Alibaba Cloud เสริมแกร่งให้ลูกค้าและพันธมิตร ด้วยโมเดลขนาดใหญ่ที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว และโครงสร้างพื้นฐานสมรรถนะสูง

Alibaba Cloud เสริมแกร่งให้ลูกค้าและพันธมิตร ด้วยโมเดลขนาดใหญ่ที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว และโครงสร้างพื้นฐานสมรรถนะสูง

Alibaba Cloud เสริมแกร่งให้ลูกค้าและพันธมิตร ด้วยโมเดลขนาดใหญ่ที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว และโครงสร้างพื้นฐานสมรรถนะสูง

ร่วมมือกับ NVIDIA, XPENG, miHoYo, Atlas, Codium, UNESCO-ICHEI ขับเคลื่อนอนาคตของโมบิลิตี้ เกม การเดินทาง ไอที และการศึกษา

 

อาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศ ณ งาน Apsara Conference ซึ่งเป็นงานประจำปีครั้งสำคัญของบริษัทฯ ว่าทงอี้ (Tongyi) ซึ่งเป็นโมเดลโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ มีลูกค้าใช้งานมากกว่า 300,000 รายผ่าน ModelStudio ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม generative AI ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากจำนวนลูกค้า 90,000 รายเมื่อแรกเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม

Tongyi ซึ่งเป็นโมเดลขนาดใหญ่ของ Alibaba Cloud และโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ชั้นนำระดับโลกที่มีความสามารถในการสเกลของบริษัทฯ ช่วยให้ธุรกิจในแวดวงยานยนต์ เกม การท่องเที่ยว และไอที สามารถมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้ลูกค้า และสามารถพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Alibaba Cloud ยังได้ประกาศความร่วมมือกับศูนย์นวัตกรรมการศึกษาระดับอุดมศึกษานานาชาติ ภายใต้การสนับสนุนขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO-ICHEI) เพื่อมอบความรู้และคุณประโยชน์ของ generative AI ให้กับสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ผ่านโครงการอบรมดิจิทัลมากมาย

นายจิงเหริน โซว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ย้ำให้เห็นถึงความทุ่มเทของเราในการมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้ลูกค้า และการส่งเสริมประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ ให้กับองค์กร ผ่านโซลูชันล้ำสมัยมากมาย เรารวมพลังกับพันธมิตรเพื่อเป็นกำลังเสริมให้ธุรกิจและบุคคลได้ใช้ประโยชน์จาก generative AI ได้มากขึ้น ผ่านการอบรมดิจิทัล และการเข้าใช้โซลูชันคลาวด์ที่หลากหลาย”

ขับเคลื่อนอนาคตของโมบิลิตี้ และส่วนสำหรับผู้ขับขี่อัจฉริยะ ด้วย LLMs บน NVIDIA

Alibaba Cloud เปิดตัวโซลูชันโมเดลขนาดใหญ่ที่มีความสามารถหลายประการ (large multimodal model: LMM) ออกแบบมาสำหรับแอปพลิเคชันด้านยานยนต์ โซลูชันนี้เป็นการพัฒนาร่วมกันของ NVIDIA และ Banma ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันสำหรับส่วนของผู้ขับขี่ยานยนต์ (cockpit) อัจฉริยะของอาลีบาบา โซลูชันนี้จะให้บริการแก่ผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เจ้าของยานยนต์ได้สัมผัสกับประสบการณ์เชิงโต้ตอบได้มากขึ้น และเป็นการกำหนดนิยามใหม่ให้แก่การเดินทางที่ขับเคลื่อนอย่างชาญฉลาด

ความร่วมมือนี้เป็นการนำพอร์ตโฟลิโอ Qwen ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Alibaba Cloud ประกอบด้วย โมเดลภาษา Qwen2-7B และ โมเดลภาษาภาพ Qwen2-VL ไปผสานรวมเข้ากับแพลตฟอร์ม NVIDIA DRIVE AGX Orin™ เพื่อใช้งานด้านยานยนต์อัตโนมัติ นอกจากนี้ เทคโนโลยีเร่งความเร็วโมเดลของ NVIDIA ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการคำนวณลงอย่างมาก และลดเวลาในการตอบสนองของงานประมวลผลแบบเรียลไทม์ที่ซับซ้อนของโมเดลต่าง ๆ ของ Alibaba Cloud เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะได้สัมผัสประสบการณ์การขับเคลื่อนอัจฉริยะอย่างไร้อุปสรรค

ความร่วมมือนี้นับเป็นการบูรณาการโมเดลขนาดใหญ่ของอาลีบาบา เข้ากับแพลตฟอร์มยานยนต์ของ NVIDIA เป็นครั้งแรก ความสามารถที่ล้ำหน้าของ Owen ในการรับมือกับคำถามที่ซับซ้อน และการประมวลผลภาพที่ชาญฉลาด จะทำให้ระบบเสียงผู้ช่วยในรถยนต์ (in-car voice assistants) สามารถโต้ตอบการสนทนาไปมาได้อย่างไดนามิก สามารถให้คำแนะนำต่าง ๆ ตั้งแต่การให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่สำคัญที่อยู่ใกล้ ๆ ไปจนถึงการแนะนำเชิงรุก เช่น แนะนำให้เปิดไฟหน้ารถในช่วงที่หิมะตก 

Mobile Agent ของ Alibaba Cloud ซึ่งเป็น multimodal AI agent สำหรับอุปกรณ์ edge และเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชัน LMM นี้ จะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับระบบเสียงผู้ช่วยในรถยนต์ Mobile Agent มีจุดแข็งที่โดดเด่นด้านการวางแผนงานที่ซับซ้อน สามารถสังเกตและวิเคราะห์ตนเอง และทำการตัดสินใจ ดังนั้นขณะอยู่ในรถยนต์ ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่น่าทึ่งและสนุกสนาน เช่น ใช้คำสั่งเสียงสั่งมิลค์เชคผ่านแอปส่งอาหาร เป็นต้น

ในอนาคต Alibaba Cloud วางแผนทำงานร่วมกับ NVIDIA ในการใช้โมเดล Owen กับ NVIDIA DRIVE Thor ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มประมวลผลรถยนต์แบบรวมศูนย์รุ่นใหม่ของ NVIDIA แพลตฟอร์มนี้รวมเอาระบบผู้ช่วยเหลือในการขับขี่ขั้นสูง การขับขี่อัตโนมัติ และความสามารถของ AI cockpit ไว้ด้วยกันบนระบบที่ปลอดภัยเพียงระบบเดียว

ร่วมมือกับ XPENG เพิ่มประสบการณ์อัจฉริยะให้กับส่วนของผู้ขับขี่

XPENG บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของจีน ใช้โมเดล AI และสมรรถนะด้านการประมวลผลคลาวด์ที่แข็งแกร่งของ Alibaba Cloud ในการปรับโฉมส่วนผู้ขับขี่อัจฉริยะและสร้างประสบการณ์การขับขี่อัตโนมัติ

XPENG นำ Owen ของ Alibaba Cloud ไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ Xiao P ซึ่งเป็นระบบเสียงผู้ช่วย AI ของบริษัทฯ เพื่อมอบประสบการณ์ในส่วนของผู้ขับขี่ที่ชาญฉลาดมากขึ้น ระบบเสียงผู้ช่วยที่ใช้ LLM นี้ สามารถเข้าใจบริบทการสนทนาที่ซับซ้อน และเข้าใจความตั้งใจต่าง ๆ ของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องใช้คำแนะนำเฉพาะทางใด ๆ ทั้งยังสามารถโต้ตอบกับคนขับและผู้โดยสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น เมื่อคนขับหรือผู้โดยสารเพียงพูดว่า “ในรถหนาว” ระบบเสียงผู้ช่วยจะปรับอุณหภูมิของรถให้โดยอัตโนมัติ

นอกจาก XPENG จะใช้ Owen กับส่วนผู้ขับขี่อัจฉริยะแล้ว ยังร่วมกับ Alibaba Cloud ทำการผสานรวมโมเดลขนาดใหญ่ต่าง ๆ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอื่น ๆ อีกหลากหลาย เช่น ผู้ใช้สามารถออกแบบสติกเกอร์ตามต้องการเพื่อตกแต่งภายนอกรถของตนได้ ผ่านทางโมบายแอปของ XPENG ด้วยการใช้ ทงอี้ ว่านเซี่ยง (Tongyi Wanxiang) ซึ่งเป็นโมเดลแปลงข้อความเป็นรูปภาพ (text-to-image model) ของ Alibaba Cloud นอกจากนี้ XPENG กำลังพิจารณาใช้ ทงอี้ หลิงมา (Tongyi Lingma) ของ Alibaba Cloud ซึ่งเป็นผู้ช่วยเขียนโค้ด AI ที่มี Owen เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ๆ

Alibaba Cloud ยังได้นำเสนอทรัพยากรประมวลผลทรงประสิทธิภาพแก่ XPENG เพื่อช่วยเร่งการเทรนโมเดลขนาดใหญ่สำหรับการขับขี่อัตโนมัติของบริษัทฯ

เสริมประสบการณ์การเล่นเกมที่สมจริงและสเกลได้ให้กับ miHoYo  

ในฐานะพันธมิตรระยะยาว Alibaba Cloud ให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของบริษัทฯ แก่ miHoYo ในการเปิดตัวเกมล่าสุด Zenless Zone Zero ซึ่งเป็นเกมแนวแฟนตาซีรูปแบบ ARPG ที่มีการลงทะเบียนช่วง pre-beta เกือบ 50 ล้านครั้ง จึงต้องการระบบที่เสถียรและสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่ใช้ลงทะเบียนเกมได้อย่างราบรื่น

โครงสร้างพื้นฐานและชุดผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมของ Alibaba Cloud ช่วยให้ Zenless Zone Zero จัดการความท้าทายต่าง ๆ ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่สูง การประมวลผลข้อมูลเกมจำนวนมาก และความต้องการแพลตฟอร์มที่เสถียรจริง ๆ รวมถึงให้ผู้เล่นเกมที่เข้าสู่ระบบพร้อมกันในวันเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้ เกมนี้มียอดดาวน์โหลดถึง 50 ล้านครั้ง ภายในสัปดาห์แรกของการเปิดตัว

ลงหลักปักฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Atlas ผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านการเดินทางแบบ B2B ที่ทันสมัยในประเทศสิงคโปร์ ใช้โครงสร้างพื้นฐาน แมชชีเลิร์นนิ่ง และ นวัตกรรมสถาปัตยกรรม AI ของ Alibaba Cloud รองรับการให้บริการตัวแทนขายทั่วโลก และสายการบินราคาประหยัด 150 แห่งจากทั่วโลก นอกจากนี้ Atlas ยังใช้ LLM Qwen และแพลตฟอร์ม Model Studio ของ Alibaba Cloud สนับสนุนดิจิทัลแชทบอทอีกด้วย เพื่อให้การช่วยเหลือลูกค้าได้ตลอดเวลา ตอบคำถามของพันธมิตรเกี่ยวกับขั้นตอนการจองการเดินทางและตัวเลือกการชำระเงิน

ตั้งแต่ร่วมมือกับ Alibaba Cloud ในปี 2564 Atlas สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง 45% และ Alibaba Cloud ได้สนับสนุนให้ Atlas เปลี่ยนจากการเป็นสตาร์ทอัพรายหนึ่งในสิงคโปร์ เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรม ปฏิวัติการเดินทางด้วยสายการบินราคาประหยัดด้วยแพลตฟอร์มการเดินทางที่เป็นนวัตกรรมของ Atlas

นอกจากนี้ บริษัท โคเดียม จำกัด (Codium) ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่โดดเด่นในประเทศไทย เชี่ยวชาญด้านโซลูชันสำหรับสถานที่ทำงานดิจิทัล ได้ร่วมมือกับ Alibaba Cloud เพื่อนำโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่สเกลได้ของบริษัทฯ และโซลูชันที่เชื่อถือได้ต่าง ๆ ไปใช้ ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจในประเทศไทย และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบนิเวศตลาดคลาวด์ของไทย ด้วยการนำเสนอบริการคลาวด์ที่เข้าถึงได้ และให้การสนับสนุนช่วยเหลือจากภายในประเทศ รวมถึงการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญให้กับลูกค้าไทย 

ส่งเสริมอนาคตทางการศึกษาร่วมกับ UNESCO

ในระหว่าง Apsara Conference 2024 นี้ Alibaba Cloud ได้ลงนามข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับ UNESCO-ICHEI เพื่อเปิดตัวโปรแกรมออนไลน์ GenAI และ Cloud Micro-Certification สำหรับผู้เรียนทั่วโลก

เป้าหมายของโปรแกรมนี้คือนักการศึกษาและนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา รวมถึงมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยทั่วเอเชียและแอฟริกา โปรแกรมนี้มี 6 หลักสูตร ที่ออกแบบมาเพื่อมอบความรู้ขั้นพื้นฐาน การใช้ generative AI และเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง ผ่านกราฟิกที่เข้าใจง่าย และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการผสานรวม generative AI เข้ากับกิจกรรมการสอน เพื่อทำให้การเรียนรู้เต็มไปด้วยการมีส่วนร่วม ตรงตามความต้องการเฉพาะตัว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อนักการศึกษาและนักศึกษาจบการเรียนแต่ละหลักสูตร ก็สามารถสอบเพื่อรับใบรับรองระดับไมโคร ที่ออกให้ร่วมกันโดย UNESCO-ICHEI และ Alibaba Cloud  ทั้งนี้ได้มีการทยอยเปิดตัวโครงการนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับนักการศึกษาและนักศึกษาประมาณ 12,000 รายทั่วโลกภายในสิ้นปี 2568

Alibaba Cloud Unveils New AI Models and Revamped Infrastructure for AI Computing

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรองรับการประมวลผลด้วย AI

Alibaba Cloud Unveils New AI Models and Revamped Infrastructure for AI Computing

  • Cloud Leader Unveils 100 Open-sourced Qwen 2.5 Multimodal Models and New Text-to-Video AI Model to Bring Visual Creations to a Higher Level
  • Revamped Cloud Infrastructure is Introduced to Maximize Values for Customers

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, today announced it has released over 100 of its newly-launched large language models, Qwen 2.5, to the global open-source community. This significant contribution was revealed at the Apsara Conference, its annual flagship event.

In addition, Alibaba Cloud has unveiled a revamped full-stack infrastructure designed to meet the growing demands for robust AI computing. This new infrastructure includes innovative cloud products and services that enhance computing, networking, and data center architecture, all aimed at supporting the thriving development and wide-range applications of AI models.

“Alibaba Cloud is investing, with unprecedented intensity, in the research and development of AI technology and the building of its global infrastructure. We aim to establish an AI infrastructure of the future to serve our global customers and unlock their business potential,” said Eddie Wu, Chairman and Chief Executive Officer of Alibaba Cloud Intelligence.

100 Open-sourced Models Unveiled

The newly released open-source Qwen 2.5 models, ranging from 0.5 to 72 billion parameters in size, feature enhanced knowledge and stronger capabilities in math and coding and are able to support over 29 languages, catering to a wide array of AI applications both at the edge or in the cloud across various sectors from automobile, gaming to science research.

The Qwen model series, Alibaba Cloud’s portfolio of proprietary large language models, has achieved remarkable traction since its debut in April 2023. To date, the Qwen models have surpassed 40 million downloads across platforms such as Hugging Face and ModelScope, an open-source community initiative by Alibaba. Furthermore, these models have inspired the creation of over 50,000 models on Hugging Face.

The Qwen 2.5 release will see over 100 models being made open-source. This extensive range includes base models, instruct models, and quantized models of various precision levels and methods, spanning different modalities such as language, audio, and vision, along with specialized code and mathematical models.

“Today marks a significant milestone as we launch our most expansive open-source initiative to date,” said Jingren Zhou, Chief Technology Officer of Alibaba Cloud Intelligence. “This initiative is set to empower developers and corporations of all sizes, enhancing their ability to leverage AI technologies and further stimulating the growth of the open-source community. We remain committed to investing in advanced AI infrastructure to foster the widespread adoption of generative AI technologies across different industries.”

Alibaba Cloud also announced an upgrade to its proprietary flagship model Qwen-Max. The enhanced Qwen-Max model demonstrates performance on par with other state-of-the-art models in areas such as language comprehension and reasoning, math, and coding.

Qwen2.5-Max demonstrates strong performance in various areas such as math and coding compared with
other state-of-the-art models.

Expanding the Frontier in Multimodal

In addition to its extensive suite of large language models, Alibaba Cloud also unveiled a new text-to-video model as part of its image generator, Tongyi Wanxiang large model family. The new model is capable of generating high-quality videos in a wide variety of visual styles from realistic scenes to 3D animation. The model can generate videos based on Chinese and English text instruction and transform static images into dynamic videos. The model features advanced diffusion transformer (DiT) architecture to enhance video reconstruction quality.

The cloud leader is also deploying a significant update to its vision language model with the introduction of Qwen2-VL, capable of comprehending videos lasting over 20 minutes and support video-based question-answering. Equipped with sophisticated reasoning and decision-making capabilities, Qwen2-VL is designed for integration into mobile phones, automobiles and robots, facilitating the automation of specific operations.

For computer programming, Alibaba Cloud has also launched an AI Developer, a Qwen-powered AI assistant designed to support programmers automate tasks such as requirement analysis, code programming and identifying and fixing software bugs. This enables developers to concentrate more on essential duties and further their skills. 

A Full-Stack AI Infrastructure Upgrade

The cloud pioneer has also announced a slew of innovative updates to its full-stack AI infrastructure covering green datacenter architecture, data management, model training and inferencing:

  • Next-Gen Data Center Architecture for Surging AI Development: To meet the increasing and diverse demand for high-performance computing power driven by the global AI boom, Alibaba Cloud has revealed its next-generation data center architecture, CUBE DC 5.0. The new CUBE architecture increases energy and operational efficiency with a set of advanced and proprietary technologies such as wind-liquid hybrid cooling system, all-direct current power distribution architecture and smart management system and reduces deployment times by up to 50% compared to traditional data center builds through prefabricated modular designs.
  • Open Lake Solution to Maximize Data Utility: As organizations face challenges in managing vast amounts of data amidst the growing demand for generative AI, Alibaba Cloud introduces Alibaba Cloud Open Lake which can seamlessly integrate big data engines into a unified solution, maximizing data utility especially for generative AI applications. By integrating workflows, performance optimization, and robust governance in a single platform, it achieves efficient resource usage through compute-storage separation, clear data governance, and significant cost and time savings.
  • AI Scheduler with Integrated Model Training and Inference: Alibaba Cloud has launched PAI AI Scheduler with integrated model training and inference, a proprietary cloud-native scheduling engine designed to enhance computing resource management. Through utilizing intelligent integration of diverse computing resources, flexible resource scheduling, real-time tasks adjustments, and automatic fault recovery, it can achieve over 90% of effective compute utilization rate.
  • DMS for Unified Management of Metadata: To help organizations efficiently manage their data and unleash values, Alibaba Cloud introduced DMS: OneMeta+OneOps, a platform that enables a unified management of over 40 types of data sources in database, data warehouse, and data lake across multiple cloud environments. The platform will boost data utilization rate by 10 times, significantly enhancing the efficiency of transforming data into valuable intelligence.
  • More Powerful Elastic Compute Service: Alibaba Cloud also introduced the 9th Generation Enterprise Elastic Compute Service (ECS) instance during the conference. The latest generation of ECS instances has notable performance enhancements, including a 30% increase in search recommendation speed and a 17% improvement in the effectiveness of reading and writing Queries Per Second (QPS) when applying to database products compared to the previous generation.

These updates are designed to provide more comprehensive support for customers and partners to maximize the benefits of the latest technology has to offer for building even more efficient, sustainable and inclusive AI applications.

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรองรับการประมวลผลด้วย AI

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรองรับการประมวลผลด้วย AI

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรองรับการประมวลผลด้วย AI

  • เปิดตัว Open-sourced Qwen 2.5 Multimodal 100 โมเดล และเปิดตัวโมเดล AI แปลงข้อความเป็นวิดีโอ (Text-to-Video AI Model) ใหม่ เพื่อยกระดับงานการสร้างสรรค์รูปภาพ
  • มอบคุณประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้าด้วยโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ปรับโฉมใหม่

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศ ณ งาน Apsara Conference ซึ่งเป็นงานประชุมประจำปีครั้งสำคัญของบริษัทฯ ว่าได้นำเสนอ Owen 2.5 ซึ่งเป็นโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ของบริษัทฯ ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด มากกว่า 100 โมเดลให้กับชุมชนโอเพ่นซอร์สทั่วโลก

นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้เปิดตัวโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสร้าง ทดสอบ และการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ (full-stack infrastructure) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการการประมวลผลที่ทรงพลังเพื่อใช้กับ AI ที่เพิ่มมากขึ้น โดยโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์และบริการคลาวด์ล้ำหน้า ที่ช่วยให้การประมวลผล เครือข่าย และสถาปัตยกรรมศูนย์ข้อมูลมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยมีจุดหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และการใช้โมเดล AI ต่าง ๆ ได้ในวงกว้าง

นายเอ็ดดี้ วู ประธานและซีอีโอของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “อาลีบาบา คลาวด์ ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของบริษัทฯ อย่างจริงจังในครั้งนี้ ด้วยเรามุ่งมั่นสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI แห่งอนาคต เพื่อให้บริการลูกค้าทั่วโลก และให้ลูกค้าของเราได้พบกับโอกาสทางธุรกิจอย่างไม่มีข้อจำกัด”

เผยโมเดลโอเพ่นซอร์ส 100 โมเดล

โมเดลโอเพ่นซอร์สต่าง ๆ ของ Owen 2.5 ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ มีพารามิเตอร์ตั้งแต่ขนาด 0.5 ถึง 72 พันล้านพารามิเตอร์ มีความรอบรู้มากขึ้น มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ดอย่างมาก สามารถรองรับได้มากกว่า 29 ภาษา รองรับการใช้ AI ได้หลากหลายทั้งการใช้งานที่ edge หรือบนคลาวด์ ในทุกแวดวง ไม่ว่าจะเป็นวงการยานยนต์ วงการเกม ไปจนถึงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

ซีรีส์โมเดล Owen ซึ่งเป็นพอร์ตโฟลิโอของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่เป็นเอกสิทธิ์ของอาลีบาบา คลาวด์ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2566 ปัจจุบัน ยอดดาวน์โหลดโมเดลต่าง ๆ ของ Owen ทะลุ 40 ล้านครั้ง จากทุกแพลตฟอร์ม เช่น Hugging Face และ ModelScope ซึ่งเป็นชุมชนโอเพ่นซอร์สที่ตั้งขึ้นโดยอาลีบาบา ยิ่งไปกว่านั้นโมเดลเหล่านี้ยังเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์โมเดลต่าง ๆ มากกว่า 50,000 รายการบน Hugging Face

Owen 2.5 จะโอเพ่นซอร์สโมเดลมากกว่า 100 รายการ กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ประกอบด้วย โมเดลพื้นฐาน (base models) โมเดลคำสั่ง (instruct models) และโมเดลเชิงปริมาณ (quantized models) ที่มีระดับความแม่นยำและวิธีการหลากหลาย ครอบคลุมการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาษา เสียง และ ภาพ พร้อมด้วยโค้ดเฉพาะทางและโมเดลทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ

นายจิงเหริน โซว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “นับเป็นก้าวสำคัญของเราที่ได้เปิดตัวสิ่งที่เป็นการสร้างสรรค์ด้านโอเพ่นซอร์สที่กว้างขวางมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมศักยภาพให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์และองค์กรทุกขนาด ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้มากขึ้น และกระตุ้นการเติบโตให้กับชุมชนโอเพ่นซอร์ส  เรายังคงให้คำมั่นที่จะลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ล้ำหน้า เพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมหลากหลายสามารถนำเทคโนโลยี generative AI ไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง”

อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้ประกาศว่าได้อัปเกรด Qwen-Max ซึ่งเป็นโมเดลเรือธงที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ โมเดล Qwen-Max ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ทัดเทียมกันกับโมเดลที่ล้ำสมัยอื่น ๆ ในด้านต่าง ๆ เช่น ความเข้าใจภาษาและการใช้เหตุผล คณิตศาสตร์ และการเขียนโค้ด

Qwen2.5-Max แสดงให้เห็นถึงความทรงประสิทธิภาพในงานด้านต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์และการเขียนโค้ดเมื่อเทียบกับโมเดลล้ำสมัยรุ่นอื่น ๆ

ขยายขอบเขตความสามารถหลายรูปแบบ

นอกจากชุดโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่แพร่หลายแล้ว อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้เปิดตัวโมเดลที่สามารถแปลงข้อความเป็นวิดีโอ (text-to-video) ใหม่ให้เป็นส่วนหนึ่งของโมเดลการสร้างรูปภาพในตระกูลทงอี้ ว่านเซี่ยง (Tongyi Wanxiang) โมเดลใหม่นี้สามารถสร้างวิดีโอคุณภาพสูงในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฉากสมจริง ไปจนถึงภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ (3D animation) ทั้งยังสามารถสร้างวิดีโอจากคำสั่งที่เป็นข้อความภาษาจีนและภาษาอังกฤษ และแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหว โมเดลนี้มีสถาปัตยกรรม diffusion transformer (DiT) ขั้นสูงเพื่อเพิ่มคุณภาพให้กับการสร้างวิดีโอใหม่

บริษัทฯ ยังกำลังทำการอัปเดตโมเดลภาษาภาพ (vision language model) ครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดตัว Owen2-VL ซึ่งสามารถเข้าใจวิดีโอที่มีความยาวมากกว่า 20 นาที และสามารถตอบคำถามผ่านวิดีโอได้ Owen2-VL มาพร้อมความสามารถในการใช้เหตุผลและการตัดสินใจที่ซับซ้อน ได้รับการออกแบบมาสำหรับใช้ได้ทั้งกับโทรศัพท์มือถือ ยานยนต์ และ หุ่นยนต์ ช่วยให้การทำงานเฉพาะทางเป็นไปโดยอัตโนมัติ

อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้เปิดตัว AI Developer ซึ่งเป็นผู้ช่วยด้าน AI ที่มี Qwen เป็นเทคโนโลยีหลักอยู่เบื้องหลัง ออกแบบมาสำหรับการเขียนโปรแกรม โดยสนับสนุนการทำงานแบบอัตโนมัติให้กับโปรแกรมเมอร์ เช่น การวิเคราะห์ความต้องการ การเขียนโปรแกรมโค้ด การระบุจุดบกพร่องของซอฟต์แวร์และทำการแก้ไข ความสามารถเหล่านี้ช่วยเพิ่มทักษะให้นักพัฒนา และช่วยให้มุ่งความสนใจกับงานสำคัญอื่น ๆ ได้มากขึ้น

การอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบฟูลสแตก

อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้ประกาศการอัปเดตใหม่ ๆ จำนวนมากให้กับโครงสร้างพื้นฐาน AI แบบฟลูแสตก ครอบคลุมถึง สถาปัตยกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการข้อมูล การเทรนและการอนุมานโมเดล ดังนี้

  • สถาปัตยกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่รองรับความต้องการการพัฒนา AI ที่กำลังพุ่งสูงขึ้น: อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว CUBE DC 5.0 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมดาต้าเซ็นเตอร์รุ่นใหม่ของบริษัทฯ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและความหลากหลายของการประมวลผลสมรรถนะสูงที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI ทั่วโลก สถาปัตยกรรม CUBE ใหม่นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและการดำเนินงาน ด้วยชุดเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ เช่น ระบบระบายความร้อนแบบไฮบริดด้วยลมและของเหลว (wind-liquid hybrid cooling system) สถาปัตยกรรมกระจายพลังงานกระแสตรงทั้งหมด (all-direct current power distribution architecture) และระบบบริหารจัดการอัจฉริยะ รวมถึงลดเวลาในการนำไปใช้ได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมที่สร้างด้วยการออกแบบแบบแยกส่วนแล้วนำมาประกอบกัน (prefabricated modular)
  • โซลูชัน Open Lake เพื่อใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์สูงสุด: การที่องค์กรต่าง ๆ เผชิญความท้าทายด้านการบริหารจัดการข้อมูลมหาศาลท่ามกลางการความต้องการด้าน generative AI ที่เพิ่มมากขึ้น อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Alibaba Cloud Open Lake ซึ่งสามารถบูรณาการเอนจิ้นบิ๊กดาต้าไปยัง
    โซลูชันครบวงจรหนึ่ง ๆ ได้อย่างราบรื่น จึงใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้งานกับ generative AI การผสานรวมเวิร์กโฟลว์ ประสิทธิภาพการทำงานที่มากขึ้น และการกำกับดูแลที่รัดกุมไว้บนแพลตฟอร์มเดียว ทำให้ใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยคอมพิวสตอเรจที่แยกกัน การกำกับดูแลข้อมูลที่ชัดเจน และประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาได้อย่างมาก
  • AI Scheduler พร้อมการเทรนและอนุมานโมเดลแบบองค์รวม: อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว PAI AI Scheduler ที่มาพร้อมการเทรนและอนุมานโมเดลแบบบูรณาการ ซึ่งเป็นเอนจิ้นการจัดกำหนดการแบบคลาวด์-เนทีฟที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรการประมวลผล การผสานรวมทรัพยากรการประมวลผลหลากหลาย การจัดการการกำหนดทรัพยากรที่ยืดหยุ่น การปรับเปลี่ยนงานได้แบบเรียลไทม์ และการกู้คืนข้อผิดพลาดอัตโนมัติ ไว้ด้วยกันอย่างชาญฉลาด ทำให้สามารถบรรลุอัตราการใช้ประโยชน์การประมวลผลที่มีประสิทธิภาพได้มากกว่า 90%
  • DMS สำหรับการบริหารจัดการเมตาดาต้าแบบองค์รวม: อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว DMS: OneMeta+OneOps ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้บริหารจัดการแหล่งข้อมูลมากกว่า 40 ประเภทที่อยู่ในฐานข้อมูล คลังข้อมูล และดาต้าเล้ก บนสภาพแวดล้อมคลาวด์หลายแห่งได้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อช่วยองค์กรบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ใช้คุณประโยชน์ของข้อมูลเหล่านั้น แพลตฟอร์มนี้จะเพิ่มความเร็วในการใช้ข้อมูลได้ 10 เท่า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเปลี่ยนข้อมูลให้กลายเป็นความชาญฉลาดที่มีคุณค่าและองค์กรนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • บริการการประมวลผลแบบยืดหยุ่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น: อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวอินสแตนซ์ Elastic Compute Service (ECS) สำหรับองค์กรเป็นรุ่นที่ 9 โดยอินสแตนซ์ ECS รุ่นล่าสุดนี้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างโดดเด่น ซึ่งรวมถึงเพิ่มความเร็วในการแนะนำการค้นหา 30% และเพิ่มประสิทธิภาพการอ่านและเขียน Queries Per Second (QPS) 17% เมื่อใช้กับผลิตภัณฑ์ด้านฐานข้อมูลต่าง ๆ เทียบกับรุ่นก่อนหน้า

การอัปเดตเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้การสนับสนุนที่ครบวงจรแก่ลูกค้าและพันธมิตร เพื่อให้ลูกค้าและพันธมิตรได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีล่าสุดที่ใช้ในการสร้างแอปพลิเคชัน AI ทรงประสิทธิภาพ อย่างยั่งยืน และครอบคลุมมากขึ้น

Ericsson Thailand launches 5G Innovation & Experience Studio at Thailand Digital Valley

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

Ericsson Thailand launches 5G Innovation & Experience Studio at Thailand Digital Valley

  • Ericsson’s latest 5G Innovation and Experience Studio in Thailand Digital Valley (TDV) will lay the foundation for new 5G use cases jointly developed with partners and ecosystem players
  • Set up in collaboration with the Royal Thai Government through the Digital Economy Promotion Agency (depa) the Studio is a hub for innovation and co-creation, and part of Ericsson’s commitment to help Thailand unleash the power of 5G 
  • The Company is open to collaboration with key stakeholders in the ecosystem, including partners, end-users and academia to develop new 5G use cases for industries and to accelerate Thailand’s transition to a digital economy

Ericsson (NASDAQ: ERIC) Thailand today officially inaugurated its 5G Innovation & Experience Studio at Thailand Digital Valley in Sri Racha, Chonburi, as part of its commitment to accelerating the digital transformation of Thailand, based on the strong 5G infrastructure it is driving in the country.

Leveraging its state-of-the-art 5G network solutions, together with its extensive experience and expertise in establishing efficient, reliable, and sustainable 5G networks worldwide, Ericsson is well poised to play a pivotal role in accelerating Thailand’s journey towards becoming a digital economy.

A cornerstone of Ericsson’s plans for Thailand is the newly completed 5G Innovation and Experience Studio that has been set up in collaboration with the Royal Thai Government through the Digital Economy Promotion Agency (depa).

The lab is designed to serve as a 5G co-creation space, featuring Ericsson’s state-of-the-art 5G sandbox network. It will be utilized to develop, test, verify, and certify new 5G use cases in collaboration with partners from around Thailand and the globe.

The innovation lab showcases several cutting-edge 5G use cases, including Automated Mobile Robots (AMR), an Automated Production Machine in collaboration with Mitsubishi, and 360-degree wearable CCTV cameras. These innovations demonstrate the transformative potential of 5G technology in various industries that can enable Thailand to be competitive on a global stage.

Anders Rian, President of Ericsson Thailand states, “5G is a platform for innovation. It enables new services for consumers, enterprises and industry. In line with the Thai government’s ambition to digitize the national economy and society, Ericsson Thailand is  committed to fostering partnerships and innovations to ensure that Thailand reaps the full benefits of a robust and sustainable 5G network. By working together with mobile operators and other eco system players, we will drive digital transformation that will benefit the Thai people, the economy, and the country.”

“Ericsson Thailand is open for further collaboration with key stakeholders in the ecosystem from both public and private sectors, including partners, end-users, academia, and others, to develop new 5G use cases for industries.”

According to the just released Ericsson Mobility Report, 5G subscriptions in the Southeast Asia and Oceania region, are predicted to reach around 560 million by the end of 2029. 5G subscriptions in Southeast Asia stood at 61 million at the end of 2023. The 5G subscriber base in the region continues to grow as subscribers migrate to 5G, driven by more affordable 5G devices, promotional plans and large data bundles from service providers. At the end of 2029, 5G mobile subscriptions are expected to reach 43% of all mobile subscriptions in the region. Data traffic per smartphone user in Southeast Asia is expected to grow from 17GB/month in 2023 to 42 GB/month by 2029.

5G is expected to become the dominant mobile access technology by subscription before the end of 2029.Although 5G population coverage is growing, 5G mid-band is only deployed in around 25 percent of all sites globally outside of mainland China. The 5G mid-band spectrum provides a sweet spot between both coverage and capacity, while improving user experience.

The June 2024 Ericsson Mobility Report shows continued strong uptake of 5G subscriptions. About 300 CSPs globally now offer 5G services, of which about 50 have launched 5G Standalone (5G SA).5G continues to grow in all regions and is expected to account for about 60 percent of all mobile subscriptions by the end of 2029. Ericsson is a global leader in 5G and currently powers 166 5G networks in 69 countries across the globe.

The latest report from business consulting firm Frost & Sullivan reaffirms Ericsson’s leadership in the 5G network infrastructure market, which spans radio access networks (RAN), transport networks, and core networks. Ericsson has been ranked as the leader in the Frost Radar™ 5G Network Infrastructure Market 2024 analysis for the fourth consecutive year, highlighting the impact of the company’s strategy to meet the evolving needs of communications service providers (CSPs).

 

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

  • 5G Innovation and Experience Studio ของอีริคสัน ในโครงการ Thailand Digital Valley ที่เปิดตัวล่าสุดนี้จะช่วยวางรากฐานสำคัญให้กับการพัฒนายูสเคส 5G ใหม่ ๆ ที่ร่วมพัฒนาขึ้นกับพันธมิตรและทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ
  • สตูดิโอแห่งนี้เป็นความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ผ่านสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) จัดสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางความร่วมมือเพื่อการพัฒนานวัตกรรมและเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของอีริคสันเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยขุมพลัง 5G  
  • บริษัทฯ ยังเปิดกว้างด้านความร่วมมือกับผู้มีส่วนร่วมสำคัญในระบบนิเวศ ประกอบด้วย พันธมิตร ผู้ใช้งานและสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนายูสเคส 5G ใหม่ ๆ สำหรับภาคอุตสาหกรรม และเร่งการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทั

บริษัท อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio อย่างเป็นทางการ ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Thailand Digital Valley อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยสตูดิโอแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทย ภายใต้โครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่มีความแข็งแกร่งและกำลังพัฒนายิ่งขึ้นในประเทศไทย

ด้วยการใช้ประสิทธิภาพจากโซลูชันเครือข่าย 5G ที่ทันสมัย ผนวกเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสร้างเครือข่าย 5G ที่มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้และยั่งยืนทั่วโลก ทำให้อีริคสันพร้อมมีบทบาทสำคัญเพื่อเร่งเดินหน้าประเทศไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล

การจัดตั้ง 5G Innovation and Experience Studio ที่เพิ่งสร้างเสร็จนี้ คือ หมุดหมายสำคัญในแผนงานของอีริคสันเพื่อประเทศไทย โดยเป็นความร่วมมือกับรัฐบาลไทยผ่านทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)

ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นพื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรม 5G ร่วมกัน โดยใช้เครือข่ายแซนด์บ็อกซ์ 5G ที่ทันสมัยของอีริคสัน มอบประโยชน์ทั้งในด้านการพัฒนา ทดสอบ ตรวจสอบ และรับรองยูสเคส 5G ใหม่ ๆ ร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศไทยและจากทั่วโลก

ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมแห่งนี้ยังจัดแสดงยูสเคส 5G ที่ล้ำสมัยไว้ในหลากหลายรูปแบบได้แก่หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) เครื่องจักรการผลิตอัตโนมัติที่พัฒนาร่วมกับ Mitsubishi และกล้อง CCTV 360 องศา แบบสวมใส่ได้ ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้เผยให้เห็นถึงศักยภาพเทคโนโลยี 5G ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันบนเวทีโลก

มร.แอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “5G เป็นแพลตฟอร์มเพื่อนวัตกรรม ช่วยสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ สำหรับผู้บริโภค องค์กรธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่ต้องการนำดิจิทัลมาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อีริคสันประเทศไทยมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมเพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเครือข่าย 5G ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยการทำงานร่วมกันกับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและหน่วยงานอื่น ๆ ในระบบนิเวศ เราจะสามารถขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งคนไทย เศรษฐกิจและประเทศชาติ”

อีริคสันประเทศไทยยังเปิดกว้างด้านความร่วมมือในอนาคตกับผู้มีส่วนร่วมสำคัญในระบบนิเวศ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงพันธมิตร ผู้ใช้ปลายทาง สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อพัฒนายูสเคส 5G ใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรม

จากรายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด คาดการณ์ภายในปี 2572 จะมีจำนวนผู้ใช้ 5G ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ประมาณ 560 ล้านราย และเมื่อสิ้นปี 2566 มียอดผู้ใช้ 5G ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 61 ล้านราย ซึ่งผู้ใช้บริการ 5G ในภูมิภาคยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจากที่ผู้ใช้ย้ายมาใช้เครือข่าย 5G โดยได้รับแรงหนุนจากอุปกรณ์ 5G ที่ราคาย่อมเยาลง รวมถึงโปรโมชั่นการขายที่ดึงดูดใจ ส่วนลดและแพ็กเกจที่รวมการใช้ปริมาณดาต้าขนาดใหญ่จากผู้ให้บริการ คาดว่าในปี 2572 ผู้สมัครใช้บริการมือถือ 5G จะมีสัดส่วน 43% ของยอดผู้สมัครใช้บริการมือถือทั้งหมดในภูมิภาค และคาดว่ายอดการใช้ดาต้าต่อสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้นจาก 17 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2566 เป็น 42 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2572

ก่อนสิ้นปี 2572 คาดว่า 5G จะกลายเป็นเครือข่ายมือถือที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากยอดการสมัครใช้ แม้ว่าการครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ 5G จะเติบโตขึ้น แต่ย่านความถี่ 5G Mid-Band กลับถูกนำไปใช้งานเพียง 25% ของไซต์ทั้งหมดทั่วโลกนอกจีนแผ่นดินใหญ่ โดย 5G Mid-Band มอบความลงตัวระหว่างการครอบคลุมพื้นที่และความจุ ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้

รายงาน Ericsson Mobility เดือนมิถุนายน ปี 2567 เผยให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งของการสมัครใช้บริการ 5G โดยมีผู้ให้บริการด้านการสื่อสารประมาณ 300 รายทั่วโลก เปิดให้บริการ 5G และมี 50 ราย เปิดให้บริการ 5G Standalone (หรือ 5G SA) ซึ่ง 5G ยังคงเติบโตต่อเนื่องในทุกภูมิภาค และคาดว่าในปี 2572 จะมีผู้ใช้ 5G คิดเป็นสัดส่วน 60% ของยอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทั้งหมด อีริคสันคือผู้นำ 5G ระดับโลก ปัจจุบันเปิดบริการเครือข่าย 5G ไปแล้วถึง 166 เครือข่าย ใน 69 ประเทศทั่วโลก

รายงานล่าสุดจาก Frost & Sullivan ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำของอีริคสันในตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ซึ่งครอบคลุมถึง Radio Access Networks (RAN), Transport Networks และ Core Networks โดยอีริคสันได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงานการวิเคราะห์ตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ของ Frost Radar™ ประจำปี 2567 เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน ซึ่งเน้นย้ำถึงผลจากกลยุทธ์ของบริษัทในการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ให้บริการการสื่อสาร (CSPs)

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ