อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว AI Image Generation Model – Tongyi Wanxiang เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว AI Image Generation Model - Tongyi Wanxiang เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว AI Image Generation Model - Tongyi Wanxiang เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน

พร้อมเปิดตัว ModelScopeGPT เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานทำงานด้าน AI ที่ซับซ้อนได้สำเร็จ

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เปิดตัว Tongyi Wanxiang – ทงอี้ ว่านเซี่ยง (‘Wanxiang’ หมายถึง ‘ภาพนับหมื่น ๆ ภาพ) ณ งาน World Artificial Intelligence Conference 2023, Tongyi Wanxiang เป็นโมเดล generative AI ที่ล้ำสมัย และพร้อมให้ลูกค้าองค์กรในประเทศจีนได้ทดสอบการใช้งานแบบ beta แล้ว

นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว ModelScopeGPT เฟรมเวิร์กที่มีความสามารถรอบตัวและออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้งานบรรลุเป้าหมายการทำงานด้าน AI ที่ซับซ้อนและเฉพาะทางทั้งโดเมนภาษา วิชั่น และคำพูด ด้วยการใช้ประโยชน์จากโมเดล AI ต่าง ๆ ที่ ModelScope มีให้ ModelScope เป็นแพลตฟอร์ม Model-as-a-Service (MaaS) ที่เป็นโอเพ่นซอร์สของอาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมา ประกอบด้วยโมเดล AI มากกว่า 900 รายการ     

นายจิงเหริน โซว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ของอาลีบาบา คลาวด์ กล่าวว่า “Tongyi Wanxiang เป็นตัวแทนของอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญในการสรรหาโมเดล generative AI ที่ล้ำหน้า เช่นเดียวกับที่เรายังเดินหน้าสำรวจเทคโนโลยีที่เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจและชุมชนสามารถนำพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการสร้างผลงานออกมาใช้งานได้มากขึ้น”

“การเปิดตัว Tongyi Wanxiang จะช่วยให้การสร้างรูปภาพด้วย generative AI คุณภาพสูงได้รับการใช้งานอย่างกว้างขวางมากขึ้น และช่วยสนับสนุนการพัฒนาศิลปะที่เป็น innovative AI และการแสดงออกที่สร้างสรรค์ของธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อีคอมเมิร์ซ เกม การออกแบบ และ การโฆษณา”

แนะนำการสร้างรูปภาพด้วย Tongyi Wanxiang

โมเดล generative AI นี้สามารถจัดการงานต่าง ๆ ได้อย่างเชี่ยวชาญ สามารถตอบสนองต่อการป้อนข้อความ (text prompts) ภาษาจีนและภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างรูปภาพที่เก็บรายละเอียดได้มากและหลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ใช้สีน้ำ สีน้ำมัน และจิตกรรมจีน ไปจนถึงแอนิเมชั่น ภาพสเก็ตช์ ภาพประกอบที่เน้นความเรียบง่าย (flat illustration) และการ์ตูนสามมิติ นอกจากนี้โมเดลยังสามารถแปลงรูปภาพใดก็ได้ให้เป็นรูปภาพใหม่ที่มีสไตล์คล้ายกัน และกำหนดสไตล์ของรูปภาพผ่านการทรานส์เฟอร์สไตล์ ซึ่งจะคงเนื้อหาของรูปภาพต้นฉบับไว้ในขณะที่ใช้การมองเห็นสไตล์ของอีกภาพหนึ่ง

โมเดลนี้ใช้ประโยชน์จากการฝึกและเรียนรู้เนื้อหาจากแหล่งที่มาหลายภาษา ที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีการจัดเตรียมด้านความรู้, วิชวล AI และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ที่ล้ำหน้าของอาลีบาบา คลาวด์ จึงสามารถเข้าใจความหมายของคำได้ดีมาก ดังนั้นจึงสามารถสร้างรูปภาพได้ถูกต้องและตรงตามบริบทที่ป้อนเข้ามายังโมเดลมากขึ้น

นอกจากนี้ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการกระจายที่มีความละเอียดสูงตามอัตราส่วน signal-to-noise โมเดลนี้สามารถสร้างความสมดุลระหว่างความแม่นยำขององค์ประกอบและความคมชัดของรายละเอียด ในขณะที่เพิ่มความสามารถในการสร้างรูปภาพที่มีคอนทราสต์สูง สวยงามตระการตา และมีพื้นหลังที่สะอาดตา

Tongyi Wanxiang พัฒนาโดยใช้ Composer ซึ่งเป็นโมเดลขนาดใหญ่ที่อาลีบาบา คลาวด์ เป็นเจ้าของ ช่วยให้สามารถควบคุมเอาต์พุตขั้นสุดท้ายของรูปภาพได้เป็นอย่างดี เช่น การจัดวางเชิงพื้นที่ (spatial layout) และกลุ่มเครื่องมือที่ใช้กำหนดคุณสมบัติต่าง ๆ ของรูปภาพ (palette) ในขณะที่ยังคงรักษาคุณภาพการผสานรวมรูปภาพและความคิดสร้างสรรค์ไว้ได้

กรุณาดูวิดีโอสาธิต Tongyi Wanxiang และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่ https://www.alizila.com/video/wach-how-alibaba-tongyi-wanxiang-creates-generative-ai-image/  

ลูกค้าองค์กรในประเทศจีนสามารถสมัครใช้การทดสอบรุ่นเบต้าของ Tongyi Wanxiang ได้ที่ https://wanxiang.aliyun.com/

เปิดตัว ModelScopeGPT เพื่อจัดการกับงาน AI ที่ซับซ้อน

อาลีบาบา คลาวด์ได้เปิดตัว ModelScopeGPT (https://modelscope.cn/studios/damo/ModelScopeGPT/) เฟรมเวิร์กทรงพลังที่ใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพของโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ต่าง ๆ (LLMs) ที่มีอยู่บนแพลตฟอร์ม โดย ModelScopeGPT จะใช้ LLMs เป็นเครื่องมือควบคุมการเชื่อมต่อกับโมเดลที่เชี่ยวชาญเฉพาะโดเมนจำนวนมากใน ModelScope open-source community ทั้งนี้ ModelScopeGPT สร้างอยู่ภายในระบบนิเวศ Model-as-a-Service ที่พรั่งพร้อม และใช้ความสามารถด้าน AI ต่าง ๆ ที่ให้บริการบนอาลีบาบา คลาวด์ ทั้งนี้องค์กรและนักพัฒนาสามารถใช้ ModelScopeGPT ได้ฟรี โดยสามารถเข้าถึงและใช้โมเดลที่เหมาะกับตนเองมากที่สุดเพื่อการทำงานด้าน AI ที่ซับซ้อน ตามคำขอของผู้ใช้งาน เช่น การพัฒนาวิดีโอหลายภาษา

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวโมเดลขนาดใหญ่ด้านภาษา (LLM) ที่มีชื่อว่า Tongyi Qianwen เมื่อเดือนเมษายน และวางแผนที่จะนำ LLM นี้ไปใช้กับธุรกิจต่าง ๆ ของอาลีบาบาในอนาคตอันใกล้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน ลูกค้าของบริษัทฯ และนักพัฒนาจะสามารถเข้าใช้โมเดลนี้ เพื่อสร้างฟีเจอร์ AI ที่เหมาะกับตนเองด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง ทั้งนี้ตั้งแต่เปิดตัวโมเดลนี้มา มีคำขอเข้าทดสอบแบบเบต้ามากกว่า 300,000 รายการจากองค์กรหลายภาคส่วน เช่น ฟินเทค อิเล็กทรอนิกส์ ภาคการขนส่ง แฟชั่น และผลิตภัณฑ์จากนม

นอกจากนี้ยังมีการนำ Tongyi Qianwen ผสานรวมกับ Tingwu ซึ่งเป็นผู้ช่วยที่ชาญฉลาดของอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อช่วยให้ผู้ช่วยนี้เข้าใจและวิเคราะห์เนื้อหามัลติมีเดียได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง ตั้งแต่เปิดตัวมา มีผู้ใช้งานผู้ช่วยที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้กว่า 360,000 ราย

การแข่งขัน AI Hackathon เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สร้างนวัตกรรม

นอกจากนี้ยังมีการจัดงาน AI Hackathon เป็นครั้งแรกโดย ModelScope งานครั้งแรกนี้จัดขึ้นที่ประเทศจีน เพื่อสนับสนุนการใช้แอปพลิเคชันที่เป็นโมเดลด้าน AI ต่าง ๆ โดยมีรางวัลจูงใจเป็นเงินสดและโอกาสในการระดมทุนจากบริษัทร่วมทุนชั้นนำต่าง ๆ

การแข่งขันนี้มี 56 ทีมจากผู้เข้าร่วมมากกว่า 300 ทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย โดยต้องเข้าร่วมการแข่งขันสองแทร็กเพื่อชิงรางวัลใหญ่ แทร็กแรกคือสร้างนวัตกรรมด้วยโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง แทร็กที่สองคือทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จโดยใช้ pretrained model ต่าง ๆ เช่น การสร้างภาพจากข้อความคำสั่ง หรือ สร้างเอเจนต์อิสระที่ขับเคลื่อนด้วย LLM เพื่อใช้โมเดลที่ถูกต้องกับงานที่เฉพาะเจาะจง

นายจิงเหริน โซว กล่าวว่า “เราจัดการแข่งขันและกิจกรรมชุมชนอื่น ๆ เหล่านี้ เพราะต้องการให้นักพัฒนาและผู้ประกอบการมีส่วนร่วมมากขึ้น และส่งเสริมพวกเขาให้นำและทำไอเดียของตนให้เป็นจริง ปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างเครื่องมือ AI ที่เปลี่ยนและกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมของเราได้หลากหลายมากขึ้น”

ส่องกำลังซื้อต่างชาติกับการฟื้นตัวตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

ส่องกำลังซื้อต่างชาติกับการฟื้นตัวตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

ส่องกำลังซื้อต่างชาติกับการฟื้นตัวตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับปัจจัยบวกทั้งจากกำลังซื้อต่างชาติที่เริ่มกลับมา เห็นได้ชัดหลังจากจีนประกาศเปิดประเทศเมื่อต้นปี ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่าง ๆ มีแนวโน้มฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอีกครั้ง และภาวะเงินเฟ้อที่ไม่ร้อนแรงเหมือนในปีที่ผ่านมา แต่กำลังซื้อผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ยังไม่กลับมา มีทั้งปัจจัยท้าทายหลัก ๆ จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ทำให้กำลังซื้อต่างชาติกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้

กำลังซื้อชาวต่างชาติกับบทบาทในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ไทย

ข้อมูลล่าสุดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (1 มกราคม – 31 มีนาคม) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้ในประเทศมากกว่า 250,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมากเป็นอันดับ 1 ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงถึง 7-8 ล้านคน 

ล่าสุด กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ยังได้ออกกฎกระทรวงซึ่งเอื้อต่อการนำที่อยู่อาศัยมาให้บริการในรูปแบบของโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อหารายได้ โดยได้รับการผ่อนผัน ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับที่ว่างของอาคาร, ช่องทางเดินในอาคาร, ความกว้างของบันได และระยะถอยร่นแนวอาคาร ฯลฯ แต่ทั้งนี้ อาคารที่จะเปลี่ยนการใช้ดังกล่าวต้องมีความมั่นคงแข็งแรงและมีระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว

ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 3.6% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 29.5 ล้านคน และจะมีรายได้จากกลุ่มนี้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ รวมไปถึงการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศขยายตัว 79.2% ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 67.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นทิศทางการฟื้นตัวที่ดีในตลาดอสังหาฯ หลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ ทำให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไทยได้ดังเดิม

ฟื้นหรือฟุบ? เกาะติดความเคลื่อนไหวอสังหาฯ หัวเมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส คาดว่าในปี 2566 สัดส่วนชาวต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาจจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 15% ของมูลค่าทั้งหมด หลังจากที่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 14.6% ดังนั้น กำลังซื้อชาวต่างชาติจึงอาจไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทยอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ 

นอกจากนี้ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ยังคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นตลาดที่เอื้อให้ชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในไทยอย่างถูกกฎหมายให้มีมากขึ้น โดยไม่ผ่านตัวแทนหรือนอมินี (Nominee) ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com และแอปพลิเคชัน DDproperty ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2566) อัปเดตเทรนด์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, ชลบุรี และนครราชสีมา สะท้อนให้เห็นทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ไทย หลังกำลังซื้อต่างชาติกลับมาอีกครั้งหลังจากเปิดประเทศเต็มรูปแบบ

ส่องกำลังซื้อต่างชาติกับการฟื้นตัวตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกปี 66

กรุงเทพฯ

ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ยังมีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม 

ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า คอนโดมิเนียมมีทิศทางการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 6% จากเดือนมกราคม ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ยังทรงตัว

เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความต้องการซื้อคอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด (เพิ่มขึ้น 10% และ 4% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) ซึ่งสอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทจะได้รับความนิยมมากที่สุด (ลดลง 3% จากเดือนมกราคม)

ในส่วนทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 หากเป็นคอนโดฯ จะอยู่ในแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง ส่วนทำเลยอดนิยมที่ผู้ซื้อบ้านเดี่ยวให้ความสนใจจะอยู่ในแขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง ขณะที่แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวงถือเป็นทำเลที่มีความต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์สูงที่สุด 

ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเชียงใหม่

เชียงใหม่

อีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึง 14% MoM แต่ลดลงถึง 28% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม เนื่องจากปัจจัยลบที่มีอย่างต่อเนื่องของปัญหาฝุ่นควัน รวมถึงตลาดท่องเที่ยวที่เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร และปรับลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ ปรับลดลงมากที่สุดในสัดส่วนเท่ากันที่ 35% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ (ลดลง 25% จากเดือนมกราคม)

เมื่อพิจารณาตามระดับราคา พบว่า ระดับราคาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในทุกประเภทที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดฯ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว คือ 1-3 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6%, ลดลง 28% และลดลง 45% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) 

ทำเลยอดนิยมที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในเชียงใหม่ส่วนใหญ่จะอยู่ในตัวเมือง โดยทำเลที่ผู้บริโภคสนใจซื้อคอนโดฯ มากที่สุด คือตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ส่วนทำเลฝั่งทาวน์เฮ้าส์ที่ได้รับความนิยมจะอยู่ในตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ ขณะที่ทำเลยอดนิยมของบ้านเดี่ยวจะอยู่ในตำบลสันผักหวาน อำเภอหางดง

ตลาดที่อยู่อาศัยของภูเก็ต

ภูเก็ต

ตลาดที่อยู่อาศัยของภูเก็ตในเดือนพฤษภาคมยังคงทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า เมื่อพิจารณาภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า ลดลง 13% จากเดือนมกราคม 

โดยคอนโดฯ เป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 10% สวนทางกับที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวที่ลดลงถึง 26% ส่วนทาวน์เฮ้าส์ลดลง 15% จากเดือนมกราคม

เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดฯ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว (เพิ่มขึ้น 7%, ลดลง 4% และลดลงถึง 62% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) 

ขณะที่ทำเลที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่าความนิยมกระจายไปในพื้นที่อำเภอเมืองภูเก็ตเป็นหลัก โดยทำเลที่ได้รับความนิยมในการซื้อคอนโดฯ อยู่ที่ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต ด้านบ้านเดี่ยวจะได้รับความนิยมในเขตตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีคนสนใจซื้อในตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ตมากที่สุด

ตลาดอสังหาฯ ในชลบุรี

ชลบุรี 

ตลาดอสังหาฯ ในชลบุรีมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ประกอบกับมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมไปถึงการพัฒนาระบบคมนาคมและนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงทำให้ชลบุรีโดดเด่นทั้งด้านท่องเที่ยวและด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมเติบโต 9% MoM 

นอกจากนี้ ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังเพิ่มขึ้น 3% จากเดือนมกราคม โดยทาวน์เฮ้าส์ได้รับความสนใจ มีการความต้องการซื้อเพิ่มถึง 21% ตามมาด้วยคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 9% โดยมีเพียงบ้านเดี่ยวเท่านั้นที่ความต้องการซื้อลดลง 4% 

เมื่อพิจารณาตามระดับราคาที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด พบว่า อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท ในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดฯ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว (เพิ่มขึ้น 11%, เพิ่มขึ้น 20% และลดลง 6% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) 

สำหรับทำเลยอดนิยมในชลบุรีนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง ที่เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ EEC จึงทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยบ้านเดี่ยวจะได้รับความต้องการซื้อมากที่สุดในตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา ทาวน์เฮ้าส์จะเป็นที่นิยมในตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา ขณะที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุงจะเป็นทำเลยอดนิยมในการซื้อคอนโดฯ

ตลาดอสังหาฯ ในนครราชสีมา

นครราชสีมา

นครราชสีมามีศักยภาพในการเป็นเมืองศูนย์กลางของระบบการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่สำคัญในอนาคต โดยมีโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา หรือมอเตอร์เวย์ (M6) รวมทั้งแผนพัฒนารถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และท่าเรือบกในอนาคต 

แม้ว่าจะมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองยังต้องพึ่งพาความชัดเจนจากความคืบหน้าของโครงการคมนาคมต่าง ๆ ด้วย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมายังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า 

ขณะที่ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 นั้นลดลง 27% จากเดือนมกราคม และปรับตัวลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยทาวน์เฮ้าส์ลดลงมากที่สุดถึง 55% จากเดือนมกราคม ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว และคอนโดฯ (ลดลง 28% และลดลง 11% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ)

โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจมากที่สุด พบว่า คอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ อยู่ในระดับราคา 1-3 ล้านบาท (ลดลง 19% และลดลง 46% จากเดือนมกราคม ตามลำดับ) สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ มากกว่าเน้นความหรูหราแบบบ้านพักตากอากาศ ส่วนบ้านเดี่ยวอยู่ในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท ลดลง 45% จากเดือนมกราคม 

ด้านทำเลที่อยู่อาศัยยอดนิยมนั้น อำเภอปากช่องยังคงเป็นทำเลยอดนิยมที่ผู้คนให้ความสนใจค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยทำเลที่มีความต้องการซื้อคอนโดฯ และบ้านเดี่ยวมากที่สุดอยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์จะได้รับความนิยมซื้อในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา 

Alibaba Cloud’s Energy Expert Helps Analyze Carbon Footprint for The First Olympic Esports Week

Alibaba Cloud Launches Carbon Management Solution

Alibaba Cloud’s Energy Expert Helps Analyze Carbon Footprint for The First Olympic Esports Week

AI-driven carbon measurement and fan engagement tools trialed at Olympic Esports Week

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, today announced that its AI-driven sustainability solution – Energy Expert – has been trialed to measure and analyze carbon emissions from temporary construction built to host the first Olympic Esports Week, generating data-driven insights on the choice of materials and equipment. The tool has been deployed through Alibaba Cloud’s partnership with the International Olympic Committee (IOC).

Alibaba Cloud deployed its proven carbon measurement tool, Energy Expert, to measure and analyze the carbon emissions of the event’s temporary construction. A series of metrics including the impact of energy consumption, waste management, signage and decoration were assessed. This software-as-a-service tool was used by the Local Organizing Committee to compare the relative impacts of several types of materials and equipment.

Leveraging the latest tech-driven sustainability solution, Energy Expert allows event organizers to identify the sources of the carbon emissions from venue construction and operation, quantify the carbon footprint generated by a venue and visualize a venue’s sustainability performance via an integrated dashboard and online reports.

According to Alibaba Cloud’s Energy Expert, the carbon footprint of temporary construction for the Olympic Esports Week 2023 is estimated at 274 tons CO2e, after replacing 60% of printed signage with digital alternatives which led to 14 tons CO2e of carbon dioxide emissions reductions, as well as reusing 50% of carpets after the event that would slash emissions further by 10 tons CO2e.

“We are always looking for ways to reduce our impact on the environment, and we’re pleased to work with Alibaba Cloud to apply cutting-edge technologies to measure carbon emissions so we can continue to make a difference,” said Vincent Pereira, Head of Virtual Sport of IOC Sports Department.

“We have been supporting the IOC’s digital transformation of the Olympics since Tokyo 2020, and it has been an honour to be part of this latest, historic milestone for virtual sport. Sustainability is one of the priorities for our sports innovation roadmap. As the sports industry continues to evolve, we’re passionate about providing organizations with timely data, actionable insights and energy-saving recommendations that make positive and tangible impacts,” said Selina Yuan, President of International Business, Alibaba Cloud Intelligence.

The first Olympic Esports Week marks the latest step in the collaboration between the IOC and Alibaba on digital transformation – following the success of developing sports innovations for Tokyo 2020 and Beijing 2022 – and is Alibaba’s first large-scale international project to tackle carbon emissions within the esports industry.

The esports industry has a growing environmental impact as the sport becomes more mainstream. Industry analysis estimates that in 2022 a single esports team could create as much as 100 tonnes of CO2 emissions [1]. Individual consumption is also growing as 40% of the global population (three billion people) now play video games, according to industry analyst firm DFC Intelligence, meaning that there’s a significant impact to be addressed.

Besides the carbon measurement of temporary construction, to draw public attention on the importance of reducing carbon footprints, Alibaba Cloud’s web application for Olympic Esports Week, invites the public to take photos of items around them (such as keyboards and headsets) to help understand the carbon footprint of each item and actions that can be taken to reduce this footprint, such as increasing the lifetime of digital equipment or buying second hand equipment. This is achieved through integrating Alibaba Cloud’s AI technologies with traditional emission datasets. Participants can also pledge to take carbon reduction actions in their daily life, such as bringing their e-waste to dedicated collection points for recycling. Participants agreeing to the pledge can earn points on the app, with an aim to earn a Sustainability Champion badge, as part of the web application.

The inaugural Olympic Esports Week, taking place at Suntec Singapore Convention & Exhibition Centre, features the best of virtual sports, including esports competitions, exhibition matches, exhibitions of the latest innovations, as well as a series of panel discussions and education sessions organized by IOC. The festival also played host to the Olympic Esports Series finals, which was the culmination of this year’s Olympic Esports Series which saw top Olympic Esports athletes from around the world competing in ten disciplines for a gold medal.

As a global leading cloud infrastructure provider, Alibaba Cloud is committed to helping organizations slash carbon emissions with emerging technologies such as intelligence computing and AI technologies. Leading the forefront of this notion, Alibaba Cloud strives to achieve Scope 1, 2 and 3 carbon neutrality and commits to powering its cloud computing with 100% clean energy by 2030.

[1] Esports Insider, Is ‘going green’ the future of esports?

ครั้งแรกของการจัดงาน Olympic Esports Week นำ Energy Expert ของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพริ้นท์

Alibaba Cloud Launches Carbon Management Solution

ครั้งแรกของการจัดงาน Olympic Esports Week นำ Energy Expert ของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพริ้นท์

ทดลองใช้โซลูชันวัดปริมาณคาร์บอนที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเครื่องมือที่แฟนคลับนำมาใช้เพื่อร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในงาน

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศว่ามีการนำ Energy Expert ซึ่งเป็นโซลูชันด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อวัดและวิเคราะห์การปล่อยก๊าซคาร์บอน ไปทดลองใช้ ณ สถานที่ใช้จัดงานชั่วคราว Olympic Esports Week ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยสร้างข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ และใช้เครื่องมือวัดและวิเคราะห์ ผ่านความร่วมมือของอาลีบาบา คลาวด์ และ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC)

อาลีบาบา คลาวด์ นำ Energy Expert ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดปริมาณคาร์บอนที่พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว เพื่อวัดและวิเคราะห์การปล่อยก๊าซคาร์บอน ณ งาน Olympic Esports Week ชุดของตัวชี้วัดประกอบด้วย การประเมินผลกระทบจาก การใช้พลังงาน การจัดการของเสีย ป้ายที่จัดแสดงและการตกแต่ง โดยคณะกรรมการจัดงานในประเทศเป็นผู้ใช้เครื่องมือ software-as-a-service นี้ เพื่อเปรียบเทียบผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับวัสดุและอุปกรณ์หลายประเภท

 Energy Expert เป็นโซลูชันด้านความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล่าสุด ที่จะช่วยให้ผู้จัดงานระบุที่มาของการปล่อยก๊าซคาร์บอนในสถานที่จัดงานและการดำเนินงาน สามารถวัดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนในสถานที่จัดงาน และแสดงให้เห็นประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนของสถานที่จัดงานผ่านแดชบอร์ดเดียว และผ่านการรายงานออนไลน์

ข้อมูลจาก Energy Expert ของอาลีบาบา คลาวด์ คาดว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสถานที่จัดงานชั่วคราวนี้จะอยู่ที่ประมาณ 274 ตัน CO2e (CO2e = คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) หลังจากแทนที่ 60% ของป้ายพิมพ์ที่เป็นวัสดุด้วยป้ายดิจิทัล ซึ่งจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 14 ตัน CO2e รวมถึงการนำพรม 50% ของทั้งหมดมาใช้ซ้ำหลังงานจบแล้ว ซึ่งจะลดการปล่อยก๊าซลงได้อีก 10 ตัน CO2e

วินเซนต์ เพอร์เรียร่า, หัวหน้าด้านเวอร์ชวลอีสปอร์ต ฝ่ายกีฬาของ IOC กล่าวว่า “เรามองหาแนวทางลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และเรายินดีที่ได้ทำงานร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อให้เราสร้างความยั่งยืนได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

เซลิน่า หยวน ประธานด้านธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “เราสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้กับการแข่งขันโอลิมปิกของ IOC มาตั้งแต่โอลิมปิกฤดูร้อนที่โตเกียวเมื่อปี 2020 และเรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเวอร์ชวลสปอร์ตครั้งสำคัญล่าสุดนี้ ความยั่งยืนเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญและจัดอยู่ในโรดแมปด้านนวัตกรรมที่รองรับด้านกีฬาของเรา ในเวลาที่อุตสาหกรรมกีฬาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อาลีบาบา คลาวด์ เองก็มุ่งมั่นสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ ได้รับข้อมูลอย่างทันท่วงที มีข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ปฏิบัติได้ รวมถึงให้คำแนะนำในการประหยัดพลังงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรได้รับผลเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม”

งาน Olympic Esports Week ครั้งแรกนี้นับเป็นความร่วมมือล่าสุดด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ IOC และอาลีบาบา หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมด้านกีฬาในงานโอลิมปิกฤดูร้อนที่โตเกียวเมื่อปี 2020 และโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่งเมื่อปี 2022 อีกทั้งยังเป็นโปรเจกต์ขนาดใหญ่ระดับนานาชาติโปรเจกต์แรกของอาลีบาบาที่มีเป้าหมายในการรับมือกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมอีสปอร์ต

อุตสาหกรรมอีสปอร์ต ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะกีฬานี้ได้รับความนิยมมากขึ้น การวิเคราะห์ของอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่าในปี 2022 ทีมอีสปอร์ตหนึ่งทีมอาจสร้าง CO2 ได้มากถึง 100 ตัน[1] นอกจากนี้ข้อมูลจาก DFC Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์อุตสาหกรรม ระบุว่า การใช้งานส่วนบุคคลจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน 40% ของประชากรโลก (สามพันล้านคน) เล่นวิดีโอเกม ซึ่งนั่นหมายความว่ามีผลกระทบจำนวนมากที่ต้องได้รับการแก้ไข

นอกจากการวัดปริมาณคาร์บอนของสถานที่จัดงานชั่วคราวแล้ว  อาลีบาบา คลาวด์ ดึงความสนใจของสาธารณชนให้เห็นถึงความสำคัญของการลดคาร์บอนฟุตพริ้นซ์ ผ่านเว็บแอปพลิเคชันสำหรับ Olympic Esports Week ของอาลีบาบา คลาวด์ ที่เชิญชวนให้ทุกคนถ่ายภาพสิ่งของรอบตัว (เช่น คีย์บอร์ดและชุดหูฟัง) เพื่อจะได้เข้าใจคาร์บอนฟุตพริ้นซ์ของสิ่งของเหล่านั้น และลดคาร์บอนฟุตพริ้นซ์ของสิ่งของนั้น ๆ เช่น เพิ่มอายุการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล หรือซื้ออุปกรณ์มือสอง เป็นต้น เพื่อความสำเร็จของกิจกรรมนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ผสานรวมเทคโนโลยีต่าง ๆ ของบริษัทฯ เข้ากับชุดข้อมูลการปล่อยก๊าซแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังสามารถให้คำมั่นในการลดคาร์บอนในชีวิตประจำวันของตน เช่น การนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปไว้ ณ จุดที่รวบรวมเพื่อการรีไซเคิล โดยผู้เข้าร่วมที่ให้คำมั่นจะได้รับคะแนนจากแอป ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของเว็บแอปพลิเคชัน โดยมีเป้าหมายคือการได้รับเครื่องหมาย Sustainability Champion

Olympic Esports Week ครั้งแรกนี้ จัดขึ้นที่ Suntec Singapore Convention & Exhibition Centre นำเสนอเวอร์ชวลสปอร์ตที่โดดเด่นที่สุด เช่น การแข่งขันอีสปอร์ต, แมตช์แข่งขันกระชับมิตร, การจัดแสดงนวัตกรรมล่าสุด รวมถึงการจัดเสวนาต่าง ๆ และเซสชันเพื่อการเรียนรู้ที่จัดโดย IOC ในงานครั้งนี้ยังมีการจัดการแข่งขัน Olympic Esports Series รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นการแข่งขันรอบสำคัญที่สุดของ Olympic Esports Series ปีนี้ โดยมีนักกีฬา Olympic Esports ชั้นนำจากทั่วโลกมาร่วมแข่งขันเพื่อชิงเหรียญทองในสิบโหมดเกมกีฬา

อาลีบาบา คลาวด์ ในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ชั้นนำของโลก มุ่งมั่นช่วยองค์กรต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีด้านการประมวลผลอัจฉริยะและ AI และด้วยการเป็นผู้นำของแนวคิดนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนใน scope 1, 2 และ 3 และให้คำมั่นที่จะขับเคลื่อนคลาวด์คอมพิวติ้งของบริษัทฯ ด้วยพลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2030

[1] Esports Insider, Is ‘going green’ the future of esports?

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth continues

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth continues

Ericsson Mobility Report: Global 5G growth continues

    • 5G mobile subscriptions are growing in every region and forecast to top 1.5 billion globally by the end of 2023
    • Continued revenue growth in leading 5G markets
    • Mobile data traffic continues to grow strongly in Southeast Asia and Oceania, expected to reach around 54 GB/month in 2028

Despite geopolitical challenges and macroeconomic slowdown in some markets, communications service providers worldwide are continuing to invest in 5G, the June 2023 edition of the Ericsson (NASDAQ: ERIC) Mobility Report shows.

Mobile data traffic per smartphone in Southeast Asia and Oceania continues to grow strongly in Southeast Asia and Oceania and is expected to reach around 54 GB per month in 2028 – a CAGR of 24 percent. Total mobile data traffic is estimated to grow from around 13 EB per month in 2022 to 55 EB per month in 2028, growing at a CAGR of 27 percent.

5G subscriptions are forecast to reach around 430 million by the end of 2028 and will contribute 34% of all mobile subscriptions in the region by that time. In terms of 5G coverage, by the end of 2022:

    • 5G was available to around 50 percent of the population in Malaysia and 66 percent in the Philippines.
    • More than 80 percent of the population in Australia and Thailand had access to 5G
    • Singapore achieved more than 95 percent coverage by mid-2022

The number of smartphone subscriptions in the region is projected to grow at a CAGR of 3 percent, reaching over 1.12 billion by 2028 from 930 million at the end of 2022. 4G is also showing growth with subscriptions expected to reach 770 million in 2028 from 640 million at the end of 2022 – a CAGR of 3%.

Following the launch of 5G services in October 2022, the major 5G Indian market is witnessing huge network deployments under its Digital India initiative. 5G subscriptions in India reached about 10 million by end of 2022 and are estimated to account for about 57 percent of mobile subscriptions in the country by the end of 2028, making it the fastest growing 5G region globally.

The latest Ericsson Mobility Report also reveals that the uptake of 5G subscriptions in North America has been stronger than expected in previous forecasts. At the end of 2022, the region had the highest 5G global subscription penetration at 41 percent.

5G subscriptions are rising in every region worldwide and forecast to reach 1.5 billion by the end of 2023. Global mobile network data traffic continues to grow with the monthly global average usage per smartphone expected to exceed 20 GB by the end of 2023.

The report also shows continued revenue growth in leading 5G markets. Fredrik Jejdling, Executive Vice President and Head of Networks, Ericsson, says: “The global adoption of 5G technology has surpassed one billion subscriptions, bringing positive revenue growth for communications service providers in leading 5G markets. We see a strong link between the increase in 5G subscriptions and service revenue. Over the past two years, the introduction of 5G services in the top twenty markets has resulted in a seven percent revenue boost. This trend shows the growing value of 5G, benefiting users and service providers alike.”

Igor Maurell, Head of Ericsson Thailand states, “As a long term and trusted connectivity provider in Thailand, Ericsson will continue to work with Service Providers to ensure successful coverage and capacity deployments with resilient network performance, scalability, simplicity, and security as a primary focus. We are also working closely with key Communications service providers in the country, the Government as well as industry and academia to develop the 5G eco system in the country so that the country’s Thailand 4.0 Vision is achieved.”

Worldwide, around 240 communications service providers (CSPs) have launched commercial 5G services and about 35 have deployed or launched 5G standalone (SA). The most common 5G services launched by service providers for consumers are enhanced mobile broadband (eMBB), Fixed Wireless Access (FWA), gaming and some AR/VR-based services, such as training and education.

The report also reveals that 5G continues to drive innovation in mobile service packaging. Among CSPs, it is increasingly common to offer bundles with various popular entertainment services included such as television, music streaming or cloud gaming platforms. About 58 percent of 5G service providers currently do this in various forms.

More than 100 CSPs, comprising about 40 percent of FWA service providers, currently offer FWA over 5G.

FWA is growing solidly in terms of:

    • Number of mobile service providers offering FWA 
    • Proportion of those offering FWA over 5G 
    • Proportion of CSPs with speed-based tariff structures 
    • Amount of traffic served, as both number of connections and traffic volume per connection increase.

By 2028 5G is estimated to account for almost 80 percent of all FWA connections.

The June 2023 Ericsson Mobility Report includes four in-depth articles:  

    • Exploring how traffic patterns drive network evolution
    • Exploring differentiated service with 5G networks
    • AR uptake enabled by mobile networks
    • Mobile quality of experience: Network readiness for new services