อีริคสัน ร่วมมือกับ อินเทล ขยายศักยภาพการใช้ 5G ของประเทศไทย

อีริคสัน ร่วมมือกับ อินเทล ขยายศักยภาพการใช้ 5G ของประเทศไทย

อีริคสัน ร่วมมือกับ อินเทล ขยายศักยภาพการใช้ 5G ของประเทศไทย

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) และอินเทลจะร่วมมือกันพัฒนายูสเคส 5G ที่สามารถเร่งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) ขององค์กรธุรกิจพร้อมสนับสนุนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0

อินเทลและอีริคสันจะผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องพร้อมนำเสนอกรณีการใช้งาน 5G ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเร่งการนำ 5G ไปใช้งานและขยายการดำเนินธุรกิจของผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ไปสู่รูปแบบ B2B ตามที่ระบุไว้ในขอบเขตของการทำงานร่วมกัน ทั้งสององค์กรจะร่วมกันพัฒนากรณีการใช้งาน 5G ระดับองค์กรในกลุ่มธุรกิจเฉพาะ อาทิ กลุ่มการผลิต กลุ่มการขนส่งและลอจิสติกส์ นอกจากนี้ยังร่วมกันนำเสนอและจัดแสดงศักยภาพด้านการเชื่อมต่อ 5G สำหรับการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น

ทั้งอีริคสันและอินเทลต่างมุ่งมั่นนำเทคโนโลยี 5G มาเพิ่มขีดความสามารถให้แก่อุตสาหกรรมของประเทศไทย ให้เดินหน้าไปสู่วิสัยทัศน์ Thailand Industry 4.0

Igor-Maurell

อิกอร์ มอเรล ประธานบริหาร บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะที่เราเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และได้รับความไว้วางใจมายาวนานในประเทศไทย อีริคสันจะทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลัก ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศ 5ที่หลากหลายในประเทศไทยเพื่อเร่งสร้างนวัตกรรม โดยเราจะใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ 5ระดับโลก ผนวกกับความร่วมมือกับอินเทล มอบประโยชน์ให้แก่ผู้ให้บริการในไทย ด้วยประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยืดหยุ่น มีความสามารถในการปรับขนาด ใช้งานง่าย และมีความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ”

โธมัส เซนน์เฮาเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ธุรกิจการสื่อสาร ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่น อินเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ด้านสังคมและเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ทำให้ 5G กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานสำคัญสำหรับขับเคลื่อนนวัตกรรมในทุกกลุ่มธุรกิจ และจากความร่วมมือกับอีริคสัน เราจะร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G ของประเทศไทยพร้อมกับบริการ Edge Innovation ต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจากอีริคสันและอินเทล ช่วยให้องค์กรท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงและเร่งกระบวนการทางธุรกิจผ่านดิจิทัลโซลูชัน เราพร้อมสนับสนุนผู้ให้บริการในประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการประหยัดพลังงานและความยั่งยืนมากขึ้น ตามที่อุตสาหกรรมการสื่อสารต่างให้การยอมรับโซลูชัน Virtualized RAN  และ Distributed Architectures

ประเทศไทยคือตลาด 5G แถวหน้าของภูมิภาค โดยอีริคสันตั้งเป้าร่วมผลักดันประเทศให้เดินหน้าแข่งขันบนเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งอีริคสันและอินเทลจะนำวิสัยทัศน์ พร้อมเทคโนโลยีและโซลูชันล้ำสมัยมาผสานเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับโลกเดินหน้าสร้างเครือข่ายที่มีความอัจฉริยะ เปิดกว้าง และน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 147 เครือข่ายใน 63 ประเทศ พร้อมยังเปิดให้บริการเครือข่าย 5G Standalone 40 เครือข่ายทั่วโลก

นักท่องเที่ยวจากสี่ประเทศในเอเชียสามารถชำระเงินในประเทศไทยด้วยโมบายล์วอลเล็ตของประเทศตัวเองได้แล้ว

นักท่องเที่ยวจากสี่ประเทศในเอเชียสามารถชำระเงินในประเทศไทยด้วยโมบายล์วอลเล็ตของประเทศตัวเองได้แล้ว

นักท่องเที่ยวจากสี่ประเทศในเอเชียสามารถชำระเงินในประเทศไทยด้วยโมบายล์วอลเล็ตของประเทศตัวเองได้แล้ว

    • โมบายล์วอลเล็ตที่สามารถใช้ได้แล้วในประเทศไทย โดยชำระเงินผ่าน Alipay+ ได้แก่ AlipayHK, KakaoPay, Touch ‘n Go eWallet และ Alipay
    • การบินไทย คือหนึ่งในสายการบินรายแรก ๆ ที่ใช้ Alipay+ เพื่อเป็นช่องทางการชำระเงิน

แอนท์กรุ๊ป ผู้ให้บริการอาลีเพย์พลัส (Alipay+) โซลูชันการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศและโซลูชันการตลาด ประกาศรองรับโมบายล์วอลเล็ตจำนวน 4 รายที่สามารถใช้ชำระค่าใช้จ่ายได้แล้วในประเทศไทย ได้แก่ AlipayHK (ฮ่องกง SAR), KakaoPay (เกาหลีใต้), Touch ‘n Go eWallet (มาเลเซีย) และ Alipay (จีนแผ่นดินใหญ่) ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ค้าในไทยตั้งแต่ปี 2558

การพัฒนาล่าสุดและการเพิ่มการรองรับโมบายล์วอลเล็ตอีก 3 รายของอาลีเพย์พลัส (Alipay+) จะขยายประสบการณ์การท่องเที่ยวดิจิทัลแบบไร้รอยต่อสำหรับนักท่องเที่ยวเอเชียที่มาเยือนเมืองไทย สอดรับกับภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศที่กำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

แอนท์กรุ๊ปเผยความร่วมมือครั้งใหม่กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (“TAT”) เพื่อส่งเสริมแคมเปญ Amazing Thailand และกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทย นอกจากจะช่วยให้เกิดความสะดวกสบายด้านการชำระเงินและการทำธุรกรรมบนโมบายล์วอลเล็ตที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยแล้ว แอนท์กรุ๊ปยังให้บริการโซลูชันดิจิทัลกับธุรกิจท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นการบริการแบบดิจิทัลไลเซชัน, การทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่มีประสิทธิภาพ, และการพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งเน้นในการช่วยให้ร้านค้าท้องถิ่นสามารถปฏิสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพตลอดการเดินทาง ตั้งแต่ก่อนเดินทางจนจบการเดินทาง โดยธุรกิจท้องถิ่นสามารถใช้โซลูชัน Alipay+ D-storeTM  ในการสร้างร้านค้าดิจิทัลในรูปแบบมินิโปรแกรม และใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มในการเข้าถึงและดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยว

นายยุทธศักดิ์ สุภสร, ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT) กล่าวว่า “เราได้สร้างความไว้วางใจและความร่วมมือกับอาลีเพย์มานานหลายปีในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่ เรายินดีที่จะขยายความร่วมมือเพื่อเข้าถึงนักท่องเที่ยวอีกสามประเทศในเอเชียผ่านอาลีเพย์พลัส (Alipay+) ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สำคัญกับประเทศไทย”

“เราพร้อมสนับสนุนการทำงานของแอนท์กรุ๊ปเพื่อส่งเสริมการทำดิจิทัลไลเซชันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยการใช้บริการโซลูชันดิจิทัลที่ล้ำสมัยและทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้ค้าท้องถิ่น ซึ่งเรามั่นใจว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่การสร้างรายได้และสร้างโอกาสการเติบโตสำหรับธุรกิจท้องถิ่น”

การบินไทย คือหนึ่งในสายการบินรายแรก ๆ ที่ใช้ Alipay+ เป็นช่องทางการชำระเงิน นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการโมบายล์วอลเล็ตทั้งสี่รายสามารถชำระค่าตั๋วเครื่องบินผ่านโมบายล์วอลเล็ตได้อย่างราบรื่น และยังเพลิดเพลินไปกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่แข่งขันได้

ดร. เชอร์รี่ หวง, ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการร้านค้าออฟไลน์ของ Alipay+ แสดงความเห็นเกี่ยวกับการขยายการใช้งานล่าสุดของอาลีเพย์พลัส (Alipay+) ว่า “เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าการรองรับโมบายล์วอลเล็ตของประเทศในเอเชียมากขึ้นในประเทศไทยจะเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยว และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ยั่งยืน และน่าดึงดูดใจสำหรับนักท่องเที่ยว สิ่งที่เราให้ความสำคัญในวันนี้คือการให้ความรู้กับผู้ค้าท้องถิ่นในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว, ธุรกิจค้าปลีก, ธุรกิจhospitality และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อเชื่อมต่อและใช้ประโยชน์จากกโซลูชันอาลีเพย์พลัส (Alipay+)”

“เราหวังว่าจะได้ร่วมงานกับผู้ค้าท้องถิ่น ไม่เพียงแค่ในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเท่านั้น แต่รวมไปถึงพื้นที่ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว เพื่อช่วยภาคธุรกิจให้เติบโตและประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของโซลูชันดิจิทัล” ดร. เชอร์รี่ กล่าวเสริม

เมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยจำนวนการลงทะเบียนใหม่อย่างมหาศาลของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว โดยจำนวนการลงทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2566

แอนท์กรุ๊ปเปิดตัวอาลีเพย์พลัส (Alipay+) ตั้งแต่ปี 2563 มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง สามารถรับการชำระเงินผ่านโมบายล์วอลเล็ตได้หลากหลาย และเข้าถึงผู้บริโภคระดับภูมิภาคและทั่วโลกมากถึง 1 พันล้านคน ผ่านการเชื่อมระบบอย่างง่ายดายเพียงครั้งเดียว นอกจากประเทศไทยแล้ว อาลีเพย์พลัส (Alipay+) ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในจีนแผ่นดินใหญ่, มาเก๊า SAR, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, และอีกหลายประเทศ

Project Beacon: Nutanix Announces Vision for Hybrid Multicloud Platform-as-a-Service

Nutanix เปิดตัว Project Beacon เสริมแกร่งวิสัยทัศน์ Hybrid Multicloud Platform-as-a-Service

Project Beacon: Nutanix Announces Vision for Hybrid Multicloud Platform-as-a-Service

Aims to enable developers to write applications once and run them anywhere

 Nutanix (NASDAQ: NTNX), a leader in hybrid multicloud computing, announced Project Beacon, a multi-year effort to deliver a portfolio of data-centric Platform as a Service (PaaS) level services available natively anywhere – including on Nutanix or on native public cloud. With a vision of decoupling the application and its data from the underlying infrastructure, Project Beacon aims to enable developers to build applications once and run them anywhere.

According to the Enterprise Cloud Index, 75% of IT teams expect to leverage more than one IT infrastructure – including on-premises, in public cloud or at the edge – in the next one to three years. Moving applications to a different environment is currently possible at the infrastructure layer. However, the PaaS services that many organizations use to help developers build and ship applications faster cause lock-in as they are tied to specific public clouds. This leads to high switching costs when looking to move applications to an environment that is more suitable, whether it’s due to cost, compliance, latency or other factors. Project Beacon aims to change that.

“Project Beacon is our vision for enabling developers to write applications once and run them anywhere by delivering data-centric PaaS level services that are no longer tied to a single infrastructure provider,” said Rajiv Ramaswami, President & CEO at Nutanix. “We hope to enable enterprises to fully embrace the benefits of hybrid multicloud, not only at the infrastructure layer but also at the application data layer.”

As part of Project Beacon, Nutanix aims to deliver the platform services that many organizations rely on, with a single API and console, integrated with Kubernetes® container orchestration, and consistent management across environments. This suite of data-centric platform services would be characterized by a consistent and simplified management experience, automated mobility, portable licensing, developer self-service, with built-in security and governance for cloud operations teams. Through these services, developers would have access to a suite of data-centric PaaS services whether in native public cloud, on-premises or at the edge, while operations teams would be able to remain in full control of data governance, compliance and data protection.

“As the industry’s leading enterprise Kubernetes platform, Red Hat OpenShift helps customers build, deploy and manage any application, anywhere,” said Matt Hicks, President and Chief Executive Officer, Red Hat. “With Project Beacon, Nutanix will build on our mission with a vision of data-centric platform services delivered consistently, anywhere, further extending customer choice on Red Hat’s open hybrid cloud platforms with Nutanix’s advanced data services.”

Nutanix is starting with database services, the foundation of all apps. As part of this effort, the company aims to extend the customer benefits of the Nutanix Database Service (NDB) solution as a managed service in the public cloud. This will build on the NDB database automation and management experience already available on Nutanix Cloud Infrastructure (NCI), as a managed service on native public cloud infrastructure. 

Nutanix would then expand from there to the most popular data-centric platform services, such as streaming, caching and search. The goal of this effort is to deliver all key elements needed to build modern applications so that developers would not have to rely on solutions that will lock them into a single infrastructure.

“Organizations have come to rely on public cloud services to accelerate the speed of development and innovation, but there are trade-offs – in terms of complexity, cost, lock-in, and more,” said Dave Pearson, IDC RVP for Infrastructure Systems, Platforms and Technologies. “With Project Beacon, Nutanix aims to reduce lock-in and increase application development simplicity through unified management, automated mobility and the ability to write applications once and deploy them as-needed on appropriate infrastructure.”

 

Nutanix เปิดตัว Project Beacon เสริมแกร่งวิสัยทัศน์ Hybrid Multicloud Platform-as-a-Service

Nutanix เปิดตัว Project Beacon เสริมแกร่งวิสัยทัศน์ Hybrid Multicloud Platform-as-a-Service

Nutanix เปิดตัว Project Beacon เสริมแกร่งวิสัยทัศน์ Hybrid Multicloud Platform-as-a-Service

ตั้งเป้าให้นักพัฒนาสามารถเขียนแอปพลิเคชันเพียงครั้งเดียว สามารถนำไปใช้ได้ทุกที่

นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริดมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศเปิดตัว Project Beacon ซึ่งเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นตลอดหลายปีที่ผ่านมาของบริษัทฯ ในการนำเสนอพอร์ตโฟลิโอบริการด้าน data-centric Platform as a Service (PaaS) ที่ยึดดาต้าเป็นศูนย์กลางและพร้อมใช้งานได้ทุกที่ รวมถึงบนแพลตฟอร์มของนูทานิคซ์ หรือบนเนทีฟพับลิคคลาวด์ Project Beacon สร้างจากวิสัยทัศน์ในการแยกแอปพลิเคชันและดาต้าออกจากโครงสร้างพื้นฐานหลัก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถสร้างแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพียงครั้งเดียวและนำไปใช้ได้ทุกที่

ผลสำรวจจาก Enterprise Cloud Index ระบุว่า 75% ของทีมไอทีคาดว่าภายในหนึ่งถึงสามปีข้างหน้า จะใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีมากกว่าหนึ่งประเภท ไม่ว่าจะเป็นระบบที่อยู่ในองค์กร บนพับลิคคลาวด์ หรือที่ edge การเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันไปยังสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ ที่แตกต่างกันนั้น ปัจจุบันสามารถทำได้ในเลเยอร์ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม บริการ PaaS ต่าง ๆ ที่องค์กรจำนวนมากใช้เพื่อช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สร้าง และส่งแอปพลิเคชันให้เร็วขึ้นนั้นผูกติดกับพับลิคคลาวด์ที่เจาะจง ทำให้เกิดการล็อกอิน ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันไปยังสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกว่ามีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต้นทุน การปฏิบัติตามกฎระเบียบลาเทนซี่ หรือปัจจัยอื่น แต่ Project Beacon มีเป้าหมายที่จะทำให้ความท้าทายเหล่านี้หมดไป 

นายราจีฟ รามาสวามี ประธานและซีอีโอของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “Project Beacon คือวิสัยทัศน์ของเราที่ต้องการช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เขียนแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพียงครั้งเดียว แล้วสามารถนำไปใช้ที่ใดก็ได้ เรามอบบริการ data-centric PaaS ที่ยึดดาต้าเป็นศูนย์กลาง และไม่ผูกติดกับผู้ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีรายใดรายหนึ่ง เราหวังว่าจะสามารถช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ได้รับประโยชน์จากไฮบริดมัลติคลาวด์อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่เพียงในเลเยอร์ของโครงสร้างพื้นฐานไอทีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเลเยอร์ของแอปพลิเคชันดาต้าด้วย”

นูทานิคซ์มุ่งให้บริการแพลตฟอร์มเซอร์วิสที่องค์กรจำนวนมากต้องใช้ ให้เป็นส่วนหนึ่งของ Project Beacon ด้วย API และคอนโซลเดียว ที่ผสานการทำงานร่วมกับ Kubernetes® container และการบริหารจัดการที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันบนทุกสภาพแวดล้อม ชุด data-centric platform services
นี้จะมีความโดยเด่นด้วยวิธีการบริหารจัดการที่ง่ายและสอดคล้องกัน, การเคลื่อนย้ายได้แบบอัตโนมัติ, การนำไลเซนส์ไปใช้งานบนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ, นักพัฒนาสามารถบริการตนเองได้ ทั้งยังมาพร้อมกับความปลอดภัย และการกำกับดูแลที่มีให้กับทีมปฏิบัติการด้านคลาวด์ที่ติดตั้งมาพร้อมสรรพ บริการนี้จะช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เข้าถึงชุดบริการ PaaS ที่ยึดดาต้าเป็นศูนย์กลางนี้ได้ ไม่ว่าจะอยู่บนเนทีฟพับลิคคลาวด์, ระบบภายในองค์กร หรือที่ edge ในเวลาเดียวกันทีมปฏิบัติงานจะสามารถคงการควบคุมและกำกับดูแลดาต้า, การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และปกป้องข้อมูลได้อย่างเต็มที่

นายแมตต์ ฮิกส์ ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ของเร้ดแฮท กล่าวว่า “Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Kubernetes ชั้นนำในอุตสาหกรรมสำหรับใช้ในองค์กร ช่วยลูกค้าสร้าง ใช้ และบริหารจัดการแอปพลิเคชันใด ณ ที่ใดก็ได้ และด้วยการเปิดตัว Project Beacon นี้ นูทานิคซ์จะสร้างพันธกิจของเราด้วยวิสัยทัศน์การให้บริการ data-centric platform services ที่มีความสม่ำเสมอ ใช้ได้ทุกที่ และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าโอเพ่นไฮบริดคลาวด์แพลตฟอร์มของเร้ดแฮทด้วยบริการด้านดาต้าที่ล้ำหน้าของนูทานิคซ์”

บริการของนูทานิคซ์เริ่มจากบริการด้านดาต้าเบส ซึ่งเป็นรากฐานให้กับแอปพลิเคชันทั้งหมด และด้วย Project Beacon บริษัทตั้งเป้าให้ลูกค้าที่ใช้โซลูชัน Nutanix Database Service™ (NDB) ได้รับประโยชน์มากขึ้นในลักษณะ managed service บนพับลิคคลาวด์ โดยจะสร้างบนการบริหารจัดการและระบบอัตโนมัติด้านดาต้าเบสของ NDB ที่มีอยู่แล้วบน Nutanix Cloud Infrastructure (NCI) ในลักษณะ managed service บนโครงสร้างพื้นฐานเนทีฟพับลิคคลาวด์

จากนั้นนูทานิคซ์จะขยายบริการไปยัง data-centric platform services ที่ได้รับความนิยมมาก เช่น สตรีมมิง แคชชิง และเสิร์ช โดยเป้าหมายเพื่อให้บริการองค์ประกอบสำคัญทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างแอปพลิเคชันที่ทันสมัยที่จะช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่ต้องพึ่งพาโซลูชันที่จะล็อกพวกเขาไว้กับโครงสร้างพื้นฐานไอทีเดียว

Dave Pearson, IDC RVP for Infrastructure Systems, Platforms and Technologies กล่าวว่า “องค์กรต่าง ๆ ต้องพึ่งพาบริการพับลิคคลาวด์เพื่อเร่งการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมให้เร็วขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความซับซ้อน, ค่าใช้จ่าย, การล็อกอิน และอื่น ๆ อีกมากนูทานิคซ์ตั้งเป้าให้ Project Beacon ลดการล็อกอินและเพิ่มความเรียบง่ายในการพัฒนาแอปพลิเคชันผ่านการจัดการแบบรวมศูนย์ การเคลื่อนย้ายอัตโนมัติ และความสามารถในการเขียนแอปพลิเคชันเพียงครั้งเดียวให้สามารถนำไปใช้ได้ตามต้องการบนโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม”

Ericsson retains top ranking in Frost Radar™ Global 5G Network Infrastructure Market 2023 Report

รายงาน Frost Radar™ ฉบับล่าสุด เผยอีริคสันยังครองอันดับ 1 ผู้นำตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ทั่วโลก

Ericsson retains top ranking in Frost Radar™ Global 5G Network Infrastructure Market 2023 Report

Ericsson has been ranked as the leader in the Frost Radar™ 5G Network Infrastructure Market 2023 report for the third consecutive year, showing that the company’s enhanced efforts to invest in technology leadership for customers’ benefit continue to pay off.

Apart from retaining its top ranking, Ericsson has also gained important recognition for developing energy-efficient 5G RAN solutions that cater to customers’ needs.

Maintaining top ranking in the Frost Radar™ report over the past years has shown Ericsson’s consistent ability to scale its innovations and growth in the field, according to the yearly report from business consulting firm Frost & Sullivan. It also reaffirms Ericsson’s leadership in the 5G network infrastructure market, which spans radio access networks (RAN), transport networks, and core networks.

Fredrik Jejdling, Executive Vice President and Head of Networks at Ericsson, says: “It is rewarding to see our sustained efforts to increase the energy efficiency of Ericsson 5G solutions recognized in this Frost Radar report. We will continue to invest in technology leadership centered on innovation, openness, and growing our customers’ business.” 

Commenting on Ericsson’s top result, Troy Morley, Industry Principal, at Frost & Sullivan’s Information & Communication Technology group, says: “Ericsson has proven its ability to scale its innovations globally with 2G, 3G, 4G, and now 5G. The company invests significant amounts in R&D, and this is essential in a market in which technology is always evolving.” 

Ericsson currently powers 145 live 5G networks in 63 countries, which is the highest level that Frost & Sullivan has seen publicly reported.

“As a leader in the 4G infrastructure market, Ericsson enters the 5G market with a large customer base,” says Morley. “The company has done an excellent job keeping its current customers and adding new customers.”

Commenting further on the report, Morley says: “Energy efficiency is now the buzzword. While early 5G RAN solutions focused on proving the technology, Ericsson’s current 5G RAN solutions tout being smaller and lighter and saving energy, which is answering its customers’ needs.”

The Frost Radar™ report independently evaluates companies with a significant influence on the market in a particular industry. The Innovation and Growth scores are used to rate a company’s focus on continuous innovation and ability to translate innovations into consistent growth, as highlighted in the Frost Radar™ methodology. The report plots top industry participants, standing out among companies positioned as the overall market leaders, leaders in a market segment, or thought leaders in a specific segment.

In related news announced in March, Ericsson was also named a leader in the 2023 Gartner® Magic Quadrant™ for 5G Network Infrastructure for CSPs report.