DingTalk เพิ่มความคล่องตัวให้ Asian Games ทั้งด้านการจัดงาน และการสื่อสาร

DingTalk เพิ่มความคล่องตัวให้ Asian Games ทั้งด้านการจัดงาน และการสื่อสาร

DingTalk เพิ่มความคล่องตัวให้ Asian Games ทั้งด้านการจัดงาน และการสื่อสาร

ยกระดับประสบการณ์การจัดงาน ด้วยนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์, low-coding และฟีเจอร์สำนักงานดิจิทัล

DingTalk แพลตฟอร์มอัจฉริยะในการทำงานร่วมกันและการพัฒนาแอปพลิเคชันร่วมกันของอาลีบาบา เผยโฉมโซลูชัน DingTalk for Asian Games ให้กับการจัดงานเอเชียนเกมส์หางโจว โดยเป็น DingTalk เวอร์ชันที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดงานเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ โซลูชันที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วนี้จะเป็นหัวใจสำคัญของการจัดงานและการสื่อสารของมหกรรมกีฬาซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองหางโจวตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน ถึง 8 ตุลาคม ศกนี้

DingTalk for Asian Games เป็นดิจิทัลโซลูชันคลาวด์-เนทีฟที่ทำงานและบริหารจัดการบนคลาวด์ จะช่วยให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานที่เสถียร ปรับขนาดได้ และปลอดภัย ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการทำงานร่วมกันแบบ one-stop ที่เชื่อมโยงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในทุกขั้นตอนของการจัดการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดงานและซัพพลายเออร์ ไปจนถึงอาสาสมัครและผู้ดำเนินงานที่ประจำอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ

นายเกอ จาง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิทยุ โทรทัศน์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะกรรมการจัดงานหางโจวเอเชียนเกมส์ กล่าวว่า “ความร่วมมืออย่างเต็มกำลังระหว่างคณะกรรมการจัดงานเอเชียนเกมส์หางโจว และ DingTalk ช่วยให้ DingTalk for Asian Games ประสบความสำเร็จในการประสานความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ของ ‘องค์กรออนไลน์ การสื่อสารออนไลน์ และธุรกิจออนไลน์’ ให้กับผู้เข้าร่วมงานทุกระดับ ทุกแผนก และทุกภูมิภาค DingTalk for Asian Games ไม่เพียงทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลของหางโจวเป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นทรัพย์สินและประสบการณ์อันมีค่าที่หางโจวต้องการมอบให้การแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติต่าง ๆ ในอนาคต”

DingTalk for Asian Games มีบทบาทหลากหลายตามสถานการณ์การใช้งานที่แตกต่างกัน ช่วยให้การแข่งขันมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น มีความสะดวกและเป็นไปตามแนวทางอัจฉริยะมากขึ้น

นายอเล็กซ์ ลี รองประธานของ DingTalk กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่จะได้มอบโซลูชันนี้ที่จะช่วยให้ผู้จัดงานและการดำเนินงานของหางโจวเอเชียนเกมส์มีประสิทธิภาพมากขึ้น DingTalk มีบทบาทสำคัญมากต่อเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ และเป็นโอกาสสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยให้การจัดงานที่มีขนาดใหญ่ระดับนี้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้อย่างไร DingTalk for Asian Games ไม่เพียงเชื่อมต่อผู้คนให้สามารถทำงานร่วมกันได้เท่านั้น แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นศูนย์รวมผู้ใช้ที่มีจุดประสงค์และความสนใจร่วมกันไว้ด้วยกัน เราเชื่อว่าเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นแน่นอนสำหรับการจัดงานกีฬาขนาดใหญ่ในอนาคต คือ จำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มที่ชาญฉลาดเอาไว้ทำงานร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการจัดการด้านการสื่อสารของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย”

ผู้ประสานงานที่มีความสามารถรอบตัว: เพื่อให้การจัดงานที่ซับซ้อนง่ายขึ้น DingTalk for Asian Games นำเสนอโครงสร้างองค์กรแบบแนวราบ (flat organizational structure) ที่เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครนับหมื่นคนสามารถแสดงตัวและสื่อสารซึ่งกันและกัน สื่อสารกับพันธมิตรภายนอก ตลอดจนแบ่งปันข้อมูลและจัดประชุมต่าง ๆ ได้อย่างเรียบง่าย

DingTalk for Asian Games ใช้ความสามารถของบริการ Alibaba Cloud Machine Translation ที่ใช้เทคโนโลยี deep learning และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) ที่มีประสิทธิภาพระดับแนวหน้าของบริษัทฯ จึงสามารถทำการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ได้อย่างอัจฉริยะถึง 14 ภาษา รวมถึงภาษาจีน อังกฤษ ญี่ปุ่น และไทย นับเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างพนักงานและผู้เข้าร่วมงานจากนานาประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการปรับ DingTalk for Asian Games ให้เหมาะกับการใช้งานกับสมาร์ทโฟน โดยมอบการเชื่อมต่อภาพและเสียงระหว่างผู้ใช้และศูนย์ปฏิบัติการหลักของการแข่งขัน (main operation center: MOC) ได้ทันที จะช่วยให้ MOC สามารถติดต่อกับพนักงานและสถานที่จัดงานทั้งหมด เพื่อทำการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

สถานที่ทำงานแบบโมบาย: DingTalk for Asian Games นำเสนอ “สำนักงานดิจิทัล” ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกคนทำงานใกล้ชิดกันโดยไม่จำเป็นต้องจัดสถานที่ทำงานแบบ physical ทีมต่าง ๆ ในคณะกรรมการจัดงาน และผู้ดำเนินงานตามสถานที่จัดงานสามารถทำงานด้านเอกสารร่วมกัน ผ่านการพรีวิวและรีวิวออนไลน์ แก้ไขได้แบบเรียลไทม์ และจัดการกับระบบจัดเก็บการเปลี่ยนแปลง (version control) ที่เกิดขึ้นกับเอกสารนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ DingTalk for Asian Games ยังสามารถประมวลผลคำขออนุมัติ จากการส่งคำขอประมาณ 300 รายการ ครอบคลุมบริการด้านการบริหารต่าง ๆ การใช้สินทรัพย์ การยื่นใบรับรองของซัพพลายเออร์ กิจกรรมทางการตลาด และอื่น ๆ อีกมาก ณ ขณะนี้ ได้มีการอนุมัติแบบไร้กระดาษแล้วมากกว่า 7,700 รายการ ซึ่งนับเป็นการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ผู้ช่วยอัจฉริยะ: DingTalk for Asian Games ได้รวมความสามารถที่ล้ำสมัยของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไว้ด้วย เพื่อความสามารถในการทำความเข้าใจ ตอบสนอง และสร้างคอนเทนต์ เพื่อรองรับความต้องการหลากหลายระหว่างการเตรียมงาน เช่น เมื่อนำแชทบอท ที่ built-in อยู่ใน DingTalk มาใช้ในแชทกรุ๊ปของเอเชียนเกมส์ จะสามารถให้คำตอบต่อคำถามที่เกี่ยวกับเกมต่าง ๆ ได้อัตโนมัติและทันท่วงที โดยการวิเคราะห์และดึงข้อมูลจากเนื้อหาและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการแข่งขัน รวมถึงคู่มือเกม และกรุ๊ปแชทที่เกี่ยวข้องกับคำถามนั้น ๆ ผู้ใช้ยังจะได้ใช้ความสามารถของ DingTalk เพื่ออำนวยความสะดวกในการย่อยเนื้อหา เช่น การดึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ จากข่าวประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

แอปพลิเคชันแบบ low-code พัฒนาขึ้นเพื่อการจองสถานที่ฝึกซ้อมบน DingTalk for Asian Games
แอปพลิเคชันแบบ low-code พัฒนาขึ้นเพื่อการจองสถานที่ฝึกซ้อมบน DingTalk for Asian Games

แพลตฟอร์มที่นักพัฒนาใช้งานง่าย: DingTalk for Asian Games มีฟีเจอร์ low-code ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้พัฒนาแอปพลิเคชันของตนเองและปรับให้เหมาะและเจาะจงกับสถานการณ์ใหม่ ๆ เช่น แอปพลิเคชันนัดหมายที่เป็นแบบ low-code ซึ่งได้รับการพัฒนาเพื่อให้นักกีฬานัดหมายการฝึกซ้อมได้สะดวกและได้ผลดีมากขึ้น นักกีฬาสามารถตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ฝึกซ้อมในสนามกีฬาเอเชียนเกมส์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ของเมืองหางโจวและเมืองใกล้เคียงได้อย่างง่ายดาย และจองสถานที่สำหรับฝึกซ้อมล่วงหน้าผ่าน mini app บน DingTalk for Asian Games

DingTalk for Asian Games ให้การสนับสนุนด้านฮาร์ดแวร์เต็มรูปแบบ แอปพลิเคชันนี้พร้อมใช้กับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ ทั้งยังรองรับอุปกรณ์ที่ใช้ได้กับ DingTalk ซึ่งรวมถึง กล่องทีวีต่าง ๆ และอื่น ๆ อีกมาก

การใช้ DingTalk for Asian Games ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้โซลูชันนี้กลายเป็นส่วนสำคัญของการจัดงาน ทั้งนี้ในเดือนสิงหาคมเพียงเดือนเดียวมีจำนวนข้อความพุ่งสูงถึงมากกว่า 4.5 ล้านข้อความ และมีการสร้าง  เวิร์กกรุ๊ปมากกว่า 12,000 กรุ๊ป โซลูชันนี้มีผู้เยี่ยมชมเฉลี่ยมากกว่า 50,000 รายต่อวัน ให้บริการตั้งแต่การอนุมัติด้านการบริหาร ไปจนถึง การประชุม การฝึกซ้อม การสนับสนุนของสปอนเซอร์ การตรวจสอบสภาพอากาศ และการสนับสนุนทางการแพทย์ นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชันอื่น ๆ อีกมากที่รันอยู่บนเน็ตเวิร์กเฉพาะของงานและจะพร้อมใช้งานเร็ว ๆ นี้ เพื่อสนับสนุนการทำงานของการจัดงานเพิ่มเติมในส่วนอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงระบบพิเศษสำหรับการแพร่ภาพวิดีโอ การบริหารจัดการด้านไอที และการบริหารจัดการด้านอาสาสมัคร

AI for the Food and Beverage Industry

AI สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

AI for the Food and Beverage Industry

By Terry Smagh, Senior Vice President and General Manager for Asia Pacific and Japan, Infor

Artificial intelligence (AI) has hit the headlines recently, with ChatGPT and similar technologies making their mark on everyday lives. Yet AI is not a new technology. In fact, AI dates its origins back to the 1950s. Today are the results of decades of research and technological developments coming to mainstream fruition and making a real difference.

When it comes to the food and beverage sector though, things are no different and more businesses are reaping the benefits of AI technologies. And, with the value of the market for AI in the food and beverage sector expected to reach $29.94 billion by 2028, the number of food and beverage businesses investing in AI is clearly predicted to increase. However, there’s still widespread uncertainty about what it actually is, how it works and how it can benefit the food and beverage sector.

What is AI? What is machine learning?

AI is the ability of a computer or machine to mimic or imitate human intelligent behavior and perform human-like tasks. It performs tasks that require human intelligence such as thinking, reasoning, learning from experience, and most importantly, making its own decisions.

Machine learning is a subset of AI. It is computer systems that can learn and adapt without being explicitly programmed or helped to. Machine learning uses algorithms and statistical models to intelligently analyze data, drawing inferences from data patterns to inform further action.

Where does AI fit into the food and beverage sector?

Put simply, AI (machine learning in particular) has the potential to optimize all areas of food manufacturing, facilitating smart, industry-specific applications to improve every aspect of the supply chain, from farm to fork, helping to build agile supply chains and drive revenue growth.

With its ability to factor in an inordinate number of data values, parameters, what-if scenarios and other contributing factors, machine learning can produce accurate and timely recommendations for almost every aspect of the food supply chain. Ultimately, this provides a competitive advantage that it would be impossible to replicate without the application of AI technologies.

Where is machine learning being used already?

The uses of machine learning for the food and beverage sector are seemingly limitless. Take precision farming, for example, an area where machine learning is delivering new depths of insight. This might be analysis of past harvests in terms of both quantity and quality, in combination with weather forecasts to inform which fields need watering and when, or when to use fertilizer perhaps.

More food and beverage organizations are turning toward AI to help reduce waste and identify inefficiencies within the supply chain.

 Planning for all eventualities

Recently, food businesses could be forgiven for thinking that the only thing they can be certain of is uncertainty itself. With more unpredictable variations in weather conditions, what about the role of machine learning where there are potentially no data patterns to be found? 

What machine learning can do is help better understand the risks of changing weather conditions and how they can impact harvests globally. It’s this increased understanding that can inform the strategies needed to mitigate these risks. But, even with all the latest machine learning technologies, to ensure these strategies are effective requires consensus. As the UN’s Food and Agriculture Organization (FAO) points out, every party involved in the food supply chain needs to become more resilient, minimizing their use of water, energy and other resources, all changes that can be underpinned by machine learning.

As technology develops and as more businesses discover the benefits that can be realized with the application of AI, so AI capabilities will develop even further still, refined to solve specific industry or business problems. As we’re seeing already, the considered application of AI technologies is helping businesses right across the food and beverage industry and supply chain, and this is only set to increase over the next few years. AI is already proving to be a driver of real efficiencies as well as helping businesses to plan for all eventualities, delivering the actionable insight that’s needed to stay one step ahead at all times.

AI สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

AI สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

AI สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

บทความโดย เทอร์รี สมา, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, บริษัทอินฟอร์

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับการพูดถึงบ่อยครั้งในปัจจุบัน เพราะ ChatGPT และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันกำลังส่งผลต่อชีวิตประจำวันของผู้คน แต่ AI ก็ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ ต้นกำเนิดของ AI สามารถย้อนกลับไปได้ถึงในช่วงทศวรรษ 1950  ทั้งนี้ผลจากการวิจัยและพัฒนาทางเทคโนโลยีที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษจนถึงปัจจุบัน กำลังกลายเป็นกระแสหลักและสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง

สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มก็เช่นกัน ธุรกิจจำนวนมากขึ้นกำลังเก็บเกี่ยวประโยชน์ต่าง ๆ จากเทคโนโลยี AI  พร้อมกันนี้มีการคาดการณ์ว่า ตลาด AI ในภาคอาหารและเครื่องดื่มจะมีมูลค่าสูงถึง 29.94 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2571 ดังนั้นจึงคาดว่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ลงทุนใน AI จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  แต่ก็ยังคงมีความสับสนอย่างมากว่าแท้จริงแล้ว AI คืออะไร ทำงานอย่างไร และเป็นประโยชน์ต่อภาคอาหารและเครื่องดื่มอย่างไร

AI คืออะไร แมชชีนเลิร์นนิงคืออะไร

AI คือความสามารถของคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักร ที่สามารถลอกเลียนหรือเลียนแบบพฤติกรรมอันชาญฉลาดและปฏิบัติงานได้เหมือนมนุษย์ โดยสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์ เช่น การคิด การใช้เหตุผล การเรียนรู้จากประสบการณ์ และที่สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจได้เอง

ส่วนแมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning – ML) นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ AI ที่สามารถเรียนรู้และปรับเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องตั้งโปรแกรมหรือช่วยทำ แมชชีนเลิร์นนิงใช้อัลกอริธึมและแบบจำลองทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างชาญฉลาด โดยวินิจฉัยจากรูปแบบข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการขั้นต่อไป

AI เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในด้านใด

พูดง่าย ๆ ก็คือ AI (เฉพาะส่วนแมชชีนเลิร์นนิง) มีความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอาหารทุกด้าน ทำให้แอปพลิเคชันอัจฉริยะที่ออกแบบเฉพาะสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม สามารถปรับปรุงระบบห่วงโซ่อุปทานได้ทุกจุดตั้งแต่แหล่งกำเนิดไปจนถึงมือผู้บริโภค ช่วยสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานที่มีความคล่องตัวและขับเคลื่อนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

ส่วนแมชชีนเลิร์นนิงสามารถให้คำแนะนำที่แม่นยำและทันเวลาสำหรับระบบห่วงโซ่อุปทานได้เกือบทุกด้าน ด้วยความสามารถในการคำนวณค่าข้อมูล พารามิเตอร์ สถานการณ์จำลอง และปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จำนวนมาก ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยากจะเลียนแบบหากปราศจากการใช้เทคโนโลยี AI

มีการใช้แมชชีนเลิร์นนิงในด้านใดบ้าง

ดูเหมือนว่าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจะมีการใช้แมชชีนเลิร์นนิงอย่างไร้ขีดจำกัด เช่น เรื่องเกษตรแม่นยำ (precision farming) ที่แมชชีนเลิร์นนิงสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ซึ่งอาจเป็นการวิเคราะห์การเก็บเกี่ยวที่ผ่านมาทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ควบคู่ไปกับการพยากรณ์สภาพอากาศเพื่อกำหนดพื้นที่และเวลาที่ต้องรดน้ำ หรือเวลาที่ต้องใส่ปุ๋ย เป็นต้น

บริษัทอาหารและเครื่องดื่มจำนวนมากขึ้นหันมาใช้ AI เพื่อช่วยลดการสูญเสีย และค้นหาความไร้ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นในระบบห่วงโซ่อุปทาน

เตรียมพร้อมรับกับทุกสถานการณ์

เมื่อไม่นานมานี้ เราอาจพอเข้าใจได้ถึงการที่ธุรกิจอาหารคิดว่าสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่นอน  แต่ด้วยสภาพอากาศแปรปรวนเพิ่มขึ้นที่ไม่สามารถคาดเดาได้ แมชชีนเลิร์นนิงจะเข้ามีบทบาทด้านใดในเรื่องนี้หากไม่มีรูปแบบข้อมูลให้ค้นหา 

สิ่งที่แมชชีนเลิร์นนิงทำได้คือ ช่วยให้เข้าใจความเสี่ยงของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดต่อการเก็บเกี่ยวทั่วโลก ซึ่งความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นนี้จะช่วยให้กำหนดแผนงานที่จำเป็นในการลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้  แต่ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิงทันสมัยที่สุดพร้อมสรรพแล้วก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์เหล่านี้มีประสิทธิภาพก็ต้องมีความเห็นพ้องต้องกันด้วย  ทั้งนี้ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในระบบห่วงโซ่อุปทานอาหารจะต้องยืดหยุ่นมากขึ้น ลดการใช้น้ำ พลังงาน และทรัพยากรอื่น ๆ ให้น้อยลง โดยแมชชีนเลิร์นนิงจะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่กล่าวมาได้

ในขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาและธุรกิจต่าง ๆ ค้นพบประโยชน์ของการประยุกต์ใช้ AI  ความสามารถของ AIก็จะยิ่งพัฒนามากขึ้นไปอีก โดยได้รับการปรับปรุงให้เหมาะกับการแก้ปัญหาเฉพาะของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ  ดังที่เราได้เห็นแล้วว่าการประยุกต์ใช้ AI อย่างรอบคอบกำลังช่วยเหลือธุรกิจต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และในระบบห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้คาดว่าจะมีการใช้ AI เพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะ AI ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นตัวขับเคลื่อนประสิทธิภาพที่แท้จริง พร้อมทั้งช่วยให้ธุรกิจวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้น โดยให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งจำเป็นต่อการก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา

สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้ขับเคลื่อนแผนพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อสร้างมูลค่าเศรษฐกิจในอาเซียนกว่า 1.9 พันล้านล้านบาทในปี 2573  โดยมีโครงการ AI Thailand เป็นหน่วยงานกลางเพื่อการพัฒนาที่มุ่งสนับสนุนทิศทางการพัฒนาในทุกด้าน รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนา การศึกษา การนำไปใช้ และความปลอดภัยให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการใช้เทคโนโลยี AI อย่างยั่งยืนโดยได้ทำการสำรวจธุรกิจใน 10 ภาคส่วน ครอบคลุมผู้ตอบแบบสอบถามจาก 3,529 บริษัท โดยผลการศึกษาพบว่า 15.2% ของธุรกิจได้นำ AI ไปใช้แล้ว 56.7 % มีแผนจะใช้ในอนาคต และ 28.2% ไม่มีแผนใด ๆ ในการใช้ AI

ดังนั้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) จัดทำแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) ขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยี AI จะถูกนำไปใช้อย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ ตลอดจนจัดทำแนวทางการใช้ AI ในภาคส่วนต่าง ๆ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการใช้ AI ในการเกษตรและอาหารเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน โดยเทคโนโลยี AI จะช่วยให้เกษตรกรตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการพืชผล สุขภาพของดิน และการควบคุมศัตรูพืชได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา AI สำหรับอาหาร เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยและคุณภาพของอาหารอีกด้วย

Ericsson brings its latest 5G innovations to Thailand at the ‘Imagine Live, Thailand 2023

อีริคสันนำนวัตกรรม 5G ล่าสุด มาจัดแสดงที่งาน Imagine Live Thailand 2023

Ericsson brings its latest 5G innovations to Thailand at the ‘Imagine Live, Thailand 2023

  • Ericsson Imagine Live Thailand 2023 showcases company’s latest, most advanced 5G portfolio and technology demonstrations in Thailand.
  • Ericsson to accelerate the digital transformation of Thailand with 5G.
  • Ericsson to leverage its global expertise and technology leadership to keep customers in Thailand at the forefront of 5G.

Ericsson (NASDAQ: ERIC) today inaugurated its Imagine Live Thailand 2023 event that showcases its advanced 5G use cases and technology innovations that had been unveiled at the Mobile World Congress, Barcelona in February 2023. The highlights of the display include its latest, energy efficient radio solutions, holographic communications, digital twins and network automation demos amongst others.

On display is the Radio 4466 that supports Thailand’s existing 1800-, 2100 and 2300-MHz spectrums. Ericsson’s latest generation triple-band Radio 4466 enables Thai operators to both efficiently deliver 4G and 5G services across spectrum layers with a single unit and reduce energy consumption, carbon, and site footprints. Radio 4466, part of the Ericsson Radio Access Network portfolio, addresses site deployment challenges while providing substantial energy savings.

As a trusted partner to Thailand, Ericsson is leveraging its global expertise and technology leadership to keep its customers in Thailand at the forefront of 5G. “Building a high-performing and energy-efficient 5G network is part of our vision for resilient and sustainable future networks. Using our energy-optimized 5G portfolio, we are tackling one of our industry’s biggest challenges – reducing network energy consumption and carbon footprint while scaling up 5G. Our goal is to realize a low-carbon future while accelerating 5G experience.” states Igor Maurell, Head of Ericsson Thailand. Ericsson invests USD 4.4b in research and development annually, corresponding to almost 18% of its sales.

Thailand is clearly at the forefront of the 5G wave. According to Ericsson estimates, Thailand has over 85% 5G population coverage at the end of 2022. Data consumption per subscription in Thailand is expected to grow from 32.7 GB/month in 2022 to nearly 80 GB/month in 2025. With the 3X data traffic increase expected in Thailand by 2028, 5G is expected to manage the growing capacity requirements of the networks.

“The Thailand market is very dynamic with some of the most ICT-savvy consumers in the world. In addition, with the Industry 4.0 gathering pace in the country as per the Government’s Digital Thailand ambitions, reliable, secure and robust connectivity is imperative. The complexities that networks need to manage are placing new demands on the operation of networks. Leveraging technologies like Artificial Intelligence (AI) and machine learning will help Communication Service Providers in Thailand manage the growing network complexity as we see new applications develop on the 5G networks,” Igor said.

Zero-touch Operations are becoming an essential facilitator for securing the future of reliable and efficient network operations. Zero-touch enables Communications Service Providers to make their network operations more data-driven, predictive and proactive. Network automation reduces the need for manual activities and enable mobile operators greater business agility.

อีริคสันนำนวัตกรรม 5G ล่าสุด มาจัดแสดงที่งาน Imagine Live Thailand 2023

As a global ICT leader, Ericsson is leveraging its advanced mobile broadband services, Fixed Wireless Access (FWA) and 5G technologies to support the growth of Thailand’s digital infrastructure. “We are leveraging our global expertise and technology leadership for our customers in Thailand to keep them and the country, at the forefront of 5G. Based on our industry collaborations and partnerships in Thailand, we remain committed to accelerate innovation and build a robust 5G ecosystem in Thailand.” states Igor.

Ericsson is a global leader in 5G having deployed 5G in 152 live networks across 65 markets globally. The Company was recently ranked as the leader in the Frost Radar™ 5G Network Infrastructure Market 2023 report for the third consecutive year, reaffirming its leadership in 5G radio access networks (RAN), transport networks, and core networks.

อีริคสันนำนวัตกรรม 5G ล่าสุด มาจัดแสดงที่งาน Imagine Live Thailand 2023

อีริคสันนำนวัตกรรม 5G ล่าสุด มาจัดแสดงที่งาน Imagine Live Thailand 2023

อีริคสันนำนวัตกรรม 5G ล่าสุด มาจัดแสดงที่งาน Imagine Live Thailand 2023

  • เผยพอร์ตโฟลิโอ 5G ล้ำสมัย พร้อมสาธิตเทคโนโลยีล่าสุดมากมายในงาน Ericsson Imagine Live Thailand 2023
  • อีริคสันเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทยผ่านเทคโนโลยี 5G
  • อีริคสันนำความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำเทคโนโลยี มาสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยก้าวสู่ผู้นำ 5G ระดับแถวหน้า

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เปิดงาน Imagine Live Thailand 2023 นำยูสเคสและนวัตกรรมเทคโนโลยี 5G ขั้นสูง ที่เปิดตัวในงาน Mobile World Congress ณ เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ มาจัดแสดงในประเทศไทย โดยมีเทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลท์ล่าสุด ประกอบด้วย โซลูชันสื่อสารวิทยุประหยัดพลังงาน (Energy Efficient Radio Solutions), การสื่อสารผ่านโฮโลแกรม (Holographic Communications), เทคโนโลยี Digital Twin และระบบเครือข่ายอัตโนมัติ (Network Automation) รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกมากมายที่นำมาจัดแสดงไว้ภายในงาน

หนึ่งในไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดง คือ ผลิตภัณฑ์ Radio 4466 ที่สามารถรองรับย่านความถี่ 1800MHz, 2100MHz และ 2300MHz ที่มีในประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์นี้เป็น Triple-Band Radio 4466 รุ่นล่าสุดของอีริคสัน ที่มีความสามารถเสริมศักยภาพการให้บริการ 4G และ 5G ข้ามย่านความถี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยผลิตภัณฑ์เดียวแก่ผู้ให้บริการไทย และยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงจำนวนสถานีฐาน ซึ่ง Radio 4466 ยังอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Ericsson Radio Access Network ที่สามารถจัดการความท้าทายในการติดตั้งสถานีฐานพร้อมช่วยประหยัดพลังงานเป็นอย่างมาก

ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในประเทศไทย อีริคสันมุ่งนำเสนอความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ผู้นำ 5G ชั้นแนวหน้า มร.อิกอร์ มอเรล ประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “การสร้างเครือข่าย 5G ประสิทธิภาพสูงและเน้นการประหยัดพลังงานเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์สำคัญของเราที่ต้องการสร้างเครือข่ายในอนาคตที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืน ด้วยพอร์ตโฟลิโอการใช้ 5G​​ที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานของอีริคสัน เรากำลังจัดการกับหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเรา นั่นคือการลดการใช้พลังงานของเครือข่ายและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะที่การใช้งาน 5G มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เป้าหมายของเราคือการไปสู่อนาคตคาร์บอนต่ำพร้อมกับการเร่งประสบการณ์ 5G” อีริคสันลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาปีละประมาณ 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 18% ของยอดขาย

ประเทศไทยคือผู้นำคลื่น 5G อย่างชัดเจน จากการคาดการณ์ของอีริคสันระบุ ช่วงสิ้นปี 2565 พบว่า 5G ครอบคลุมมากกว่า 85% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ปริมาณการใช้ข้อมูลต่อการสมัครสมาชิกในประเทศไทยคาดว่าภายในปี 2568 จะเติบโตเพิ่มเป็นเกือบ 80 กิกะไบต์ต่อเดือน เพิ่มจาก 32.7 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2565 และคาดว่าในปี 2571 จะเพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยคาดว่า 5G จะสามารถรองรับความต้องการประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของเครือข่ายได้

“ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความไดนามิกสูง และมีผู้บริโภคที่เข้าใจเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้งานมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ด้วยอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม 4.0 ในประเทศตามเป้าหมาย Digital Thailand ของรัฐบาล ทำให้การเชื่อมต่อต้องมีความมั่นใจได้ ปลอดภัยและแข็งแกร่ง โดยความซับซ้อนที่เครือข่ายจำเป็นต้องจัดการทำให้เกิดความต้องการใหม่ ๆ ในการดำเนินงานของเครือข่าย การดึงศักยภาพจากเทคโนโลยี อย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) มาปรับใช้จะช่วยผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในประเทศไทยสามารถจัดการความซับซ้อนของเครือข่ายที่กำลังเติบโตได้ ตามที่เราเห็นการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ บนเครือข่าย 5G” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

แนวทาง Zero-Touch Operation กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยของอนาคตการดำเนินงานบนเครือข่ายที่ต้องมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Zero-Touch ช่วยผู้ให้บริการสามารถจัดการเครือข่ายโดยใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน คาดการณ์ล่วงหน้าและดำเนินการแบบเชิงรุกได้มากขึ้น โดยระบบเครือข่ายอัตโนมัติยังช่วยลดกิจกรรมที่ต้องดำเนินการด้วยตนเองลง และทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น

อีริคสันนำนวัตกรรม 5G ล่าสุด มาจัดแสดงที่งาน Imagine Live Thailand 2023

ในฐานะผู้นำด้านไอซีทีระดับโลก อีริคสันกำลังใช้ศักยภาพจากบริการบรอดแบนด์มือถือขั้นสูง เทคโนโลยี Fixed Wireless Access (FWA) และเทคโนโลยี 5G มารองรับการเติบโตโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย “เรากำลังใช้ศักยภาพทั้งในด้านความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทย ก้าวไปเป็นผู้นำแถวหน้า 5G ผ่านความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมและพันธมิตรของเราในประเทศไทย และเรายังมุ่งมั่นเร่งสร้างนวัตกรรมและระบบนิเวศ 5G ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่ม

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 152 เครือข่าย ใน 65 ประเทศ บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงาน Frost Radar™ 5G Network Infrastructure Market 2023 เป็นปีที่สามติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ 5G Radio Access Networks (RAN), Transport networks, และ Core Networks