Five key benefits of a purpose-built manufacturing ERP

ห้าประโยชน์สำคัญของระบบ ERP ภาคการผลิต ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานตามวัตถุประสงค์

Five key benefits of a purpose-built manufacturing ERP

By Terry Smagh, Senior Vice President and General Manager for Asia Pacific and Japan, Infor

Your enterprise is unique. Your ERP software should match

As the manufacturing world rapidly evolves to meet new challenges, many organizations are working to define a new roadmap to success. But time isn’t on the industry’s side. As Deloitte noted in its outlook for 2023, “The manufacturing industry is building back fast, undeterred by significant labor and supply chain challenges. To maintain this momentum, manufacturers should navigate elevated risks while advancing sustainability priorities.”

Early adopters are now more agile, flexible, and efficient—and they could already be making inroads into your share of the market. How can manufacturing organizations, like yours, counteract this risk and quickly drive profitable growth? The answer, for many, lies in technology partnerships.

Partnerships are increasingly important to achieving sustainable business growth, whether that’s accessing data from upstream or downstream partners within your supply chain or turning to technology providers who can bring a wealth of insights about modern cloud capabilities and leading-edge innovations.

Manufacturing is shifting toward industry-specific applications, and these applications are now nearly always delivered in the cloud to maximize adoption, flexibility, visibility, data-driven decision-making, and security, as well as reducing through-life cost.

Benefits of industry-specific manufacturing ERP

Organizations are coming to realize that industry-specific capabilities built into the ERP solution are critical for smooth deployment and headache-free implementation, as well as efficient workflows and reporting. Some key benefits include:

  1. Industry-specific cloud ERP offers capabilities that match the way that you do (or should do) business. Proven best-practices are already built-in.
  2. You can manage the end-to-end ecosystem with visibility and efficiency, operating in real time to unlock your organization’s potential. And because it’s cloud-based, it’s also faster to implement, so you’ll see success more rapidly. Camatic, as an example, quickly stood up a new manufacturing facility in Malaysia—local requirements included.
  3. An industry-centric, single view of your business helps you identify variations to expected operational performance early, so exceptions can be analyzed and managed long before your finance teams would typically become aware of them. Your organization can then focus on strategic operational and productivity improvement, fostering a continuous improvement mentality.
  4. Gain the necessary level of visibility to quickly respond to customer, supplier, and regulatory needs—minimizing the need for personalizations.
  5. Leverage flexible, scalable architecture to be more agile and responsive to fast-changing customer expectations.

Unsurprisingly, when it comes to triggering organizational change, the business drivers are often a complex mix of customer expectations and demands for a better buying experience, a focus on operational efficiencies and automation, and the need to meet industry regulations and compliance mandates. That’s why it’s important for your application software technology vendor to offer solutions that are designed specifically for your industry. Manufacturing factories and plants have far different needs than service industries and shouldn’t be expected to force generic applications to meet their unique requirements. As an example, managing the complexity of engineer-to-order or configure-to-order environments demand a single view of the product from concept through quote, build, delivery, and—often—on through to aftermarket service and warranty management. Anything less adds risk to the whole process.

In true partnerships, when everyone understands the distinct needs of your organization and industry, multiple stakeholders come together to create a more powerful outcome. If Infor’s solutions align with your manufacturing needs and you’re ready to get started, or you just want advice on how to modernize your operations, explore Infor’s manufacturing solutions.

ห้าประโยชน์สำคัญของระบบ ERP ภาคการผลิต ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานตามวัตถุประสงค์

ห้าประโยชน์สำคัญของระบบ ERP ภาคการผลิต ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานตามวัตถุประสงค์

ห้าประโยชน์สำคัญของระบบ ERP ภาคการผลิต ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานตามวัตถุประสงค์

บทความโดย เทอร์รี สมา, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, บริษัทอินฟอร์

หากธุรกิจคุณพิเศษไม่เหมือนใคร คุณควรเลือกซอฟต์แวร์ ERP ที่เหมาะสมกับธุรกิจคุณ

ในขณะที่โลกการผลิตกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ หลายองค์กรกำลังพยายามกำหนดแผนใหม่เพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ  แต่เวลาไม่ได้เป็นใจให้กับอุตสาหกรรมการผลิต  Deloitte ได้ระบุไว้ในการคาดการณ์ปี 2566 ว่า “อุตสาหกรรมการผลิตกำลังฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ย่อท้อต่อปัญหาใหญ่ด้านแรงงานและระบบห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้น ผู้ผลิตควรจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งส่งเสริมแนวคิดเรื่องความยั่งยืนเพื่อรักษาโมเมนตัมนี้ไว้”

ผู้ที่เปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ ปัจจุบันต่างก็มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานมากขึ้น และอาจกำลังเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดของคุณแล้ว  ในทางกลับกัน บริษัทผู้ผลิตเช่นคุณจะสามารถลดผลกระทบจากความเสี่ยงนี้ และขยายธุรกิจให้เกิดผลกำไรรวดเร็วได้อย่างไร  ความร่วมมือทางเทคโนโลยีคือคำตอบสำหรับหลายคนในเรื่องนี้

ความร่วมมือกันเพื่อจะบรรลุการเติบโตของธุรกิจที่ยั่งยืนกำลังทวีความสำคัญเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข้อมูลจากต้นน้ำหรือปลายน้ำของคู่ค้าภายในห่วงโซ่อุปทาน หรือการพิจารณาถึงผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่สามารถนำเสนอข้อมูลเชิงลึกจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับความสามารถของระบบคลาวด์ที่ทันสมัยและนวัตกรรมระดับแนวหน้า

ภาคการผลิตกำลังเปลี่ยนไปใช้แอปพลิเคชันที่ออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันเกือบทุกแอปพลิเคชันจะอยู่ในรูปแบบคลาวด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน มีความยืดหยุ่น รวมถึงทำให้สามารถมองเห็นงานทั้งระบบ การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และความปลอดภัย รวมถึงการลดต้นทุนในระยะยาว

ประโยชน์ของระบบวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจ (ERP) เฉพาะสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม 

องค์กรต่าง ๆ เริ่มเห็นความสำคัญของความสามารถที่ได้รับการออกแบบมาเฉพาะสำหรับใช้งานในแต่ละอุตสาหกรรมที่ติดตั้งเบ็ดเสร็จอยู่ในโซลูชัน ERP ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานที่ราบรื่น และการใช้งานที่ไม่ยุ่งยาก รวมถึงการทำให้เกิดเวิร์กโฟลว์และการรายงานผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีประโยชน์สำคัญ ๆ ดังตอไปนี้ :

  1. ERP ระบบคลาวด์เฉพาะสายอุตสาหกรรมนั้นมีฟังก์ชันการทำงานที่สอดคล้องกับวิธีที่คุณดำเนินธุรกิจ (หรือควรจะดำเนินธุรกิจ) พร้อมแนวทางดีที่สุดในการปฏิบัติงานที่ติดตั้งไว้ในตัวเบ็ดเสร็จ
  2. คุณสามารถใช้การมองเห็นทั่วทั้งระบบเพื่อจัดการระบบนิเวศทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพพร้อมการดำเนินงานแบบเรียลไทม์เพื่อปลดล็อกศักยภาพขององค์กร และเนื่องจากระบบ ERP เป็นโซลูชันบนคลาวด์ จึงสามารถใช้งานได้เร็วกว่าและเห็นความสำเร็จได้รวดเร็วขึ้น เช่น Camatic โรงงานผลิตสัญชาติออสเตรเลีย ผู้ผลิตที่นั่งในสนามกีฬา โรงภาพยนตร์ และโรงละครระดับโลกที่สร้างโรงงานผลิตใหม่ในประเทศมาเลเซียได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎระเบียบในท้องถิ่นได้ทุกประการ
  3. การมุ่งเน้นเฉพาะอุตสาหกรรมและการมองเห็นภาพรวมของธุรกิจจะช่วยให้คุณสามารถระบุความแปรปรวนจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่คาดการณ์ไว้ได้ล่วงหน้า ดังนั้นจึงสามารถวิเคราะห์และจัดการข้อยกเว้นต่าง ๆ ได้ก่อนที่ทีมการเงินของคุณจะรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เสียอีก จากนั้นองค์กรจะสามารถให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  4. เพิ่มระดับการมองเห็นที่จำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซัพพลายเออร์ และหน่วยงานกำกับดูแลได้อย่างรวดเร็ว ลดการปรับแต่งเฉพาะบุคคลให้เหลือน้อยที่สุด
  5. ใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ตามต้องการ ทำให้เป็นองค์กรที่มีความคล่องตัวมากขึ้น และสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้

    ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่าเมื่อมาถึงเรื่องที่กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงขององค์กร ตัวขับเคลื่อนทางธุรกิจมักจะเป็นความซับซ้อนระหว่างความคาดหวังและความต้องการจากลูกค้าในประสบการณ์การซื้อที่ดีขึ้น  รวมถึงการให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการดำเนินงานและระบบอัตโนมัติ ไปจนถึงความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับของอุตสาหกรรม  ด้วยเหตุนี้ ผู้จำหน่ายเทคโนโลยีซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันของคุณจึงควรนำเสนอโซลูชันที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมของคุณโดยเฉพาะ

    โรงงานและสายการผลิตมีความต้องการที่แตกต่างจากภาคบริการอย่างมาก และไม่ควรคาดหวังว่าแอปพลิเคชันทั่วไปจะสามารถตอบสนองความต้องการที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณได้ เช่น การจัดการความซับซ้อนของสภาพแวดล้อมที่ต้องผลิตตามคำสั่งหรือกำหนดค่าตามคำสั่ง ที่ต้องการภาพรวมในการมองเห็นตั้งแต่แนวคิดไปจนถึงการเสนอราคา การสร้าง การส่งมอบ และบ่อยครั้งรวมถึงการบริหารจัดการบริการหลังการขายและการรับประกันสินค้า  อะไรก็ตามที่น้อยกว่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับกระบวนการการผลิตทั้งหมดได้

ในความร่วมมือที่แท้จริง เมื่อทุกคนเข้าใจความต้องการที่แตกต่างขององค์กรและอุตสาหกรรม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายฝ่ายจะร่วมมือร่วมใจกันสร้างผลลัพธ์ที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น 

สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้พัฒนายุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมครบวงจร เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยมาสู่ภาคการผลิตของประเทศ ได้แก่ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC), เมืองนวัตกรรมอัจฉริยะ (Digital Park Thailand), โครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแบบคลัสเตอร์ (CBSED) และโครงการพัฒนาการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม (ILDP) เป็นต้น โดยมุ่งหวังจะใช้โครงการดังกล่าวในการเพิ่มประสิทธิภาพ ส่งเสริมการแข่งขัน และสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการมอบแรงจูงใจให้กับธุรกิจที่นำเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมมาใช้งาน เช่น วิทยาการหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ AI การทำวิจัยและพัฒนาในด้านต่าง ๆ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจขนาดใหญ่ และบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในอุตสาหกรรมการผลิต

หากโซลูชันของ Infor สอดคล้องกับความต้องการด้านการผลิตและคุณพร้อมที่จะเริ่มต้น หรือหากต้องการคำแนะนำเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานให้ทันสมัย กรุณาค้นหาโซลูชันการผลิตของ Infor ได้ที่นี่

Seven in Ten Consumers Are Willing to Make Changes to Tackle Environmental Issues

Seven in Ten Consumers Are Willing to Make Changes to Tackle Environmental Issues

Seven in Ten Consumers Are Willing to Make Changes to Tackle Environmental Issues

  • Independent research shows lack of information and high prices are the main barriers for consumers to make more sustainable purchases
  • Businesses can play a significant role in making it easier for consumers to make consciously sustainable choices and earn more trust from consumers
  • Alibaba Group’s latest ESG report reveals that over 180 million consumers participated in carbon emission reduction through its carbon ledger platform

A vast majority (73%) of consumers want to live more sustainable lifestyles, particularly among those living in emerging Asian markets (87%), but inconvenience and high costs are cited as main stumbling blocks to the adoption of sustainable lifestyles, finds the latest independent research commissioned by Alibaba Group.

The research, titled “The Sustainability Trends Report 2023”, polled more than 14,000 consumers from 14 markets across Asia, Europe and the Middle East. It finds that convenience (53%) and affordability (33%) are critical for driving behavioral changes on consumer sustainability and businesses can make it easier for consumers to make sustainably conscious choices.

But consumers are cynical (38%) towards the underlying motivation of businesses’ “sustainable” products, with only 15% saying that they completely trust claims around sustainability of products. Businesses need to work harder to build trust among those consumers, especially among people living in European markets.

“As a digital platform company, Alibaba is uniquely positioned and committed to addressing the ‘say-do’ gap challenge; by reducing the inconvenience obstacle, adding more sustainable choices, and optimizing supply chains to keep costs reasonable for consumers. Sustainable consumption is crucial for the environment, and in the meantime it provides a great opportunity for businesses, as well as the digital economy as a whole, to have a long-lasting development into a sustainable future for all,” said Liu Wei, Alibaba Group ESG Strategy Lead. 

Alibaba published its latest Environmental, Social and Governance (ESG) Report in late July where for the first time it disclosed its Scope 3+ decarbonization progress since it pioneered the concept in 2021 for a wider pledge of carbon emission reduction across its ecosystem. 

Alibaba’s carbon ledger platform has seen a total number of 187 million consumers participating in carbon emission reduction activities in the 12 months leading to March 31, 2023 with 1.91 million products from 409 brands offered on Tmall and Taobao through its low-carbon friendly products program as of March 2023, its latest ESG report revealed. 

Consumers from the emerging Asian markets are the most willing to learn how to make more sustainable purchase online

Consumers globally are embracing more sustainable lifestyles, but there are variations across regions in the level of engagement and how they want to live and shop more sustainably. 

The research finds around three in four consumers (76%) would welcome more information about how to be more sustainable. The proportion is highest in the Philippines (93%), Indonesia (91%), and UAE (90%). 

Over half (58%) of consumers say they’ve already engaged with sustainable practices and they feel they are already personally doing a great deal. There’s also a general openness towards learning about sustainable online practices, with an average of 73% saying that they would welcome more information about how to make purchases online that are more sustainable. 

Respondents from emerging Asian markets (88%) show higher willingness to learn how they can make purchases online that are more sustainable compared with developed Asian markets (66%) and Europe (66%). The sustainable online shopping behaviors also differ across regions, with emerging Asian markets (47%) more inclined to choosing sustainable packaging whereas those in Europe (47%) tend to recycle more. 

Half of the consumers would only go sustainable if it’s convenient; with a third believing sustainability is not affordable 

Lack of information on how products are sustainable (48%) and the prices of sustainable products being too high (45%) are cited as the main barriers for consumers to make more sustainable purchases. 

Over half of the consumers (53%) surveyed say they would only make sustainable choices if they were convenient, which is especially the case in Asian markets (61%) compared to European markets (36%). A third (33%) say living sustainably is not affordable, with Thailand (84%) leading the pack, followed by UAE (41%) and Spain (37%).

Amid the shifting consumer sentiments, businesses can play a significant role in making it easier for consumers to make sustainable conscious choices, the report finds. Making sustainable products more affordable (61%), making fewer products using single-use plastics and packaging (55%) and a wider selection of sustainable products and services (47%) are the top three ways consumers say businesses can do to promote consumer sustainability. 

But businesses need to work harder to build trust among consumers on their sustainability claims, especially among those living in European markets, said the research. 23% of consumers say they “do not trust very much” the claims around sustainability of products from businesses, with the highest proportion in France (31%), Spain (31%) Germany (30%) and the U.K. (30%).

Nearly two in five consumers (38%) are cynical towards the underlying motivations of businesses’ sustainable products, with Thailand (56%), France (48%) and Singapore (47%) as the top three markets where consumers say sustainable products are just a way for companies to sell their products at a higher price. 

“We believe companies can better earn trust from consumers by addressing their own ‘say-do’ gap, such as being more transparent and committed with their sustainability claims, and backing their sustainable practices with data. This will also lead to greater empathy towards consumers along our common journey of sustainability,” Liu Wei added.

About the survey: 

“The Sustainability Trends Report 2023” was conducted by Yonder Consulting, a UK-based consulting firm, with advisory and analysis support by Hong Kong-based sustainability consultancy, The Purpose Business, between January 26 to February 14, 2023, based on feedback from 14,125 consumers to an online survey. 

Respondents of the survey are located in fourteen markets across Asia, Europe and the Middle East including: Germany, France, Italy, Spain, U.K., Indonesia, Malaysia, Philippines, Thailand, South Korea, Hong Kong SAR, Japan, Singapore and the UAE. 

Asian developed markets referred in this research include Hong Kong SAR, Japan, Singapore and South Korea, while Asian emerging markets refer to Indonesia, Malaysia, Philippines and Thailand. 

ผลงานวิจัยพบว่า ผู้บริโภคเจ็ดในสิบราย พร้อมเปลี่ยน เพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

ผลงานวิจัยพบว่า ผู้บริโภคเจ็ดในสิบราย พร้อมเปลี่ยน เพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

อาลีบาบา กรุ๊ป ผลงานวิจัยพบว่า ผู้บริโภคเจ็ดในสิบราย พร้อมเปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

  • ผลงานวิจัยอิสระแสดงให้เห็นว่า อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเพิ่มขึ้น คือ การขาดข้อมูลและราคาที่สูงเกินไป
  • ภาคธุรกิจมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกสินค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนได้ง่ายขึ้น และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากขึ้น
  • รายงาน ESG ฉบับล่าสุดของอาลีบาบา กรุุ๊ป เผยให้เห็นว่าผู้บริโภคกว่า 180 ล้านคนมีส่วนร่วมลดการปล่อยคาร์บอนผ่านแพลตฟอร์มบัญชีแยกประเภทคาร์บอนของอาลีบาบา

ผลงานวิจัยอิสระที่สนับสนุนโดยอาลีบาบา กรุ๊ป พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (73%) ต้องการดำเนินชีวิตด้วยแนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (87%) แต่ต้องพบอุปสรรคสำคัญด้านค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปและความไม่สะดวกด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าที่เน้นความยั่งยืน

“The Sustainability Trends Report 2023” เป็นงานวิจัยที่สำรวจผู้บริโภคมากกว่า 14,000 รายจากตลาด 14 แห่งในเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง การวิจัยพบว่าความสะดวกด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าที่เน้นความยั่งยืน (53%) และค่าใช้จ่ายที่รับได้ (33%) มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคให้ดำเนินไปตามวิถีความยั่งยืน และธุรกิจต่าง ๆ ก็สามารถช่วยให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ 38% ผู้ของบริโภคเชื่อว่าความสนใจส่วนบุคคลเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดความสนใจเรื่องความ “ยั่งยืน” ของสินค้าที่ธุรกิจต่าง ๆ นำเสนอ มีเพียง 15% ที่เชื่อคำกล่าวอ้างทั้งหมดที่เกี่ยวกับความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ ดังนั้นธุรกิจต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ผู้บริโภคไว้วางใจ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในตลาดยุโรป

นายหลิว เว่ย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้าน ESG ของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “ในฐานะที่อาลีบาบาเป็นบริษัทด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม เรามีจุดยืนที่เป็นเอกลักษณ์และให้คำมั่นที่จะจัดการความท้าทายที่เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำได้จริงในทางปฏิบัติ (say-do gap) ด้วยการลดอุปสรรคที่จะกระทบต่อความสะดวกด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าที่เน้นความยั่งยืน เพิ่มทางเลือกด้านความยั่งยืนให้มากขึ้น และปรับปรุงซัพพลายเชนต่าง ๆ เพื่อให้คงราคาที่สมเหตุสมผลให้กับผู้บริโภค เพราะการบริโภคอย่างยั่งยืนมีความสำคัญมากต่อสิ่งแวดล้อม และในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้ธุรกิจ รวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวม เพื่อการพัฒนาที่ยืนยาวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกฝ่าย” 

อาลีบาบาเผยแพร่รายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ฉบับล่าสุดเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม และเป็นครั้งแรกที่เปิดเผยความคืบหน้าของกระบวนการลดคาร์บอนใน Scope 3+ นับจากเริ่มบุกเบิกแนวคิดนี้ในปี 2564 เพื่อขยายคำมั่นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ครอบคลุมระบบนิเวศทั้งหมดของบริษัทฯ

รายงาน ESG ล่าสุดนี้ยังเผยให้เห็นข้อมูลจากแพลตฟอร์มบัญชีแยกประเภทคาร์บอนของอาลีบาบาที่ระบุว่ามีผู้บริโภค 187 ล้านคนเข้าร่วมกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในช่วง 12 เดือน (นับถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566) โดยมีสินค้า 1.91 ล้านรายการจากแบรนด์ 409 แห่งที่นำเสนอบน Tmall และ Taobao ผ่านโปรแกรมสินค้าคาร์บอนต่ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2566)

ผู้บริโภคที่อยู่ในตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ยินดีเรียนรู้วิธีซื้อของออนไลน์ด้วยวิถียั่งยืนมากขึ้น

ผู้บริโภคทั่วโลกยอมรับการใช้ชีวิตด้วยวิถีความยั่งยืนมากขึ้น แต่ในแต่ละภูมิภาคต่างมีระดับการมีส่วนร่วม วิถีการดำเนินชีวิต และการจับจ่ายซื้อของที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนแตกต่างกัน

ผลงานวิจัยพบว่าผู้บริโภคประมาณสามในสี่ (76%) ยินดีรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่จะช่วยให้มีความยั่งยืนมากขึ้น โดยมีสัดส่วนสูงสุดในฟิลิปปินส์ (93%) ตามด้วยอินโดนีเซีย (91%) และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (90%)

ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (58%) กล่าวว่าพวกเขาได้มีส่วนร่วมด้านความยั่งยืนแล้ว และรู้สึกว่าตนกำลังทำสิ่งที่ดีและถูกต้อง นอกจากนี้ยังเปิดกว้างเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติทางออนไลน์เพื่อความยั่งยืน โดยเฉลี่ย 73% กล่าวว่ายินดีรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น

ผู้ตอบแบบสำรวจที่อยู่ในตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (88%) เต็มใจเรียนรู้วิธีการที่จะช่วยให้สามารถซื้อสินค้าออนไลน์ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนได้มากขึ้น มากกว่าตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชีย (66%) และในยุโรป (66%) นอกจากนี้ พฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนยังแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (47%) มีแนวโน้มเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากกว่า ในขณะที่ในยุโรป (47%) มีแนวโน้มเลือกการรีไซเคิลมากกว่า

ผู้บริโภคครึ่งหนึ่งจะเลือกซื้อสินค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนก็ต่อเมื่อมีความสะดวกด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าประเภทนี้ และหนึ่งในสามเชื่อว่าสินค้าประเภทนี้มีราคาแพงเกินไป

อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนเพิ่มขึ้น คือ ขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความยั่งยืนของสินค้า (48%) และราคาของสินค้าที่เน้นความยั่งยืนมีราคาสูงเกินไป (45%) 

ผู้บริโภคที่ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่ง (53%) กล่าวว่าพวกเขาจะเลือกให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนก็ต่อเมื่อพวกมีความสะดวกด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้ากลุ่มนี้ โดยในกลุ่มคำตอบนี้ผู้บริโภคในตลาดเอเชียมีสัดส่วนสูง (61%) เมื่อเทียบกับตลาดยุโรปที่น้อยกว่า (36%) นอกจากนี้หนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสำรวจ (33%) กล่าวว่า การใช้ชีวิตวิถียั่งยืนนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป โดยผู้ตอบแบบสำรวจไทยนำมาในกลุ่มนี้ (84%) ตามด้วยสหรัฐอาหรับเอมิเตรส์ (41%) และสเปน (37%)

รายงานระบุว่า ท่ามกลางความรู้สึกของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ธุรกิจจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้บริโภคเลือกแนวทางด้านความยั่งยืนได้อย่างถูกต้องได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคกล่าวว่า สิ่งที่ธุรกิจสามารถทำได้เพื่อสนับสนุนให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าและบริการที่เน้นความยั่งยืนคือ ทำให้สินค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมีราคาที่ผู้บริโภครับได้มากขึ้น (61%) ใช้พลาสติกและบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ได้ครั้งเดียวให้น้อยลง (55%) และให้ทางเลือกสินค้าและบริการที่เน้นความยั่งยืนมากขึ้น (47%)

รายงานยังระบุว่า ธุรกิจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าสินค้าของตนมีความยั่งยืนจริงตามที่ได้กล่าวอ้างไว้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในตลาดยุโรป ทั้งนี้ 23% ของผู้บริโภคกล่าวว่าพวกเขา “ไม่เชื่อถือนัก” กับคำกล่าวอ้างของธุรกิจต่าง ๆ ว่าสินค้านั้น ๆ ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยประเทศที่มีความเห็นนี้ในสัดส่วนสูงสุดคือ ฝรั่งเศส (31%) สเปน (31%) เยอรมนี (30%) และสหราชอาณาจักร (30%)

ผู้บริโภคเกือบสองในห้า (38%) คลางแคลงใจว่าอะไรคือแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ในความ “ยั่งยืน” ของสินค้าที่ธุรกิจกล่าวอ้าง โดยรายงานพบว่าตลาดสามอันดับแรกที่มีสัดส่วนในข้อนี้สูงสุด คือ ไทย (56%) ฝรั่งเศส (48%) และสิงคโปร์ (47%) ซึ่งระบุว่า สินค้าที่กล่าวอ้างว่าให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เป็นเพียงวิธีการที่บริษัทต่าง ๆ ใช้ เพื่อให้ขายสินค้าได้ในราคาสูงขึ้น

นายหลิว เว่ย เสริมว่า “เราเชื่อว่าบริษัทต่าง ๆ จะได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยการจัดการกับช่องว่างของสิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำได้จริงในทางปฏิบัติ เช่น โปร่งใสมากขึ้น รับผิดชอบต่อการ กล่าวอ้างด้านความยั่งยืนของตน และใช้ข้อมูลเป็นฐานสนับสนุนแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน ซึ่งจะนำมาซึ่งความใส่ใจและความเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น ตลอดเส้นทางสู่ความยั่งยืนร่วมกันของเรา”

เกี่ยวกับการสำรวจ

“The Sustainability Trends Report 2023” จัดทำโดย Yonder Consulting บริษัทที่ปรึกษาในสหราชอาณาจักร โดยมี The Purpose Business ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนในฮ่องกงสนับสนุนด้านคำแนะนำและการวิเคราะห์ รายงานนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 26 มกราคม ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2566 โดยอ้างอิงคำตอบจากผู้บริโภคจำนวน 14,125 ราย ที่ตอบแบบสำรวจออนไลน์

ผู้ตอบแบบสำรวจมาจากสิบสี่ตลาดในเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง ได้แก่ เยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน, สหราชอาณาจักร, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย, เกาหลีใต้, เขตบริหารพิเศษฮ่องกง, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชียที่อ้างถึงในงานวิจัยนี้ ได้แก่ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ส่วนตลาดเกิดใหม่ในเอเชียหมายถึง อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และไทย

Alibaba Cloud Open-Sources Its 7-Billion-Parameter LLM Models, Strengthening Its Commitment to the Open-Source Community

Alibaba Cloud Launches Carbon Management Solution

Alibaba Cloud Open-Sources Its 7-Billion-Parameter LLM Models, Strengthening Its Commitment to the Open-Source Community

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, has announced its latest contribution to the open-source community by open-sourcing its 7-billion-parameter Large Language Models (LLM), Qwen-7B and Qwen-7B-Chat, through its AI model community ModelScope, and the collaborative AI platform Hugging Face.

Alibaba Cloud introduced its proprietary LLM, Tongyi Qianwen, earlier this year in April. This cutting-edge model, capable of generating human-like content in both Chinese and English, has different model sizes, including seven billion and above parameters. This time, the open-source release includes the pre-trained 7-billion-parameter model, Qwen-7B, and its conversationally fine-tuned version, Qwen-7B-Chat.

In an effort to democratize AI technologies, the models’ code, model weights, and documentation will be freely accessible to academics, researchers and commercial institutions worldwide. For commercial uses, the models will be free to use for companies with fewer than 100 million monthly active users. Programs with more users can request a license from Alibaba Cloud.

“By open-sourcing our proprietary large language models, we aim to promote inclusive technologies and enable more developers and SMEs to reap the benefits of generative AI,” said Jingren Zhou, CTO of Alibaba Cloud Intelligence. “As a determined long-term champion of open-source initiatives, we hope that this open approach can also bring collective wisdom to further help open-source communities thrive.”

The Qwen-7B was pre-trained on over 2 trillion tokens, including Chinese, English and other multilingual materials, code, and mathematics, covering general and professional fields. Its context length reaches 8K. In training, the Qwen-7B-Chat model was aligned with human instructions. Both Qwen-7B and Qwen-7B-Chat models can be deployed on cloud and on-premises infrastructures. This enables users to fine-tune the models and build their own high-quality generative models effectively and cost-efficiently. 

The pre-trained Qwen-7B model distinguished itself in the Massive Multi-task Language Understanding (MMLU) benchmark, scoring a notable 56.7, outperforming other major pre-trained open-source models with similar scales or even some larger-size models. This benchmark assesses a text model’s multitask accuracy across 57 varied tasks, encompassing fields such as elementary mathematics, computer science and law. Moreover, Qwen-7B achieved the highest score among models with equivalent parameters in the leaderboard of C-Eval, a comprehensive Chinese evaluation suite for foundational models. It covers 52 subjects in four major specialities including humanities, social sciences, STEM and others. Additionally, Qwen-7B reached outstanding performance on benchmarks of mathematics and code generation, such as GSM8K and HumanEval.

Alibaba Cloud’s Qwen-7B model distinguished itself in several benchmarks
Alibaba Cloud’s Qwen-7B model distinguished itself in several benchmarks

In July, Alibaba Cloud also introduced its AI image generator, Tongyi Wanxiang, which was designed to support developers and SMEs in their creative image expression. The cloud pioneer also unveiled ModelScopeGPT, a versatile framework designed to assist users in performing complex and specialized AI tasks across language, vision and speech domains by leveraging various AI models on ModelScope. Launched by Alibaba Cloud last year, ModelScope is an open-source AI model community currently featuring over 1,000 AI models contributed by 20 leading AI institutes. 

For more information, please check out the details of Qwen-7B and Qwen-7B-Chat on ModelScope,Hugging Face and GitHub pages