ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองประจำปี 2567

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองประจำปี 2567

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองประจำปี 2567

ไม่พลิกโผคนยังค้นหาบ้านใน “กรุงเทพฯ” มากที่สุด “BTS อ่อนนุช” ยังครองแชมป์ทำเลแนวรถไฟฟ้าสุดฮอต

แม้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังไม่ฟื้นตัวตามที่หลายฝ่ายคาดกันไว้ หลังจากทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องโต้คลื่นความท้าทายตลอดทั้งปี โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากกำลังของซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัวและส่งผลต่อยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ตามไปด้วย แผนการซื้อบ้านจึงยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนของหลายคน อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ยังคงมีปัจจัยบวกหลังจากภาครัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมาเพิ่มเติมในเดือนเมษายน 2567 และที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในเดือนตุลาคม 2567 ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ตลาดที่อยู่อาศัยมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวในอนาคต

แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังไม่ฟื้นตัวดีดังเดิม แต่ในหลายทำเลยังคงมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดเผยว่าผู้บริโภคเกือบครึ่ง (48%) มองว่าทำเลที่ตั้งของโครงการถือเป็นปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยมากที่สุด รองลงมาคือต้องการโครงการที่เดินทางได้สะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (44%) จะเห็นได้ว่าโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีความเจริญและมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต สามารถเดินทางได้สะดวก ย่อมส่งผลให้ดีมานด์ซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเติบโตตามไปด้วย

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com ในรอบปี 2567 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – ธันวาคม 2567) สะท้อนเทรนด์ความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ พร้อมอัปเดตทำเลศักยภาพที่น่าจับตามอง

กรุงเทพฯยืนหนึ่งจังหวัดยอดนิยมของคนหาบ้านเชียงใหม่รั้งอันดับ 2 รับอานิสงส์การท่องเที่ยวฟื้น

กรุงเทพมหานครยังคงครองความนิยมเป็นจังหวัดที่ได้รับความสนใจซื้อ/เช่าทั่วประเทศมากที่สุดในรอบปี 2567 ขณะที่หัวเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจนครองอันดับ 2 ตามมาด้วยอันดับ 3 นนทบุรี, อันดับ 4 ภูเก็ต, อันดับ 5 ชลบุรี, อันดับ 6 ปทุมธานี, อันดับ 7 สมุทรปราการ, อันดับ 8 ประจวบคีรีขันธ์, อันดับ 9 ระยอง และอันดับ 10 ขอนแก่น

ทั้งนี้ หัวเมืองท่องเที่ยวกลับมาติดอันดับต้น ๆ จังหวัดยอดนิยมที่มีการค้นหาที่อยู่อาศัยมากขึ้น หลังจากตลาดอสังหาฯ ในปี 2567 ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวส่งผลให้จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น หัวเมืองท่องเที่ยวจึงได้รับความสนใจซื้อ/เช่าเพื่อใช้เป็นบ้านพักตากอากาศหรือรองรับการอยู่อาศัยในวัยเกษียณเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

10 ทำเลรถไฟฟ้าน่าจับตามอง “BTS อ่อนนุชมาแรงเกินต้าน ครองแชมป์ทำเลแนวรถไฟฟ้ายอดนิยม 

การเดินทางด้วยรถไฟฟ้ายังคงเป็นการสัญจรที่สะดวกและรวดเร็วตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองหลวง ปัจจุบันมีการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมการเดินทางได้มากขึ้น ส่งผลให้ทำเลแนวรถไฟฟ้าทั้งเส้นทางที่เปิดให้บริการแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้างมีความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สำหรับทำเลแนวรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT ที่ได้รับความสนใจซื้อ/เช่ามากที่สุดในรอบปี 2567 อันดับ 1 ได้แก่ BTS อ่อนนุช ทำเลศักยภาพแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ได้รับความสนใจจากคนหาบ้านอย่างต่อเนื่องด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยมากมายทั้งเป็นย่านธุรกิจ แหล่งช้อปปิ้ง การเดินทางที่หลากหลาย และยังเป็นสถานีแรกของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายไปยังสถานีเคหะฯ ในจังหวัดสมุทรปราการ ทำให้ไม่ต้องเสียค่าโดยสารรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเพิ่ม อีกทั้งโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ยังมีราคาไม่แพง จึงส่งผลให้ทำเลแนวรถไฟฟ้า BTS อ่อนนุช เป็นทำเลศักยภาพที่น่าสนใจทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองหรือลงทุน

ตามมาด้วย อันดับ 2 BTS พร้อมพงษ์, อันดับ 3 BTS เอกมัย, อันดับ 4 BTS ทองหล่อ, อันดับ 5 BTS อโศก, อันดับ 6 MRT พระราม 9, อันดับ 7 BTS อารีย์, อันดับ 8 MRT ลาดพร้าว, อันดับ 9 MRT ห้วยขวาง และอันดับ 10 BTS สะพานควาย

จากข้อมูล 10 สถานีรถไฟฟ้ายอดนิยมในกลุ่มผู้ค้นหาที่อยู่อาศัยในรอบปี 2567 พบว่า 7 ใน 10 เป็นสถานีที่อยู่ในโครงการรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ซึ่งเปิดให้บริการเป็นสายแรกของประเทศไทยและเชื่อมต่อการเดินทางสู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่  

นอกจากนี้ ข้อมูลของกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พบว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีปริมาณผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสูงที่สุดในปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงดีมานด์ที่อยู่อาศัยและโอกาสการเติบโตในเชิงธุรกิจที่น่าจับตามอง  

10 ทำเลทองในเมืองหลวง คนกรุงปักหมุดให้เขตวัฒนานำหน้าครองใจทั้งผู้ซื้อ-ผู้เช่า 

กรุงเทพมหานครเป็นเป้าหมายหลักของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่ต่างเปิดตัวโครงการในหลากหลายทำเลให้ครอบคลุมความต้องการซื้อ/เช่าทุกระดับราคา ข้อมูลการเข้าชมประกาศอสังหาฯ พบว่า ”เขตวัฒนา” ยังได้รับความนิยมในกลุ่มคนหาบ้านต่อเนื่องอีกปี ครองอันดับ 1 สุดยอดทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อและเช่ามากที่สุดในรอบปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนทั้งการเดินทาง สาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทำให้เขตวัฒนาขึ้นแท่นทำเลทองที่ผู้ซื้อ/ผู้เช่านิยมค้นหาบ้าน/คอนโดฯ มากที่สุดของปีมะโรง

โดย 10 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในรอบปี 2567 ได้แก่

  • อันดับ 1 เขตวัฒนา
  • อันดับ 2 เขตจตุจักร
  • อันดับ 3 เขตห้วยขวาง
  • อันดับ 4 เขตคลองเตย
  • อันดับ 5 เขตประเวศ
  • อันดับ 6 เขตบางกะปิ
  • อันดับ 7 เขตสวนหลวง
  • อันดับ 8 เขตบางนา
  • อันดับ 9 เขตพระโขนง
  • อันดับ 10 เขตบางเขน

ขณะที่ 10 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดในรอบปี 2567 ได้แก่

  • อันดับ 1 เขตวัฒนา 
  • อันดับ 2 เขตคลองเตย 
  • อันดับ 3 เขตห้วยขวาง
  • อันดับ 4 เขตราชเทวี 
  • อันดับ 5 เขตพระโขนง 
  • อันดับ 6 เขตปทุมวัน
  • อันดับ 7 เขตจตุจักร
  • อันดับ 8 เขตบางนา
  • อันดับ 9 เขตบางรัก 
  • อันดับ 10 เขตสาทร 

ทำเลใกล้สถานศึกษาย่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้นแท่นทำเลมาแรงน่าจับตามอง

ทำเลใกล้สถานศึกษาถือเป็นอีกตลาดที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ หันมาให้ความสำคัญมากขึ้น มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างนักเรียน-นักศึกษา ผู้ปกครอง และบุคลากรในสถานศึกษาที่ต้องการความสะดวกในการเดินทาง และสามารถลงทุนระยะยาวโดยประกาศขายหรือปล่อยเช่าได้เรื่อย ๆ ส่งผลให้เทรนด์แคมปัสคอนโดฯ (Campus Condo) หรือคอนโดฯ ในทำเลใกล้สถานศึกษามีการเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากคอนโดฯ เป็นรูปแบบอสังหาฯ ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในเมืองหลวง และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน 

โดยทำเลในละแวก “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” มีการค้นหาที่อยู่อาศัยเพื่อซื้อ/เช่ามากที่สุด เนื่องจากเป็นย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมือง ส่งผลให้กลายเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินสูงสุดในกรุงเทพมหานคร เห็นได้จากผลการสำรวจราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เผยว่า ที่ดินบริเวณสยามสแควร์ ชิดลม เพลินจิต ครองอันดับหนึ่งราคาที่ดินสูงที่สุดของประเทศไทย โดยประมาณการไว้ที่ 3.75 ล้านบาทต่อตารางวา หรือไร่ละ 1,500 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 และทำเลนี้ยังเดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า ประกอบกับเป็นสถานศึกษาชั้นนำจึงทำให้มีความต้องการซื้อ/เช่าทั้งจากนักศึกษา บุคลากรสถานศึกษา รวมทั้งวัยทำงานในย่านนั้นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สำหรับ 5 ทำเลใกล้สถานศึกษาที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี 2567 ได้แก่

  • อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • อันดับ 3 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • อันดับ 4 มหาวิทยาลัยศรีปทุม
  • อันดับ 5 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 

ขณะที่ 5 ทำเลใกล้สถานศึกษาที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในรอบปี 2567 ได้แก่

  • อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • อันดับ 3 มหาวิทยาลัยศรีปทุม
  • อันดับ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
  • อันดับ 5 Bangkok Prep International School

ผู้ซื้อมองหาบ้าน/คอนโดฯ 2 ห้องนอน ราคาไม่เกิน 2 ล้านตอบโจทย์ Real Demand

จากข้อมูลฝั่งตลาดซื้ออสังหาฯ พบว่า ผู้ที่วางแผนซื้อที่อาศัยทั่วประเทศในรอบปี 2567 เลือกใช้ฟิลเตอร์เพื่อค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มี 2 ห้องนอนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็กที่ต้องการแยกสัดส่วนที่พักอาศัยให้ชัดเจน รองลงมาอันดับ 2 ได้แก่ ที่อยู่อาศัย 3 ห้องนอน และอันดับ 3 สนใจซื้อที่อยู่อาศัย 1 ห้องนอน 

ทั้งนี้ ผู้ซื้อเกือบ 2 ใน 3 (64%) มองหาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการตกแต่ง ทำให้วางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น และสามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที ขณะที่ 28% เลือกโครงการที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ เพื่อที่จะได้แต่งบ้านในสไตล์ที่ชอบเองทั้งหมด ส่วนอีก 22% ต้องการโครงการที่ตกแต่งให้บางส่วน (Fully Fitted) เท่านั้น

เมื่อพิจารณาด้านราคาที่ผู้ซื้อค้นหาบนเว็บไซต์ DDproperty มากที่สุด พบว่าระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทมีการค้นหามากที่สุด สะท้อนให้เห็นความต้องการของผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่ต้องการค้นหาที่อยู่อาศัยในราคาที่เอื้อมถึง และไม่จำเป็นต้องอยู่ใจกลางเมืองอีกต่อไป เนื่องจากมีการเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายไปยังพื้นที่ชานเมืองมากขึ้น ผู้บริโภคจึงสามารถเลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในทำเลชานเมืองซึ่งมีราคาย่อมเยากว่าได้ ซึ่งช่วยลดภาระทางการเงินได้มากพอสมควร โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี 2567 ได้แก่

  • อันดับ 1 ระดับราคา 1,000,000 – 2,000,000 บาท 
  • อันดับ 2 ระดับราคา 500,000 – 1,500,000 บาท 
  • อันดับ 3 ระดับราคา 500,000 – 2,000,000 บาท

4 ใน 5 ของผู้เช่ามองหาโครงการตกแต่งพร้อมอยู่ พร้อมจ่ายค่าเช่ารายเดือนไม่เกิน 15,000 บาท 

ความท้าทายทางการเงินถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคที่ต้องการลดภาระหนี้ที่ไม่จำเป็นในยุคที่เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวจึงเลือกเช่าบ้าน/คอนโดฯ แทนการซื้อ ข้อมูลจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ฯ พบว่า ผู้ที่วางแผนเช่าที่อาศัยทั่วประเทศในรอบปี 2567 ค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มี 2 ห้องนอนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คล้ายกับความต้องการของผู้ซื้อ รองลงมา อันดับ 2 สนใจเช่าที่อยู่อาศัย 1 ห้องนอน และอันดับ 3 สนใจเช่าที่อยู่อาศัย 3 ห้องนอน ซึ่งความต้องการเหล่านี้แตกต่างกันไปตามจำนวนสมาชิกของแต่ละครอบครัวเป็นหลัก

โดยพบว่า 1 ใน 4 (80%) ของผู้เช่าที่อยู่อาศัยต้องการโครงการที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซื้อเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้งยังสะดวกทั้งในการย้ายเข้า-ออกหากต้องโยกย้ายทำเลในอนาคต ส่วน 18% สนใจโครงการที่ตกแต่งให้บางส่วน (Fully Fitted) มีผู้เช่าเพียง 9% เท่านั้นที่เลือกโครงการที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ เลย

ขณะที่ระดับค่าเช่าส่วนใหญ่ที่มีผู้เช่าค้นหามากที่สุดอยู่ในช่วงไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ซึ่งถือเป็นค่าเช่าที่อยู่ในระดับปานกลาง เหมาะสมและตอบโจทย์ผู้ที่มองหาบ้าน/คอนโดฯ ให้เช่าในทำเลแนวรถไฟฟ้า มีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ใช้สอยครบครัน ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการซื้อที่ต้องมีภาระหนี้ในระยะยาว และยังต้องกังวลกับการปรับขึ้นของดอกเบี้ยที่ส่งผลต่อราคาผ่อนบ้าน/คอนโดฯ อีกด้วย โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยสนใจเช่ามากที่สุดในรอบปี 2567 ได้แก่

  • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 8,000 – 15,000 บาท/เดือน
  • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 10,000 – 15,000 บาท/เดือน 
  • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 6,000 – 8,000 บาท/เดือน

Alibaba Cloud Unveils ACS for International Customers to Revolutionize Workload Deployment

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว ACS สู่ลูกค้านานาประเทศ ปฏิวัติการใช้เวิร์กโหลด

Alibaba Cloud Unveils ACS for International Customers to Revolutionize Workload Deployment

Industry-leading cloud-native container service allows scale on-demand to optimize resources while reducing overall computing costs by up to 55%

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, today announced the international debut of its innovative Alibaba Cloud Container Compute Service (ACS), designed to simplify and optimize workload deployment using container technology. ACS will be available for international customers starting from January 2025 including in Thailand.

ACS, which uses Kubernetes as its interface, offers a serverless container service that provides compute resources compliant with container standards. This new product eliminates the need for users to manage underlying nodes and clusters, significantly reducing costs and technical barriers associated with container deployment. It also allows customers to pay-as-you-go, helping them avoid over allocated, and scale on demand, enabling the optimization of costs during periods of high and low usage. 

“As the deployment of workloads on container technology becomes increasingly prevalent, we developed a more accessible solution that would anticipate the evolving needs of our customers,” said Jiangwei Jiang, General Manager of Infrastructure Products, Alibaba Cloud. “ACS represents a big step forward in how businesses can utilize container technology, offering cost-efficiency and ease of use to support businesses unleashing productivity.”

Container technology, a form of virtualization that bundles programs with everything they need to run, makes it easy to deploy applications consistently across different hardware and systems. The benefits in terms of efficiency and resource optimization have made containers a mainstream development method.

According to Gartner, the container management market has experienced over 20% growth in the past year, with projections indicating a market value of US$4.5 billion by 2028. Gartner also predicts that by 2027, more than 75% of all AI deployments will utilize container technology as the underlying compute environment.

Addressing challenges in container adoption

ACS is designed to overcome the complexities associated with Kubernetes configuration, resource management, and on-demand elasticity. By integrating containers and resources based on Alibaba Cloud’s Shenlong architecture to allow maximum scaling of computing resources, ACS offers a solution capable of reducing computing power costs by up to 55%.

“ACS has transformed the container orchestration service into a comprehensive computing product. Users benefit by paying only for the compute capacity that they use,” Jiang added.

This product is fully compatible with Kubernetes technologies and supports seamless migration to the cloud for both open-source ecosystems as well as self-developed products. This is notable in that users can continue using familiar Kubernetes management methods and file formats. There is also no need to pre-purchase nodes so users can simply declare their workload requirements and ACS will match them with the necessary underlying compute resources. This minimizes the demand for additional costs and human resources in infrastructure maintenance.

Proven technology recognized by customer and industry

Alibaba Cloud Container Service supports different architectures and can be deployed in multiple cloud environment including public cloud, private cloud and hybrid cloud. Currently, Alibaba Cloud Container Service has been applied across a wide range of industries.

Moka, a leading HR management SaaS company in China, has already experienced significant benefits from implementing ACS. The maintenance-free nature of ACS clusters has allowed Moka to focus on core business priorities rather than infrastructure management. Additionally, the on-demand scaling and pay-per-use model has given Moka needed flexibility, especially during peak recruitment seasons.

Recently, Alibaba Cloud has been named a Leader in the 2024 Gartner® Magic Quadrant™ for Container Management for the second consecutive year. The company’s broad product portfolio, offering solutions for both hybrid cloud and edge scenarios, saturation across the Alibaba Group ecosystem, and market leadership in China all contributed to this important recognition.

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว ACS สู่ลูกค้านานาประเทศ ปฏิวัติการใช้เวิร์กโหลด

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว ACS สู่ลูกค้านานาประเทศ ปฏิวัติการใช้เวิร์กโหลด

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว ACS สู่ลูกค้านานาประเทศ ปฏิวัติการใช้เวิร์กโหลด

บริการคอนเทนเนอร์แบบคลาวด์-เนทีฟ คุณภาพชั้นนำ ช่วยให้ลูกค้าใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการปรับขนาดการทำงานได้ตามต้องการ ทั้งยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลโดยรวมได้สูงถึง 55%

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศวางตลาด Alibaba Cloud Container Compute Service (ACS) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ให้บริการในระดับนานาชาติที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้เวิร์กโหลดได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ACS พร้อมให้บริการแก่ลูกค้านานาประเทศรวมถึงประเทศไทยตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 เป็นต้นไป

ACS ใช้ Kubernetes เป็นอินเทอร์เฟซ ให้บริการคอนเทนเนอร์ที่ไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ เพื่อมอบทรัพยากรการประมวลผลที่ตรงตามมาตรฐานต่าง ๆ ของคอนเทนเนอร์ ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องบริหารจัดการโหนดและคลัสเตอร์พื้นฐานต่าง ๆ อีกต่อไป เป็นการลดค่าใช้จ่ายและข้อจำกัดทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการใช้คอนเทนเนอร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ ลูกค้าสามารถจ่ายเท่าที่ใช้ จึงไม่ต้องจัดสรรทรัพยากรที่มากเกินจำเป็น ทั้งยังสามารถปรับขนาดการทำงานได้ตามต้องการให้เหมาะสมกับช่วงเวลาการใช้งานที่สูงหรือต่ำ ส่งผลให้บริหารค่าใช้จ่ายได้เหมาะสมมากขึ้น

Jiangwei Jiang ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐานของอาลีบาบา คลาวด์ กล่าวว่า “การนำเวิร์กโหลดไปใช้บนคอนเทนเนอร์เริ่มแพร่หลายมากขึ้น เราได้พัฒนาโซลูชันที่เข้าถึงได้มากขึ้น เพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าของเราที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ACS เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการหาวิธีให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถใช้เทคโนโลยีคอนเทนเนอร์ได้ ด้วยวิธีการใช้งานที่ง่ายและคุ้มค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้ได้รับประโยชน์จากการทำงานที่ทรงประสิทธิภาพอย่างเต็มที่”

เทคโนโลยีคอนเทนเนอร์ เป็นรูปแบบหนึ่งของเวอร์ชวลไลเซชัน ที่รวมโปรแกรมต่าง ๆ เข้ากับทุกสิ่งที่โปรแกรมเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้ ทำให้ง่ายต่อการใช้แอปพลิเคชันอย่างสอดคล้องกันโดยไม่ต้องพะวงถึงฮาร์ดแวร์และระบบที่แตกต่างกัน ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพและการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสมส่งให้คอนเทนเนอร์กลายเป็นแนวทางการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่สำคัญและอยู่ในกระแส

รายงานของการ์ทเนอร์ระบุว่า ตลาดการจัดการคอนเทนเนอร์เติบโตมากกว่า 20% ในปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2571 นอกจากนี้การใช้งาน AI มากกว่า 75% จะใช้คอนเทนเนอร์เป็นสภาพแวดล้อมการประมวลผลหลัก

การจัดการความท้าทายในการใช้คอนเทนเนอร์

ACS ออกแบบมาเพื่อขจัดความซับซ้อนในการกำหนดค่า Kubernetes เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น/ปรับขนาดได้ตามต้องการ การผสานรวมคอนเทนเนอร์และทรัพยากรทั้งหลายไว้บนสถาปัตยกรรม Shenlong ของอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อให้สามารถปรับขนาดทรัพยากรการประมวลผลให้ได้สูงสุด ส่งผลให้ ACS เป็นโซลูชันที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ใช้ในการประมวลผลลงได้ถึง 55%

 Jiang กล่าวเสริมว่า “ACS ได้ทรานส์ฟอร์มบริการการจัดการคอนเทนเนอร์ให้เป็นผลิตภัณฑ์ด้านการประมวลผลที่ครบวงจร ผู้ใช้สามารถจ่ายเท่าปริมาณการประมวลผลที่ใช้เท่านั้น”

ผลิตภัณฑ์นี้เข้ากันได้ดีกับเทคโนโลยี Kubernetes ต่าง ๆ และรองรับการโยกย้ายเวิร์กโหลดไปยังคลาวด์ได้อย่างราบรื่น ทั้งระบบที่เป็นโอเพ่นซอร์สและผลิตภัณฑ์ที่องค์กรธุรกิจพัฒนาขึ้นเอง มาพร้อมความโดดเด่นที่ยอมให้ผู้ใช้ยังคงใช้วิธีบริหารจัดการ Kubernetes และรูปแบบไฟล์ที่คุ้นเคยต่อไปได้ ทั้งยังไม่ต้องซื้อโหนดล่วงหน้า ผู้ใช้เพียงบอกความต้องการของเวิร์กโหลดของตน จากนั้น ACS จะจับคู่ความต้องการเหล่านั้นกับทรัพยาการประมวลผลที่จำเป็นต้องใช้ ช่วยให้องค์กรไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และลดการใช้ทรัพยากรบุคคลที่ต้องใช้ในการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานลงได้

เทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว ได้รับการยอมรับจากลูกค้าและแวดวงอุตสาหกรรม

Alibaba Cloud Container Service รองรับสถาปัตยกรรมหลากหลายที่แตกต่างกัน และสามารถนำไปใช้บนสภาพแวดล้อมมัลติคลาวด์ ซึ่งรวมถึง พับลิคคลาวด์ ไพรเวทคลาวด์ และไฮบริดคลาวด์ ปัจจุบันมีการใช้ Alibaba Cloud Container Service ในหลากหลายอุตสาหกรรม

Moka บริษัทด้าน SaaS สำหรับบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลในประเทศจีน ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการใช้ ACS การที่ไม่ต้องทำหน้าที่บำรุงรักษาคลัสเตอร์ ACS ต่าง ๆ ด้วยตนเอง ช่วยให้ Moka สามารถมุ่งให้ความสำคัญกับงานสำคัญทางธุรกิจ มากกว่าที่จะต้องมาบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ การปรับขนานได้ตามต้องการ และรูปแบบการจ่ายเท่าที่ใช้ ช่วยให้ Moka ได้รับความยืดหยุ่นตามต้องการ โดยเฉพาะระหว่างช่วงของการสรรหาบุคลากร ซึ่งมีความต้องการใช้งานสูง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในรายงาน 2024 Gartner® Magic Quadrant™ for Container Management เป็นปีที่สองติดต่อกัน ทั้งนี้ พอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่กว้างขวาง ของบริษัทฯ การนำเสนอโซลูชันที่ใช้งานได้ทั้งบนไฮบริดคลาวด์และที่ edge ความเพียบพร้อมและทรงประสิทธิภาพของระบบนิเวศของอาลีบาบา กรุ๊ป และความเป็นผู้นำตลาดในประเทศจีน ล้วนมีส่วนทำให้ได้รับการยอมรับครั้งนี้

The Future of Enterprise: AI and Open Source in 2025

AI และ Open Source เป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กรในปี 2568

The Future of Enterprise: AI and Open Source in 2025

Article by Supannee Amnajmongkol, Country Manager for Thailand, Red Hat

Throughout the year 2024, most of us have moved past the experimental phase for AI, we see businesses increasingly unlocking its value with this transformational technology. As reported in a McKinsey Global Survey, 65% of respondents shared their organizations are now regularly using AI—double the adoption rate in 2023. But with more entrants in the enterprise AI landscape, the challenge lies in creating true competitive differentiation, rather than just keeping up with the status quo.

So how can enterprises prepare for what’s next?

The future of AI lies in open source. As AI expands beyond simple automation into more sophisticated applications like predictive analytics, content generation and even decision-making, it has become essential for enterprises across industries to keep pace. While at varying stages in their AI adoption journey, open source allows businesses to pioneer a new era of innovation. Looking ahead, these are three key trends poised to drive significant changes for enterprises in the APAC region next year.

#1 Discover the open source advantage in AI

Since 2023, the number of open source gen AI projects has surged by 98%, with many of these contributions coming from India, Japan, and Singapore. This reflects the importance of collaboration and accessibility when it comes to new technologies like AI and we are likely to see gen AI activity increase globally. Open source AI platforms and tools, as well as open source-licensed models, are already democratizing innovation by ensuring that its benefits—such as versatile frameworks and tools—are no longer confined to a select few. By making these benefits accessible to organizations of all sizes, the playing field is leveled, allowing even smaller enterprises to discover open source and innovate on a global scale.

Open source solutions also offer businesses flexibility in navigating constraints like cost, data sovereignty, and skill gaps. With a collaborative open source community, enterprises can tailor these solutions to their specific needs while retaining control over sensitive data. Moreover, many eyes make all bugs shallow. With vulnerabilities swiftly identified and addressed, businesses will be able to foster greater trust in AI-driven outcomes.

#2 Make hybrid cloud your default

Open hybrid cloud is no longer an afterthought, but a default. In order to thrive in the age of the customer, businesses in APAC have three main priorities: speed, flexibility, and innovation. Simplifying the integration of AI into daily business operations is critical to achieving these goals. This also enables operational consistency across teams and flexibility to run AI workloads anywhere, ensuring businesses remain agile and adaptable.

In Singapore, we see the financial services industry leading the charge, with both local and regional banks leveraging hybrid cloud for AI workloads. In fact, Singapore is on its way to becoming a launchpad for AI-driven business in Southeast Asia, as investments in AI grow[2]. To fully capitalize on these advancements, organizations in APAC must collaborate with reliable providers that offer the expertise and infrastructure to leapfrog ahead without the need for extensive scaling.

#3 Plan your AI strategy for sustainable growth

ChatGPT has brought gen AI to the forefront of mainstream consciousness, reshaping how businesses approach workflows and drive efficiencies in uncertain times. We might start to see some enterprises that are overly fixated on immediate returns reign in their efforts on AI-driven transformations prematurely. However, to truly unlock AI’s full potential, enterprises need to take a long-term view.

In the AI Readiness Barometer: AI landscape study, conducted by Ecosystm on behalf of IBM[3], AI maturity was assessed based on four main critical criteria: culture and leadership, skills and people, data foundation, and governance framework. Although AI is a business priority for these ASEAN enterprises surveyed, most lack readiness, including the advanced AI and machine learning expertise needed to harness its full potential. In fact, only 17% said their organizations have extensive expertise and dedicated data science teams. Most organizations are still lagging in AI relevant skills; and are also not prioritizing data governance and compliance enough, potentially exposing them to regulation risk. 

To achieve AI maturity, enterprises must adopt a more strategic and patient approach, particularly in more complex areas where AI can drive significant value. Beyond investing in enterprise data and technology to enhance data readiness, organizations need to be prepared at every level. This involves fostering a culture of innovation, upskilling employees to embrace new technologies, and aligning long-term processes with strategic business goals.

What’s next in 2025

In the new year, we will continue to see AI evolve as a cornerstone of innovation, with a deeper integration of AI and open source shaping the future of technology. This not only broadens the accessibility of new technologies but also enhances the adaptability and efficiency of enterprise solutions across industries. At the heart of these advancements, data is the backbone of meaningful, reliable insights. We will see more organizations place greater attention on data provenance, where they have an overview of the origin, integrity, and authenticity of their data, growing deeper trust in an increasingly AI-driven world.

AI และ Open Source เป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กรในปี 2568

AI และ Open Source เป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กรในปี 2568

AI และ Open Source เป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กรในปี 2568

สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท
บทความโดย สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท

ตลอดปี 2567 องค์กรธุรกิจต่างได้ทดลองใช้ AI และได้ปลดล็อกศักยภาพของตัวเองด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงนี้ ผลสำรวจ McKinsey Global Survey ระบุว่า 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า องค์กรของพวกเขาใช้ AI เป็นประจำ ซึ่งมีอัตราการนำไปใช้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของปี 2566 การที่องค์กรธุรกิจต่างเข้ามามีส่วนร่วมในแลนด์สเคปด้าน AI มากขึ้น ความท้าทายจึงอยู่ที่ธุรกิจแต่ละแห่งจะสร้างความแตกต่างทางการแข่งขันอย่างแท้จริงมากกว่าแค่ตามให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างไร

องค์กรจะเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างไร

อนาคตของ AI คือโอเพ่นซอร์ส การที่ AI ขยายบทบาทจากการเป็นระบบอัตโนมัติธรรมดาไปเป็นแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ การสร้างคอนเทนต์ และแม้แต่การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ทำให้ AI กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรในทุกอุตสาหกรรม แม้ว่าเส้นทางการใช้ AI ของแต่ละองค์กรจะอยู่ในขั้นตอนที่ต่างกัน แต่โอเพ่นซอร์สช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ รุกสู่ยุคใหม่ของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ แนวโน้มสำคัญสามประการที่กำลังจะเกิดขึ้น และจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญขององค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2568 มีดังนี้

#1 เข้าถึงและใช้ข้อได้เปรียบของโอเพ่นซอร์สใน AI

จำนวนโปรเจกต์ open source gen AI เพิ่มขึ้น 98% ตั้งแต่ปี 2566 โดยโปรเจกต์ส่วนใหญ่ริเริ่มมาจากอินเดีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกันในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ๆ และความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI และมีแนวโน้มว่าเราจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของ gen AI เพิ่มขึ้นทั่วโลก แพลตฟอร์มและเครื่องมือที่เป็น open source AI รวมถึงโมเดลที่เป็น open source-licensed ทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องสามารถแบ่งปันความคิดและพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ โดยให้ความมั่นใจว่าประโยชน์ต่าง ๆ ของแพลตฟอร์ม เครื่องมือ และโมเดลเหล่านี้ เช่น เฟรมเวิร์กและเครื่องมืออเนกประสงค์ จะไม่จำกัดอยู่เพียงไม่กี่อย่างอีกต่อไป การที่องค์กรทุกขนาดสามารถเข้าใช้ประโยชน์เหล่านี้ได้ จะทำให้การแข่งขันมีความเท่าเทียมกัน แม้แต่องค์กรขนาดเล็กก็สามารถใช้โอเพ่นซอร์สสร้างสรรค์นวัตกรรมในสเกลระดับโลกได้

เมื่อธุรกิจต้องเผชิญกับข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น ค่าใช้จ่าย, อำนาจและสิทธิในการควบคุมข้อมูลของตน (data sovereignty), และช่องว่างทางทักษะ โซลูชันโอเพ่นซอร์สสามารถมอบความยืดหยุ่นให้ได้ ผ่านชุมชนโอเพ่นซอร์สที่หลายฝ่ายทำงานร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งโซลูชันให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของตน และยังสามารถควบคุมข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้ด้วย นอกจากนี้การทำงานร่วมกันของชุมชนโอเพ่นซอร์สจะทำให้มีผู้ทดสอบผลิตภัณฑ์หรือซอฟต์แวร์เพียงพอที่จะสามารถตรวจพบและแก้ไขข้อบกพร่องได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ธุรกิจเกิดความเชื่อมั่นในผลลัพธ์ในการใช้ AI มากขึ้น

#2 ไฮบริดคลาวด์เป็นตัวเลือกที่ตั้งเป็นค่าเริ่มต้น

โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ ไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้ค่อยใช้อีกต่อไป แต่ต้องตั้งเป็นค่าเริ่มต้น ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกควรพิจารณาความสำคัญสามลำดับแรกเพื่อให้ประสบความสำเร็จในยุคที่ลูกค้าเป็นฝ่ายขับเคลื่อน คือ ความเร็ว ความยืดหยุ่น และนวัตกรรม การนำ AI ไปใช้ในการดำเนินธุรกิจในแต่ละวันได้อย่างไม่ยุ่งยาก เป็นสิ่งสำคัญที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ทั้งยังช่วยให้การดำเนินงานของแต่ละทีมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และรันเวิร์กโหลดได้อย่างยืดหยุ่น ณ สภาพแวดล้อมใดก็ได้ เป็นการสร้างความมั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถคงความคล่องตัวและปรับตัวได้

ในประเทศสิงคโปร์ เราพบว่าอุตสาหกรรมบริการทางการเงินเป็นผู้นำในเรื่องนี้ โดยธนาคารทั้งในระดับท้องถิ่นและภูมิภาคใช้ประโยชน์จากไฮบริดคลาวด์กับเวิร์กโหลด AI ทั้งนี้ สิงคโปร์กำลังเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีการลงทุนด้าน AI เติบโตขึ้น[2] การจะใช้ประโยชน์จากความล้ำหน้าเหล่านี้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้นั้น องค์กรในเอเชียแปซิฟิกจะต้องร่วมมือกับผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้ที่นำเสนอความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้เดินหน้าอย่างก้าวกระโดดโดยไม่จำเป็นต้องขยายขนาดการทำงานให้มาก

#3 วางแผนกลยุทธ์ AI เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ChatGPT เป็นสิ่งที่ทำให้ gen AI โดดเด่นและได้รับการรับรู้ในวงกว้าง พลิกโฉมแนวทางที่ธุรกิจใช้เวิร์กโฟลว์ต่าง ๆ และขับเคลื่อนประสิทธิภาพในเวลาที่เกิดความไม่แน่นอน เราอาจเริ่มเห็นองค์กรบางแห่งยึดติดกับผลตอบแทนแบบทันทีจากการใช้ AI ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปและก่อนเวลาอันควร อย่างไรก็ตาม เพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของ AI อย่างแท้จริง องค์กรจำเป็นต้องมีมุมมองในระยะยาว

AI Readiness Barometer ซึ่งเป็นการศึกษาแลนด์สเคปของ AI ดำเนินการโดย Ecosystm ในนาม IBM[3] ได้ทำการประเมินความพร้อมของ AI ตามเกณฑ์สำคัญสี่ประการ คือ วัฒนธรรมและความเป็นผู้นำ, ทักษะและบุคลากร, โครงสร้าง-กระบวนการ-กลยุทธ์พื้นฐานที่ใช้บริหารจัดการและใช้ประโยชน์ข้อมูล, และกรอบการกำกับดูแล แม้ว่าองค์กรในอาเซียนที่ตอบแบบสำรวจจะยกให้ AI มีความสำคัญทางธุรกิจเป็นลำดับต้น ๆ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม รวมถึงขาดความเชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงและแมชชีนเลิร์นนิ่งที่จำเป็นเพื่อใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 17% ที่กล่าวว่าองค์กรของตนมีความเชี่ยวชาญอย่างมากและมีทีม data science เฉพาะทาง องค์กรส่วนใหญ่ยังคงขาดทักษะที่เกี่ยวข้องกับ AI และยังไม่เห็นว่าการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามข้อกำหนด้านข้อมูลมีความสำคัญ ซึ่งอาจทำให้องค์กรเหล่านี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ

การที่จะใช้ AI ได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น องค์กรต้องใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ต้องให้เวลามากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องซับซ้อนที่ AI สามารถขับเคลื่อนคุณประโยชน์ให้ได้อย่างมาก นอกจากการลงทุนด้านข้อมูลองค์กรและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความพร้อมของข้อมูลแล้ว องค์กรจำเป็นต้องเตรียมพร้อมทุกระดับ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม, ยกระดับทักษะของบุคลากรให้เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ, และปรับกระบวนการระยะยาวต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายกลยุทธ์ทางธุรกิจ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2568

เราจะยังเห็น AI พัฒนาไปในบทบาทที่เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างต่อเนื่อง การบูรณาการระหว่าง AI และ โอเพ่นเซอร์ที่ลุ่มลึกและแน่นแฟ้นมากขึ้น จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเทคโนโลยี ซึ่งไม่เพียงหมายถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ยังเพิ่มความสามารถในการปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโซลูชันที่ใช้ในองค์กรในทุกอุตสาหกรรม ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของความก้าวหน้าเหล่านี้อยู่ที่ข้อมูลซึ่งเป็นเสาหลักของข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณประโยชน์และเชื่อถือได้ เราจะได้เห็นองค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับที่มาของข้อมูลมากขึ้น ทั้งภาพรวมของต้นทางที่เกิดข้อมูล ความสมบูรณ์ และความถูกต้องของข้อมูลขององค์กร และสร้างความไว้วางใจสูงขึ้นมากในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากขึ้นเรื่อย ๆ

เราก้าวสู่ปี 2568 ปีที่เทรนด์ที่เกี่ยวเนื่องกันเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดแลนด์สเคป AI ที่สมบูรณ์มากขึ้น เป็นการปูทางให้กับอนาคตที่ธุรกิจทุกขนาดสามารถปลดล็อกศักยภาพของข้อมูลและเทคโนโลยีได้ด้วยโอเพ่นซอร์ส