ความเชื่อเรื่องไอทีอัตโนมัติ สร้างประโยชน์อย่างไร

5 benefits to an IT automation mindset

ความเชื่อเรื่องไอทีอัตโนมัติ สร้างประโยชน์อย่างไร

บทความโดย คุณสุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท

ระบบไอทีที่ทำงานโดยอัตโนมัติ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนความสำเร็จให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และอาจเป็นตัวเปลี่ยนแกมให้กับองค์กรใดก็ตามที่มองหาการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงานด้านไอที

ระบบไอทีที่ทำงานโดยอัตโนมัติคืออะไร

ระบบไอทีอัตโนมัติ คือ การใช้ซอฟต์แวร์จัดการกับงานธุรการที่ต้องทำซ้ำๆ กัน ด้วยวิธีการแบบแมนนวล เสมือนการตั้งค่าการทำกิจวัตรประจำวันอย่างชาญฉลาดมากมายไว้ช่วยองค์กรจัดการงานต่าง ๆ ช่วยให้สภาพแวดล้อมไอทีขององค์กรทำงานอย่างราบรื่น และสเกลได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการ

ข้อดีของระบบไอทีอัตโนมัติ

การนำระบบอัตโนมัติมาใช้กับกระบวนการด้านไอทีในองค์กรมีคุณประโยชน์หลายประการ ที่ไม่เพียงเกี่ยวกับการทำให้งานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ และปลอดภัย การมีแนวคิดและวิธีคิดในการใช้ไอทีอัตโนมัติ จะช่วยให้ระบบไอทีขององค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5 ประการ ดังนี้

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านไอที เพื่อสร้างพื้นที่ให้กับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ

ระบบอัตโนมัติสามารถรับหน้าที่ทำงานด้านไอทีที่ซับซ้อนจำนวนมากได้ เป็นการลดความจำเป็นที่ต้องใช้คนที่มีทักษะเฉพาะทาง และขจัดปัญหาคอขวดต่าง ๆ ที่สร้างความยุ่งยากลงได้ ระบบต่าง ๆ จึงสามารถทำงานอย่างเชื่อถือได้มากขึ้น และกระบวนการทำงานต่าง ๆ จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ระบบอัตโนมัติช่วยให้ทีมไอทีมีอิสระจากงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ จำนวนมากในแต่ละวัน และนำเวลาที่มีไปใช้เชิงความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น รวมถึงทำโปรเจกต์ที่น่าตื่นเต้นใหม่ ๆ ได้ นับเป็นการช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

  1. เพิ่มความแม่นยำและลดข้อผิดพลาด

กระบวนการอัตโนมัติต่าง ๆ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากมนุษย์น้อยลงมาก และงานจะเสร็จสิ้นลงด้วยมาตรฐานความแม่นยำที่สูงกว่ากระบวนการที่ต้องอาศัยมนุษย์ องค์กรจึงคาดหวังได้ว่างานต่าง ๆ จะสำเร็จโดยมีความผิดพลาดที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงน้อยลง

  1. วางตลาดสินค้า/บริการได้เร็วขึ้น

ระบบอัตโนมัติสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของทีม และทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ ในการพัฒนาและการปรับใช้รวดเร็วและยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยให้องค์กรส่งผลิตภัณฑ์และบริการสู่ตลาดได้เร็วขึ้น และมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ระบบอัตโนมัติ ช่วยให้องค์กรสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งพร้อมให้นำมาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและการวางแผนเชิงกลยุทธ์

  1. เสริมมาตรฐานด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างรัดกุม

ระบบอัตโนมัติสามารถเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการรักษาความปลอดภัยด้านไอทีให้กับองค์กร ด้วยการทำให้องค์กรสามารถดำเนินนโยบายด้านความปลอดภัยได้อย่างสอดคล้องกันและปฏิบัติตามมาตรการด้านกฎระเบียบได้อย่างไม่ยุ่งยาก ยกตัวอย่าง Cepsa ที่ใช้ระบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยประหยัดเวลา และเน้นเรื่องกระบวนการต่าง ๆ ที่ช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบและความปลอดภัยไซเบอร์ ระบบอัตโนมัติช่วยให้ระบบต่าง ๆ มีความยืดหยุ่นและอยู่ในกรอบข้อกำหนดมากขึ้น ผ่านการจัดการสิทธิ์อย่างระมัดระวังและเที่ยงตรง รวมถึงการบังคับใช้โปรโตคอลความปลอดภัยที่รัดกุม

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการกู้คืนระบบและคงความต่อเนื่องทางธุรกิจ

การกู้คืนระบบเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำแผนกู้คืนระบบไอทีและข้อมูลขององค์กรอย่างรวดเร็ว หลังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น คอมพิวเตอร์หลักขององค์กรล่มหรือข้อมูลทั้งหมดสูญหาย ส่วนความต่อเนื่องทางธุรกิจหมายถึง การที่องค์กรสามารถดำเนินงานสำคัญต่อได้อย่างราบรื่นไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น งานที่เกี่ยวกับสำรองและกู้คืนระบบที่เป็นอัตโนมัติ จะช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้นอย่างมาก

ตัวอย่าง หากองค์กรประสบปัญหาระบบล้มเหลว กระบวนการอัตโนมัติจะช่วยกู้คืนไฟล์ข้อมูลและระบบอย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้ ซึ่งช่วยลดดาวน์ไทม์ที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้ธุรกิจคงไว้ซึ่งความสามารถในการดำเนินงานตามปกติได้แม้จะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่มีการหยุดชะงักครั้งใหญ่

การทำให้งานด้านไอทีเป็นอัตโนมัติ ไม่เพียงเกี่ยวกับเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของกลยุทธ์ขององค์กร บริษัทหลายแห่งในปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม ต่างต้องการความยืดหยุ่นและความยั่งยืน ระบบอัตโนมัติสามารถช่วยองค์กรสร้างนวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านต่าง ๆ มากขึ้น ทั้งยังส่งเสริมมาตรการด้านความปลอดภัยในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้องค์กรตอบสนองได้ดีขึ้น การนำระบบไอทีอัตโนมัติมาใช้ในเชิงรุก เป็นหนทางหนึ่งที่สามารถเพิ่มความคล่องตัว และสร้างความพร้อมรับความท้าทายในอนาคตให้กับบริษัทด้านเทคโนโลยี

กลยุทธ์การทำงานด้านไอทีอัตโนมัติ สามารถช่วยองค์กรปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ ทั้งยังช่วยให้ประหยัดเวลา เพิ่มคุณภาพ เพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน และลดค่าใช้จ่ายในองค์กร ไม่ว่าสภาพแวดล้อมการทำงานขององค์กรจะซับซ้อนเพียงใด หรือองค์กรกำลังอยู่ ณ จุดไหนบนเส้นทางการปรับระบบไอทีให้ทันสมัยก็ตาม

Ericsson ConsumerLab: Rising use of Generative AI Apps boosts consumer interest in differentiated connectivity

Ericsson ConsumerLab: Rising use of Generative AI Apps boosts consumer interest in differentiated connectivity

Ericsson ConsumerLab: Rising use of Generative AI Apps boosts consumer interest in differentiated connectivity

  • Thirty-five percent of 5G smartphone users interested in paying for differentiated connectivity
  • Research representative of 1.1 billion people, including 750 million 5G smartphone users
  • Report identifies revenue generation opportunities for communications service providers

Generative AI applications are emerging as a key area in driving interest in differentiated connectivity – guaranteed uninterrupted high-end connectivity when you need it most – among 5G smartphone users globally, new Ericsson (NASDAQ: ERIC) ConsumerLab research shows.

With the number of smartphone owners who use Gen AI apps on at least a weekly basis expected to increase 2.5-fold in the next five years, the rapidly growing category joins existing differentiated connectivity use cases such as video calling, streaming and online payments that smartphone users say they are willing to pay a premium for.

Differentiated connectivity and consumers’ willingness to pay communications service providers (CSPs) for the guaranteed higher performance for essential apps, is the subject of the latest global report from Ericsson ConsumerLab, called Elevating 5G with Differentiated Connectivity, published today, November 13.

Almost one-in-four Gen AI users say they are already willing to pay up to 35 percent more for guaranteed fast and secure connectivity for such high-capacity applications.

The research shows that 35 percent of 5G smartphone users surveyed say they would be interested in paying for differentiated connectivity for essential applications.

The CSP-focused report also addresses revenue generation opportunities for service providers based on the survey research.

Jasmeet Sethi, Head of ConsumerLab, Ericsson, says: “The latest comprehensive Ericsson ConsumerLab research indicates that as AI-powered applications become more prevalent, users’ expectations for enhanced connectivity are rising. This reflects consumers’ expectations for AI apps’ future capabilities – perhaps relating to image, audio or video generation – and their willingness to pay for those capabilities to perform in a speedy and high-quality way. This signals an opportunity for CSPs globally to meet this demand through tailored connectivity experiences.”

Sethi says the differentiated connectivity revenue generation potential for CSPs will increase as they transition to performance-based business models, offering tailored subscriptions and plans with assured performance for different consumer segments in the market.

“This shift could drive a 5-12 percent uplift in 5G ARPU (Average Revenue Per User) as users seek guaranteed reliable performance for specific applications,” he says. “Additionally, there is an opportunity to unlock new revenue pools from the significant demand among 5G users for high-performance apps with one-in-three 5G smartphone users willing to reallocate 10 percent of their current mobile app spend to purchase apps with in-built elevated connectivity. By exposing Quality on Demand (QoD) network APIs to developers, CSPs can tap into this demand, enabling developers to offer premium, high-performance experiences and unlocking new revenue streams in the process.”

Key research takeaways:

  • Willingness to Pay: 35 percent of global 5G users are open to paying more for differentiated connectivity that guarantees better performance for essential tasks
  • Assurance Seekers’ segment: Contrary to the belief that users will not pay extra for connectivity, the survey identified 20 percent of users, known as ‘Assurance Seekers’, actively seeking elevated connectivity for critical applications and are willing to pay for it
  • Generative AI app demand: The number of smartphone users using generative AI apps weekly, is expected to rise 2.5-fold in the next five years. One-in-four current AI users are already willing to pay 35 percent more for differentiated connectivity to ensure fast and responsive performance of AI-driven applications
  • Regional interest: Markets such as India, Thailand, and Saudi Arabia have double the share of smartphone users interested in differentiated connectivity compared to markets such as France and Spain
  • Five-stage journey for CSPs: The study outlines a pathway for CSPs from non-differentiated mobile broadband to performance-driven and platform-based models, where network APIs empower developers to create customized app experiences.

More than 23,000 smartphone users between the ages of 15 and 69 were surveyed online for the research – more than 17,000 of which were 5G smartphone users from 16 key markets with a global spread. Ericsson researchers say the survey is representative of 1.1 billion people, including 750 million 5G smartphone users.

Surveyed 5G users came from: Australia, Brazil, Canada, Mainland China, France, Hong Kong, India, KSA, Singapore, South Korea, Spain, Taiwan, Thailand, UAE, United Kingdom and the United States.

ผลวิจัย Ericsson ConsumerLab ชี้การใช้แอป Generative AI เพิ่มขึ้นกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคในบริการเชื่อมต่อรูปแบบแตกต่างกัน

ผลวิจัย Ericsson ConsumerLab ชี้การใช้แอป Generative AI เพิ่มขึ้นกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคในบริการเชื่อมต่อรูปแบบแตกต่างกัน

ผลวิจัย Ericsson ConsumerLab ชี้การใช้แอป Generative AI เพิ่มขึ้นกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคในบริการเชื่อมต่อรูปแบบแตกต่างกัน

  • 35% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจ่ายค่าบริการกับการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่างกัน
  • ผลวิจัยฉบับนี้เป็นตัวแทนผู้บริโภค 1 พันล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G อยู่ 750 ล้านราย
  • รายงานนี้ยังชี้ให้เห็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP)

ผลวิจัยล่าสุดจาก Ericsson (NASDAQ: ERIC) ConsumerLab เผยการใช้แอปพลิเคชัน Generative AI กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความสนใจกับการเชื่อมต่อที่แตกต่างตามการใช้งานที่จำเป็นของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ทั่วโลก พร้อมรับประกันว่าการเชื่อมต่อจะมีคุณภาพอยู่ในระดับไฮเอนด์และไม่สะดุดในเวลาที่ต้องการใช้งานมากที่สุด

จากจำนวนเจ้าของสมาร์ทโฟนที่ใช้แอป Generative AI อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้สอดคล้องกับยูสเคสการใช้งานเครือข่ายที่มีความแตกต่างกันเช่นวิดีโอคอล สตรีมมิ่ง และการชำระเงินออนไลน์ ที่ผู้ใช้ระบุว่าพวกเขาเต็มใจจ่ายเพิ่มกับบริการในระดับพรีเมียม

บริการเชื่อมต่อที่มีความแตกต่างและผู้บริโภคที่เต็มใจจ่ายค่าบริการให้กับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) เพื่อรับประกันว่าจะได้รับการเชื่อมต่อประสิทธิภาพสูงในการใช้งานแอปที่จำเป็น เป็นหัวข้อในรายงานระดับโลกล่าสุดจาก Ericsson ConsumerLab ในชื่อว่า Elevating 5G with Differentiated Connectivity ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

เกือบ 1 ใน 4 ของผู้ใช้ Gen AI ระบุว่ายินดีจ่ายค่าบริการเพิ่ม 35% กับบริการที่รับประกันว่าจะได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและปลอดภัยระหว่างที่ใช้แอปพลิเคชันที่มีความจุสูง

ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า 35% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G สนใจที่จะจ่ายค่าบริการเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่แตกต่างกันสำหรับใช้งานแอปพลิเคชันที่จำเป็นต่าง ๆ

รายงานฉบับนี้ ยังระบุถึงโอกาสต่าง ๆ ในการสร้างรายได้สำหรับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารอีกด้วย

แจสมีต เซธิ หัวหน้าฝ่ายวิจัย ConsumerLab ของอีริคสัน กล่าวว่า “ผลการวิจัยล่าสุดในรายงาน Ericsson ConsumerLab เผยว่า เมื่อแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น ความคาดหวังของผู้ใช้ต่อประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ดีก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคคาดหวังความสามารถในอนาคตของแอปพลิเคชัน AI ที่อาจเกี่ยวข้องกับ การสร้างภาพ เสียง หรือวิดีโอ และพวกเขาเต็มใจที่จะจ่ายค่าบริการเพื่อให้ได้ความสามารถเหล่านั้นมาใช้ทำงานที่ได้ความรวดเร็วและมีคุณภาพสูง นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโอกาสของผู้ให้บริการทั่วโลกที่จะสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ด้วยการมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ปรับแต่งได้”

เซธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อผู้ให้บริการปรับใช้โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ จะมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากบริการเชื่อมต่อที่แตกต่าง รวมถึงการนำเสนอแพ็กเกจบริการที่สามารถปรับแต่งและการรับประกันคุณภาพการเชื่อมต่อที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มในตลาด”

“การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) ของบริการ 5G เพิ่มขึ้น 5-12% เนื่องจากผู้ใช้งานต้องการประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้และมีการรับประกันสำหรับแอปพลิเคชันเฉพาะด้าน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสปลดล็อกช่องทางสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากความต้องการอย่างมีนัยสำคัญของกลุ่มผู้ใช้บริการ 5G ที่ต้องการใช้แอปประสิทธิภาพสูง โดย 1 ใน 3 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจัดสรรงบประมาณ 10% จากค่าใช้จ่ายแอปมือถือในปัจจุบัน เพื่อมาซื้อแอปที่มีคุณภาพการเชื่อมต่อสูงอยู่ในตัว ด้วยการเปิดให้นักพัฒนาเข้าถึง Network APIs แบบ Quality on Demand (QoD) ทำให้ผู้ให้บริการฯ สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ และช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำเสนอประสบการณ์ระดับพรีเมียมที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมปลดล็อกช่องทางรายได้ใหม่ ๆ ในกระบวนการนี้ได้” เซธิ กล่าวเพิ่ม

ประเด็นสำคัญ:

  • พร้อมจ่ายค่าบริการเพิ่ม: 35% ของผู้ใช้ 5G ทั่วโลก ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อรับบริการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่างกัน เพื่อรับประกันประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกับงานที่มีความสำคัญ
  • กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นใจ หรือ Assurance Seekers: แม้จะมีความเชื่อว่าผู้ใช้จะไม่ยอมจ่ายค่าบริการเครือข่ายเพิ่ม แต่ผลสำรวจพบว่า 20% ของผู้ใช้งาน ซึ่งเรียกว่า ‘Assurance Seekers’ กำลังมองหาการเชื่อมต่อคุณภาพสูงเพื่อใช้แอปพลิเคชันสำคัญและพวกเขาเต็มใจจะจ่ายเพิ่ม
  • ความต้องการใช้แอป Gen AI: คาดว่าจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ใช้แอป Gen AI รายสัปดาห์จะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดย 1 ใน 4 ของผู้ใช้ AI ในปัจจุบัน เต็มใจจ่ายค่าบริการเพิ่มถึง 35% เพื่อแลกกับบริการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่าง เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประสิทธิภาพที่รวดเร็วและตอบสนองเป็นอย่างดีเมื่อใช้แอป AI
  • ความสนใจระดับภูมิภาค: ตลาดอินเดีย ประเทศไทยและซาอุดีอาระเบีย มีสัดส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่สนใจบริการเชื่อมต่อที่แตกต่างหรือ Differentiated Connectivity มากกว่าฝรั่งเศสและสเปนถึง 2 เท่า
  • 5 ขั้นตอนสำหรับผู้ให้บริการ: รายงานฉบับนี้ยังได้นำเสนอการวางแนวทางสำหรับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อเปลี่ยนจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มือถือทั่วไป ไปสู่โมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพและแพลตฟอร์ม ซึ่ง Network APIs จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างประสบการณ์การใช้แอปที่ปรับแต่งเฉพาะได้

การสำรวจนี้เป็นการสำรวจทางออนไลน์กับผู้ใช้สมาร์ทโฟนจำนวนมากกว่า 23,000 ราย และมากกว่า 17,000 รายเป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G โดยมีอายุระหว่าง 15-69 ปี ครอบคลุมใน 16 ตลาดสำคัญทั่วโลก นักวิจัยของอีริคสันยังระบุว่าการสำรวจนี้เสมือนเป็นตัวแทนผู้ใช้บริการมือถือ 1.1 พันล้านคนโดยในจำนวนนี้เป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G 750 ล้านราย

ผู้ใช้บริการ 5G ที่ร่วมการสำรวจมาจาก: ออสเตรเลีย, บราซิล, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, ฮ่องกง, อินเดีย, ซาอุดีอาระเบีย, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, สเปน, ไต้หวัน, ไทย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) โดยประชากรเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง  ด้วยความท้าทายหลายด้านจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงทำให้เกิดความกังวลในการสร้างครอบครัว หลายคนเลือกจะครองตัวเป็นโสดมากขึ้นส่งผลกระทบต่อมิติเศรษฐกิจในอนาคต ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 พบว่า 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นโสด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 23.9% และหากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) พบว่า มีคนโสดอยู่ที่ 40.5% สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว โดยกรุงเทพฯ มีสัดส่วนคนโสดต่อประชากรในพื้นที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ถึง 50.4% 

ขณะเดียวกัน สัดส่วนการแต่งงานในปัจจุบันก็มีแนวโน้มลดลง ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยพบว่าสถิติการจดทะเบียนสมรสลดลงและการหย่าร้างมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าความท้าทายในการใช้ชีวิตคู่เป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ Solo Economy หรือเศรษฐกิจของครัวเรือนที่อาศัยอยู่คนเดียว (Single person household) มีการขยายตัวมากขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในไทย โดยคนโสดเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงเนื่องจากมีภาระทางการเงินน้อยกว่ากลุ่มมีครอบครัวหรือมีบุตร และมีอิสระในการใช้จ่ายเพื่อความสุขมากกว่า จึงกลายเป็นโอกาสของหลายธุรกิจในการปรับตัวเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้

เกาะติดเทรนด์ที่อยู่อาศัยวิถีชาว Solo Economy 

การขยายตัวของ Solo Economy ในไทยส่งผลให้วิถีชีวิตผู้บริโภคปรับเปลี่ยนตามไปด้วยในหลายมิติ ซึ่งรวมทั้งเทรนด์การค้นหาที่อยู่อาศัย หลังจากก่อนหน้านี้วัยทำงานมักเริ่มวางแผนซื้อบ้านเมื่อต้องการสร้างครอบครัวเป็นอันดับต้น ๆ อย่างไรก็ดี คนโสดยังคงต้องการบ้านในฝันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เช่นกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยเทรนด์ที่อยู่อาศัยตอบโจทย์คนโสดหรือผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียว ปัจจัยใดบ้างที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพื่อให้มาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่เน้นดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่

  • การเช่าตอบโจทย์ ลดภาระในอนาคต ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) พบว่า ผู้ทำแบบสอบถามที่มีสถานะโสดวางแผนจะเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้า 14% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้บริโภคทั่วไป (สัดส่วน 10%) และสูงกว่าผู้บริโภคในสถานภาพสมรสอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นว่า เทรนด์การเช่าบ้าน/คอนโดฯ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนโสดมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องการแบกรับภาระหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน และมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการบำรุงรักษาตามมามากกว่าการเช่า ขณะที่ปัจจุบันธนาคารมีเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดการเกิดหนี้เสีย ทำให้หลายคนเลือกใช้วิธีกู้ร่วมกับคนรักเพื่อให้ได้วงเงินที่สูงขึ้นและครอบคลุมราคาบ้านที่ต้องการแทน

อย่างไรก็ดี แม้คนโสดจะสามารถกู้ซื้อบ้านร่วมกับคนในครอบครัวได้ แต่หลายคนมักให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินในระยะยาว และเน้นใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่าต้องมากังวลกับภาระหนี้ การซื้อบ้านจึงอาจไม่ใช่เป้าหมายสำคัญอันดับต้น ๆ เนื่องจากยังสามารถเลือกการเช่าแทนได้และยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน อีกทั้งยังสะดวกในการโยกย้ายหากต้องการเปลี่ยนงานหรือย้ายทำเลมากกว่า นอกจากนี้ คนโสดยังไม่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่มากเกินความจำเป็น ทำให้มักจะเลือกที่อยู่อาศัยที่มีขนาดเหมาะสมกับการอยู่อาศัยจริงที่ค่าเช่าไม่สูงจนเกินไป

  • ระบบรักษาความปลอดภัยต้องรัดกุม ที่อยู่อาศัยในฝันของหลายคนคือโครงการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มายกระดับความปลอดภัยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้อยู่อาศัยทุกคนโดยเฉพาะคนที่อยู่เพียงลำพัง โดยผู้บริโภคสามารถสอบถามนิติบุคคลถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่โครงการมีให้ เช่น มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงและมีการเดินตรวจตราครอบคลุมทุกพื้นที่ มีกล้องวงจรปิดทั่วทั้งโครงการ ใช้ระบบลิฟต์ล็อกชั้นสำหรับคอนโดฯ ผู้อยู่อาศัยเข้า-ออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด มีการตรวจสอบ/คัดกรองบุคคลที่มาติดต่อในโครงการอย่างเคร่งครัด และมีมาตรฐานการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้พักอาศัยให้สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถเพิ่มความปลอดภัยได้ด้วยการติดตั้งกลอนประตูดิจิตอล (Digital Door Lock) ที่สามารถปรับรูปแบบการปลดล็อกได้ด้วยตนเอง รวมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยว่าแต่ละประเภทมีความคุ้มครองแบบใดบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่คอนโดฯ อาจพิจารณาซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากประกันภัยส่วนกลางเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวภายในห้อง ช่วยเพิ่มความมั่นใจและป้องกันความเสียหายหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น น้ำรั่วซึมหรือไฟไหม้ 

  • โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ช่วยคลายเหงา การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่องในหมู่คนโสดและผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างปรับตัวเพื่อเจาะตลาดนี้เช่นกัน ข้อมูลจากผลสำรวจของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด พบว่า ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวนอาคารชุดประเภทที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600% เมื่อเทียบกับปี 2554

สอดคล้องกับแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า 33% ของคนโสดต้องการฟิลเตอร์ช่วยคัดกรองโครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) เมื่อค้นหาที่อยู่อาศัยออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถค้นหาที่อยู่อาศัยที่ออกแบบเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของสัตวเลี้ยงโดยเฉพาะ และได้อยู่ท่ามกลางคอมมูนิตี้ของคนรักสัตว์เหมือนกัน ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว นอกจากนี้ โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) ยังติดอันดับ 1 ใน 5 ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของคนโสดอีกด้วย

  • พื้นที่ส่วนกลางเสริมสุขภาพกายและใจ พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ผู้พักอาศัยสามารถใช้เวลาพักผ่อนตามไลฟ์สไตล์ที่ตนชื่นชอบได้ โดยคนโสดส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองจึงต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสายรักสุขภาพอย่างพื้นที่ออกกำลังกาย เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องโยคะ เลนปั่นจักรยาน หรือสนามกีฬาประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้การดูแลสุขภาพจิตใจให้สมดุลก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โครงการจึงควรมีพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสวนพักผ่อนหรือสวนลอยฟ้ารองรับการพักผ่อนพร้อมชมวิว พื้นที่ Co-Working Space ห้องดูหนัง หรือห้องเล่นเกม ซึ่งรองรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของคนโสดให้สามารถทำกิจกรรมที่หลากหลายได้ภายในโครงการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางออกไปข้างนอก  
  • ทำเลต้องปัง เดินทางสะดวก การเดินทางเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน ดังนั้นโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีระบบสาธารณูปโภคครบครันและมีความเจริญในพื้นที่จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยระยะยาวของคนโสดได้มากกว่า เช่น อยู่ใกล้สถานพยาบาล ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ นอกจากนี้ไลฟ์สไตล์ยังมีความสำคัญกับการเลือกทำเลโครงการเช่นกัน หากเป็นคนโสดที่ชื่นชอบการสังสรรค์ อาจพิจารณาโครงการที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและสถานบันเทิง เพื่อช่วยลดเวลาในการเดินทางลง โดยมีหัวใจสำคัญในการเลือกคือโครงการควรตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางได้สะดวกทั้งในการไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวัน ไม่อยู่ในซอยเปลี่ยว ควรตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักที่เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่าย หรือใกล้ทางด่วน หรือใกล้รถไฟฟ้า BTS/MRT ซึ่งจะช่วยให้สามารถเดินทางรวดเร็วยิ่งขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน เพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางของคนโสด อีกทั้งยังลดการปล่อยมลพิษจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวเมื่อเดินทางเพียงลำพังได้อีกด้วย

แม้เทรนด์การเติบโตของ Solo Economy จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันได้ช่วยลดช่องว่างของการอยู่คนเดียวลง คนโสดจึงกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพและน่าจับตามอง มีความพร้อมในการใช้จ่ายเพื่อความสุขและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้นำเสนอโครงการที่มีจุดเด่นหลากหลายตอบโจทย์ทั้งด้านราคาให้คนโสดหรือผู้ที่อาศัยคนเดียว ได้เป็นเจ้าของบ้านในฝันตามความต้องการที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัย ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ได้รวบรวมบทความน่ารู้และข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ ที่น่าสนใจ เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับคนที่มองหาบ้านในฝัน พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าโครงการบ้าน/คอนโดฯ ในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ ช่วยให้คนที่อยากมีบ้านในทุกสถานะหรือผู้ที่ต้องการขยับขยายไปสู่บ้านหลังใหม่สามารถค้นหาและเตรียมความพร้อมก่อนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

Alibaba DAMO Academy Unveils Advanced Weather Forecasting Model “Baguan”

“Baguan” โมเดลพยากรณ์อากาศล้ำหน้า จาก Alibaba DAMO Academy

Alibaba DAMO Academy Unveils Advanced Weather Forecasting Model “Baguan”

Alibaba DAMO Academy, the research and development arm of Alibaba Group, today announced the official launch of “Baguan” weather forecasting model. Named after the Chinese concept of “observing from different perspectives,” Baguan harnesses cutting-edge AI to revolutionize weather prediction capabilities.

Baguan offers unprecedented accuracy in weather forecasts, ranging from one hour to ten days ahead. The machine-learning model stands out with its high spatial resolution, delivering detailed meteorological predictions down to a 1 x 1 kilometer grid, updated hourly. These capabilities make Baguan an essential tool for applications in climate science, electricity load forecast, renewable energy forecast and natural disaster prevention.

“Baguan represents a significant advancement in our dedication to harnessing technology for the greater good,” said Wotao Yin,Director of Decision Intelligence Lab at Alibaba DAMO Academy. “Its sophisticated technology not only helps elevate climate science but also benefits sustainable practices across diverse sectors such as renewable energy and agriculture.”

The technical backbone of Baguan is its innovative use of the Siamese Masked Autoencoders (SiamMAE) structure and a robust pre-training methodology. These innovations empower the model to uncover intricate patterns gleaned from complex dynamic atmospheric data. Furthermore, through an autoregressive pre-training approach, Baguan is able to make precise predictions across various spatio-temporal scales, from one hour to 10 days in advance.

Baguan leverages ERA5, the European Centre for Medium-Range Weather Forecasts (ECMWF) atmospheric reanalysis of the global weather from 1979 to present, to construct the foundational model for weather forecasting. Baguan is further refined with key regional meteorological indicators such as regional temperature, irradiance, and wind speed. This meticulous global-regional modeling approach not only boosts Baguan’s forecasting accuracy down to regional level but also tailors its insights to specific local conditions.

With the surging global demand for renewable energy, Baguan’s precise weather predictions have become vitally important. The model significantly enhances the reliability of renewable energy forecasts, facilitating more stable power management and supporting the expansion of green energy consumption.

Baguan’s capability in weather forecasting has already been used in the power and energy sectors in China, supporting critical applications such as electricity load forecasting and renewable energy forecasting.

For example, during an unexpected temperature drop in Shandong province in August, Baguan accurately predicted a corresponding 20% drop in electricity demand one day ahead, reaching a 98.1% accuracy rate in day-ahead load forecast. This precision assisted local grid operators to optimize power dispatch, enhancing efficiency and reducing operational costs.

“We have years of research experience in mathematical modeling, time-series forecasting, and explainable AI, which helps us in building a high-precision regional weather forecast model,” said Yin. “We will continue to enhance performance for key weather indicators such as cloud cover, extreme wind speed and precipitation, develop new technology for different climate scenario analysis, and support more applications such as civil aviation meteorological warnings, agricultural production, and sporting events preparations.”