ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

ถอดรหัสการวางเวิร์กโหลดไว้บนสภาพแวดล้อมไอทีที่ไม่เหมาะสม

Fetra Syahbana

บทความโดยนายเฟตรา ชาห์บานา ผู้จัดการประจำกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เติบโต (GEMs), นูทานิคซ์

รูปแบบของการประมวลผลแบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่งผลให้องค์กรในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) กำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของการนำคลาวด์คอมพิวติ้งมาใช้ ปัจจุบันองค์กรจำนวนมากตระหนักแล้วว่าการนำคลาวด์มาใช้อย่างเร่งรีบในช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นการใช้เทคโนโลยีแบบผิดฝาผิดตัวกับงานแต่ละประเภท องค์กรเหล่านี้จึงหันมาโฟกัสกับการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับข้อมูลและการวางแอปพลิเคชันไว้ให้ถูกที่ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากที่สุดควบคู่กับการลดค่าใช้จ่ายและลดความซับซ้อน

วางไข่ไว้ในตะกร้าที่เหมาะสม

เบื้องต้นการนำคลาวด์มาใช้ทำให้องค์กรต้องประเมินกลยุทธ์ใหม่ องค์กรบางแห่งที่นำคลาวด์มาใช้อย่างเร่งรีบ อาจละเลยความสำคัญของการใช้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับข้อมูลและเวิร์กโหลดต่าง ๆ การจับคู่แหล่งทรัพยากรและการใช้จ่ายเข้ากับความต้องการทางธุรกิจ จะช่วยให้องค์กรลดการจัดเตรียมล่วงหน้าที่เกินจำเป็น และลดการใช้งานที่เปล่าประโยชน์ไปพร้อม ๆ กับลดต้นทุนด้านคลาวด์และเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจจากการใช้คลาวด์ได้

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว องค์กรต้องมีความสามารถในการปรับขนาดทรัพยากรที่ใช้ในการประมวลผลและการจัดเก็บ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานสามารถตอบสนองได้อย่างไดนามิกต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของเวิร์กโหลด ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ การใช้โมเดลการดำเนินงานบนคลาวด์ที่ช่วยให้สามารถปรับขนาดทรัพยากรได้ตามความต้องการ องค์กรต่าง ๆ สามารถปรับโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทให้สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจได้ และจะทำให้ได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าใช้จ่ายมากที่สุด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนมุมมองบทบาทของคลาวด์ให้เป็นทางเลือก มากกว่าจะเป็นเพียงเป้าหมายสำหรับทุกสิ่ง

การดำเนินงานแบบไดนามิก

การนำกลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์มาใช้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กรที่มองหาแนวทางลดผลกระทบจากการตัดสินใจผิดผลาด และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อใช้งานได้ทั้งที่เอดจ์ พับลิคคลาวด์ต่าง ๆ และระบบที่อยู่ในองค์กร ช่วยให้เกิดความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในการปรับเวิร์กโหลดให้เหมาะสม และองค์กรต่าง ๆ สามารถผสมผสานและจับคู่เวิร์กโหลดต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดได้

จุดเด่นสำคัญของการใช้โมเดลไฮบริดมัลติคลาวด์ คือความสามารถในการคงรูปแบบการทำงานที่สอดคล้องกันไว้ได้ไม่ว่าจะใช้สภาพแวดล้อมไอทีที่แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งช่วยขจัดความจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องมือหลายอย่างสลับกันไป เพื่อจัดการกับสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ ทั้งยังลดกระบวนการและการใช้ทักษะเฉพาะทางต่าง ๆ ลดความซับซ้อนและไม่ต้องเสียเวลาในการปรับโครงสร้างของแอปพลิเคชันใหม่เมื่อต้องการนำแอปพลิเคชันนั้นไปใช้กับอีกสภาพแวดล้อมหนึ่งที่ต่างออกไป การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน จะช่วยให้องค์กรลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสามารถในการผลิต และจะได้รับประสบการณ์การทำงานที่เป็นหนึ่งเดียวเหมือนกันไม่ว่าจะทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานใดก็ตาม กลยุทธ์ด้านไอทีแบบองค์รวมที่ผสานการทำงานของระบบที่อยู่ในองค์กร เอดจ์ และไฮบริดมัลติคลาวด์เข้าด้วยกัน จะส่งให้องค์กรต่าง ๆ มีความคล่องตัวและตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศักยภาพของ AI

แอปพลิเคชันที่ทำงานด้วย AI ได้กลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนในระยะยาวให้กับองค์กร ทั้งนี้องค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันสร้างแอปพลิเคชัน AI มากขึ้น และสามารถรันเวิร์กโหลดของตนที่ใดก็ได้ที่พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าเป็นสภาพแวดล้อมไอทีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเวิร์กโหลดนั้น ๆ การจัดการทรัพยากรและการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจ ช่วยให้องค์กรลดการเตรียมการที่ไม่จำเป็นและไม่ต้องใช้ลง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านคลาวด์ลดลง โมเดลไฮบริด มัลติคลาวด์ มอบความยืดหยุ่นที่ต้องใช้เพื่อรันเวิร์กโหลด AI ต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด จึงมั่นใจได้ว่าองค์กรจะได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ไฮบริดมัลติคลาวด์ยังช่วยให้องค์กรมองเห็นและควบคุมข้อมูลของตนได้ เป็นการขจัดความกังวลเกี่ยวกับการกำกับดูแลข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การใช้ศักยภาพของ AI กับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ใช้คุณประโยชน์ที่ AI มีให้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้อยู่ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการประมวลผลเพื่อรัน AI ในระบบที่อยู่ในองค์กร หรือบนพับลิคคลาวด์ ทำให้องค์กรต่าง ๆ ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของการสังเคราะห์ข้อมูล AI ที่อยู่ใกล้กับแหล่งที่มาของข้อมูลมากขึ้น แม้กระทั่งที่เอดจ์ซึ่งอยู่ปลายสุดของเน็ตเวิร์ก

ตัวอย่างองค์กรต่าง ๆ ที่มองหาการใช้กลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์ที่ยืดหยุ่นมาใช้ช่วยคงความคล่องตัวและปรับให้ทันกับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

  • Diskominfosan ในเมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ได้ร่วมมือกับ Nutanix เพื่อผสานรวมแอปพลิเคชันของภาครัฐทั้งหมด 229 รายการเข้ากับ Jogja Smart Service (JSS) การบูรณาการนี้ได้ช่วยปรับปรุงการให้บริการประชาชนและความโปร่งใสอย่างมาก และตั้งเป้ารองรับผู้ใช้ JSS มากกว่า 217,000 ราย 
  • Universal Storefront Services Corporation (USSC) ใช้โซลูชันของนูทานิคซ์ในการสร้างคาราวานเงินสด, สร้างความมั่นใจในการปฏิบัติตาม KYC, การยืนยันตัวตน และประมวลผลการชำระเงินที่รวดเร็วขึ้น เพื่อกระจายความช่วยเหลือทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดไปยังครอบครัวชาวฟิลิปปินส์ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการธนาคารที่เป็นออฟไลน์ได้ ความร่วมมือกับนูทานิคซ์นี้ช่วยเสริมให้ USSC มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และมีความสามารถในด้านนวัตกรรมมากขึ้น
  • Future Generali India พิจารณาเลือกใช้คลาวด์ แต่ได้พบว่าการใช้คลาวด์เพียงอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้ในเชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากข้อมูลลูกค้ายังวางอยู่ในระบบภายในองค์กรเพราะติดขัดเรื่องกฎระเบียบ บริษัทฯ จึงเลือก Nutanix Cloud Platform ให้เป็นโซลูชันที่เหมาะสมที่สุดที่ช่วยให้เกิดความคล่องตัว ปลอดภัย และสามารถเชื่อมต่อกับพับลิคคลาวด์โดยที่ยังคงความสามารถในการปฏิบัติตามกฎหมายของอินเดียไว้ได้ และการใช้ Nutanix Cloud Platform นี้ส่งผลให้ระยะเวลาในการตอบสนองของแอปพลิเคชันดีขึ้น 91% ช่วยให้ผู้ขายประกันภัยให้บริการลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นในปัจจุบัน อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง จากการที่องค์กรต่าง ๆ กำลังประเมินกลยุทธ์ด้านคลาวด์ของตนใหม่ การวางเวิร์กโหลดไว้บนสภาพแวดล้อมไอทีที่เหมาะสม การใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์ และใช้ความยืดหยุ่นสูงสุดของคลาวด์เพื่อรันเวิร์กโหลด AI จะช่วยให้ธุรกิจได้ผลลัพธ์สูงสุด ลดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด และปรับตัวเข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นูทานิคซ์เป็นผู้นำในการทรานส์ฟอร์มลักษณะดังกล่าวนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเสริมศักยภาพให้องค์กรต่าง ๆ นำรูปแบบของคลาวด์ที่เหมาะสมมาใช้ และเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ

รายงาน Ericsson ConsumerLab 5G สร้างความแตกต่างของเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจให้กับค่ายมือถือ

รายงาน Ericsson ConsumerLab 5G สร้างความแตกต่างของเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจให้กับค่ายมือถือ

รายงาน Ericsson ConsumerLab 5G สร้างความแตกต่างของเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจให้กับค่ายมือถือ

  • 20% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารเพื่อใช้บริการ 5G ที่มีคุณภาพโดดเด่นกว่า
  • ผู้บริโภค 5G มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนผู้ให้บริการเพิ่มขึ้น 3 เท่า หากได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ไม่ดีตามสถานที่ที่มีการใช้ดาต้าหนาแน่น อาทิ สนามกีฬาและสนามบินต่าง ๆ
  • อีริคสันทำวิจัยการตลาดสำหรับประเทศไทยเฉพาะ โดยการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เผยการวิจัยในรายงาน Ericsson ConsumerLab ฉบับล่าสุด ระบุ 1 ใน 5 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G มองหาประสบการณ์บริการ 5G ที่แตกต่าง เช่น คุณภาพของการบริการ สำหรับการใช้แอปพลิเคชันยอดนิยม โดยผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในอัตราพิเศษสูงสุดถึง 11% เพื่อเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่อที่มีมูลค่าเพิ่ม

รายงาน 5G Value: Turning Performance into Value ยังเน้นด้านความพึงพอใจและความภักดีของผู้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพของเคสทางธุรกิจของผู้ให้บริการ 5G เนื่องจากยอดผู้สมัครใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจเพิ่มขึ้นกับการใช้งานเครือข่าย 5G

นอกจากนี้ ในรายงานยังเผยประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ที่ไม่น่าพึงพอใจในสถานที่หลัก ๆ อาทิ สนามกีฬา สถานบันเทิงและสนามบิน ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะย้ายค่ายมือถือมากขึ้นถึงสามเท่า

การวิจัยโดยรอบด้านครั้งนี้สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านรายทั่วโลก รวมถึงลูกค้า 5G ประมาณ 650 ล้านราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยของอีริคสันเพื่อติดตามวิวัฒนาการของตลาดผู้บริโภค 5G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562

ในประเทศไทยอีริคสันยังได้วิจัยตลาดแบบเฉพาะเจาะจง โดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ

พบว่าปัจจัยขับเคลื่อนความพึงพอใจของเครือข่าย 5G กำลังพัฒนาไปสู่ประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชัน โดยจำนวนผู้ใช้ที่พึงพอใจอย่างมากกับประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ในภาพรวมของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

5G กำลังเปลี่ยนโฉมการสตรีมวิดีโอและการใช้งาน AR ผู้ใช้ชาวไทยที่ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเกือบ 60% ของเวลาสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งหมดไปกับการเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาวิดีโอหรือ AR ขณะที่ผู้ใช้ที่ไม่ได้ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเพียง 40% ไปกับคอนเทนต์สมจริง (Immersive Content)

ประสิทธิภาพ 5G ในจุดสำคัญ ๆ มีผลต่อความภักดีของผู้บริโภค นับตั้งแต่เปิดตัว 5G ในประเทศไทย มีผู้ใช้บริการมือถือประมาณ 19% ย้ายค่ายมือถือ และในบรรดาผู้ที่ย้ายเครือข่าย เกือบ 60% เกิดจากเหตุผลด้านประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ซึ่งหากผู้ใช้มีปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก็มีแนวโน้มที่ย้ายค่ายมากขึ้น 1.3 เท่า

ผู้บริโภค 5G ในประเทศไทยจะจ่ายค่าบริการพิเศษสำหรับการเชื่อมต่อที่มีความต่างและโดดเด่น โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนยินดีจ่ายค่าบริการเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13% สำหรับข้อเสนอที่รวมการใช้บริการแอปฯ ชั้นนำ

ญาสมีต ซิงห์ เซธิ หัวหน้าฝ่าย Ericsson ConsumerLab กล่าวว่าในการสำรวจครั้งนี้ มีผู้บริโภค 5G ราว 37% เชื่อว่าการเพิ่มปริมาณการใช้ดาต้าในแพ็คเกจ 5G ของพวกเขาสมเหตุสมผลกับอัตราค่าบริการพรีเมียมของผู้ให้บริการ

“ที่น่าสนใจคือประมาณหนึ่งในห้าของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G แสดงความพึงพอใจชัดเจนต่อคุณภาพการเชื่อมต่อบริการที่มีความแตกต่าง โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มองหาประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยกระดับและมีความเสถียรแทนการเลือกใช้ 5G แบบทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพเครือข่ายสูง ๆ และเจาะจงสถานที่สำคัญ ๆ ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขายินดีจ่ายค่าบริการพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 11% หากผู้ให้บริการมีบริการเหล่านี้เสนอให้”

วิธีเก็บข้อมูล

อีริคสันสัมภาษณ์ผู้บริโภคมากกว่า 37,000 คน ใน 28 ประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยขอบเขตการวิจัยสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านคน รวมถึงผู้ใช้ 5G จำนวน 650 ล้านราย

Ericsson Consumer Lab report highlights differentiated 5G connectivity opportunity for CSPs

Ericsson ConsumerLab report highlights differentiated 5G connectivity opportunity for CSPs

Ericsson ConsumerLab report highlights differentiated 5G connectivity opportunity for CSPs

  • Twenty percent of 5G smartphone users willing to pay premium to CSPs for differentiated quality of service over 5G.
  • 5G consumers three times more likely to switch provider because of poor connectivity experiences at major venues such as stadiums, arenas and airports.
  • Ericsson conducted a market research specifically for Thailand, where its sampling group represented 23 million consumers in the country.

One-in-five 5G smartphone users seeking differentiated 5G service experiences, such as quality of service, for demanding applications are willing to pay communications service providers (CSPs) a premium of up to 11 percent to enjoy the value-added connectivity, new research from Ericsson (NASDAQ: ERIC) ConsumerLab reveals.

The satisfaction and user-loyalty-focused report – called 5G Value: Turning Performance into Value – highlights the CSP business case potential for 5G as growing number of subscribers around the world express increased satisfaction with 5G.

It also reveals that unsatisfactory 5G connectivity experiences at key locations such as stadiums, entertainment arenas and airports can make customers up to three times more likely to switch communications service providers.

The comprehensive research – which reflects the views of an estimated 1.5 billion consumers globally, including about 650 million 5G customers – is part of an Ericsson research series which has tracked the evolution of the 5G consumer market since 2019.

Ericsson also conducted a market research specifically for Thailand, where its sampling group represented 23 million consumers in the country.

It was found that 5G network satisfaction drivers are evolving to application experience. The number of users highly satisfied with overall 5G network performance has increased by 18 percent year-on-year in Thailand.

5G is reshaping video streaming and AR usage. Thai users with innovative service bundles spent almost 60 percent of their total video streaming time on enhanced video content or AR, while those without spent 40 percent of their time on immersive content.

5G performance at key locations influences consumer loyalty. 19% users have switched providers since launch of 5G in Thailand. Among those who have switched operators, almost 60 percent have switched due to 5G network performance. If a user has connectivity issues in two or more locations, they are 1.3 times more likely to churn.

5G consumers In Thailand will pay premiums for differentiated connectivity. Smartphone users are willing to pay an average premium of 13 percent for app bundling-led offerings.

Jasmeet Singh Sethi, Head of Ericsson ConsumerLab, says about 37 percent of 5G consumers polled believe that increased data allowances in their 5G plans would justify premium rate charges from CSPs.

“Interestingly, about one-in-five 5G smartphone users polled expressed a clear preference for differentiated quality of service connectivity. Rather than settling for generic, best-effort 5G performance, these users are actively seeking elevated and consistent network performance, especially tailored for demanding applications and specific key locations. The research shows they are willing to pay an 11 percent premium if their service provider offers it.”

Methodology

More than 37,000 consumers in 28 countries were interviewed during May and June 2023. The research scope is reflective of the opinions of about 1.5 billion consumers, including 650 million 5G users.

อัปเดตทิศทางอสังหาฯ อาเซียน ผู้คนยังอยากมีบ้านแม้มีความท้าทายรออยู่รอบด้าน

อัปเดตทิศทางอสังหาฯ อาเซียน ผู้คนยังอยากมีบ้านแม้มีความท้าทายรออยู่รอบด้าน

อัปเดตทิศทางอสังหาฯ อาเซียน ผู้คนยังอยากมีบ้านแม้มีความท้าทายรออยู่รอบด้าน

การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่งผลให้หลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ  ข้อมูลจากรายงานการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ฉบับเดือนกันยายน 2566 ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) คาดว่าเศรษฐกิจกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในปี 2566 จะเติบโตที่ 4.7% ซึ่งปรับลดลงจากเดิม 4.8% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 3.5% โดยมีปัจจัยบวกมาจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์, มาเลเซีย และเวียดนามที่มีการปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจลงจากเดิม (เหลือ 1.0%, 4.5% และ 5.8% ตามลำดับ) ที่ยังมีความท้าทายทั้งในและนอกประเทศรุมล้อมอยู่ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศนั้น ๆ รวมทั้งการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งต้องอาศัยการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยขับเคลื่อนเช่นกัน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study และแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคในอาเซียนรอบล่าสุด (ประกอบด้วยประเทศไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย และเวียดนาม) จากเว็บไซต์ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป (NYSE: PGRU) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์โดยรวมของทั้งภูมิภาคส่วนใหญ่ยังทรงตัว มีเพียงดัชนีความเชื่อมั่นของชาวไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในอาเซียนมาอยู่ที่ 50% ตามมาด้วยของชาวมาเลเซียอยู่ที่ 45% ส่วนชาวสิงคโปร์และชาวเวียดนามมีดัชนีความเชื่อมั่นเท่ากันที่ 43% ขณะเดียวกัน ความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยปัจจุบันนั้นมีความแตกต่างไปตามบริบทแวดล้อมของแต่ละประเทศ แม้ความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยของชาวไทยจะทรงตัวอยู่ที่ 65% แต่ก็ยังสูงที่สุดในอาเซียน ตามมาด้วยชาวมาเลเซียอยู่ที่ 56% และเป็นประเทศเดียวที่ปรับเพิ่มในรอบนี้ ขณะที่ชาวเวียดนามอยู่ที่ 50% ส่วนชาวสิงคโปร์อยู่ที่ 37% ซึ่งต่ำกว่าทุกประเทศในตลาดอาเซียน

อย่างไรก็ตาม แม้อสังริมหาทรัพย์จะเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูง แต่ยังมีโอกาสต่อยอดลงทุนได้ในระยะยาว จึงทำให้มากกว่าครึ่งของผู้บริโภคในอาเซียนยังคงมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ไม่น้อย โดยเกือบ 2 ใน 3 ของชาวสิงคโปร์ (64%) วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 1 ปีข้างหน้า ตามมาด้วยชาวเวียดนาม (61%) ชาวมาเลเซีย (56%) และชาวไทย (53%) ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นในตลาดอาเซียน สวนทางกับดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์และความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยครองอันดับหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่ายังมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ผลกระทบทางการเงินยังผลักดันให้คนรุ่นใหม่เลือกเช่าแทนจนเกิดเป็นเทรนด์ Generation Rent ในปัจจุบัน

ภาครัฐสนับสนุนให้คนอาเซียนมีบ้านมากแค่ไหนในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น 

นอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว อัตราดอกเบี้ยยังถือเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคในอาเซียนส่วนใหญ่กว่า 3 ใน 4 ต่างมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยชาวมาเลเซีย 86% มองว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ในระดับสูง รองลงมาคือชาวสิงคโปร์อยู่ที่ 81%, ชาวไทยอยู่ที่ 76% และชาวเวียดนามอยู่ที่ 75% 

การรับรู้ของชาวอาเซียนต่อความพยายามของภาครัฐที่จะทำให้ที่อยู่อาศัยมีราคาจับต้องได้มีทิศทางลดลง โดยมีเพียงชาวเวียดนามแค่ 50% ที่มองว่ารัฐบาลมีความพยายามเพียงพอที่จะช่วยให้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ หลังจากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้และออกมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยชาวสิงคโปร์ (24%) ชาวมาเลเซีย (20%) และชาวไทย (15%) ซึ่งต่ำที่สุดในอาเซียน เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาฯ หรือออกมาตรการช่วยเหลือใด ๆ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม 

สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ยังคงต้องการมาตรการช่วยเหลือและส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยจากภาครัฐควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนี้ หากภาครัฐเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ด้วยกลไกช่วยเหลือที่ตรงจุด เชื่อว่าจะส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น

เกาะติดเทรนด์ที่อยู่อาศัยชาวอาเซียน “ความท้าทายการเงิน” กับดักของคนอยากมีบ้าน

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยล่าสุดใน 4 ตลาดหลักของอาเซียน เผยให้เห็นมุมมองและความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค แม้จะเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่เป็นปัจจัยสั่นคลอนสภาพคล่องทางการเงินอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างไรการซื้อที่อยู่อาศัยก็ยังคงเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ชาวอาเซียนให้ความสำคัญ 

  • มากกว่าครึ่ง (51%) ของชาวสิงคโปร์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมองว่าการจะมีบ้านหลังแรกเป็นของตัวเองมีความยาก โดยมีค่าเฉลี่ยสูงในกลุ่มผู้ที่มีสถานะโสด (55%) ขณะที่คู่สมรสที่มีบุตรก็มีมุมมองเช่นเดียวกัน (49%) อันเป็นผลมาจากความท้าทายต่าง ๆ ที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูง และราคาอสังหาฯ ที่เป็นปัจจัยขัดขวางการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในเวลานี้ ซึ่งมากกว่าครึ่ง (53%) ของชาวสิงคโปร์เผยว่าจะชะลอแผนซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์เงินเฟ้อจะดีขึ้น ขณะที่ผู้เช่าส่วนใหญ่ (37%) วางแผนจะเช่าต่ออีกไม่เกิน 2 ปีและจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ดี หากเผชิญสถานการณ์ที่โครงการขึ้นค่าเช่า ผู้เช่าเกือบครึ่ง (44%) จะเลือกมองหาโครงการอื่นที่มีค่าเช่าถูกกว่าแทน และ 37% จะลดการใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อนำมาจ่ายค่าเช่าที่สูงขึ้นนี้

    สำหรับปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของประชากรสิงคโปร์นั้น มากกว่า 2 ใน 3 (71%) ให้ความสำคัญกับขนาดที่อยู่อาศัยมากที่สุด ตามมาด้วยราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย 69% ส่วนประเภทที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่พัก มีสัดส่วนเท่ากันที่ 39% ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจนั้น มากกว่าครึ่ง (58%) มองว่าต้องสามารถเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้า MRT (Mass Rapid Transit) ได้ ซึ่งถือเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลักที่เดินทางได้สะดวกและรวดเร็ว ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวสิงคโปร์ ตามมาด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการ (46%) และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ (45%) 
  • เหตุผลสำคัญที่ชาวมาเลเซียวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่เน้นไปที่การลงทุนเป็นหลัก โดยเกือบครึ่ง (46%) ซื้อเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ ตามมาด้วยซื้อเพื่อลงทุนหารายได้จากค่าเช่า (43%) มีเพียง 25% เท่านั้นที่ซื้อเพราะต้องการพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยเพียง 27% เท่านั้นที่มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ขณะที่มากกว่าครึ่ง (54%) เผยว่าเก็บเงินได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ส่วนอีก 18% ยังไม่ได้เริ่มแผนเก็บเงินใด ๆ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการใช้จ่ายยังคงเป็นความท้าทายของคนหาบ้าน โดยชาวมาเลเซียส่วนใหญ่ (41%) เผยว่าหน้าที่การงานที่ไม่มั่นคงและรายได้ที่ไม่แน่นอนถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่ออสังหาฯ ตามมาด้วยมีเงินดาวน์ไม่พอ 39% และไม่มีเอกสารประกอบที่เพียงพอ 24% ด้านเหตุผลหลักของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยนั้น เกือบ 2 ใน 3 (65%) เผยว่าไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยในตอนนี้ ขณะที่ 32% มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงเกินไป จึงเลือกเก็บเงินไว้แทน และ 24% ไม่เห็นความจำเป็นหรือความเร่งด่วนที่ต้องซื้อ

    อย่างไรก็ดี ราคาขายเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอยถือเป็นปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยมากที่สุด (42%) ซึ่งสอดคล้องกับเหตุผลส่วนใหญ่ที่ชาวมาเลเซียเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุนเป็นหลัก ตามมาด้วยพิจารณาจากประเภทที่อยู่อาศัย (36%) และขนาดที่อยู่อาศัย (31%) ส่วนปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจนั้น เกือบครึ่ง (49%) จะให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งมากที่สุด ตามมาด้วยความปลอดภัยของโครงการ (47%) โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก (34%) อย่างไรก็ดี แม้ความยั่งยืนจะเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นใหม่ในแวดวงที่อยู่อาศัย แต่มีเพียง 1 ใน 4 (26%) เท่านั้นที่ยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่มีแนวคิดรักษ์โลก (Green Home) ขณะที่ส่วนใหญ่ (62%) เปิดรับแนวคิดนี้แต่ยังคงมีความไม่แน่ใจในตอนนี้
  • มากกว่าครึ่ง (59%) ของชาวเวียดนามเผยว่าเหตุผลหลักที่ทำให้วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้ามาจากความต้องการซื้อเพื่อลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือต้องการพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลาน (26%) และต้องการพื้นที่ส่วนตัว (22%) แม้ปีนี้จะมีความท้าทายเกิดขึ้นในตลาดอสังหาฯ ของเวียดนาม แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวเวียดนามมีความพร้อมทางการเงินพอสมควร โดยเกือบ 2 ใน 5 (38%) ของผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยเผยว่ามีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อบ้าน/คอนโดฯ เป็นของตัวเองแล้ว ถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในอาเซียน ขณะที่มากกว่าครึ่ง (53%) เก็บเงินเพื่อซื้อได้ครึ่งทางแล้ว มีเพียง 8% เท่านั้นที่ยังไม่ได้เริ่มแผนออมเงินซื้อบ้าน ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงความท้าทายในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย มากกว่าครึ่ง (51%) เผยว่าความไม่มั่นคงในอาชีพและรายได้เป็นอุปสรรคหลักเมื่อต้องขอสินเชื่อบ้าน และตามมาด้วย 38% ไม่คุ้นเคยในการเตรียมเอกสาร

    ขณะเดียวกัน เหตุผลหลักของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้านั้น ส่วนใหญ่ (38%) เผยว่าไม่ต้องการปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งและชอบความยืดหยุ่นของการเช่า ตามมาด้วยมองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพง จึงอยากเก็บเงินไว้แทน (29%) และไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้ (27%) อย่างไรก็ดี ผู้เช่าส่วนใหญ่ (31%) วางแผนจะเช่าที่อยู่อาศัยไม่เกิน 2 ปี ก่อนจะซื้อเป็นของตัวเองในอนาคต โดยหากบ้าน/คอนโดฯ ที่เช่าอยู่มีการปรับราคาขึ้น ผู้เช่าส่วนใหญ่ (30%) เลือกที่จะวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยให้เร็วขึ้น รองลงมาคือเลือกหาที่ใหม่ที่ค่าเช่าถูกกว่าแทน และจะลดค่าครองชีพลงเพื่อมาใช้จ่ายค่าเช่า ในสัดส่วนเท่ากันที่ 28% 
  • เหตุผลที่ทำให้ชาวไทยตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมาจากความต้องการของตนเองเป็นหลัก แตกต่างจากชาวมาเลเซียและชาวเวียดนามที่ให้ความสำคัญไปที่การลงทุนมาเป็นอันดับแรก โดยชาวไทยส่วนใหญ่ (44%) ซื้อเพราะต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากที่สุด รองลงมาคือ ซื้อเพื่อการลงทุน (28%) และต้องการพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลาน (24%) ซึ่งวัยทำงานมักจะเริ่มขยับขยายที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการสร้างครอบครัวในอนาคต อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึงความพร้อมทางการเงินของคนไทย มีผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยเพียง 2 ใน 5 (24%) เท่านั้นที่มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในเวลานี้ ขณะที่ส่วนใหญ่ (54%) เก็บเงินได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น และ 1 ใน 5 (21%) ยังไม่ได้เริ่มแผนเก็บเงินใด ๆ ขณะเดียวกัน ปัจจัยทางการเงินยังคงเป็นความท้าทายเมื่อต้องยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยมากกว่าครึ่งของชาวไทย (56%) เผยว่ารายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคงถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อบ้าน ตามมาด้วยมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี (32%) และสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) ไม่เอื้ออำนวย (29%) 

นอกจากนี้ ความท้าทายทางการเงินยังส่งผลให้ชาวไทยหันมาเลือกการเช่าแทน เกือบ 2 ใน 3 (64%) ของผู้ที่เลือกเช่าเผยว่าไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่ 41% มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงเกินไปจึงขอเก็บเงินไว้แทน และไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องซื้อในเวลานี้ (30%) อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย เกือบครึ่งของชาวไทย (45%) เลือกจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่พัก (41%) และราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย (38%) ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจ มากกว่าครึ่งจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของโครงการเป็นหลัก (51%) และต้องเดินทางได้สะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (50%) ตามมาด้วยเลือกจากทำเลที่ตั้งของโครงการ (47%) 

สถานการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค

Red Hat OpenStack Services on OpenShift – the next generation of Red Hat OpenStack Platform

Red Hat OpenStack Services on OpenShift คือ Red Hat OpenStack Platform เจเนอเรชันถัดไป

Red Hat OpenStack Services on OpenShift – the next generation of Red Hat OpenStack Platform

Red Hat is excited to announce the development preview of the next major release of Red Hat OpenStack Platform — Red Hat OpenStack Services on OpenShift*. It’s no secret that over the last few years, Red Hat has been working to more tightly integrate Red Hat OpenStack Platform with Red Hat OpenShift to help service providers scale faster and maximize their resources. In doing so, we’ve been able to help teams managing OpenStack clouds to leverage the more modern operational experience of OpenShift. By integrating Kubernetes with OpenStack, organizations see improved resource management and scalability, greater flexibility across the hybrid cloud, simplified development and DevOps practices and more. 

But this blending of technologies requires careful planning and configuration to drive smoother interoperability between the two platforms. This is where Red Hat OpenStack Services on OpenShift comes in. With this, customers can preserve their investment in OpenStack APIs such as Nova, Swift, Cinder, Neutron, Keystone, etc. This allows them to lower management costs while modernizing their operational position as they mix in new container projects. This change does not force them to re-write or change their existing OpenStack workloads. To put an even finer point on this benefit, the new architecture allows them to not have to touch their OpenStack worker nodes. We will migrate their OpenStack control plane to become an OpenShift workload while not disturbing the OpenStack worker nodes. Over time, OpenStack worker nodes will continue to upgrade in line with the OpenStack lifecycle, as they have always done. 

Red Hat is providing our OpenStack customers a path toward future proofing their existing investments. With Red Hat OpenStack Services on OpenShift, organizations can realize easier installation, lightning-fast deployments and unified management from the core to the edge – three major enhancements that came directly from customer feedback. Red Hat OpenStack Services on OpenShift will also deliver:

  • Greater flexibility with the ability to run applications that are bare-metal, virtualized and containerized together — customers can run what’s best for their business, no matter where they are in their IT transformation journey;
  • Fast parallel processing for swift, repeatable deployments using Red Hat Ansible Automation Platform and OpenShift Go Operators to reduce time, complexity and risk; 
  • Scalability with management through a new podified control plane (a set of tools for deploying and managing an OpenStack control plane as Kubernetes-native pods);
  • Improved updates and upgrades experience using rolling updates/capabilities included in Red Hat OpenShift for a reliable and seamless method for updating podified OpenStack services while maintaining high availability; 
  • Better security using encrypted communications between services, encrypted memory cache and secure role based access control to deliver a higher default security model;
  • Enhanced Openstack Observability helps customers gain a deeper understanding of the health of their hybrid cloud. Refreshed dashboards provide unified observability with a refined set of visualizations that are natively integrated into the Openshift Observability UI. Customers can also create their own dashboards to further refine their Observability needs.  

Moving forward

Going forward, as part of its offering, Red Hat OpenStack Services on OpenShift will be exclusively based on the next-generation form-factor, with the control plane natively hosted on Red Hat OpenShift and the external Red Hat Enterprise Linux-based dataplane managed with Red Hat Ansible Automation Platform. Red Hat OpenStack Platform 17.1 is the last version of the product to use the classic form-factor of the control plane, which can be run either on bare metal or virtualized, with management provided by the OpenStack Director. Support for the classic form-factors will be available through the end of the 17.1 lifecycle (2027). Customers looking to migrate will be able to deploy their new controller to OpenShift to take over compute resources — without redeploying the running workloads. 

Red Hat’s commitment to and investment in OpenStack remains strong, we are the leading contributor in commits and have more than 250 engineers continuing to lead innovation at both the project and product levels. OpenStack continues to be a vital component for large IT infrastructures, especially in the telecommunications and service-provider spaces, and this evolution will improve how these organizations deploy, manage and maintain OpenStack footprints.