Red Hat ผสานพลัง Intel มอบ Open Source Industrial Automation ให้กับโรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต

Nokia และ Red Hat ประกาศความร่วมมือให้บริการ โซลูชันโทรคมนาคมระดับ Best-in-Class บนแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานของ Red Hat และ Core Network Applications ของ Nokia

Red Hat ผสานพลัง Intel มอบ Open Source Industrial Automation ให้กับโรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต

ผู้ผลิตจะสามารถเข้าถึง industry edge platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่จะช่วยให้เกิดโรงงานที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ และเป็นอัจฉริยะมากขึ้น

Red Hat ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ ด้าน industrial edge ที่ออกแบบร่วมกับ Intel ซึ่งจะมอบแนวทางที่ทันสมัยในการสร้างและควบคุมการดำเนินงานทางอุตสาหกรรมต่าง ๆ แพลตฟอร์มนี้จะช่วยทรานส์ฟอร์มวิธีการดำเนินการ มอบความสามารถในการสเกลและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ผ่านเทคโนโลยีด้านไอทีที่มีมาตรฐาน ส่งตรงถึงโรงงาน และมอบข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ให้กับผู้ผลิต ซึ่งจะช่วยให้เวนเดอร์ด้านระบบควบคุมอุตสาหกรรม (industrial control system: ICS), ผู้วางระบบ (SIs) และผู้ผลิตสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานแบบแมนนวลให้เป็นแบบอัตโนมัติ เช่น การพัฒนาระบบ, การใช้และการบริหารจัดการ, การลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์, เพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาตามที่กำหนดและคาดการณ์ไว้ได้เพื่อความคล่องตัวของโรงงาน, วางเวิร์กโหลดที่กำหนดและไม่ได้กำหนดไว้ไว้ ณ โลเคชันเดียวกัน และลดเวลาในการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการและส่งมอบผลิตภัณฑ์

โรงงานอัจฉริยะหรือโรงงานที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์กำลังมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ผู้ผลิตสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ข้อมูลจากรายงานของ McKinsey ระบุว่า “การผลิตอัจฉริยะมีศักยภาพที่จะสร้างมูลค่าสูงถึง 3.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2568 ทั้งยังขับเคลื่อนการเติบโต นวัตกรรม และความสามารถในการแข่งขันให้กับทุกภาคส่วน” นอกจากนี้ การขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ระหว่างไอทีและเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติงาน (OT) จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถทำงานร่วมกับฟังก์ชันการทำงานใหม่ ๆ เพิ่มความแข็งแกร่งและเร่งความเร็วในการดำเนินงานได้แบบเชิงรุก ด้วยความคล่องตัวและความชาญฉลาดของการสเกลได้ตามต้องการ

แพลตฟอร์ม industrial edge นี้มุ่งหมายที่จะมอบโซลูชันแบบองค์รวมที่ครอบคลุมตั้งแต่การควบคุมระบบการผลิตแบบเรียลไทม์ การใช้ AI/machine learning (AI/ML) ไปจนถึงการจัดการด้านไอทีอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นการมอบทางเลือกที่ดีขึ้นแก่ลูกค้า ในด้านสถาปัตยกรรมในรูปแบบ data gravity หรือ edge-to-cloud และปรับปรุงมาตรฐานหลักสำหรับการวัดประสิทธิภาพของการผลิต (overall equipment efficiency: OEE) เพื่อสนับสนุนความพยายามนี้อย่างต่อเนื่อง Red Hat และ Intel จึงทำงานร่วมกันเพื่อรวมแพลตฟอร์มที่ใช้ Intel และ Intel Edge Controls for Industrial (Intel ECI) เข้ากับ Red Hat Enterprise Linux เวอร์ชันปัจจุบันและเวอร์ชันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเริ่มจากการร่วมมือกันในคอมมูนิตี้ Linux ต่าง ๆ เช่น  Fedora Project และ CentOS Stream ความร่วมมือนี้ยังขยายไปถึงการนำการควบคุมและแพลตฟอร์มเหล่านี้ไปใช้กับ Red Hat Device Edge (early access), Red Hat Ansible Automation Platform และ Red Hat OpenShift ซึ่งองค์กรต่าง ๆ จะได้รับประโยชน์จากความสามารถต่าง ๆ ดังนี้

  • ความสามารถแบบเรียลไทม์ครบวงจร ตั้งแต่ซิลิคอนไปจนถึงซอฟต์แวร์ เพื่อรองรับระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่คาดการณ์ได้
  • การจัดการขั้นสูงและเน็ตเวิร์กอัตโนมัติ สำหรับการใช้และการจัดการระบบโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมากเกินไป สามารถสร้างและจัดการเน็ตเวิร์กทางอุตสาหกรรมได้ง่ายด้วยการใช้เครื่องมือที่เป็นมาตรฐานเปิดที่กำหนดไว้เป็นสากล
  • ความสามารถในการสเกลและความยืดหยุ่น ด้วยการใช้แพลตฟอร์มที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ ที่ช่วยให้เคลื่อนย้ายการทำงานได้สะดวกมากขึ้น มีการควบคุมที่สเกลได้ และมีความสามารถในการปรับตัวได้สูงสุด
  • การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก ซึ่งขับเคลื่อนด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีความพร้อมใช้สูงและมีการทำซ้ำที่ built-in มาเบ็ดเสร็จในแพลตฟอร์ม
  • การผสานรวม AI เวิร์กโหลดได้อย่างไม่ยุ่งยาก ด้วยความสามารถในการนำ AI เวิร์กโหลดมารันไว้ถัดจากคอนโทรลเวิร์กโหลด ซึ่งเป็นการช่วยลดความซับซ้อนที่เกิดจากฮาร์ดแวร์ และสามารถใช้ AI ไปเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคุณภาพผลิตภัณฑ์ เวลาทำงานของระบบ ความจำเป็นด้านการบำรุงรักษา และอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ให้รัดกุมขึ้น ด้วยการขจัดองค์ประกอบที่เกิดจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ด้วยการแพตช์และอัปเดตอัตโนมัติ ด้วยระบบปฏิบัติการที่แก้ไขไม่ได้และแพลตฟอร์มหนึ่งที่สร้างขึ้นจากคอมโพเนนท์ที่แข็งแกร่งและผ่านการทดสอบแล้ว

เพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มนี้ Red Hat และ Intel จะร่วมมือกันเพื่อมอบเคอร์เนลแบบเรียลไทม์ที่มีระยะเวลาตอบสนองต่ำกว่า และลดค่าความต่างของระยะเวลาในการส่งข้อมูลผ่านเน็ตเวิร์ก (jitter) ซึ่งช่วยให้รันแอปพลิเคชันซ้ำ ๆ ได้อย่างมั่นใจและเชื่อถือได้มากขึ้น แพลตฟอร์ม industrial edge แพลตฟอร์มใหม่นี้จะสร้างบนมาตรฐานเปิดที่เป็นสากล และจากนวัตกรรมของคอมมิวนิตี้ซึ่งขับเคลื่อนโดยนักพัฒนาทั่วโลกหลายพันคนที่ช่วยขับเคลื่อนการบูรณาการเข้ากับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คอมโพเนนท์อื่น ๆ ให้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ความโปร่งใสของ core code รวมถึงแผนงานและวงจรการออกวางตลาดที่ชัดเจน ยังช่วยให้ไม่ต้องคาดเดาว่าจะวางตลาดผลิตภัณฑ์หนึ่ง ๆ เมื่อใดและจะมีฟีเจอร์อะไรในผลิตภัณฑ์นั้นบ้าง Red Hat ให้การสนับสนุนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับองค์กร โดยอยู่เบื้องหลังการทำงานของทีมไอที ด้วยการมอบชุดเครื่องมือสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ (toolchain) ที่ดีที่สุดในระดับเดียวกัน ทำให้การใช้งานมีสอดคล้องกันและคงเส้นคงวา โดยไม่ต้องพึ่งพาโมเดลหรือผู้รวมระบบ ทั้งยังเป็นการขจัดการทำงานด้วยการคาดเดาและเป็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาที่ทันสมัยอีกทางเลือกหนึ่ง

โรงงานอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์

การสร้างและใช้นวัตกรรมในอุตสาหกรรมการผลิต ต้องติดขัดด้วยข้อจำกัดด้านระบบควบคุมในอุตสาหกรรมที่ใช้มาแต่ดั้งเดิมและโครงสร้างองค์กรแบบไซโล มานานหลายทศวรรษ แพลตฟอร์มใหม่นี้จะช่วยให้องค์กรได้ประโยชน์จาก open edge platform ที่ช่วยให้ผสานรวมคอมโพเนนท์ต่าง ๆ ได้ง่าย ในรูปแบบโซลูชันที่ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้เพื่อการใช้ระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม ผู้นำในอุตสาหกรรม เช่น ABB, Schneider Electric และ Codesys ได้นำแพลตฟอร์ม industry edge ใหม่นี้ไปสร้างระบบควบคุมทางอุตสาหกรรมที่ทันสมัยอย่างประสบความสำเร็จแล้ว

คำกล่าวสนับสนุน

Francis Chow, vice president and general manager, In-Vehicle Operating System and Edge, Red Hat

“Red Hat ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า ได้ช่วยขับเคลื่อนความทันสมัยและนวัตกรรมให้กับทุกอุตสาหกรรม นับจากเรื่องการทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบดั้งเดิม ไปจนถึงการช่วยให้ยานพาหนะที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์มอบดิจิทัลโซลูชันที่สเกลได้ตามต้องการให้กับ industrial edge ทั้งหมด ปัจจุบัน Red Hat ตั้งเป้าหมายในการนำการทรานส์ฟอร์มในระดับเดียวกันนี้มาสู่โรงงานในภาคการผลิตทั่วโลกด้วยแพลตฟอร์ม edge แพลตฟอร์มใหม่ที่เกิดจากความร่วมมือกับ Intel เราเชื่อว่าการผสานไอทีและเทคโนโลยีในการดำเนินการเข้าด้วยกันนี้ จะส่งให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งต่อไปอย่างรวดเร็ว และมีซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สเป็นแกนหลัก”

Christine Boles, vice president in the network and edge group and general manager of federal and industrial solutions, Intel Corporation

“หลายปีที่ผ่านมา Intel และ Red Hat ได้ทำงานร่วมกันเพื่อทรานส์ฟอร์มและสนับสนุนอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย การนำความเชี่ยวชาญด้าน cloud-to-edge application platform ของ Red Hat มาบูรณาการกับความแข็งแกร่งด้าน edge to cloud compute platforms ของ Intel รวมถึงฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับอุตสาหกรรม จะมอบความสามารถต่าง ๆ และการทรานส์ฟอร์มที่ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ ให้ได้ตอบโจทย์ความต้องการด้านความยืดหยุ่น คล่องตัว และเชื่อถือได้ ของภาคการผลิตในปัจจุบัน”

เกาะติดเทรนด์คนหาบ้าน ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งยังอยากซื้อบ้าน แม้โดนสกัดด้วยอุปสรรคทางการเงิน

Trends for people looking for a house

เกาะติดเทรนด์คนหาบ้าน ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งยังอยากซื้อบ้าน แม้โดนสกัดด้วยอุปสรรคทางการเงิน

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังกระเตื้องขึ้นตามความคาดหวัง หลังจากหลายฝ่ายเคยคาดการณ์ว่าตลาดท่องเที่ยวจะกลับมาเติบโตและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง ประกอบกับช่วงสุญญากาศของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ผู้บริโภคจึงต้องรัดเข็มขัดและวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ และติดตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 56.9 เพิ่มจาก 55.6 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้บริโภคกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เรียบร้อย

สอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคชาวไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50% จากเดิม 49% ในรอบก่อน สะท้อนให้เห็นว่าความชัดเจนทางการเมืองเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ความท้าทายทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังคงกระทบต่อสภาพคล่องของผู้บริโภคโดยตรง ส่งผลให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ 63% (จากเดิม 65% ในรอบก่อนหน้า) โดยมีผู้บริโภคเพียง 15% เท่านั้นที่มองว่ารัฐบาลมีความพยายามเพียงพอที่จะช่วยให้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ ลดลงจาก 19% ในรอบก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยปัจจุบันนั้นยังคงทรงตัวอยู่ที่ 65% โดยผู้บริโภคเกือบครึ่ง (47%) เผยว่ามีความพึงพอใจเนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยในเวลานี้ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ตามมาด้วยมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยมีเสถียรภาพและยืดหยุ่น และเห็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ในสัดส่วนเท่ากันที่ 36% 

จับตาความต้องการซื้อที่อยู่​อาศัย คนไทยมีความพร้อมทางการเงินมากแค่ไหน?

ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (53%) วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งคือ 52% ในรอบก่อนหน้า ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น แม้ความท้าทายจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ จะยังไม่คลี่คลายก็ตาม ขณะที่สัดส่วนของผู้เลือกเช่าที่อยู่อาศัยยังทรงตัวอยู่ที่ 9% ส่วนอีก 38% ยังไม่มีการวางแผนซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยใด ๆ 

  • คนซื้อบ้านเพิ่มพื้นที่ส่วนตัว แต่ความพร้อมการเงินลดลง เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเกือบครึ่ง (44%) ตัดสินใจซื้อที่อาศัยมาจากต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากที่สุด รองลงมาคือ ซื้อเพื่อการลงทุน (28%) และต้องการพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลานเพื่อรองรับการขยายครอบครัว (24%) อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินของผู้บริโภคพบว่ากลับมีแนวโน้มลดลง มีผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยเพียง 24% เท่านั้นที่มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดยสัดส่วนลดลงจาก 32% ในรอบก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของเศรษฐกิจที่มีต่อการวางแผนการเงินอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นที่ส่งผลต่อการซื้อและการผ่อนชำระอสังหาฯ โดยตรง ขณะที่ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (54%) เผยว่าเก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ส่วน 1 ใน 5 ของผู้วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยนั้น (21%) ยังไม่ได้เริ่มแผนเก็บเงินใด ๆ เลย
  • “เงินไม่พอ-บ้านแพงเกินเอื้อม” ผลักดันให้เช่า เหตุผลหลักของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้านั้น เกือบ 2 ใน 3 (64%) เผยว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่ 2 ใน 5 (41%) มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงเกินไป จึงเลือกเก็บเงินไว้แทน และไม่เห็นความจำเป็นหรือความเร่งด่วนที่ต้องซื้อในเวลานี้ (30%) สะท้อนให้เห็นว่าความท้าทายทางการเงินยังคงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนใจจากการซื้อมาเช่าแทน เทรนด์ Generation Rent ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากมุมมองการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนไป ผู้บริโภคไม่ต้องการเพิ่มค่าใช้จ่ายจากการซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่เป็นภาระผูกพันในระยะยาว นอกจากนี้ การเช่ายังได้เปรียบตรงที่ยืดหยุ่นและคล่องตัวมากกว่าหากต้องการโยกย้ายที่อยู่อาศัยในอนาคต

อัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัย แนวคิดรักษ์โลกมาแรง ตอบโจทย์คนหาบ้าน 

  • “ขนาด-ความปลอดภัย” ปัจจัยหลักดึงคนซื้อ/เช่า ปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคนั้น เกือบครึ่ง (45%) จะพิจารณาจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก โดยให้ความสำคัญกับบ้าน/คอนโดฯ ที่มีพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์การใช้งานของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก ตามมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่พัก (41%) และราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย (38%) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคพิจารณาโดยเน้นที่ความคุ้มค่าเป็นหลัก

ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น มากกว่าครึ่ง (51%) ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของโครงการมากที่สุด โดยโครงการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดูแลด้านนี้จะตอบโจทย์คนหาบ้านมากที่สุด เนื่องจากช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของทรัพย์สินทั้งในเวลาอยู่อาศัยหรือออกไปทำงาน รองลงมาคือเดินทางได้สะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (50%) และทำเลที่ตั้งของโครงการ (47%) หากอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพหรือมีแผนพัฒนาในอนาคต จะเพิ่มมูลค่าได้มากขึ้นหากต้องการขายหรือปล่อยเช่า 

  • PropTech ผู้ช่วยสำคัญของคนหาบ้านยุคดิจิทัล เทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักมากขึ้นในไทย จากเดิมที่ผู้บริโภคใช้เพียงช่องทางออนไลน์ในการค้นหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการเลือกใช้ PropTech หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้รองรับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลและตอบโจทย์การหาบ้านในยุคนี้ โดย 2 ใน 3 ของผู้บริโภค (67%) เผยว่าเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสเป็นสิ่งที่ใช้มากที่สุดเมื่อต้องการซื้อที่อยู่อาศัย รองลงมาคือเครื่องมือคำนวณข้อมูลทางการเงิน (46%) และการเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (31%) นอกจากนี้ ผู้บริโภคเกือบ 9 ใน 10 (87%) เห็นความสำคัญของ PropTech และมองว่าผู้พัฒนาอสังหาฯ ควรนำมาใช้ในอาคารที่สร้างใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย
  • ภาวะโลกเดือดดันคนมองหาบ้านรักษ์โลก หลังจากเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ภาวะโลกร้อนได้สิ้นสุดลงแล้ว และตอนนี้โลกกำลังเข้าสู่ยุคภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ส่งผลให้หลายฝ่ายต่างกังวลและตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมากขึ้น ก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาอสังหาฯ เริ่มหันมาพัฒนาโครงการที่ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของคนหาบ้านยุคนี้ โดยผู้บริโภค 4 ใน 5 (85%) ให้ความสนใจบทความเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ 2 ใน 5 (41%) เผยว่ายินดีจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่มีแนวคิดรักษ์โลก (Green Home) ขณะที่มากกว่าครึ่ง (56%) เปิดรับแนวคิดนี้แต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ มีเพียง 3% เท่านั้นที่ไม่สนใจประเด็นนี้
  • ฝุ่น PM 2.5 ทำคนลังเลซื้อบ้าน ปัจจุบัน 9 ใน 10 ของผู้บริโภค (91%) เผยว่ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่มีคุณสมบัติเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ สะท้อนให้เห็นการให้ความสำคัญกับแนวคิดการอยู่อาศัยที่สร้างความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมและผู้อยู่อาศัยเอง ขณะที่ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ได้กลายเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเช่นกัน โดยมากกว่าครึ่ง (57%) เผยว่าจะเลือกพิจารณาเฉพาะโครงการที่มีเครื่องปรับอากาศและระบายอากาศได้ดีเท่านั้น ตามมาด้วย 53% จะคิดทบทวนการซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงอีกครั้ง ขณะที่อีก 35% จะพิจารณาการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีฟังก์ชั่นช่วยแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ และ 35% จะพิจารณาการย้ายไปอยู่แถบชนบทแทน
DDproperty-Thailand-Consumer-Sentiment-Study-H2-2023

หวังรัฐบาลใหม่ออกมาตรการเพิ่ม ช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ โตส่งท้ายปี 

สภาพเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยหลักที่กระทบต่อสภาพคล่องและแผนการเงินของผู้บริโภค ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายลดลง โดยเฉพาะในการซื้ออสังหาฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องมีการวางแผนก่อนตัดสินใจซื้อ มีราคาสูง และมีระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่องได้สร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคเช่นกัน จึงทำให้ตลาดอสังหาฯ ไม่เติบโตคึกคักอย่างที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ผู้บริโภคกว่า 1 ใน 3 (34%) ตัดสินใจชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนเนื่องจากเงินเก็บได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ ตามมาด้วย 22% ไม่มีแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคตอันใกล้นี้ และอีก 20% วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาถูกลงแทน 

อย่างไรก็ดี หลังจากมีการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จสิ้น ถือเป็นการจุดประกายให้ภาคอสังหาฯ มีความหวังอีกครั้ง ผู้บริโภคต่างคาดหวังและตั้งตารอมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ของรัฐบาลชุดนี้ที่จะออกมาในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและล่าง ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ยังคงเผชิญความท้าทายทางการเงินมากกว่ากลุ่มอื่น 

  • 3 อันดับมาตรการฯ อสังหาเดิมที่คาดหวังให้รัฐบาลใหม่สานต่อ มากกว่า 2 ใน 3 (69%) ต้องการให้ภาครัฐสานต่อมาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์และการจำนองอสังหาริมทรัพย์ ตามมาด้วยมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ Loan to Value: LTV (47%) และต้องการให้ขยายระยะเวลาเช่าให้มากกว่า 30 ปี (44%) ซึ่งคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนให้การซื้อขายอสังหาฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง
  • ขณะที่มาตรการฯ ใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาลในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 2 ใน 3 (68%) ต้องการให้มีมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ตามมาด้วยมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งสินเชื่อที่มีอยู่และกู้ใหม่ (65%) และมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก (54%) ซึ่งมาตรการเหล่ามีความครอบคลุมและส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยทั้งในกลุ่ม Real Demand และกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้การซื้อขายในตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง

หมายเหตุ: DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่จัดทำขึ้นทุก 6 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและความต้องการของผู้บริโภค รวมไปถึงนักลงทุนและเอเจนต์ต่อประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัย รวมไปถึงพฤติกรรมและแนวโน้มการซื้อ-ขาย-เช่า ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ในกลุ่มตัวอย่างอายุตั้งแต่ 22-69 ปี จำนวน 1,000 คน 

Alibaba Cloud Launches Sustainability Web Application and Virtual Sign Language Interpreter for The Hangzhou Asian Games

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว เว็บแอปพลิเคชันด้านความยั่งยืน และล่ามภาษามือเสมือน ณ เอเชียนเกมส์ที่หางโจว

Alibaba Cloud Launches Sustainability Web Application and Virtual Sign Language Interpreter for The Hangzhou Asian Games

The AI-powered tools aim to make the first Asia Games on the cloud more sustainable and inclusive

In an effort to promote the sustainability and inclusiveness of the Asian Games and the Asian Para Games in Hangzhou, Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, has launched a sustainability web application for athletes, journalists and staff members inside the three Asian Games villages to drive low-carbon behavior, as well as a virtual sign language interpreter to ensure individuals with hearing impairments could better participate in the Games. 

“Cloud-based technology helps drive the sustainable and inclusive development of the Asian Games. We want to leverage the power of technology, in collaboration with our partners, to drive more individuals to participate in our efforts to make the Games greener and more accessible to all,” said Jingren Zhou, CTO of Alibaba Cloud Intelligence.

Interactive Web Application to Boost Eco-friendly Behaviors 

To help the Hangzhou Asian Games honor its green mission, Alibaba Cloud has launched a sustainable lifestyle web application that helps participants of the Asian Games adopt low-carbon behaviors and reduce their carbon footprint through digital engagement. 

Alibaba Cloud's sustainability web application helps participants of the Asian Games adopt low-carbon behaviors.
Alibaba Cloud's sustainability web application helps participants of the Asian Games adopt low-carbon behaviors.

The interactive web application rewards athletes, journalists and staff members of the Asian Games with carbon points for making eco-friendly lifestyle choices, such as taking public transport, waste recycling and reducing food waste. Across the Asian Games villages, participants can scan a QR code to record their low-carbon activities in the web application, ranging from opting out of using plastic bags at the supermarkets, to taking a photo of their clean plates at the dining hall in an effort to reduce food waste. 

Behind the web application is a system that translates individual low-carbon activities into carbon points. Participants can accumulate the points and redeem for limited-edition Asian Games-themed pins and low-carbon products. The web application has attracted over 310,000 visits to participate in low-carbon activities across the Asian Games villages, and it has recorded over 7 tons of carbon reduction through the activities since the opening of the Asian Games villages on September 16.

“Alibaba Cloud has proven expertise in supporting organizations and sports events’ sustainability initiatives with digital technology. Through the innovative sustainable lifestyle web application, we want to encourage participants of the Asian Games to be more sustainable by recording their daily eco-friendly choices and helping them see the tangible impact of their choices,” said William Xiong, Vice President of Alibaba Cloud Intelligence and General Manager of Enterprise Service Cloud. 

Alibaba Cloud tapped its AI-powered carbon management tool Energy Expert to measure and optimize the carbon footprint for the manufacturing of the Hangzhou Asian Games’ mascots. For example, according to the assessment from Energy Expert, one of the three mascots, Congcong, has a cradle-to-gate carbon footprint of 1.59 kg carbon dioxide equivalent (CO2e), with the emission from three major sources, including electricity use, packaging and raw materials.

By advising the factories to increase the use of solar power and adopt more eco-friendly designs, the sustainability platform helped slash the product’s carbon footprint by 0.15 kg CO2e per item. 

To encourage a wider scale participation, Alibaba Cloud has partnered with 10 companies and brands, spanning across retail, transport to banking, to go sustainable inside the Asian Games villages. Its sustainability platform Energy Expert provided carbon footprint measurement, carbon neutrality calculation and certification services for the pin exchange center and low-carbon stores with energy-saving installations in one of the Asian Games villages.

As part of the sustainability initiatives during the Asian Games, Energy Expert helped Chinese dairy company Yili to identify the sources of the carbon emissions from its store at the Asian Games village and offered optimization plans for its electricity use to reduce its carbon footprint, including increasing the use of solar power and installing energy-saving lights and air-conditioner at the store. It also advised Yili to build a dedicated section for low-carbon products and roll out a recycling machine for milk cartons. 

Digital Avatar to Facilitate Communication for Hearing-impaired Participants 

According to the World Health Organization (WHO), currently more than 1.5 billion people (nearly 20% of the global population) live with hearing loss. To foster inclusivity at the Asian Para Games to be held between October 22 to 28, Alibaba Cloud introduced its digital avatar, Xiaomo, serving as a sign language interpreter for individuals with hearing impairments.

The cloud pioneer integrates the digital avatar Xiaomo into a mini-app on payment platform Alipay. The mini-app supports two-way translation between sign language and Chinese spoken language. Users can input voice messages, which the virtual character will translate into sign language for hearing impaired individuals. Conversely, the mini-app can interpret sign language into spoken language, facilitating seamless communication between the hearing and hearing-impaired individuals. 

Sign language, with its unique blend of gestures, expressions, and body movements, has its own phonetics, vocabulary, and grammar that differ from spoken language. To accommodate these complexities, Alibaba Cloud compiled a Chinese sign language translation dataset that contains 25,000 signs gathered and annotated from sign language practitioners and hearing-impaired people across Zhejiang province in China. 

Alibaba Cloud leveraged its advanced visual recognition algorithm and its motion tracking capabilities to capture the movements of the hearing impaired and translate sign language into natural language with a state-of-the-art language translation model. To convert natural language into sign language, Alibaba Cloud also developed a deep neural network and a lip movement generation module, enabling the virtual character to perform sign language gestures accurately. 

“Through the integration of natural language processing, computer vision and machine learning technologies, we have developed a sign language translation system. This innovation aims to make the Asian Para Games more inclusive and accessible to those with hearing loss,” said Matt Zhang, algorithm engineer at Alibaba Cloud. 

The AI sign language interpreter, Xiaomo, was also incorporated into the news channel of the Asian Games to enhance the accessibility of its announcements. During the Asian Para Games, Xiaomo can assist participants with hearing impairments in interacting with volunteers at the venues for various assistance, including asking for directions, seeking medical help, and getting assistance with game viewing. 

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว เว็บแอปพลิเคชันด้านความยั่งยืน และล่ามภาษามือเสมือน ณ เอเชียนเกมส์ที่หางโจว

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว เว็บแอปพลิเคชันด้านความยั่งยืน และล่ามภาษามือเสมือน ณ เอเชียนเกมส์ที่หางโจว

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว เว็บแอปพลิเคชันด้านความยั่งยืน และล่ามภาษามือเสมือน ณ เอเชียนเกมส์ที่หางโจว

เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI มีจุดประสงค์เพื่อทำให้เอเชียนเกมส์บนคลาวด์ มีความยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ

เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมในเอเชียนเกมส์และเอเชียนพาราเกมส์ที่เมืองหางโจว อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เปิดตัวเว็บแอปพลิเคชันด้านความยั่งยืนสำหรับให้บริการนักกีฬา ผู้สื่อข่าว และเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในหมู่บ้านเอเชียนเกมส์ทั้งสามแห่ง เพื่อส่งเสริมกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่ช่วยลดคาร์บอน รวมถึงเปิดตัวล่ามภาษามือที่เป็นเวอร์ชวล เพื่อให้ผู้บกพร่องทางการได้ยินมีส่วนร่วมการแข่งขันได้ดีมากขึ้น

นายจิ้งเหริน โจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “เทคโนโลยีที่ทำงานบนคลาวด์ ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาการแข่งขันเอเชียนเกมส์ให้มีความยั่งยืนและครอบคลุมทุกมิติ เราต้องการใช้พลังของเทคโนโลยีบวกกับความร่วมมือจากพันธมิตรต่าง ๆ เป็นตัวผลักดันให้ผู้คนจำนวนมากได้มีส่วนร่วมในความพยายามของเรา ที่จะทำให้การแข่งขันครั้งนี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทุกคนเข้าถึงได้มากขึ้น

เว็บแอปพลิเคชันที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งาน เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อาลีบาบา คลาวด์ได้เปิดตัวเว็บแอปพลิเคชันด้านไลฟ์สไตล์ที่เน้นความยั่งยืน เพื่อช่วยให้พันธกิจสีเขียวของเอเชียนเกมส์หางโจวประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับ แอปพลิเคชันนี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมเอเชียนเกมส์ปรับการกระทำต่าง ๆ ให้อยู่ในแนวทางคาร์บอนต่ำ และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผ่านการมีส่วนร่วมทางดิจิทัล 

เว็ปแอปพลิเคชันเพื่อความยั่งยืนของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานเอเชียนเกมส์ ปรับพฤติกรรมไลฟ์สไตล์ของตนให้อยู่ในแนวทางที่เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ
เว็ปแอปพลิเคชันเพื่อความยั่งยืนของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานเอเชียนเกมส์ ปรับพฤติกรรมไลฟ์สไตล์ของตนให้อยู่ในแนวทางที่เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ

เว็บแอปพลิเคชันเชิงโต้ตอบนี้จะให้คะแนนคาร์บอนแก่นักกีฬา ผู้สื่อข่าว และเจ้าหน้าที่ของเอเชียนเกมส์ที่เลือกใช้ไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้การขนส่งสาธารณะ รีไซเคิลของเสีย และลดขยะอาหาร โดยผู้เข้าร่วมที่อยู่ในหมู่บ้านเอเชียนเกมส์ทั้งสามแห่งสามารถสแกน QR code เพื่อบันทึกกิจกรรมคาร์บอนต่ำของตนในเว็บแอปพลิเคชันนี้ ซึ่งสามารถบันทึกได้ตั้งแต่การเลือกที่จะไม่ใช้ถุงพลาสติกที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงการถ่ายภาพจานอาหารที่ไม่มีเศษอาหารหลงเหลืออยู่ เพื่อแสดงถึงความพยายามในการลดขยะอาหาร 

เบื้องหลังของแอปพลิเคชันนี้ คือระบบที่แปลงกิจกรรมคาร์บอนต่ำแต่ละรายการเป็นคะแนนคาร์บอน ผู้เข้าร่วมสามารถสะสมคะแนนและแลกรับเข็มกลัดธีมเอเชียนเกมส์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชัน และผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำต่าง ๆ ทั้งนี้เว็บแอปพลิเคชันนี้ได้ดึงดูดผู้คนจากหมู่บ้านเอเชียนเกมส์ทั้งหมดให้เข้าร่วมกิจกรรมคาร์บอนต่ำแล้วมากกว่า 310,000 การเยี่ยมชม และได้บันทึกการลดคาร์บอนจากกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่วันเปิดหมู่บ้านเอเชียนเกมส์เมื่อวันที่ 16 กันยายนแล้วมากกว่า 7 ตัน 

นายวิลเลียม ฉง รองประธานของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ และผู้จัดการทั่วไปของ Enterprise Service Cloud กล่าวว่า “อาลีบาบา คลาวด์ มีความรู้ความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนองค์กรและความยั่งยืนในการจัดการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ที่ได้พิสูจน์ความสำเร็จมาแล้ว เราต้องการใช้เว็บแอปพลิเคชันด้านไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนนี้ส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมงานเอเชียนเกมส์มีความยั่งยืนมากขึ้น ด้วยการบันทึกทางเลือกในการดำเนินกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของพวกเขาในแต่ละวัน และช่วยให้พวกเขารู้ถึงผลกระทบที่จับต้องได้ที่เกิดจากทางเลือกของตน”

อาลีบาบา คลาวด์ ใช้ Energy Expert ซึ่งเป็นเครื่องมือบริหารจัดการคาร์บอนที่ใช้ AI เพื่อวัดและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในการผลิตมาสคอตของงานเอเชียนเกมส์หางโจว เช่น การประเมินของ Energy Expert พบว่า Congcong ซึ่งเป็นหนึ่งในสามมาสคอต มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากเริ่มต้นการผลิตจนเสร็จ 1.59 กิโลกรัมเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2e) โดยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากสามแหล่ง คือ การใช้ไฟฟ้า บรรจุภัณฑ์ และวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิต

แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้เกิดการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ได้ 0.15 kg CO2e ต่อชิ้น จากการให้คำแนะนำแก่โรงงานต่าง ๆ ให้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้มากขึ้น และใช้การออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 

เพื่อส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในวงกว้าง อาลีบาบา คลาวด์ เป็นพันธมิตรกับบริษัทและแบรนด์ต่าง ๆ 10 แห่ง ครอบคลุมทั้งพันธมิตรในภาคค้าปลีก การขนส่ง ไปจนถึงธนาคาร เพื่อร่วมกันมอบความยั่งยืนให้กับหมู่บ้านเอเชียนเกมส์ ทั้งนี้ Energy Expert ให้บริการวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ คำนวณความเป็นกลางทางคาร์บอน และบริการให้การรับรองต่าง ๆ แก่ศูนย์แลกเปลี่ยนเข็ม และร้านค้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำที่ติดตั้งโซลูชันหรือเครื่องมือที่ช่วยประหยัดพลังงานในหนึ่งในหมู่บ้านเอเชียนเกมส์

Energy Expert ได้ช่วยให้ Yili ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภัณฑ์นมของจีน ระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากร้านที่อยู่ในหมู่บ้านเอเชียนเกมส์ และนำเสนอแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟ เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ รวมถึงการเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และการติดตั้งไฟและเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงานภายในร้าน และยังได้แนะนำ Yili ให้สร้างที่วางสินค้าเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ และติดตั้งเครื่องรีไซเคิลกล่องนม

Digital Avatar เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารให้กับผู้เข้าร่วมงานที่บกพร่องทางการได้ยิน

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าปัจจุบันผู้คนมากกว่า 1.5 พันล้านคน (เกือบ 20% ของจำนวนประชากรโลก) มีภาวะสูญเสียการได้ยิน ดังนั้นเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมกันในการแข่งขัน Asian Para Games ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 ถึง 28 ตุลาคมนี้ อาลีบาบา คลาวด์เปิดตัวอวทาร์ดิจิทัลชื่อ Xiaomo (เสี่ยวโม่) ซึ่งให้บริการเป็นล่ามภาษามือให้กับผู้บกพร่องทางการได้ยิน

อาลีบาบา คลาวด์ ผสานรวมดิจิทัลอวทาร์ Xiaomo ไว้ใน mini-app บนแพลตฟอร์มการชำระเงิน Alipay ซึ่ง mini-app นี้รองรับการแปลสองทาง ระหว่างภาษามือและภาษพูดที่เป็นภาษาจีน ผู้ใช้สามารถป้อนเสียงพูด จากนั้นผู้สวมบทบาทเวอร์ชวลจะแปลงเป็นภาษามือให้กับผู้บกพร่องทางการได้ยิน ในทางกลับกัน mini-app สามารถแปลงภาษามือเป็นภาษาพูดได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บกพร่องทางการได้ยินและผู้ที่ไม่มีความบกพร่องด้านนี้สื่อสารกันได้อย่างราบรื่น

ภาษามือที่ผสานกับท่าทาง การแสดงออก และการเคลื่อนไหวร่างกายที่เป็นเอกลักษณ์นี้ มีหลักการออกเสียง คำศัพท์ และไวยากรณ์เป็นของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากภาษาพูด เพื่อรองรับความซับซ้อนเหล่านี้ อาลีบาบา คลาวด์ ได้รวบรวมชุดข้อมูลการแปลภาษามือภาษาจีนที่ประกอบด้วยสัญลักษณ์ 25,000 รายการที่รวบรวมและใส่คำอธิบายประกอบ โดยผู้ทำงานด้านภาษามือ และผู้บกพร่องทางการได้ยินในมณฑลเจ้อเจียงของประเทศจีน

อาลีบาบา คลาวด์ ใช้ประโยชน์จากอัลกอริธึมการจดจำภาพขั้นสูง และความสามารถในการติดตามกิริยาท่าทาง เพื่อบันทึกความเคลื่อนไหวของผู้บกพร่องทางการได้ยิน และแปลงภาษามือเป็นภาษาธรรมชาติ ด้วยโมเดลการแปลภาษาที่ล้ำสมัย สำหรับการแปลงภาษาธรรมชาติเป็นภาษามือ อาลีบาบา คลาวด์ได้พัฒนาโครงข่ายประสาทเทียม และโมดูลสร้างการเคลื่อนไหวของริมฝีปาก ซึ่งช่วยให้ virtual character แสดงท่าทางภาษามือได้แม่นยำ

นายแมท จาง วิศวกรด้านอัลกอริธึมของอาลีบาบา คลาวด์ กล่าวว่า “การบูรณาการเทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติ คอมพิวเตอร์วิชัน และแมชชีนเลิร์นนิ่ง เข้าด้วยกัน ช่วยให้เราพัฒนาระบบแปลภาษามือได้อย่างมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ Asian Para Games มีความครอบคลุมทุกมิติ และให้ผู้สูญเสียการได้ยินมีส่วนร่วมและเข้าถึงกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น”

Xiaomo ซึ่งเป็นล่ามภาษามือที่ใช้ AI ยังถูกผสานรวมเข้ากับช่องข่าวของเอเชียนเกมส์ เพื่อให้สามารถรับทราบและเข้าถึงการประกาศข่าวต่าง ๆ ได้มากขึ้น ระหว่าง Asian Para Games, Xiaomo สามารถช่วยให้ผู้ร่วมงานที่บกพร่องทางการได้ยิน ให้สามารถปฏิสัมพันธ์กับอาสาสมัคร ณ สถานที่จัดงาน เพื่อขอความช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น การถามเส้นทาง ความช่วยเหลือทางการแพทย์ และการรับชมเกมต่าง ๆ

Alibaba Cloud Unveils New Services to Solve Generative AI Development Issues for Global Customers

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัวบริการใหม่หลายรายการ เพื่อขจัดปัญหาในการพัฒนา Generative AI ให้กับลูกค้าทั่วโลก

Alibaba Cloud Unveils New Services to Solve Generative AI Development Issues for Global Customers

Global cloud leader joins forces with technology partners to accelerate application development innovation

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, today announced a series of innovative AI products and services at the 2023 Alibaba Cloud Global Summit. The comprehensive set of new products are designed to meet the burgeoning demand for Generative AI development from customers worldwide.

The extensive AI solutions from Alibaba Cloud, spanning from AI computing platforms to AI acceleration services and AI-centric applications, are designed to assist customers in creating their own Generative AI applications in a more efficient, security-focused, and cost-effective manner.

Selina Yuan, President of International Business, Alibaba Cloud Intelligence Group, said: “To cater for the thriving demand for generative AI, we are constantly introducing innovative products and services to tackle different pain points of our global customers. Our comprehensive AI services are designed to help customers seize the unparalleled opportunities offered by this unstoppable technology trend.”

“As part of our commitment to foster more inclusive and innovative application development for generative AI, we have been joining forces with industry leaders to further extend our capabilities for different scenarios, ” added Yuan.

Comprehensive AI Services for Generative AI Development

  • To reduce AI process complexity, Alibaba Cloud introduced PAI-Lingjun Intelligent Computing Service, a comprehensive AI computing platform for high-performance computing tasks, such as foundation model training and inference. It offers large-scale deep learning and intelligent computing capabilities on Alibaba Cloud. The service also provides full-process AI engineering capabilities, including AI development, AI training, AI role management, and computing resource management. The platform, already in use in Mainland China, will be available in Singapore from early 2024, followed by more general availability across Asia throughout the year.
  • To accelerate AI model training and inference, Alibaba Cloud launched Alibaba Cloud AI Acceleration Solution, which uses leading datasets and hardware accelerators to manage data-intensive applications, optimizing the utilization of computing instances to expedite AI model training and inference tasks. According to the Stanford DAWN Deep Learning Benchmark, it can speed up AI model training by 70% and inference by up to three times. The solution includes layers for cloud-native AI suite, AI job scheduling, AI data acceleration, AI computing acceleration engine, resource scheduling, and computing resources, with each layer offering specific acceleration solutions for different scenarios.
  • To simplify building AI-based search service, Alibaba Cloud unveiled OpenSearch LLM-Based Conversational Search, its proprietary large-scale distributed search engine that enables intelligent search services in e-commerce, multimedia, social media, and big data queries in enterprises. Empowered by large language models, the service allows enterprises to rapidly build a dedicated conversational search system, ensuring security, accuracy, and reliability in search results. It also supports multimodal search results such as answers, URLs, and images to cater to specific business search requirements.

Technology Partnership to Foster Innovative Application Development

Alibaba Cloud announced a series of partnerships with global technology leaders to offer customers more advanced and security-focused cloud services, accelerating their digital transformation journey:

To promote innovative application development for enterprises, Alibaba Cloud collaborates      with Red Hat to make Red Hat OpenShift, a platform for building, deploying and managing applications at scale, deployable on Alibaba Cloud. Red Hat OpenShift on Alibaba Cloud combines the industry’s leading hybrid cloud application platform powered by Kubernetes with Alibaba Cloud’s robust hybrid infrastructure. Optimized with full-stack automated operations, it offers a more consistent experience across environments to help customers boost productivity more effectively.

 Accelerate Digital Transformation for Global Customers

Alibaba Cloud also announced collaborations with enterprise customers in markets including Malaysia, South Korea, United Kingdom, and United Arab Emirates, underscoring its unwavering commitment to its over 4 million global customers in exploring new opportunities presented by digital transformation and new AI trends.