโซ่อุปทาน แสดงให้เห็นว่าบริษัทจำนวนมากยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น ในขณะที่โซลูชันการติดตามแบบเรียลไทม์และอัตโนมัติ มอบโอกาสในการเร่งสร้างนวัตกรรมและรับมือกับการหยุดชะงักได้ทันท่วงที

ใช้เทคโนโลยีระบุตำแหน่งเพื่อเพิ่มการมองเห็นและเพิ่มประสิทธิภาพ

องค์การอนามัยโลกจัดอันดับประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ติดอันดับ 9 ของโลก อุตสาหกรรมลอจิสติกส์ในประเทศไทยอาศัยภาคการขนส่งทางถนนเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของตลาดลอจิสติกส์ทั้งหมด[[ii]] ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่บริษัทลอจิสติกส์ไทยจะให้ความสำคัญกับการมองเห็นและติดตามข้อมูลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีระบุตำแหน่ง

รายงานเปิดเผยว่า 37% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการใช้เทคโนโลยีระบุตำแหน่งมีความจำเป็นต่อการเพิ่มความปลอดภัยของผู้ขับขี่ เป็นแรงจูงใจหลักสำหรับบริษัทต่าง ๆ ในการซื้อโซลูชันการติดตามทรัพย์สินด้านลอจิสติกส์ ขณะที่ 33% ระบุว่า ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการติดตามยานพาหนะแบบเรียลไทม์และการรายงานข้อมูล และอีก 30% ระบุว่าเทคโนโลนี้ยังมีความจำเป็นต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานขับรถและพนักงานซ่อมบำรุง

อุตสาหกรรมลอจิสติกส์ไทยมองเทคโนโลยีในอนาคตช่วยเพิ่มศักยภาพไปสู่การเป็น Logistics Hub

บริษัทลอจิสติกส์สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบด้วยการติดตามสถานะแบบเรียลไทม์และข้อมูลด้วยเทคโนโลยี IoT การศึกษายืนยันว่าบริษัทลอจิสติกส์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยใช้เทคโนโลยี IoT อยู่แล้ว โดยใช้ในแอปพลิเคชัน IoT สำหรับการจัดการสินค้าคงคลัง (20%) การจัดการยานพาหนะ (18%) และการจัดการห่วงโซ่อุปทานและการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (18%) เป็นที่นิยมมากที่สุดในบรรดาบริษัทลอจิสติกส์ของไทย

เมื่อมองไปในอนาคต พบว่าเกือบ 1 ใน 4 ของบริษัทลอจิสติกส์ในประเทศไทยกำลังวางแผนที่จะลงทุนในโดรน (41%) ปัญญาประดิษฐ์และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (32%) และบล็อกเชน (32%) เพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านลอจิสติกส์ เทคโนโลยีเหล่านี้ภาคธุรกิจลอจิสติกส์ระบุว่ามีประโยชน์ต่อการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน (36%) สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาด (34%) และเพิ่มรายได้ (32%)

 สารจากผู้เกี่ยวข้อง

    • นายโยชิคาซุ คุวามุระ หัวหน้าฝ่ายดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันภาคอุตสาหกรรม บริษัท Mitsubishi Corporation สาขาประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า “ดิจิทัลไลเซชันคือกุญแจสำคัญสำหรับจัดการกับความท้าทายพร้อมปลดล็อคประสิทธิภาพใหม่ ๆ ในซัพพลายเชนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามดิจิทัลไลเซชันเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอต่อการจัดการซัพพลายเชนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้การดำเนินงานคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การทำงานร่วมกันทั่วทั้งซัพพลายเชนถือเป็นสิ่งสำคัญ เราเชื่อมั่นว่าการติดตั้ง HERE ในระบบการทำงานจะช่วยผู้ประกอบการลอจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการระบุตำแหน่งอัจฉริยะและพัฒนาเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด รวมถึงวางกลยุทธ์บริหารจัดการความเสี่ยงและความไม่แน่นอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
    • นายวิเวก ไวยา ผู้นำลูกค้าระดับโลกด้านโมบิลิตี้ บริษัท ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิแวน จำกัด กล่าวว่า “ในแง่ของการติดตามทรัพย์สินและการตรวจสอบสินค้าระหว่างขนส่ง ธุรกิจซัพพลายเชนและลอจิสติกส์ในเอเชียแปซิฟิกมีการพัฒนาในระดับที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นแบบเรียลไทม์ ธุรกิจต่าง ๆ กำลังมองหาการลงทุนใน IoT, AI และโดรน ในทางกลับกัน หลายบริษัทยังพึ่งระบบแมนนวลเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน และบริษัทเหล่านั้นมีความพยายามที่จะก้าวข้ามไปสู่การใช้โซลูชันที่ทันสมัยขึ้น โดยภาพรวมแล้ว การตระหนักรู้ถึงความสามารถในการมองเห็นสินทรัพย์และยานพาหนะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมหาศาลหลังการแพร่ระบาด และยังมีทีท่าว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพ/โอกาสในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของผู้ให้บริการอย่าง HERE Technologies ในตลาดสำหรับทศวรรษถัดไป”
    • นายอาบิจิต เซนกุปตา ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายธุรกิจ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอินเดีย บริษัท HERE Technologies กล่าวว่า “ภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการเชื่อมธุรกิจและผู้บริโภคทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าไว้ด้วยกัน รายงานของเราเผยให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมากของตลาดลอจิสติกส์พร้อมกับศักยภาพการเติบโตที่ยังมีอีกมากรวมถึงนวัตกรรม เราเชื่อว่าเมื่อบริษัทใช้ Location Technology แพร่หลายมากขึ้น ย่อมนำไปสู่โอกาสในการเติบโตสำหรับภาคลอจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนระยะยาว และขยับไปสู่การเป็นลอจิสติกส์ฮับของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

อ่านรายงาน APAC On the Move ฉบับเต็มและข้อมูลของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้แล้วที่นี่

Siemens Accelerates Digital Transformation for Industry Showcasing Sustainability Innovations at ProPak Asia 2023

ซีเมนส์ ร่วมดัน Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีมุ่งเน้นความยั่งยืนระดับโลกมาจัดแสดงในงาน ProPak Asia 2023

Siemens Accelerates Digital Transformation for Industry Showcasing Sustainability Innovations at ProPak Asia 2023

Explore Siemens’ innovations at booth N21, Hall 99, Bangkok International Trade and Exhibition Center (BITEC)

    • Vertical Farming reshaping the food production industry towards sustainability.
    • Opcenter Advanced Planning and Scheduling (APS) Software enhances production efficiency and productivity, reduces machine downtime, and increases on time delivery.
    • Industrial 5G Wireless Network enables seamless communication between devices, sensors, and systems across both Information Technology and Operation Technology (OT) environments.

Siemens is committed to support digital transformation in the industry sector with sustainability technologies and innovations. In fiscal 2022, Siemens products and solutions helped enterprises around the globe avoid approximately 150 million tons of carbon emissions.

As the industry sector faces economic volatility, supply chain disruptions, and skilled labor shortage, the adoption of digital technologies is crucial for driving operations and ensuring a sustainable future in response to climate change.

The food and beverage industry is one of the key sectors facing production and environmental challenges due to the growing global population. Food production and packaging alone account for approximately 30% of the world’s greenhouse gas emissions(1) and consume about 70% of the world’s freshwater supply(2).

In Thailand, the food and beverage industry plays a critical role in the country’s overall economy. According to Statista’s data as of March 2023, the Manufacturing Production Index (MPI) ranks the food products sector of Thailand as the third highest (119.17 points), following the sectors of basic pharmaceutical products and pharmaceutical preparations (132.28 points), while machinery and industrial equipment rank first (142 points).

At ProPak Asia 2023, Siemens showcases cutting-edge solutions that accelerate digital transformation, enabling increased production speed, flexibility, and adaptability while minimizing resource consumption and environmental impact.

Join Siemens at ProPak Asia 2023 to experience the following highlights:

    • Vertical Farming: Revolutionization of food production towards sustainability by minimizing water usage (95% less water used compared to traditional farming), maximizing productivity (300x as much produce per square foot), reducing carbon footprint, and generating less waste. This solution operates on 100% renewable energy and eliminates the need for pesticides.
    • Opcenter Advanced Planning and Scheduling (APS) Software: The complexity of today’s production planning often leads to mistakes, which negatively impact productivity and timely delivery of goods. Opcenter APS Software streamlines the planning and scheduling process, resulting in increased productivity, reduced inventory, and improved ontime delivery. It can serve as the starting point for driving digital transformation within manufacturing organizations.
    • Industrial 5G wireless network: Specifically designed for industrial usethe solution provides high-speed, ultra reliability and ultra-low latency (as low as 1 millisecond), exceptional stability, and robust security to support a range of industrial applications, including for example mobile robots, autonomous logistics, and automated guided vehicles (AGVs). These solutions enable seamless communication among devices, sensors, and systems in both Information Technology (IT) and Operational Technology (OT) environments. This facilitates real-time data exchange and supports Machine-Type Communications (mMTC) capabilities, allowing for the deployment of a large number of IoT devices, further enhancing data collection and analysis.

Siemens has taken environmental, social, and governance (ESG) commitment to the next level with the sustainability framework called “DEGREE” which includes D- Decarbonization, E – Ethics, G – Governance, R – Resource, E- Equity and E- Employability covering all aspects of operations. The company is ready to actively contribute to driving Thailand’s industrial sector towards sustainability in line with the vision of Thailand 4.0 through the advancement of technology and innovation.