Red Hat เปิดตัว Red Hat Ansible Lightspeed with IBM watsonx Code Assistant เพื่อสนับสนุนองค์กรใช้ไอทีอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI

Red Hat เปิดตัว Red Hat Ansible Lightspeed with IBM watsonx Code Assistant เพื่อสนับสนุนองค์กรใช้ไอทีอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI

Red Hat เปิดตัว Red Hat Ansible Lightspeed with IBM watsonx Code Assistant เพื่อสนับสนุนองค์กรใช้ไอทีอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI

บริการ AI ที่สร้างขึ้นอย่างเจาะจงนี้ เปิดให้บริการทั่วไป (GA) แล้ว โดยให้บริการ Ansible advisor ที่เชื่อถือได้ เพื่อช่วยขยายและสเกลคอนเทนต์อัตโนมัติให้กับทีมงานต่าง ๆ ด้วยประสิทธิภาพสูง ถูกต้องแม่นยำ และเชื่อถือได้

Red Hat, Inc. (เร้ดแฮท) ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก ประกาศวางตลาด Red Hat Ansible Lightspeed with IBM watsonx Code Assistant ซึ่งเป็นบริการ generative AI ที่ช่วยให้นำไอทีอัตโนมัติมาใช้ทั่วทั้งองค์กรได้เร็วขึ้น 

ข้อมูลจาก IDC ระบุว่า “ภายในปี 2567 จุดอ่อนด้านการสร้างทักษะที่จำเป็นและการฝึกอบรมโดยผู้นำในอุตสาหกรรมด้านไอที จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้ 65% ของธุรกิจไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่อย่างที่ควรเป็นจากการลงทุนด้านคลาวด์ ดาต้า และระบบอัตโนมัติ”[1] แต่ “generative AI” มีศักยภาพที่จะทำให้ไลฟ์ไซเคิลของการพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งหมดเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง IDC ทำการสำรวจนักพัฒนาซอฟต์แวร์เกี่ยวกับการใช้ generative AI และพบว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์มองเห็นโอกาสที่ดีมากในการใช้ generataive AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและระบบอัตโนมัติให้กับงานที่ไม่ต้องเขียนโค้ด (non-coding tasks) นักพัฒนาซอฟต์แวร์ตระหนักถึงโอกาสของการทำงานอัตโนมัติด้าน DevOps เพื่อปรับปรุงการวัดคุณภาพซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการทดสอบซอฟต์แวร์โดยอัตโนมัติ, การให้คะแนนความเสี่ยงของโปรเจกต์ และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแบบจำลองภัยคุกคาม”[2]

Red Hat Ansible Lightspeed สร้างคำแนะนำคอนเทนต์ต่าง ๆ จากการป้อนคำสั่งของผู้ใช้ และผสานรวมกับ IBM Watsonx Code Assistant เพื่อเข้าถึงโมเดลพื้นฐานต่าง ๆ ของ IBM และสร้าง Ansible content ได้อย่างรวดเร็ว บริการนี้สร้างขึ้นสำหรับ Ansible เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานลดช่องว่างระหว่างแนวคิดเกี่ยวกับระบบอัตโนมัติ และการสร้าง Ansible content ซึ่งไม่เพียงช่วยให้บุคลากรด้านไอทีทั้งหมดเข้าถึงระบบอัตโนมัติได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เกิด content best practices และการดูแลที่ทำได้ทั่วทั้งองค์กร ส่งผลให้ระบบอัตโนมัติมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกันมากขึ้น

ระบบอัติโนมัติที่เน้นการใช้งานได้จริง

Ansible Lightspeed with watsonx Code Assistant ที่สร้างตามเป้าหมายและได้รับการเทรนบน Ansible data เป็นการผสานพลังของประสบการณ์ตรงเข้ากับนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อมอบคำแนะนำคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น สอดคล้องกัน และเจาะจงตามความต้องการทางธุรกิจต่าง ๆ บริการนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพวิธีการทำงานให้กับงานที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยเป็นส่วนเสริมในเวิร์กโฟลว์ของ Red Hat Ansible Automation Platform ที่มีอยู่ ควบคู่กับชุดเครื่องมือครบชุดของ Ansible content ทั้งนี้นักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้าใช้ศักยภาพของ Ansible Lightspeed with watsonx Code Assistant ได้โดยไม่จำเป็นต้องล้อกอินเข้าใช้เครื่องมือหรือบริการแยกกัน เพราะบริการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Ansible Automation Platform subscription และรวมอยู่ใน Ansible Visual Studio Code extension อยู่แล้ว

ผู้ใช้สามารถป้อนข้อความคำสั่งที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน เพื่อสร้างและแก้ไข Ansible Playbooks และกฎต่าง ๆ และจะได้รับเอาต์พุตที่แปลเป็น YAML content หรือคอนเทนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับภาษาโปรแกรมต่าง ๆ ได้  เป็นการเพิ่มความคล่องตัวให้กับการสร้างบทบาทและ playbook ดังนั้นผู้ใช้ที่มีประสบการณ์อยู่แล้วจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างมาก ส่วนผู้ใช้มือใหม่ก็จะมีอุปสรรคในการสร้างคอนเทนต์น้อยลง เป็นการขยายช่องทางว่าใครสามารถสร้าง Ansible content ได้บ้าง ในขณะเดียวกันยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องช่องว่างทักษะด้านระบบอัตโนมัติให้กับทุกภาคส่วนในองค์กร

ให้ความสำคัญกับเนื้อหาคุณภาพ

Ansible Lightspeed with watsonx Code Assistant ช่วยแปลความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีอยู่ให้เป็น Ansible automation content และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนด และสอดคล้องกันมากกว่าและสามารถสเกลข้ามทุกทีมงานและทุกภาคส่วนในองค์กร โดย Ansible Lightspeed with watsonx Code Assistant จะสแกน Ansible content ที่มีอยู่ เพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพและทำให้คอนเทนต์มีมาตรฐานผ่านคำแนะนำต่าง ๆ รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมต่าง ๆ บริการนี้ยังช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัวผ่านขั้นตอนการแยกข้อมูล ดังนั้นข้อมูลลูกค้าที่มีความอ่อนไหวสูงจะยังคงไม่ถูกแตะต้องและลดการรั่วไหลของข้อมูลให้ที่อาจเกิดขึ้นได้

Generative AI – วิถีโอเพ่นซอร์ส

การจับคู่แหล่งที่มาของคอนเทนต์ช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นและทราบว่าคอนเทนต์นั้นมาจากแหล่งใด ใครเป็นผู้เขียน และใช้ไลเซนส์ใดในการเทรนข้อมูลเพื่อสร้างการแนะนำคอนเทนต์ต่าง ๆ ทำให้งานของผู้มีส่วนร่วมในการสร้างคอนเทนต์ได้รับการยกย่องอย่างเหมาะสม และทำให้ทีมต่าง ๆ เชื่อมั่นในคอนเทนต์ที่สร้างโดย AI มากขึ้น รวมถึงทำให้ผู้มีส่วนร่วมในการสร้างและปล่อยคอนเทนต์ต้นทางมีตัวเลือกว่าจะปรับแต่งโมเดลงานของตนหรือไม่ 

การวางตลาด

Red Hat Ansible Lightspeed พร้อมใช้งานผ่าน Ansible Automation Platform subscription ส่วน IBM watsonx Code Assistant มีวางจำหน่ายแยกต่างหาก ส่วนความสามารถต่าง ๆ ที่ใช้ในการปรับแต่งเพื่อเทรนโมเดลของลูกค้าที่กำหนดคุณสมบัติแบบเจาะจงสำหรับองค์กรนั้น ๆ คาดว่าจะพร้อมให้ลูกค้าได้ใช้ปลายปีนี้ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมและการเริ่มต้นใช้งานได้ที่ redhat.com/ansible-lightspeed.

คำกล่าวสนับสนุน

Ashesh Badani, senior vice president and Chief Product Officer, Red Hat

“AI นำมาซึ่งโอกาสที่ดีมาก ทำให้องค์กรสามารถสร้างนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว  เร้ดแฮทได้สร้างสองแนวทางที่จะช่วยลูกค้าของเราปรับบริบทในการใช้ AI แนวทางเหล่านี้จะช่วยให้ใช้งาน AI ได้จริง และเจาะจงตรงไปยังสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญตามลำดับที่ลูกค้าตั้งไว้ ด้วยการมอบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้าง ปรับแต่ง ดูแลรักษาเวิร์กโหลด AI และนำความสามารถต่าง ๆ ที่มี AI เป็นส่วนหนึ่ง รวมไว้บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของเรา รวมถึง Ansible เราได้แสดงให้เห็นว่ามี domain-specific AI สามารถช่วยให้ไอทีอัตโนมัติในระดับคอมมิวนิตี้ และในระดับที่ใช้งานได้ทั่วไป ของ Ansible Lightspeed with watsonx Code Assistant มีศักยภาพในการปิดช่องว่างด้านทักษะ สร้างประสิทธิภาพให้องค์กรได้มากขึ้น ช่วยให้ทีมไอทีขององค์กรไม่ต้องกังวลอีกต่อไปและหันไปให้ความสำคัญกับงานที่จะสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้มากขึ้น”

Keri Olson, vice president, Product Management, IBM watsonx Code Assistant

“AI และไอทีอัตโนมัติได้ช่วยให้อุตสาหกรรมทุกประเภทสร้างนวัตกรรมได้เร็วขึ้นมาก แต่ยังคงมีความสามารถของเทคโนโลยีอีกมากที่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แต่ยังไม่มีการนำมาใช้ technical preview ของ Ansible Lightspeed with IBM watsonx Code Assistant ช่วยให้เราเห็นภาพว่าเมื่อเรารวม domain-specific AI เข้ากับไอทีอัตโนมัติแล้ว จะเกิดสิ่งที่เป็นไปได้อะไรขึ้นบ้าง”

Gerry Leitão, leader, Partner and Global Hybrid Cloud Automation, IBM Consulting

“ในระหว่าง technical preview ของ watsonx Code Assistant ที่ใช้กับ Red Hat Ansible Lightspeed เราสังเกตเห็นว่าในช่วงเริ่มแรกสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ระหว่าง 20-45% และเมื่อบริการนี้วางตลาดให้ใช้ได้ทั่วไป (GA) แล้ว เราคาดว่าประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มมากขึ้นอีก และเราเชื่อว่าจะยังมีความสามารถที่ยังวัดปริมาณไม่ได้ทั้งหมดเพิ่มขึ้นอีกเมื่อถึงปลายทางการใช้งาน หลัง GA แล้วไม่เพียงเรามุ่งเร่งพัฒนา Ansible automations ต่าง ๆ และมุ่งลด time-to-value ให้ลูกค้าเท่านั้น แต่เราตั้งใจจะให้คอนเทนต์มีคุณภาพสูงขึ้นอีก”[3]

Lara Greden, research director, Platform as a Service (PaaS) and Brijesh Kumar, senior research analyst, Cloud Application Development Platforms, IDC

“ระบบอัตโนมัติเป็นหนึ่งในโฟกัสสำคัญที่ทำให้คลาวด์เวนเดอร์ลงทุนเวลาและลงทุนเพิ่มความสามารถให้กับเครื่องมือและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่มีอยู่ การเพิ่มฟีเจอร์ที่ใช้ AI จะช่วยเพิ่มผลประโยชน์และมูลค่าทางธุรกิจให้กับโซลูชันของคลาวด์เวนเดอร์ทั้งหลาย และช่วยให้มีความแข็งแกร่งทางการแข่งขันในตลาด ความสามารถของ AI ที่อยู่ใน Red Hat Ansible Lightspeed ช่วยให้เร้ดแฮทสามารถโฟกัสไปที่การช่วยลูกค้าแก้ไขปัญหาหนัก ๆ ได้”[4]

[1] IDC FutureScape: Worldwide IT Industry 2023 Predictions, Doc #US49563122, Oct 2022

[2] IDC, Generative AI: The Path to Impact, Doc #EUR151153223, Aug 2023

[3] IBM Consulting, Transforming the way developers learn and work, Oct 2023

[4] IDC, Red Hat’s Focus on Serving Developers and Being the Platform for the AI-Everywhere Future, Doc #US50790123, Jun 2023

Alibaba Cloud Showcases Leading AI Initiatives at Apsara Conference

อาลีบาบา คลาวด์ โชว์งานสร้างสรรค์ด้าน AI ล้ำสมัย ณ งาน Apsara Conference

Alibaba Cloud Showcases Leading AI Initiatives at Apsara Conference

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, showcased an array of industry-specific AI models at its annual flagship tech event Apsara Conference. These advancements are built upon Tongyi Qianwen, the company’s proprietary foundation model, and are designed to streamline business operations and enhance user experiences.

Additionally, the cloud pioneer unveiled a multitude of AI innovations, including a digital avatar creation tool and AI text-to-image tools. These advancements aim to simplify the process of digital content creation for businesses across sectors.

Here’s an overview of the prominent AI innovations presented by Alibaba Cloud during the Apsara Conference: 

  1. Character Creation & AI Chat Model (Tongyi Xingchen): This model facilitates engaging, human-like interactions with virtual characters. It enables users to create their own characters and interact with them for personality-driven companionship, emotional support, and entertainment.

  2. Reading AI Model (Tongyi ZoneWit): This AI model comprehends documents and share knowledge easily, helping users boost their work efficiency. Users can upload documents in various formats and the assistant will summarize, extract information, and answer related questions in either Chinese or English.
  3. Customer Support AI Model (Tongyi Xiaomi): A vertical model designed for customer service scenarios. With improved capabilities in natural language understanding, analytics, and inference, the model comprehends customer intentions and delivers appropriate responses accordingly. Several large banking and insurance enterprises have already integrated this model to enhance their customer support systems.
  4. Programming AI Model (Tongyi Lingma): This model aids developers in code generation, code explanation and code search. It can auto-complete codes, recommend changes and convert codes written in one programming language to another. This tool facilitates code development in a cost-effective and efficient way.
  5. Healthcare AI Model (Tongyi Renxin): Equipped with comprehensive medical knowledge, this model serves as an intelligent healthcare assistant offering personalized health advice. It can comprehend medical reports, identify health issues through user interactions, and provide advice accordingly.
  6. Legal AI Model (Tongyi Farui): Designed to help legal professionals increase their work productivity, this model can perform various tasks including legal research, answering law-related inquiries, providing analysis on litigation cases, and drafting legal documents.
  7. Finance AI Model (Tongyi Dianjin): Pre-trained with a variety of financial information, this model can answer finance-related questions, extract key points from financial reports and analyses, and generate draft financial reports and charts, simplifying finance-related tasks for users. The model can manage complex and multiple queries through the cooperation of its LLM agents. 
  8. Virtual Character Generation Tool: Built upon Tongyi Wanxiang, Alibaba Cloud’s foundation model for AI image generation, this AI tool makes creating virtual character much easier. For example, merchants can create a virtual character in certain styles based on text or image prompts, and then generate product photographs with the virtual characters for product promotions. 
The virtual character generation tool helps e-commerce merchants create product images
The virtual character generation tool helps e-commerce merchants create product images

9. Sketch-to-Stylist Picture Tool: This tool transforms rough sketches into colored images in a variety of styles, including oil painting, watercolor painting, and anime art, making art creation easier and encouraging creative innovation.
10.
Digital Avatar Creation Tool: This tool simplifies the process of digital avatar creation. By extracting facial features from a three-minute video of an individual, it creates an animated avatar through 3D modeling. This tool aids businesses in creating unique digital avatars, which can be used to enhance customer engagement on e-commerce platforms.

อาลีบาบา คลาวด์ โชว์งานสร้างสรรค์ด้าน AI ล้ำสมัย ณ งาน Apsara Conference

อาลีบาบา คลาวด์ โชว์งานสร้างสรรค์ด้าน AI ล้ำสมัย ณ งาน Apsara Conference

อาลีบาบา คลาวด์ โชว์งานสร้างสรรค์ด้าน AI ล้ำสมัย ณ งาน Apsara Conference

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป จัดแสดง AI โมเดลที่เจาะจงเฉพาะด้านสำหรับธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่งาน Apsara Conference ซึ่งเป็นงานเทคโนโลยีสำคัญประจำปีของบริษัทฯ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้ต่อยอดจาก Tongyi Qianwen (ทงอี้ เชียนเวิ่น) ซึ่งเป็นโมเดลพื้นฐานของอาลีบาบา คลาวด์ และออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเปิดตัวนวัตกรรมด้าน AI อันหลากหลาย รวมถึงเครื่องมือสร้างอวทาร์ดิจิทัล และเครื่องมือ AI text-to-image โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดความซับซ้อนในกระบวนการสร้างดิจิทัลคอนเทนต์ให้กับธุรกิจทุกภาคส่วน

อาลีบาบา คลาวด์ นำเสนอนวัตกรรม AI ที่โดดเด่น ณ งาน Apsara Conference ดังนี้

  1. โมเดลสำหรับสร้างตัวละครเสมือนและโมเดลการแชทด้วย AI (Tongyi Xingchen: ทงอี้ เซี่ยงเชิน): โมเดลนี้ช่วยให้ทำการโต้ตอบที่เหมือนมนุษย์และมีเสน่ห์ได้อย่างง่ายดายผ่านตัวละครเสมือน ช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างตัวละครเสมือนด้วยตัวเองและโต้ตอบกันด้วยมิตรภาพที่ขับเคลื่อนด้วยบุคลิกภาพ การสนับสนุนด้านอารมณ์ และความบันเทิง
  2. โมเดล AI สำหรับการอ่าน (Tongyi ZoneWit: ทงอี้ โซนวิท): โมเดล AI นี้มีความเข้าใจเอกสารต่าง ๆ และสามารถแชร์ความรู้ได้ไม่ยุ่งยาก ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดเอกสารต่าง ๆ ในหลากหลายรูปแบบ และโมเดลนี้จะสรุป ดึงข้อมูล และตอบคำถามที่เกี่ยวข้องเป็นภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษ
  3. โมเดล AI สำหรับงานสนับสนุนช่วยเหลือลูกค้า (Tongyi Xiaomi: ทงอี้ เซี่ยวมี่): โมเดลเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ด้านการให้บริการลูกค้า โมเดลนี้เพิ่มประสิทธิภาพด้านความเข้าใจ การวิเคราะห์ และการอนุมานภาษาธรรมชาติ จึงเข้าใจความตั้งใจของลูกค้าและตอบสนองได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการนั้น ๆ ทั้งนี้มีธุรกิจธนาคารและประกันภัยขนาดใหญ่หลายแห่งนำโมเดลนี้ไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบการสนับสนุนช่วยเหลือลูกค้าของตนแล้ว
  4. โมเดล AI สำหรับการเขียนโปรแกรม (Tongyi Lingma: ทงอี้ หลิงมา): โมเดลนี้ช่วยนักพัฒนาซอฟต์แวร์สร้างโค้ด อธิบายโค้ด และค้นหาโค้ด สามารถเติมโค้ดให้สมบูรณ์ได้อัตโนมัติ แนะนำสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลง และแปลงโค้ดที่เขียนด้วยภาษาโปรแกรมหนึ่งไปเป็นภาษาโปรแกรมอื่นได้ ซึ่งช่วยให้สามารถพัฒนาโค้ดได้ด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าใช้จ่าย
  5. โมเดล AI ด้านการดูแลสุขภาพ (Tongyi Renxin: ทงอี้ เหรินซิน): โมเดลนี้ครบครันด้วยความรู้ทางการแพทย์ที่ครอบคลุม ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการดูแลสุขภาพ ให้คำแนะนำด้านสุขภาพเฉพาะรายบุคคล ทั้งยังสามารถเข้าใจรายงานทางการแพทย์ ระบุปัญหาสุขภาพผ่านการโต้ตอบกับผู้ใช้และให้คำแนะนำได้
  6. โมเดล AI ด้านกฎหมาย (Tongyi Farui: ทงอี้ ฟ่ารุ่ย): โมเดลนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย สามารถทำงานได้หลากหลาย เช่น การวิจัยด้านกฎหมาย การตอบคำถามที่เกี่ยวกับกฎหมาย วิเคราะห์คดีความ และร่างเอกสารทางกฎหมาย
  7. โมเดล AI ด้านการเงิน (Tongyi Dianjin: ทงอี้ เตี่ยนจิ้น): โมเดลนี้ได้รับการพรีเทรนด์ด้วยข้อมูลทางการเงินหลากหลาย สามารถตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับการเงิน แยกแยะประเด็นสำคัญต่าง ๆ จากรายงานและบทวิเคราะห์ทางการเงิน และสร้างแบบร่างรายงานและชาร์ทด้านการเงิน ช่วยลดความซับซ้อนของงานด้านการเงินให้กับผู้ใช้ ทั้งยังสามารถจัดการการสืบค้นที่ซับซ้อนและหลายรายการผ่านการทำงานร่วมกับ LLM agents ของโมเดลเอง
  8. เครื่องมือสร้างตัวละครเสมือน: เครื่องมือนี้สร้างจาก Tongyi Wanxiang (ทงอี้ ว่านเซี่ยง) ซึ่งเป็นโมเดลพื้นฐานสำหรับการสร้างภาพด้วย AI ของอาลีบาบา คลาวด์ โดยเครื่องมือ AI นี้ทำให้การสร้างตัวละครเสมือนง่ายขึ้นมาก เช่น พ่อค้าสามารถสร้างตัวละครเสมือนในสไตล์ต่าง ๆ ตามคำสั่งข้อความหรือรูปภาพที่ป้อนเข้าไป จากนั้นสร้างภาพสินค้าที่มีตัวละครเสมือนเพื่อส่งเสริมการขายสินค้า
เครื่องมือสร้างตัวละครเสมือน ช่วยผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซสร้างรูปภาพสินค้า
เครื่องมือสร้างตัวละครเสมือน ช่วยผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซสร้างรูปภาพสินค้า

9. เครื่องมือ Sketch-to-Stylist Picture: เครื่องมือนี้แปลงภาพสเก็ตคร่าว ๆ ให้เป็นรูปภาพสีหลากหลายสไตล์ รวมถึงภาพวาดสีน้ำมัน ภาพวาดสีน้ำ และศิลปะอะนิเมะ ช่วยให้สร้างสรรค์งานศิลปะได้ง่ายขึ้น และส่งเสริมนวัตกรรมด้านงานสร้างสรรค์
10.
เครื่องมือสร้างอวทาร์ดิจิทัล: เครื่องมือนี้ช่วยให้การสร้างอวทาร์ดิจิทัลง่ายขึ้น สามารถสร้างอวทาร์แบบเคลื่อนไหวผ่านแบบจำลอง 3 มิติจากการแยกแยะลักษณะใบหน้าของแต่ละบุคคลจากวิดีโอความยาวสามนาที ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจสร้างอวทาร์ดิจิทัลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนและใช้เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซมากขึ้น

Siemens and Microsoft partner to drive cross-industry AI adoption

Siemens and Microsoft partner to drive cross-industry AI adoption

Siemens and Microsoft partner to drive cross-industry AI adoption

  • Companies introduce Siemens Industrial Copilot, a generative AI-powered assistant, designed to enhance human-machine collaboration and boost productivity.
  • Companies will work together to build additional copilots for manufacturing, infrastructure, transportation, and healthcare industries.
  • Leading automotive supplier, Schaeffler AG, is an early adopter of Siemens Industrial Copilot.
  • In addition, the Siemens Teamcenter app for Microsoft Teams will be generally available in December 2023 and accelerate innovation across the product lifecycle.

Microsoft and Siemens are deepening their partnership by bringing the benefits of generative AI to industries worldwide. As a first step, the companies are introducing Siemens Industrial Copilot, an AI-powered jointly developed assistant aimed at improving human-machine collaboration in manufacturing. In addition, the launch of the integration between Siemens Teamcenter software for product lifecycle management and Microsoft Teams will further pave the way to enabling the industrial metaverse. It will simplify virtual collaboration of design engineers, frontline workers, and other teams across business functions. 

“With this next generation of AI, we have a unique opportunity to accelerate innovation across the entire industrial sector,” said Satya Nadella, Chairman and CEO, Microsoft. “We’re building on our longstanding collaboration with Siemens and bringing together AI advances across the Microsoft Cloud with Siemens’ industrial domain expertise to empower both frontline and knowledge workers with new, AI-powered tools, starting with Siemens Industrial Copilot.”

“Together with Microsoft, our shared vision is to empower customers with the adoption of generative AI,” says Roland Busch, CEO of Siemens AG. “This has the potential to revolutionize the way companies design, develop, manufacture, and operate. Making human-machine collaboration more widely available allows engineers to accelerate code development, increase innovation and tackle skilled labor shortages.”

A new era of human-machine collaboration

Siemens Industrial Copilot will allow users to rapidly generate, optimize and debug complex automation code, and significantly shorten simulation times. This will reduce a task that previously took weeks to minutes. The copilot ingests automation and process simulation information from Siemens’ open digital business platform, Siemens Xcelerator, and enhances it with Microsoft’s Azure OpenAI Service. Customers maintain full control over their data, and it is not used to train underlying AI models.

Siemens Industrial Copilot promises to boost productivity and efficiency across the industrial lifecycle. Using natural language, maintenance staff can be assisted with detailed repair instructions and engineers with quick access to simulation tools. 

The vision: Copilots for all industries

The companies envision AI copilots assisting professionals in various industries, including manufacturing, infrastructure, transportation, and healthcare. Numerous copilots are already planned in the manufacturing sectors, such as automotive, consumer package goods and machine building.

Schaeffler AG, a leading automotive supplier, is among the first in the automotive industry to embrace generative AI in the engineering phase. This helps its engineers to generate reliable code for programming industrial automation systems such as robots. In addition, the company intends to incorporate the Siemens Industrial Copilot during their own operations, aiming to significantly reduce downtimes, and also for their clients at a later stage.

”With this joint pilot, we’re stepping into a new age of productivity and innovation. This Siemens Industrial Copilot will help our team work more efficiently, reduce repetitive tasks, and unleash creativity. We’re excited to partner with Siemens and Microsoft on this project”. Klaus Rosenfeld, CEO of Schaeffler Group.

Generative AI facilitates virtual collaboration 

To bring virtual collaboration across teams to the next level, Teamcenter for Microsoft Teams will be generally available beginning December 2023. This new app uses the latest advances in generative AI to connect functions across the product design and manufacturing lifecycle such as frontline workers to engineering teams. It connects Siemens’ Teamcenter software for product lifecycle management (PLM) with Microsoft’s collaboration platform Teams to make data more accessible for factory and field service workers. This will enable millions of workers who do not have access to PLM tools today to contribute to the design and manufacturing process more easily as part of their daily work.

Siemens will share more details on Siemens Industrial Copilot at the SPS expo in Nuremberg, Germany, in November 2023.

 

ซีเมนส์ร่วมมือไมโครซอฟท์ขับเคลื่อนการนำ AI มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม

ซีเมนส์ร่วมมือไมโครซอฟท์ขับเคลื่อนการนำ AI มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม

ซีเมนส์ร่วมมือไมโครซอฟท์ขับเคลื่อนการนำ AI มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม

  • ทั้งสองบริษัทเปิดตัว Siemens Industrial Copilot ผู้ช่วย Generative AI ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร
  • ทั้งสองบริษัทพร้อมเดินหน้าร่วมกันพัฒนา Copilots เพิ่มสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการดูแลสุขภาพ
  • ซัพพลายเออร์ยานยนต์ชั้นนำ Schaeffler AG เป็นบริษัทแรก ๆ ที่นำ Siemens Industrial Copilot ไปใช้
  • แอปฯ Siemens Teamcenter สำหรับ Microsoft Teams พร้อมเปิดให้ใช้งานโดยทั่วไปในเดือนธันวาคมปีนี้ กระตุ้นการสร้างนวัตกรรมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์

ไมโครซอฟท์ และ ซีเมนส์ ผนึกความร่วมมือต่อเนื่อง นำประสิทธิภาพ Generative AI มาสู่ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยทั้งสองบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว Siemens Industrial Copilot ซึ่งเป็นผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาร่วมกัน มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรในภาคการผลิต นอกจากนี้การผนวกซอฟต์แวร์ Teamcenter ของซีเมนส์ที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (หรือ PLM) เข้ากับ Microsoft Teams ยังสนับสนุนการสร้างเมตาเวิร์สในภาคอุตสาหกรรม ลดความซับซ้อนในการทำงานร่วมกันแบบเสมือนจริงให้แก่วิศวกรออกแบบ ผู้ปฏิบัติงานหน้างานและทีมอื่น ๆ ตลอดสายงานธุรกิจ

สัตยา นาเดลลา ประธานและซีอีโอของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “ด้วยศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ยุคใหม่นี้ เรามีโอกาสพิเศษในการเร่งสร้างนวัตกรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด เรากำลังพัฒนาต่อยอดจากความร่วมมือที่ยาวนานกับซีเมนส์ รวบรวมความก้าวหน้าด้าน AI ใน Microsoft Cloud มาผนวกรวมกับความเชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมของซีเมนส์ เพื่อเสริมศักยภาพให้แก่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานและพนักงานที่มีทักษะเฉพาะทาง ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังปัญญาประดิษฐ์ โดยเริ่มต้นด้วยโครงการ Siemens Industrial Copilot”

โรแลนด์ บุช ซีอีโอของซีเมนส์ กล่าวว่า “เราและไมโครซอฟท์มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมศักยภาพของลูกค้าด้วยการนำ Generative AI มาใช้งาน เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพมหาศาลที่จะปฏิวัติวิธีการที่บริษัทต่าง ๆ ใช้ออกแบบ พัฒนา ผลิตและดำเนินการ ด้วยการส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรที่เชื่อมต่อกันในวงกว้างมากขึ้น ช่วยให้เหล่าวิศวกรสามารถเร่งพัฒนาโค้ด เพิ่มนวัตกรรม และรับมือกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะได้”

ยุคใหม่ของการทำงานร่วมกันของมนุษย์และเครื่องจักร

Siemens Industrial Copilot จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้าง เพิ่มประสิทธิภาพ และแก้ไขโค้ดอัตโนมัติที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมลดระยะเวลาการจำลองสถานการณ์ลงอย่างมาก ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยลดงานที่ก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ให้เหลือเป็นหน่วยนาที โดย Copilot จะนำข้อมูลของระบบอัตโนมัติและกระบวนการการจำลองจากแพลตฟอร์ม Siemens Xcelerator ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิดของซีเมนส์ และเพิ่มประสิทธิภาพด้วย Azure OpenAI Service ของไมโครซอฟท์ โดยลูกค้ายังคงควบคุมข้อมูลตนเองได้ทั้งหมด ระบบจะไม่มีการนำข้อมูลไปใช้กับการฝึกโมเดล AI พื้นฐาน

Siemens Industrial Copilot มีความสามารถเพิ่มผลผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพครบวงจรในอุตสาหกรรม โดยเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงจะได้รับคำแนะนำการซ่อมแซมอย่างละเอียดด้วยภาษาปกติอย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่วิศวกรจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือแบบจำลองได้อย่างรวดเร็ว

เปิดวิสัยทัศน์: Copilots สำหรับทุกอุตสาหกรรม

ทั้งซีเมนส์และไมโครซอฟท์ต่างเล็งเห็นว่า AI Copilots มีความสามารถในการช่วยเหลือผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการดูแลสุขภาพ โดย Copilot จำนวนมากกำลังถูกวางแผนที่จะนำมาใช้ในภาคการผลิต เช่น ยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค และการผลิตเครื่องจักร

Schaeffler AG ซัพพลายเออร์ยานยนต์ชั้นนำเป็นหนึ่งในบริษัทรายแรก ๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่นำ Generative AI ไปใช้ในงานด้านวิศวกรรม ช่วยให้ทีมวิศวกรสามารถพัฒนาโค้ดที่มีความน่าเชื่อถือสำหรับการโปรแกรมระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม เช่น หุ่นยนต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมนำ Siemens Industrial Copilot มาใช้ในระบบการดำเนินงาน โดยวางเป้าหมายเพื่อลดการหยุดชะงักของการทำงาน (Downtime) ของเครื่องจักรอย่างมีนัยสำคัญ และเตรียมพัฒนาขั้นต่อไปสำหรับลูกค้าในภายหลัง

เคลาส์ โรเซนเฟลด์ ซีอีโอของกลุ่มแชฟฟ์เลอร์ กล่าวว่า “เรากำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและนวัตกรรมในโครงการนำร่องร่วมกันนี้ ซึ่ง Siemens Industrial Copilot จะช่วยให้ทีมงานของเราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังลดภาระงานซ้ำซ้อน และเพิ่มไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับซีเมนส์และไมโครซอฟท์ในโครงการนี้”

Generative AI เพิ่มความสะดวกการทำงานร่วมกันในแบบเสมือน

เพื่อยกระดับการทำงานร่วมกันแบบเสมือนระหว่างทีม ซอฟต์แวร์ Teamcenter ของซีเมนส์ สำหรับ Microsoft Teams พร้อมเปิดให้ใช้งานได้โดยทั่วไปตั้งแต่เดือนธันวาคมปีนี้ โดยแอปพลิเคชันนี้จะใช้ศักยภาพล่าสุดของ Generative AI เชื่อมต่อฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ ของวงจรการออกแบบผลิตภัณฑ์และวงจรการผลิต ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานไปจนถึงทีมวิศวกร โดยจะเชื่อมต่อซอฟต์แวร์ Teamcenter ของซีเมนส์ที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (หรือ PLM) เข้ากับ Microsoft Teams ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันของไมโครซอฟท์ เพื่อให้พนักงานในโรงงานและพนักงานภาคสนามสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ สิ่งนี้จะช่วยให้พนักงานหลายล้านคนที่เข้าไม่ถึงเครื่องมือ PLM ในปัจจุบันสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบและผลิตได้ง่ายยิ่งขึ้นเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของงานประจำวัน

ซีเมนส์จะแบ่งปันรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Siemens Industrial Copilot ที่งาน SPS expo ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2566