ครั้งแรกของการจัดงาน Olympic Esports Week นำ Energy Expert ของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพริ้นท์

Alibaba Cloud Launches Carbon Management Solution

ครั้งแรกของการจัดงาน Olympic Esports Week นำ Energy Expert ของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพริ้นท์

ทดลองใช้โซลูชันวัดปริมาณคาร์บอนที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเครื่องมือที่แฟนคลับนำมาใช้เพื่อร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในงาน

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศว่ามีการนำ Energy Expert ซึ่งเป็นโซลูชันด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อวัดและวิเคราะห์การปล่อยก๊าซคาร์บอน ไปทดลองใช้ ณ สถานที่ใช้จัดงานชั่วคราว Olympic Esports Week ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยสร้างข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ และใช้เครื่องมือวัดและวิเคราะห์ ผ่านความร่วมมือของอาลีบาบา คลาวด์ และ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC)

อาลีบาบา คลาวด์ นำ Energy Expert ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดปริมาณคาร์บอนที่พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว เพื่อวัดและวิเคราะห์การปล่อยก๊าซคาร์บอน ณ งาน Olympic Esports Week ชุดของตัวชี้วัดประกอบด้วย การประเมินผลกระทบจาก การใช้พลังงาน การจัดการของเสีย ป้ายที่จัดแสดงและการตกแต่ง โดยคณะกรรมการจัดงานในประเทศเป็นผู้ใช้เครื่องมือ software-as-a-service นี้ เพื่อเปรียบเทียบผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับวัสดุและอุปกรณ์หลายประเภท

 Energy Expert เป็นโซลูชันด้านความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล่าสุด ที่จะช่วยให้ผู้จัดงานระบุที่มาของการปล่อยก๊าซคาร์บอนในสถานที่จัดงานและการดำเนินงาน สามารถวัดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนในสถานที่จัดงาน และแสดงให้เห็นประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนของสถานที่จัดงานผ่านแดชบอร์ดเดียว และผ่านการรายงานออนไลน์

ข้อมูลจาก Energy Expert ของอาลีบาบา คลาวด์ คาดว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสถานที่จัดงานชั่วคราวนี้จะอยู่ที่ประมาณ 274 ตัน CO2e (CO2e = คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) หลังจากแทนที่ 60% ของป้ายพิมพ์ที่เป็นวัสดุด้วยป้ายดิจิทัล ซึ่งจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 14 ตัน CO2e รวมถึงการนำพรม 50% ของทั้งหมดมาใช้ซ้ำหลังงานจบแล้ว ซึ่งจะลดการปล่อยก๊าซลงได้อีก 10 ตัน CO2e

วินเซนต์ เพอร์เรียร่า, หัวหน้าด้านเวอร์ชวลอีสปอร์ต ฝ่ายกีฬาของ IOC กล่าวว่า “เรามองหาแนวทางลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และเรายินดีที่ได้ทำงานร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อให้เราสร้างความยั่งยืนได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

เซลิน่า หยวน ประธานด้านธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “เราสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้กับการแข่งขันโอลิมปิกของ IOC มาตั้งแต่โอลิมปิกฤดูร้อนที่โตเกียวเมื่อปี 2020 และเรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเวอร์ชวลสปอร์ตครั้งสำคัญล่าสุดนี้ ความยั่งยืนเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญและจัดอยู่ในโรดแมปด้านนวัตกรรมที่รองรับด้านกีฬาของเรา ในเวลาที่อุตสาหกรรมกีฬาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาลีบาบา คลาวด์ เองก็มุ่งมั่นสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ ได้รับข้อมูลอย่างทันท่วงที มีข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ปฏิบัติได้ รวมถึงให้คำแนะนำในการประหยัดพลังงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรได้รับผลเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม”

งาน Olympic Esports Week ครั้งแรกนี้นับเป็นความร่วมมือล่าสุดด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ IOC และอาลีบาบา หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมด้านกีฬาในงานโอลิมปิกฤดูร้อนที่โตเกียวเมื่อปี 2020 และโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่งเมื่อปี 2022 อีกทั้งยังเป็นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ระดับนานาชาติโปรเจกต์แรกของอาลีบาบาที่มีเป้าหมายในการรับมือกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมอีสปอร์ต

อุตสาหกรรมอีสปอร์ต ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะกีฬานี้ได้รับความนิยมมากขึ้น การวิเคราะห์ของอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่าในปี 2022 ทีมอีสปอร์ตหนึ่งทีมอาจสร้าง CO2 ได้มากถึง 100 ตัน[1] นอกจากนี้ข้อมูลจาก DFC Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์อุตสาหกรรม ระบุว่า การใช้งานส่วนบุคคลจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน 40% ของประชากรโลก (สามพันล้านคน) เล่นวิดีโอเกม ซึ่งนั่นหมายความว่ามีผลกระทบจำนวนมากที่ต้องได้รับการแก้ไข

นอกจากการวัดปริมาณคาร์บอนของสถานที่จัดงานชั่วคราวแล้ว  อาลีบาบา คลาวด์ ดึงความสนใจของสาธารณชนให้เห็นถึงความสำคัญของการลดคาร์บอนฟุตพริ้นซ์ ผ่านเว็บแอปพลิเคชันสำหรับ Olympic Esports Week ของอาลีบาบา คลาวด์ ที่เชิญชวนให้ทุกคนถ่ายภาพสิ่งของรอบตัว (เช่น คีย์บอร์ดและชุดหูฟัง) เพื่อจะได้เข้าใจคาร์บอนฟุตพริ้นซ์ของสิ่งของเหล่านั้น และลดคาร์บอนฟุตพริ้นซ์ของสิ่งของนั้น ๆ เช่น เพิ่มอายุการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล หรือซื้ออุปกรณ์มือสอง เป็นต้น เพื่อความสำเร็จของกิจกรรมนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ผสานรวมเทคโนโลยีต่าง ๆ ของบริษัทฯ เข้ากับชุดข้อมูลการปล่อยก๊าซแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังสามารถให้คำมั่นในการลดคาร์บอนในชีวิตประจำวันของตน เช่น การนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปไว้ ณ จุดที่รวบรวมเพื่อการรีไซเคิล โดยผู้เข้าร่วมที่ให้คำมั่นจะได้รับคะแนนจากแอป ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของเว็บแอปพลิเคชัน โดยมีเป้าหมายคือการได้รับเครื่องหมาย Sustainability Champion

Olympic Esports Week ครั้งแรกนี้ จัดขึ้นที่ Suntec Singapore Convention & Exhibition Centre นำเสนอเวอร์ชวลสปอร์ตที่โดดเด่นที่สุด เช่น การแข่งขันอีสปอร์ต, แมตช์แข่งขันกระชับมิตร, การจัดแสดงนวัตกรรมล่าสุด รวมถึงการจัดเสวนาต่าง ๆ และเซสชันเพื่อการเรียนรู้ที่จัดโดย IOC ในงานครั้งนี้ยังมีการจัดการแข่งขัน Olympic Esports Series รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นการแข่งขันรอบสำคัญที่สุดของ Olympic Esports Series ปีนี้ โดยมีนักกีฬา Olympic Esports ชั้นนำจากทั่วโลกมาร่วมแข่งขันเพื่อชิงเหรียญทองในสิบโหมดเกมกีฬา

อาลีบาบา คลาวด์ ในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ชั้นนำของโลก มุ่งมั่นช่วยองค์กรต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีด้านการประมวลผลอัจฉริยะและ AI และด้วยการเป็นผู้นำของแนวคิดนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนใน scope 1, 2 และ 3 และให้คำมั่นที่จะขับเคลื่อนคลาวด์คอมพิวติ้งของบริษัทฯ ด้วยพลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2030

[1] Esports Insider, Is ‘going green’ the future of esports?

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth continues

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth continues

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth continues

    • 5G mobile subscriptions are growing in every region and forecast to top 1.5 billion globally by the end of 2023
    • Continued revenue growth in leading 5G markets
    • Mobile data traffic continues to grow strongly in Southeast Asia and Oceania, expected to reach around 54 GB/month in 2028

Despite geopolitical challenges and macroeconomic slowdown in some markets, communications service providers worldwide are continuing to invest in 5G, the June 2023 edition of the Ericsson (NASDAQ: ERIC) Mobility Report shows.

Mobile data traffic per smartphone in Southeast Asia and Oceania continues to grow strongly in Southeast Asia and Oceania and is expected to reach around 54 GB per month in 2028 – a CAGR of 24 percent. Total mobile data traffic is estimated to grow from around 13 EB per month in 2022 to 55 EB per month in 2028, growing at a CAGR of 27 percent.

5G subscriptions are forecast to reach around 430 million by the end of 2028 and will contribute 34% of all mobile subscriptions in the region by that time. In terms of 5G coverage, by the end of 2022:

    • 5G was available to around 50 percent of the population in Malaysia and 66 percent in the Philippines.
    • More than 80 percent of the population in Australia and Thailand had access to 5G
    • Singapore achieved more than 95 percent coverage by mid-2022

The number of smartphone subscriptions in the region is projected to grow at a CAGR of 3 percent, reaching over 1.12 billion by 2028 from 930 million at the end of 2022. 4G is also showing growth with subscriptions expected to reach 770 million in 2028 from 640 million at the end of 2022 – a CAGR of 3%.

Following the launch of 5G services in October 2022, the major 5G Indian market is witnessing huge network deployments under its Digital India initiative. 5G subscriptions in India reached about 10 million by end of 2022 and are estimated to account for about 57 percent of mobile subscriptions in the country by the end of 2028, making it the fastest growing 5G region globally.

The latest Ericsson Mobility Report also reveals that the uptake of 5G subscriptions in North America has been stronger than expected in previous forecasts. At the end of 2022, the region had the highest 5G global subscription penetration at 41 percent.

5G subscriptions are rising in every region worldwide and forecast to reach 1.5 billion by the end of 2023. Global mobile network data traffic continues to grow with the monthly global average usage per smartphone expected to exceed 20 GB by the end of 2023.

The report also shows continued revenue growth in leading 5G markets. Fredrik Jejdling, Executive Vice President and Head of Networks, Ericsson, says: “The global adoption of 5G technology has surpassed one billion subscriptions, bringing positive revenue growth for communications service providers in leading 5G markets. We see a strong link between the increase in 5G subscriptions and service revenue. Over the past two years, the introduction of 5G services in the top twenty markets has resulted in a seven percent revenue boost. This trend shows the growing value of 5G, benefiting users and service providers alike.”

Igor Maurell, Head of Ericsson Thailand states, “As a long term and trusted connectivity provider in Thailand, Ericsson will continue to work with Service Providers to ensure successful coverage and capacity deployments with resilient network performance, scalability, simplicity, and security as a primary focus. We are also working closely with key Communications service providers in the country, the Government as well as industry and academia to develop the 5G eco system in the country so that the country’s Thailand 4.0 Vision is achieved.”

Worldwide, around 240 communications service providers (CSPs) have launched commercial 5G services and about 35 have deployed or launched 5G standalone (SA). The most common 5G services launched by service providers for consumers are enhanced mobile broadband (eMBB), Fixed Wireless Access (FWA), gaming and some AR/VR-based services, such as training and education.

The report also reveals that 5G continues to drive innovation in mobile service packaging. Among CSPs, it is increasingly common to offer bundles with various popular entertainment services included such as television, music streaming or cloud gaming platforms. About 58 percent of 5G service providers currently do this in various forms.

More than 100 CSPs, comprising about 40 percent of FWA service providers, currently offer FWA over 5G.

FWA is growing solidly in terms of:

    • Number of mobile service providers offering FWA 
    • Proportion of those offering FWA over 5G 
    • Proportion of CSPs with speed-based tariff structures 
    • Amount of traffic served, as both number of connections and traffic volume per connection increase.

By 2028 5G is estimated to account for almost 80 percent of all FWA connections.

The June 2023 Ericsson Mobility Report includes four in-depth articles:  

    • Exploring how traffic patterns drive network evolution
    • Exploring differentiated service with 5G networks
    • AR uptake enabled by mobile networks
    • Mobile quality of experience: Network readiness for new services

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผย 5G ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผย 5G ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผย 5G ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง

    • ผู้ใช้บริการมือถือ 5G เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคและคาดว่าภายในสิ้นปี 2566 จะพุ่งไปถึง 5 พันล้านรายทั่วโลก
    • ตลาดผู้นำ 5G มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
    • ปริมาณการใช้ดาต้าบนมือถือยังเติบโตแข็งแกร่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย โดยคาดว่าจะสูงถึง 54 กิ๊กกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2571

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารทั่วโลกยังเดินหน้าลงทุนกับ 5G อย่างต่อเนื่อง ตามรายงาน Mobility Report ของ Ericsson (NASDAQ: ERIC) ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 แม้จะมีความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์และการชะลอตัวของเศรษฐกิจมหภาคในบางตลาด

ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตต่อสมาร์ทโฟนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ และคาดว่าจะสูงถึง 54 กิ๊กกะไบต์ต่อเดือนในปี 2571 หรือเติบโต 24% ต่อปี โดยยอดการใช้ดาต้าเน็ตมือถือทั้งหมดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 13 เอกซะไบต์ต่อเดือนในปี 2565 เป็น 55 เอกซะไบต์ต่อเดือนในปี 2571 โดยเติบโต 27% ต่อปี

ภายในสิ้นปี 2571 คาดว่ายอดผู้ใช้งาน 5G จะเพิ่มเป็น 430 ล้านราย คิดเป็น 34% ของยอดผู้ใช้งานบริการมือถือทั้งหมดของภูมิภาคฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน ในแง่ของความครอบคลุม 5G ภายในสิ้นปี 2565 พบว่า:

    • 5G พร้อมให้บริการแก่ประชากรประมาณ 50% ในมาเลเซีย และ 66%ในฟิลิปปินส์
    • กว่า 80% ของประชากรในออสเตรเลียและไทย สามารถเข้าถึงบริการ 5G
    • เมื่อกลางปี 2565 ที่ผ่านมา 5G ในสิงคโปร์ครอบคลุมมากกว่า 95%

จำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนในภูมิภาคนี้คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี และภายในปี 2571 จะเพิ่มไปถึง 1.12 พันล้านราย จาก 930 ล้านราย ณ สิ้นปี 2565 ขณะที่ผู้ใช้บริการ 4G คาดว่าจะยังมีการเติบโตที่ 770 ล้านราย ภายในปี 2571 เพิ่มจาก 640 ล้านราย ณ สิ้นปี 2565 หรือเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปีเช่นกัน

อินเดียเป็นตลาด 5G สำคัญที่กำลังปรับใช้งานเครือข่ายขนาดใหญ่มากมายภายใต้กรอบนโยบาย Digital India หลังเปิดให้บริการ 5G ไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2565 เมื่อสิ้นปี 2565 อินเดียมียอดผู้ใช้บริการ 5G ประมาณ 10 ล้านราย และคาดว่าภายในสิ้นปี 2571 ยอดการใช้บริการ 5G จะเพิ่มเป็น 57% ของยอดผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดในประเทศ ส่งผลให้ภูมิภาคนี้เป็นภูมิภาค 5G ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับนี้ยังเผยให้เห็นว่าผู้ใช้บริการ 5G ในทวีปอเมริกาเหนือนั้นมีการเติบโตแข็งแกร่งกว่าการคาดการณ์ครั้งก่อน โดยเมื่อสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา ภูมิภาคนี้มีสัดส่วนผู้ใช้บริการ 5G สูงสุดในโลกที่ 41%

ผู้ใช้บริการ 5G เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลกและคาดว่าจะเพิ่มไปถึง 1.5 พันล้านราย ภายในสิ้นปี 2566 ส่วนปริมาณการใช้ดาต้าผ่านเครือข่ายมือถือทั่วโลกก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน คาดว่าภายในสิ้นปี 2566 ยอดการใช้ดาต้าบนมือถือต่อสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะเกินกว่า 20 กิ๊กกะไบต์ต่อเดือน

รายงานยังแสดงการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องในตลาดที่เป็นผู้นำ 5G นายเฟรดริก เจดลิง รองประธานผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายเครือข่ายของอีริคสัน กล่าวว่า “ยอดผู้ใช้ 5G ทั่วโลกมีเกินหนึ่งพันล้านบัญชีไปแล้ว ทำให้ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในตลาด 5G ชั้นนำมีรายได้เติบโตในเชิงบวก เราเห็นความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างการสมัครบริการ 5G ที่เพิ่มขึ้นและรายได้จากการให้บริการ โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากการเปิดตัวบริการ 5G ใน 20 ตลาดชั้นนำ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 7% แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของ 5G ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ใช้และผู้ให้บริการ”

นายอิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการด้านการเชื่อมต่อที่ได้รับความไว้วางใจและดำเนินกิจการมาอย่างยาวนานในประเทศไทย อีริคสันจะเดินหน้าทำงานร่วมกับผู้ให้บริการอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสำเร็จในการมอบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมการใช้งาน มีความยืดหยุ่น รองรับการเติบโตธุรกิจ ใช้งานง่ายและมีความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ นอกจากนี้เรายังทำงานใกล้ชิดกับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารหลัก ๆ ในประเทศ ภาครัฐบาล ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาในการพัฒนาระบบนิเวศ 5G ในประเทศเพื่อบรรลุตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0”

ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ประมาณ 240 รายทั่วโลกเปิดตัวบริการ 5G เชิงพาณิชย์และประมาณ 35 รายปรับใช้หรือเปิดตัว 5G แบบสแตนด์อโลน (SA) โดยบริการ 5G สำหรับผู้บริโภคที่เห็นได้มากที่สุดได้แก่ Enhanced Mobile Broadband (eMBB), Fixed Wireless Access (FWA), เกม และบริการอื่น ๆ ที่ใช้กับอุปกรณ์ AR/VR เช่น การฝึกอบรมและการศึกษา

รายงานยังเผยให้เห็นว่า 5G ยังคงขับเคลื่อนนวัตกรรมในแพ็คเกจบริการมือถือ ผู้ให้บริการนำเสนอบริการบันเดิลเป็นชุดความบันเทิงยอดนิยมต่าง ๆ มากขึ้น อาทิ โทรทัศน์ การสตรีมเพลง หรือแพลตฟอร์มเกมบนคลาวด์ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ 5G ประมาณ 58% นำเสนอบริการเหล่านี้ในหลากหลายรูปแบบ

ผู้ให้บริการมากกว่า 100 ราย หรือประมาณ 40% ของผู้ให้บริการ Fixed Wireless Access (FWA) ให้บริการ FWA บน 5G อยู่ในเวลานี้

บริการ FWA กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในแง่:

    • จำนวนผู้ให้บริการมือถือที่ให้บริการ FWA
    • สัดส่วนของผู้ให้บริการ FWA บนเครือข่าย 5G
    • สัดส่วนของผู้ให้บริการ CSP ที่มีโครงสร้างค่าบริการตามความเร็ว
    • ปริมาณการใช้ดาต้าที่ให้บริการ เนื่องจากมียอดการเชื่อมต่อและการใช้ดาต้าเน็ตต่อการเชื่อมต่อเพิ่มขึ้น

ภายในปี 2571 คาดว่าการเชื่อมต่อ FWA ทั้งหมดจะเป็น 5G เกือบ 80%

รายงาน Ericsson Mobility ประจำเดือนมิถุนายน 2566 ยังรวมบทความเชิงลึกอีก 4 บทความ ดังนี้:

    • Exploring how traffic patterns drive network evolution
    • Exploring differentiated service with 5G networks
    • AR uptake enabled by mobile networks
    • Mobile quality of experience: Network readiness for new services

จีเอชแอล จับมือ อาลีเพย์พลัส (Alipay+) ให้บริการรับชำระเงินดิจิทัลสำหรับนักท่องเที่ยวในเอเชีย ผ่านร้านค้าในไทยกว่า 2,600 ราย

จีเอชแอล จับมือ อาลีเพย์พลัส (Alipay+) ให้บริการรับชำระเงินดิจิทัลสำหรับนักท่องเที่ยวในเอเชีย ผ่านร้านค้าในไทยกว่า 2,600 ราย

จีเอชแอล จับมือ อาลีเพย์พลัส (Alipay+) ให้บริการรับชำระเงินดิจิทัลสำหรับนักท่องเที่ยวในเอเชีย ผ่านร้านค้าในไทยกว่า 2,600 ราย

ประเด็นสำคัญ:

    • จีเอชแอล ให้บริการ Alipay+ สำหรับ 2,600 ร้านค้าท้องถิ่นในประเทศไทย โดยร้านค้าสามารถรับชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดนจากโมบายวอลเล็ตชั้นนำของเอเชียได้แล้ว
    • ผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศไทยในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ตั้งแต่การค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ไปจนถึงการบริการต้อนรับ และสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศจะได้รับประโยชน์จากการให้บริการนี้
    • จิม ทอมป์สัน และพรีเมี่ยมเอาท์เล็ทต่างๆ จะได้รับประโยชน์จากความร่วมมือแบบพันธมิตรในครั้งนี้

จีเอชแอล ซิสเต็ม เบอร์ฮาด (จีเอชแอล) เป็นบริษัทชั้นนำด้านการให้บริการการชำระเงินระดับภูมิภาคอาเซียน เปิดให้บริการรับชำระเงินด้วยอาลีเพย์พลัส (Alipay+) สำหรับร้านค้าท้องถิ่นมากกว่า 2,600 รายในประเทศไทย เพื่อรองรับการชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดนจากโมบายวอลเล็ตชั้นนำต่าง ๆ ของเอเซีย ได้แก่ AlipayHK (เขตบริหารพิเศษฮ่องกง), Kakao Pay (เกาหลีใต้), และ Touch ‘n Go eWallet (มาเลเซีย) เพิ่มเติมนอกเหนือจาก Alipay (จีนแผ่นดินใหญ่) ที่ร้านค้าสามารถรับชำระมาแล้วตั้งแต่ปี 2558

ปัจจุบันนี้ นักท่องเที่ยวจากประเทศต่าง ๆ ที่มาเยือนเมืองไทย สามารถชำระเงินด้วยโมบายวอลเล็ตจากประเทศตนเองกับร้านค้ารีเทลได้มากกว่า 5,000 ร้าน โดยใช้เทคโนโลยีจาก GHL ซึ่งเป็นพันธมิตรของอาลีเพย์พลัส (Alipay+) แพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัลและการตลาดข้ามพรมแดนระดับโลกของแอนท์กรุ๊ป โดยธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่จะได้รับประโยชน์ ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก, ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ไปจนถึงธุรกิจบริการและสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ

ตามประกาศของรัฐบาลในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566  มีนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆเข้ามาในประเทศไทยมากถึง 6.15 ล้านคน ซึ่งเกินเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดการณ์ไว้  การกลับมาอีกครั้งของนักท่องเที่ยวนี้ พวกเขามีความคาดหวังมากขึ้นเกี่ยวกับประสบการณ์การเดินทางและการใช้จ่ายตามร้านค้าปลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนักท่องเที่ยวจำนวนมากคุ้นเคยกับประสบการณ์การชำระเงินที่ราบรื่นผ่านโมบายวอลเล็ตของประเทศตนเอง

นายปริญญา จินันทุยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอชแอล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากการเป็นพันธมิตรที่ยาวนานของ GHL และ Alipay นำมาสู่ความร่วมมือครั้งล่าสุดกับอาลีเพย์พลัส (Alipay+) ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ร้านค้าท้องถิ่นสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย โดยการรับชำระเงินด้วยวิธีที่ลูกค้าคุ้นเคยและสะดวก ความร่วมมือนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่ต้องการผลักดัน เศรษฐกิจแบบไร้เงินสด” (Cashless Economy) ส่งเสริมการเข้าถึงทางการเงินและช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อปริมาณธุรกรรมดิจิทัลเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบเศรษฐกิจจะได้รับประโยชน์จากความโปร่งใส ความมีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยซึ่งส่งผลเชิงบวกกับหลายภาคส่วนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม”  จิม ทอมป์สัน บริษัทผู้ผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยเป็นหนึ่งในแบรนด์ธุรกิจท้องถิ่นรายแรก ๆ ที่ให้บริการนี้ และเป็นตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากความร่วมมือนี้ ด้วยการเป็นต้นกำเนิดของศิลปะจากการทำผ้าไหมที่ยอดเยี่ยม ปัจจุบัน จิม ทอมป์สัน เป็นไอคอนิกแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกจากประเทศไทยที่มีชื่อเสียงด้วยผลิตภัณฑ์ผ้าไหมที่สวยงาม และมีผลิตภัณฑ์และบริการที่มากกว่าผ้าไหม (Beyond Silk) ทำให้จิม ทอมป์สัน เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รักของทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ

คุณนันท์นภัส เวโรจนวัฒน์ ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาด จิม ทอมป์สัน กล่าวว่า “ด้วยการบริการรับชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดน ปัจจุบัน จิม ทอมป์สันให้บริการรับชำระเงินดิจิทัลที่คุ้นเคยและสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งของพวกเขา นักท่องเที่ยวจากจีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ซึ่งคุ้นเคยกับการใช้โมบายวอลเล็ตในการชำระเงิน สามารถเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่นและไม่ยุ่งยากอีกต่อไป โดยช่วยเสริมสร้างความพึงพอใจ และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าในระยะยาวอีกด้วย”

 ดร.เชอรี่ ฮวง ผู้จัดการทั่วไปของอาลีเพย์พลัส (Alipay+) ส่วนบริการการค้าออฟไลน์ แอนท์กรุ๊ป กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “พฤติกรรมนักท่องเที่ยวในปัจจุบันไม่เหมือนกับนักท่องเที่ยวในช่วงก่อนการแพร่ระบาด โดยนักท่องเที่ยวในปัจจุบันจำนวนมากคุ้นเคยกับไลฟ์สไตล์แบบดิจิทัลไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศไทยอย่าง GHL ทำให้ธุรกิจร้านค้าในประเทศไทยจำนวนมากสามารถรับการชำระเงินแบบดิจิทัล อย่างอีวอลเล็ตได้ นับเป็นวิธีการชำระเงินที่ผู้บริโภคชาวเอเชียนิยมใช้ ช่วยให้ประสบการณ์การชำระเงินสะดวก และไม่ยุ่งยากอีกต่อไป”

นักท่องเที่ยวจะสามารถเพลิดเพลินกับการจับจ่ายใช้สอยและความบันเทิงในประเทศไทยได้โดยไม่มีข้อจำกัด โดยพวกเขาสามารถใช้โมบายวอลเล็ตที่ใช้เป็นประจำในประเทศตนเองได้ ตามแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยม เช่น พรีเมี่ยมเอาท์เล็ททั้ง 6 แห่ง ที่ชะอำ เขาใหญ่ พัทยา อยุธยา ภูเก็ต และกระบี่

Siemens presents €2 billion investment strategy to boost future growth, innovation and resilience

ซีเมนส์ ประกาศกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร มุ่งสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่นในอนาคต

Siemens presents €2 billion investment strategy to boost future growth, innovation and resilience

    • Ramp up of global investment in new high-tech factories, innovation labs and education centers to expand leadership in digitalization, automation and sustainability
    • Total investments of €2 billion mainly in manufacturing capacity expansion to be disclosed this year
    • Following investments in Germany and in the U.S., Siemens expands its production network and R&D capacities in Asia
    • New high-tech factory in Singapore announced today to serve growing markets in Southeast Asia
    • Expansion of digital factory in Chengdu to boost further growth in China
    • Additional investments in Europe and U.S. to be announced

To boost future growth, drive innovation and increase resilience, Siemens today presented its investment strategy which includes €2 billion mainly for new manufacturing capacity as well as innovation labs, education centers and other own sites. Siemens today announced a new high-tech factory in Singapore, to serve the booming Southeast Asia markets.

“Our technologies address secular growth trends where our customers need our support to become more competitive, resilient and sustainable. Siemens is experiencing significantly above-market growth. Today we announce an investment strategy to boost future growth, drive innovation and increase resilience,” said Roland Busch, President and Chief Executive Officer of Siemens AG.

“The investments underpin our strategy of combining the real and the digital worlds – as well as our focus on diversification and local-for-local business. We are clearly doubling down on our strong global presence to support growth in the most relevant markets in the world.”

In addition, there is an expected increase of around €0.5 billion in research and development (R&D), such as artificial intelligence and the industrial metaverse, in fiscal year 2023 versus prior year. This R&D is focused on strengthening Siemens’ leading position in core technologies including simulation, digital twins, artificial intelligence or power electronics, as well as supporting the development of the Siemens Xcelerator open digital business platform. The company recently announced a partnership with Microsoft to speed up code generation for industry automation by using ChatGPT. With NVIDIA, Siemens is working to build the industrial metaverse to improve design, planning, production and operation of factories and infrastructures.

New and additional capacities in Southeast Asia

To meet growing demand in Southeast Asia, Siemens today announced an entirely new high-tech factory in Singapore, which will be developed using Siemens’ own leading digital twin and innovative, intelligent hardware technologies. Investment in the factory will be around €200 million. The plant will set a new standard for connectivity to showcase the possibilities of digitalization, as well as incorporating highly-automated manufacturing processes. The investment will create over 400 jobs.

All-regions strategy with wave of global investments

As part of its investment strategy and fast-growing business in China, Siemens will also expand its digital factory in Chengdu to serve the local growth opportunities in China for China, investing €140 million (RMB 1.1bn) and creating 400 new jobs. Many of Siemens’ Chinese customers are early adopters of new technologies especially in digitalization and high-tech manufacturing. This is why Siemens also announced the investment in a new digital R&D Innovation Center in Shenzhen to speed up development of motion control systems with digitalization and power electronics technology. The Siemens Xcelerator open digital business platform was launched in China in November 2022.

Series of announcements

Earlier this year, Siemens committed to expand production in Trutnov, Czech Republic, to enhance capacity at its WEF Global Lighthouse (1) Factory in Amberg, Germany. Moreover, Siemens invests €30 million to expand its switchgear plant in Frankfurt-Fechenheim, Germany, while Siemens Mobility recently announced spending $220 million to build a new rolling stock factory in Lexington, North Carolina, to meet growing demand for passenger trains in the United States. The plant will create more than 500 jobs by 2028.

The planned €2 billion investments and expected increase of around €0.5 billion in research and development include Siemens Healthineers.