ซีเมนส์ โมบิลิตี้และกลุ่มบริษัทพันธมิตร ได้รับการพิจารณาและลงนามในสัญญาสำคัญ ช่วยพลิกโฉมระบบขนส่งสาธารณะทางรางในประเทศไทย

ซีเมนส์ โมบิลิตี้และกลุ่มบริษัทพันธมิตร ได้รับการพิจารณาและลงนามในสัญญาสำคัญ ช่วยพลิกโฉมระบบขนส่งสาธารณะทางรางในประเทศไทย

ซีเมนส์ โมบิลิตี้และกลุ่มบริษัทพันธมิตร ได้รับการพิจารณาและลงนามในสัญญาสำคัญ ช่วยพลิกโฉมระบบขนส่งสาธารณะทางรางในประเทศไทย

  • โครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จของระบบเครื่องกลและไฟฟ้าในโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม ครอบคลุมการส่งมอบขบวนรถไฟฟ้าขนาด 3 ตู้จำนวน 32 ขบวน รวมถึงการบูรณาการระบบเครื่องกลและไฟฟ้า พร้อมสัญญาซ่อมบำรุง
  • โครงการปรับปรุงรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ครอบคลุมการส่งมอบรถไฟฟ้าขนาด 3 ตู้เพิ่มเติมจำนวน 21 ขบวน รวมถึงการปรับปรุงระบบเครื่องกลและไฟฟ้าเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความถี่การเดินรถพร้อมสัญญาซ่อมบำรุง
  • โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาฉบับที่ 2 และ 3 ครอบคลุมการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคมขั้นสูงเพื่อเสริมการเชื่อมต่อระหว่างเมืองสำหรับระบบรถไฟภาคเหนือของประเทศไทย

เมื่อไม่นานนี้ กลุ่มบริษัทซีเมนส์ โมบิลิตี้ และกลุ่มบริษัทพันธมิตร บริษัท โบซานคายาและบริษัท เอสที เอ็นจิเนียริ่ง เออร์เบิน โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับคัดเลือกให้ดำเนินงานภายใต้สัญญาหลายฉบับในหลายโครงการสำคัญ ประกอบด้วยโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีส้มและสายสีน้ำเงินในกรุงเทพมหานคร สัญญาดังกล่าวครอบคลุมถึงการส่งมอบขบวนรถใหม่ทั้งหมด 53 ขบวน รวมถึงการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณและการซ่อมบำรุง นอกจากนี้ ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ยังได้รับมอบหมายให้ขยายการเชื่อมต่อระหว่างเมืองในภาคเหนือของประเทศไทยด้วยระบบอาณัติสัญญาณและระบบโทรคมนาคมผ่านโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ถือว่าเป็นอีกก้าวสำคัญสำหรับซีเมนส์ โมบิลิตี้ในประเทศไทย โดยโครงการดังกล่าวได้รับการว่าจ้างจาก บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2582 ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารและสร้างความยั่งยืนให้กับเครือข่ายการขนส่งสาธารณะทั้งในเมืองและระหว่างเมือง

นายไมเคิล ปีเตอร์ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท ซีเมนส์ โมบิลิตี้ จำกัด ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในประเทศไทยมายาวนานกว่า 30 ปี เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของกรุงเทพฯ และมีบทบาทในการสร้างสรรค์การเดินทางในประเทศไทยเพื่อคนรุ่นต่อไป เทคโนโลยีของเราในปัจจุบันได้ให้บริการแก่ผู้โดยสารมากกว่า ล้านคนในกรุงเทพฯ ทุกวัน ช่วยลดปัญหาความแออัดและเวลาการเดินทางในกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี และด้วยขบวนรถไฟใหม่จำนวน 53 ขบวน ระบบสัญญาณและโทรคมนาคมที่ทันสมัย การบริการบำรุงรักษาระยะยาวสำหรับสายสีส้ม สายสีน้ำเงิน รวมถึงการเชื่อมต่อสายหลักทางตอนเหนือของประเทศ จะทำให้ผู้คนสามารถเดินทางถึงจุดหมายได้อย่างรวดเร็วและไร้การปล่อยก๊าซมลพิษมากขึ้น”

ซีเมนส์ โมบิลิตี้ จะส่งมอบรถไฟฟ้าใหม่ 32 ขบวนและระบบบูรณาการให้กับรถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม พร้อมดูแลการซ่อมบำรุง

กลุ่มบริษัทซีเมนส์ โมบิลิตี้ และกลุ่มบริษัทพันธมิตร ประกอบด้วย บริษัท เอสที เอ็นจิเนียริ่ง เออร์เบิน โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทผู้ผลิตรถไฟ จากประเทศตุรกี บริษัท โบซานคายา ได้รับคัดเลือกให้ดำเนินงานภายใต้สัญญาโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) รถไฟฟ้า MRT สายสีส้ม โดยสัญญาดังกล่าวครอบคลุมการส่งมอบขบวนรถไฟ 32 ขบวน 3 ตู้ รวมไปถึงการออกแบบ ติดตั้ง และบูรณาการระบบกลไกและไฟฟ้าที่ครอบคลุมเส้นทาง 35.9 กิโลเมตร โดยขบวนรถไฟฟ้าจะให้บริการทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเส้นทาง ซึ่งมีระยะทางทั้งใต้ดินและทางยกระดับ ขอบเขตความรับผิดชอบในสัญญาฉบับนี้ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาตัวรถไฟ ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบสื่อสาร ประตูอัตโนมัติกั้นชานชาลา และระบบแสดงผลข้อมูลโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อความมั่นใจว่าจะมอบโซลูชันการขนส่งจะที่มีประสิทธิภาพสูงและบูรณาการครบวงจร โดยขบวนรถไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้มาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย ​​ภายในกว้างขวาง ระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง พร้อมระบบแสดงผลข้อมูลทันสมัย เพื่อให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของผู้โดยสาร นอกจากนี้ โซลูชันประหยัดพลังงานของ ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ยังสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของกรุงเทพฯ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ โดยรวมของระบบรถไฟฟ้าสายสีส้ม ยิ่งไปกว่านั้นซีเมนส์ โมบิลิตี้ยังได้รับสัญญาบำรุงรักษาระยะยาวเพื่อการดำเนินงานของรถไฟฟ้าที่เชื่อถือได้และราบรื่นต่อไป

ซีเมนส์ โมบิลิตี้ เพิ่มศักยภาพ MRT รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ด้วยขบวนรถใหม่ 21 ขบวน พร้อมปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณและขยายบริการซ่อมบำรุงรักษาให้ยาวนานยิ่งขึ้น

ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ยังได้รับสัญญาสำหรับโครงการปรับปรุงรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน จัดหาขบวนรถไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมจำนวน 21 ขบวน ขบวนละ ตู้ และการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณและระบบตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-time (SCADA) ที่มีอยู่เดิมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ระยะห่างระหว่างขบวนรถ สำหรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมีระยะทางรวม 48 กิโลเมตร และสถานีทั้งหมด 38 สถานี ถือเป็นส่วนสำคัญของเครือข่ายการขนส่งในกรุงเทพฯ ซึ่งซีเมนส์ โมบิลิตี้ มีบทบาทสำคัญพัฒนารถไฟฟ้าสายนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 โดยให้การสนับสนุนทั้งการขยายและปรับปรุงให้มีความทันสมัยมาโดยตลอด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เซ็นสัญญาการบำรุงรักษาครบวงจรสำหรับขบวนรถไฟใหม่ที่เพิ่มเติมมา รวมถึงการขยายสัญญาการบำรุงรักษาครบวงจรที่มีอยู่เดิม โดยมีขอบเขตการบริการครอบคลุมระบบสำคัญทั้งหมด ประกอบด้วยตัวรถไฟ ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบสื่อสาร ประตูอัตโนมัติกั้นชานชาลา ระบบจ่ายไฟ และระบบตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-time (SCADA) รวมถึงระบบแสดงข้อมูลโดยสารรถไฟฟ้าระบบการจัดการคลังสินค้า และศูนย์รับรายงานความบกพร่อง หรือ Fault Reporting Center ทั้งหมดนี้เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการรับประกันว่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจะยังคงเป็นส่วนสำคัญที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือของโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ ไปจนถึงปี พ.ศ.2582

ขยายการเชื่อมต่อขนส่งระบบรางของประเทศไทยในเส้นทางเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

นอกเหนือจากโครงการรถไฟฟ้า MRT ในกรุงเทพฯ ซีเมนส์ โมบิลิตี้ยังได้รับสัญญาในการพัฒนาการเชื่อมต่อรถไฟระหว่างเมืองผ่านโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ โดยได้รับสัญญาในสองส่วน คือสัญญาที่ 2 (งาว – เชียงราย ระยะทาง 132 กิโลเมตร มี 11 สถานี) และในสัญญาที่ 3 (เชียงราย – เชียงของ ระยะทาง 87 กิโลเมตร มี สถานี) บริษัทฯ จะติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและระบบโทรคมนาคมที่ทันสมัยตลอดทั้งสาย ซึ่งรวมถึงระบบควบคุมอาณัติสัญญาณจากศูนย์กลาง (CTC) และระบบควบคุมรถไฟฟ้าอัตโนมัติ ที่เป็นไปตามมาตรฐานยุโรป ระดับที่ 1 (ETCS Level 1)

ระบบอาณัติสัญญาณและระบบโทรคมนาคมนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาก่อสร้างทางรถไฟหลัก องค์ประกอบสำคัญในสัญญานี้ได้แก่ ระบบบังคับสัมพันธ์ Trackguard Westrace MKII, ระบบควบคุมอาณัติสัญญาณจากศูนย์กลาง (CTC) Controlguide Rail9000, จอควบคุมอาณัติสัญญาณจราจรโดยนายสถานีระบบ ETCS L1, ประแจสับรางระบบตรวจสอบตำแหน่งรถไฟโดยใช้วงจรไฟตอน, และเครื่องนับเพลา Clearguard ACM250 และมีอุปกรณ์ระบบอาณัติสัญญาณเพิ่มเติมที่จัดหาจากในประเทศ สำหรับงานวิศวกรรมส่วนใหญ่จะดำเนินการในประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญของซีเมนส์จากสเปน ออสเตรเลีย และเยอรมนี

การพัฒนาระบบขนส่งเพื่อทุกคนในประเทศไทย

ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันคมนาคมขนส่งทางราง ได้รับความไว้วางใจอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 30 ปี ผ่านการดำเนินโครงการสำคัญต่าง ๆ และการเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในประเทศไทย ตั้งแต่โครงการระบบขนส่งมวลชนยกระดับแห่งแรกของกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.2537 จนถึงรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก (สายสีน้ำเงิน หรือสายเฉลิมรัชมงคล) ในปี พ.ศ.2547 นายโธมัสค์ มาซัวร์ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท ซีเมนส์ โมบิลิตี้ จำกัด ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ทำให้บริษัท ซีเมนส์ โมบิลิตี้ ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากพันธมิตร ส่งผลให้เกิดความร่วมมือในระยะยาว บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจที่ได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรในการขยายเครือข่ายรถไฟของประเทศไทย และจะยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันการขนส่งอย่างยั่งยืนแบบไร้รอยต่อ ที่เชื่อถือได้ กับประเทศไทยต่อไป

EQT Completes Acquisition of PropertyGuru

อีคิวทีและพร็อพเพอร์ตี้กูรู ควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์แล้ว

EQT Completes Acquisition of PropertyGuru

  • PropertyGuru enters into next phase of growth as Southeast Asia’s leading property technology platform, empowering millions of property seekers across the region with innovative solutions
  • EQT to harness its deep expertise in scaling digital marketplace and classifieds businesses to drive technology innovation, operational excellence, and market expansion
  • Sets the stage for PropertyGuru to capitalize on urbanization, middle-class growth, and digitalization trends across the region’s dynamic real estate markets

EQT Private Capital Asia and PropertyGuru Group Limited (NYSE: PGRU) (“PropertyGuru” or the “Company”), Southeast Asia’s leadin  property technology (“PropTech”) company, are pleased to announce the completion of the acquisition (the “Merger”) of PropertyGuru by BPEA Private Equity Fund VIII for USD 6.70 per share in cash in a transaction that values PropertyGuru at an equity value of approximately USD 1.1 billion.

In connection with the closing, PropertyGuru’s common shares ceased trading before the market open on December 13, 2024, and the Company has been delisted from the New York Stock Exchange. PropertyGuru will operate as a privately held company. Following the Merger through January 12, 2025, each unexercised and outstanding warrant will be, upon valid exercise, exchangeable for USD 0.7526 per warrant.

Founded in 2007 and headquartered in Singapore, PropertyGuru is Southeast Asia’s leading property technology platform, connecting over 31 million property seekers with more than 50,000 agents across Singapore, Malaysia, Thailand and Vietnam each month. With a comprehensive suite of offerings, including extensive real estate listings, data-driven insights, and mortgage solutions like PropertyGuru Finance and enterprise client solutions under PropertyGuru for Business, the Company empowers users to make confident property decisions across the region.

EQT’s investment in PropertyGuru aims to support the Company’s ongoing progress by providing resources and expertise to accelerate technology development, expand market reach, and improve operational efficiency. Leveraging its experience with leaders in the digital marketplace and real estate classifieds sectors – including companies such as Idealista and Casa.it – EQT seeks to advance PropertyGuru’s strategic initiatives, strengthen its position in Southeast Asia’s leading PropTech sector, and drive growth in dynamic markets influenced by urbanization, middle-class expansion, and digitalization.

Hari V. Krishnan, Chief Executive Officer, PropertyGuru Group, said, “We are pleased to announce the successful completion of this transaction and we welcome EQT to PropertyGuru. Over the past seventeen years, our growth has been enabled by strong partnerships with our shareholders, led by TPG and KKR. On behalf of everyone at PropertyGuru, I want to thank them for their support and I am proud that we have delivered a solid financial exit for our long-term investors.”

“On behalf of our group leadership team, I thank our Gurus for their hard work and the wonderful business we have built together, and our customers and partners for their continued trust and partnership. EQT shares our commitment to our continued sustainable growth, and we look forward to working with them towards our Group’s vision to power, communities to live, work and thrive in tomorrow’s cities,” Mr. Krishnan added.

Janice Leow, Partner in the EQT Private Capital Asia advisory team and Head of EQT Private Capital Southeast Asia, said, “PropertyGuru has redefined the property technology landscape in Southeast Asia, standing out for its innovation and leadership in delivering solutions that empower millions across the region. Drawing on EQT’s expertise in technology-driven businesses, with a strong focus on marketplace and classifieds platforms, we look forward to supporting PropertyGuru in exploring new opportunities, enhancing its offerings, and driving its next phase of growth while contributing to the evolution of the property market in Southeast Asia.”

อีคิวทีและพร็อพเพอร์ตี้กูรู ควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์แล้ว

อีคิวทีและพร็อพเพอร์ตี้กูรู ควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์แล้ว

อีคิวทีและพร็อพเพอร์ตี้กูรู ควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์แล้ว

  • พร็อพเพอร์ตี้กูรู (PropertyGuru) เดินหน้าสู่การเติบโตเฟสใหม่ ในฐานะแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ช่วยสนับสนุนผู้ที่กำลังหาบ้านหลายล้านคนทั่วภูมิภาคด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย  
  • อีคิวที (EQT) ประกาศนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการขยายธุรกิจด้านดิจิทัล มาร์เก็ตเพลส และธุรกิจโฆษณาอสังหาริมทรัพย์ ในการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยี ความเป็นเลิศทางธุรกิจ ไปจนถึงการขยายตลาดให้เติบโตยิ่งขึ้น
  • พร้อมเร่งเครื่องเต็มสูบผลักดันพร็อพเพอร์ตี้กูรู โตรับการขยายตัวของสังคมเมือง, ฐานผู้บริโภคชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น และเทรนด์ดิจิทัลในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

อีคิวที ไพรเวท แคปิตัล เอเชีย (EQT Private Capital Asia) และพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด (ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE): PGRU) (“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” หรือ “บริษัท”) ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ[1]  (“PropTech”) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นบริษัทแม่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ – แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย และ thinkofliving.com – เว็บไซต์รีวิวและคอนเทนต์ด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้ประกาศผลการดำเนินการควบรวมกิจการ โดยกองทุน บีพีอีเอ ไพรเวท อิควิตี้ ฟันด์ 8 (BPEA Private Equity Fund VIII) ได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมูลค่าต่อหุ้นในการดำเนินการควบรวมครั้งนี้อยู่ที่ 6.70 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 228 บาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 13 ธันวาคม 2567) ส่งผลให้มูลค่าของการควบรวมพร็อพเพอร์ตี้กูรูในครั้งนี้ มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 37.5 หมื่นล้านบาท)

โดยผลจากการควบรวมกิจการในครั้งนี้ ทำให้พร็อพเพอร์ตี้กูรูหยุดการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก่อนการเปิดตลาดของวันที่ 13 ธันวาคม 2567 และบริษัทได้ทำการถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก และกลับมาดำเนินการในรูปแบบบริษัทเอกชนอีกครั้ง  โดยวอร์แรนท์คงค้าง และยังไม่ได้ทำการซื้อขาย ตั้งแต่ช่วงการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น ไปจนถึงวันที่ 12 มกราคม 2568 จะสามารถขายคืนได้ในมูลค่า 0.7526 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 25.67 บาท) ต่อวอร์แรนท์

พร็อพเพอร์ตี้กูรู แพลตฟอร์มเทคโนโลยีอสังหาฯ ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัวครั้งแรกในสิงคโปร์เมื่อปี พ.ศ. 2550 ในแต่ละเดือน แพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นสื่อกลางให้ผู้ที่กำลังหาบ้านกว่า 31 ล้านคนทั่วภูมิภาค ได้ติดต่อกับเอเจนต์อสังหาฯ กว่า 50,000 รายใน 4 ตลาดหลัก ได้แก่ สิงคโปร์, มาเลเซีย, ไทย และเวียดนาม บริษัทมีส่วนในการสนับสนุนให้ลูกค้า และผู้บริโภคในภูมิภาค สามารถตัดสินใจในการซื้อ-ขาย-เช่า-ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมั่นใจ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่ประกาศอสังหาริมทรัพย์, ข้อมูลตลาดเชิงลึก, ผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อ อย่างพร็อพเพอร์ตี้กูรู ไฟแนนซ์ (PropertyGuru Finance) ไปจนถึงโซลูชั่นสำหรับลูกค้าองค์กร ภายใต้แบรนด์ พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส (PropertyGuru for Business)

ทั้งนี้ การลงทุนของอีคิวที ในพร็อพเพอร์ตี้กูรูนั้น มุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทด้วยการเสริมความแกร่งด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญเพื่อเร่งการเติบโตด้านเทคโนโลยี, การขยายตลาดให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ไปจนถึงการพัฒนาประสิทธิภาพของการดำเนินงาน ด้วยประสบการณ์ในการบริหารแพลตฟอร์มชั้นนำในธุรกิจดิจิทัล มาร์เก็ตเพลส และธุรกิจโฆษณาอสังหาริมทรัพย์อย่าง idealista (ในสเปน) และ Casa.it (ในอิตาลี) อีคิวทีจะช่วยส่งเสริมการพัฒนากลยุทธ์ให้กับพร็อพเพอร์ตี้กูรู สร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในภาคอุตสาหกรรมพร็อพเทคแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในตลาดต่าง ๆ ที่ล้อไปกับการขยายตัวของสังคมเมือง, ฐานผู้บริโภคชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น และเทรนด์ดิจิทัลในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคนี้ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

นายแฮร์รี่ วี. คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีที่การควบรวมกิจการในครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ด้วยดีและขอต้อนรับอีคิวทีสู่พร็อพเพอร์ตี้กูรู ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา นับได้ว่าบริษัทของเรามีเส้นทางที่น่าตื่นเต้นและเป็นที่จดจำ ซึ่งความสำเร็จตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่มีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นของเรา โดยก่อนหน้านี้ เราได้มีโอกาสร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างทั้ง TPG และ KKR มาแล้ว ผมขอเป็นตัวแทนของทุก ๆ ท่านที่พร็อพเพอร์ตี้กูรูในการแสดงความขอบคุณต่อการสนับสนุนของพาร์ทเนอร์ของเราทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่กรุ๊ปของเราสามารถที่จะสร้างผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมในการออกจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการปิดฉากในตลาดฯ ที่สร้างความประทับใจให้กับนักลงทุนระยะยาวของเรา”

นายแฮร์รี่กล่าวเสริมว่า “ในนามทีมผู้บริหารของกรุ๊ป ผมขอขอบคุณพวกเราทุกคนสำหรับความทุ่มเทในการทำงาน และผลงานอันเยี่ยมยอดตลอดหลายปีที่ผ่านมา และขอบคุณลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับความไว้ใจและการสนับสนุนที่ดีที่มีต่อบริษัทเราเสมอมา อีคิวทีมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน และเดินหน้าไปพร้อมกับเราในการสร้างวิสัยทัศน์ของบริษัทเรา ในการร่วมส่งเสริมการสร้างชุมชนแห่งการอยู่อาศัย ทำงาน และพัฒนาเป็นเมืองแห่งอนาคตให้เป็นจริงขึ้นมา”

ด้าน เจนิส เลียว หัวหน้าทีมที่ปรึกษา อีคิวที ไพรเวท แคปิตัล เอเชีย และหัวหน้าฝ่ายการลงทุน อีคิวที ไพรเวท แคปิตัล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “พร็อพเพอร์ตี้กูรูได้พลิกโฉมเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์หรือพร็อพเทคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรม และความเป็นผู้นำในการนำเสนอโปรดักส์และบริการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังหาบ้านหลายล้านคนทั่วภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของทีมอีคิวทีในการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสและโฆษณาอสังหาริมทรัพย์ เรามุ่งที่จะสนับสนุนการเติบโตของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ในการขยายโอกาสทางธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมไปถึงขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทในเฟสต่อไป พร้อม ๆ ไปกับการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนวิวัฒนาการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต”

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดตลาดอสังหาฯ ปี 68 ยังคงเผชิญความท้าทายอีกครั้ง หวัง “เศรษฐกิจฟื้นตัว” ช่วยดันกำลังซื้อ สานฝันให้คนพร้อมมีบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดตลาดอสังหาฯ ปี 68 ยังคงเผชิญความท้าทายอีกครั้ง หวัง “เศรษฐกิจฟื้นตัว” ช่วยดันกำลังซื้อ สานฝันให้คนพร้อมมีบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดตลาดอสังหาฯ ปี 68 ยังคงเผชิญความท้าทายอีกครั้ง หวัง “เศรษฐกิจฟื้นตัว” ช่วยดันกำลังซื้อ สานฝันให้คนพร้อมมีบ้าน

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ยังคงไม่ฟื้นตัวตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเผชิญกับความท้าทายทางการเงินที่มีต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้า แม้ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมาเพิ่มเติม แต่ก็ไม่แรงพอที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างชัดเจน แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะดึงดูดใจผู้บริโภคที่ต้องเผชิญความท้าทายทางการเงินและแบกรับภาระหนี้มาอย่างยาวนาน ส่งผลให้กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยรายงาน DDproperty Thailand Property Market Outlook 2568 รวบรวมข้อมูลเชิงวิเคราะห์และสรุปภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เช่า หรือนักลงทุนได้เข้าใจถึงสถานการณ์และความท้าทายในตลาดที่อยู่อาศัย และสามารถประเมินความพร้อมของสถานการณ์รอบด้าน รวมไปถึงตัดสินใจซื้อ/ขาย/เช่าและเดินบนเส้นทางอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

สรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 67 ชะลอตัวตามกำลังซื้อ ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน  

ปี 2567 เป็นอีกปีที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลออย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะในการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและมีระยะเวลาในการผ่อนชำระยาวนาน ผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ทำให้ผู้บริโภคทั้งกลุ่มที่วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยไม่มีความพร้อมทางการเงินเพียงพอ และผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน/คอนโดมิเนียมก็เริ่มประสบปัญหาในการผ่อนชำระเช่นกัน 

สอดคล้องกับรายงานของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร พบว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 หนี้ครัวเรือนในระบบเครดิตบูโร​อยู่ที่​13.6 ล้านล้านบาท (จากหนี้ครัวเรือนไทยทั้งหมด​ 16.3 ล้านล้านบาท) เติบโต​0.5% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยระดับหนี้เสีย (Non-Performing Loan: NPL) อยู่ที่ประมาณ​ 1.2 ล้านล้านบาท​ คิดเป็นสัดส่วน​8.8% ของ​หนี้รวม 13.6 ล้านล้านบาท​ เติบโต​3.4% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และเติบโต 14.1% YoY ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นับจากช่วงไตรมาส 4 ปี 2555) 

ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคจึงเลือกเก็บออมเงินเพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ทุกเมื่อ แม้ในเดือนตุลาคม ปี 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี และเป็นปัจจัยบวกในการซื้อบ้านที่หลายคนรอคอย แต่เมื่อพิจารณาราคาที่อยู่อาศัยปัจจุบันที่ปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการก่อสร้าง พบว่าช่องว่างของราคาที่อยู่อาศัยกับความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงไม่สอดคล้องกันเท่าที่ควร ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ยังคงมีทิศทางชะลอตัว

ความต้องการซื้อ/เช่ายังโต กลายเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่การเงินคืออุปสรรคใหญ่ 

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงมีความต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินพบว่ามีผู้บริโภคเพียง 33% เท่านั้นที่เก็บเงินเพียงพอที่จะซื้อบ้านแล้ว ขณะที่อีก 48% เก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้เพียงครึ่งทาง และ 18% ยังไม่มีแผนเก็บเงินใด ๆ แสดงให้เห็นว่าการวางแผนทางการเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยอาจไม่ใช่เป้าหมายอันดับต้น ๆ อีกต่อไป

  • ดีมานด์ซื้อยังไม่แผ่ว ความสนใจคอนโดฯ ทั่วประเทศพุ่ง 19% แม้จะมีความท้าทายรอบด้าน แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2567 จาก DataSense by PropertyGuru for Business ยังคงปรับเพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบที่อยู่อาศัยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) โดยเฉพาะคอนโดฯ มีความต้องการซื้อมากที่สุด เพิ่มขึ้น 19% YoY ตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยปัจจุบันและมีราคาที่เอื้อมถึง รองลงมาคือที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 10% YoY

สำหรับระดับราคาที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดทั่วประเทศนั้น คอนโดฯ จะอยู่ที่ระดับราคา 1,000,001-2,000,000 บาท โดยเพิ่มขึ้น 7% YoY ทาวน์เฮ้าส์จะอยู่ที่ระดับราคา 1,000,001-2,000,000 บาทเช่นเดียวกัน เพิ่มขึ้น 11% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยวอยู่ที่ระดับราคา 3,000,001-4,000,000 บาท เพิ่มขึ้นถึง 14% YoY ซึ่งเป็นระดับราคาที่อยู่ภายใต้มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์และตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่น่าสนใจคือบ้านเดี่ยวระดับราคา 10,000,001-20,000,000 บาท เพิ่มขึ้น 9% YoY สะท้อนให้เห็นว่าบ้านหรูยังมีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยมีดีมานด์มาจากกลุ่มผู้บริโภคระดับบนซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ 

เมื่อพิจารณาความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ พบว่ามีทิศทางสอดคล้องกับภาพรวมทั่วประเทศ โดยมีความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดฯ ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เพิ่มขึ้นถึง 16% YoY เนื่องจากเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยตามวิถีชีวิตของวัยเรียนและวัยทำงานที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง รองลงมาคือบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ (เพิ่มขึ้น 9% YoY และ 6% YoY ตามลำดับ)

สำหรับระดับราคาที่อยู่อาศัยรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกรุงเทพฯ พบว่าระดับราคาบ้านเดี่ยวที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดอยู่ที่10,000,001-20,000,000 บาท เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 11% YoY ตามมาด้วยคอนโดฯ อยู่ที่ระดับราคา 1,000,001-2,000,000 บาท เพิ่มขึ้น 1% YoY ส่วนทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ระดับราคา 2,000,001-3,000,000 บาท ทรงตัวจากปีก่อนหน้า 

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก DataSense by PropertyGuru for Business พบว่า คอนโดฯ กลายมาเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีผู้ให้ความสนใจมากที่สุดในปี 2567 โดยมีสัดส่วนความต้องการซื้อ 44% ของรูปแบบที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ และครองสัดส่วนถึง 58% ของรูปแบบที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่อยู่อาศัยแนวดิ่งที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เป็นโอกาสอันดีของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในการที่จะเปิดตัวโครงการประเภทนี้เพิ่มเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค

  • ความต้องการเช่ายังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคอนโดฯ ยืน 1 ครองใจคนเช่า สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาเช่าที่อยู่อาศัยแทน เพื่อลดผลกระทบทางด้านการเงิน ทำให้ตลาดเช่าที่อยู่อาศัยในปีนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากความต้องการเช่าทั่วประเทศเพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย แม้ว่าความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยแนวราบมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 25% YoY รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 24% YoY และคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 12% YoY

แต่หากพิจารณาจากสัดส่วนความต้องการเช่าตามรูปแบบที่อยู่อาศัยแล้วพบว่า คอนโดฯ มีสัดส่วนความต้องการเช่าสูงสุด สูงถึง 76% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว 15% และทาวน์เฮ้าส์ 9%

เมื่อแบ่งความต้องการเช่าทั่วประเทศตามระดับค่าเช่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด พบว่า คอนโดฯ ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับค่าเช่า 7,501-10,000 บาท/เดือน ลดลง 12% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ระดับค่าเช่า 12,501-15,000 บาท/เดือนเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้น 8% YoY และ 5% YoY ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นระดับค่าเช่าที่สอดคล้องกับพื้นที่ใช้สอยที่ได้รับ

สำหรับตลาดเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงมีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน โดยคอนโดฯ มีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 10% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยว เพิ่มขึ้น 30% YoY และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 23% YoY 

เช่นเดียวกับภาพรวมทั่วประเทศ คอนโดฯ ยังคงมีความสัดส่วนความต้องการเช่าสูงสุด สูงถึง 84% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ ส่วนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ อยู่ที่ 8% เท่ากัน

สะท้อนให้เห็นเทรนด์การเช่าในเมืองหลวงที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี และยังสามารถโยกย้ายทำเลได้สะดวก สรุปได้ว่าเทรนด์การเช่านั้นเติบโตอย่างชัดเจนในทุกประเภทที่อยู่อาศัย

เมื่อแบ่งตามระดับค่าเช่าในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุด พบว่า คอนโดฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดจะอยู่ที่ระดับค่าเช่า 7,501-10,000 บาท/เดือน ลดลง 18% YoY ด้านทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ระดับค่าเช่า 12,501-15,000 บาท/เดือน ลดลง 11% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยวอยู่ที่ระดับค่าเช่า 100,001-200,000 บาท/เดือน เพิ่มขึ้น 38% YoY โดยนอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกและสไตล์การตกแต่งแล้ว การตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพยังเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ระดับค่าเช่าบ้านเดี่ยวปรับสูงขึ้น ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคระดับบนที่ไม่ต้องการย้ายถิ่นฐานถาวรหรือชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย (Expat)

ตลาดอสังหาฯ ก้าวสู่ศักราชใหม่ปี 68 กับความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม (อีกครั้ง) 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดการณ์ว่า ปัจจัยที่ต้องจับตามองและจะมีผลกับการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ยังคงเป็นความท้าทายที่มาจากความไม่พร้อมทางด้านการเงินของผู้บริโภคเป็นหลัก อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แม้วิกฤติจะผ่านพ้นไปแล้วแต่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ ส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบรูปตัว K (K-Shaped Recovery) ซึ่งเป็นการฟื้นตัวเป็นแบบไม่เท่าเทียม โดยมีทั้งกลุ่มที่ฟื้นตัวได้ดีอย่างผู้บริโภคระดับบนซึ่งผลักดันให้ตลาดบ้านหรูยังคงเติบโต และกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างผู้บริโภคระดับล่าง-กลางที่ยังคงขาดสภาพคล่องทางการเงิน เมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจึงผ่านการอนุมัติจากธนาคารได้ยาก ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เผยว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 มีมูลค่า 419,812 ล้านบาท ลดลง 16.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ขณะเดียวกัน อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ในปีนี้ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 50% เช่นกัน

  • คนหาบ้านยังไม่หลุดพ้น “กับดักหนี้” ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่าแม้ว่าผู้บริโภคยังคงต้องการซื้อที่อยู่อาศัย แต่ยอมรับว่าอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อบ้านนั้นมาจากหน้าที่การงานที่ไม่มั่นคง (56%) และประวัติหนี้เสียในเครดิตบูโร (41%) ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่สะสมเป็นเวลานานจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และจะยังคงอยู่ในปี 2568 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงทรงตัว 

 

ขณะเดียวกันข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 มีแนวโน้มการผิดชำระหนี้บ้านที่เร่งตัวขึ้น ทั้งการขยายตัวของมูลค่าหนี้เสียที่สูงถึง 23.2% จาก 18.2% ของไตรมาสก่อนหน้า และสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 4.34% จาก 3.98% ของไตรมาสก่อนหน้า โดยการผิดนัดชำระหนี้บ้านส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 3 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นการขาดสภาพคล่องทางการเงินในกลุ่มผู้บริโภคระดับล่างที่ยังคงฟื้นตัวได้ยาก เมื่อผู้บริโภคยังคงขาดความพร้อมทางการเงินในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย จะส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มเหลือขายมากขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซับพอสมควร

  • จับตาดีมานด์ที่อยู่อาศัย Upper Class ส่อแววชะลอตัว ที่อยู่อาศัยระดับ Upper Class ราคา 7-15 ล้านบาท อาจมีส่งสัญญาณน่าเป็นห่วงเนื่องจากจำนวนที่อยู่อาศัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น สวนทางกับความต้องการซื้อที่เติบโตน้อยกว่า เช่น บ้านเดี่ยวระดับราคา 9,000,001-10,000,000 บาท (มีจำนวนเพิ่มขึ้น 24% YoY) และทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา ตั้งแต่ 5,000,001-6,000,000 บาท (มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17% YoY) เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการดูดซับอุปทานไปแล้วบางส่วน ประกอบกับการที่ผู้บริโภคบางส่วนยังคาดหวังว่าภาครัฐจะมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ออกมา จึงชะลอแผนการซื้อไว้ก่อน ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยระดับนี้ไม่ได้เติบโตหวือหวาเท่าที่ควร
  • อนาคตตลาดเช่ายังสดใส คนหวังลดภาระทางการเงิน ด้านตลาดเช่าที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2568 เนื่องจากผู้บริโภคยังเผชิญความท้าทายทางการเงินเมื่อต้องกู้ซื้อที่อยู่อาศัย จึงหันมาเลือกเช่าแทน หากพิจารณาในกรุงเทพฯ พบว่าความต้องการเช่ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะคอนโดฯ ดังนั้น คอนโดฯ ให้เช่าในเมืองหลวงจึงยังคงมีโอกาสเติบโตได้ดีกว่า
  • หวังภาครัฐผนึกแบงก์จัดมาตรการอสังหาฯ ที่ตรงจุด ช่วยดันตลาดฟื้นแรง อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 2.8-3% จากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตเพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณบวกที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและดึงดูดให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัวตามไปด้วย นอกจากนี้ ปัจจัยที่จะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปี 2568 คือมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐที่ตอบโจทย์ได้ตรงจุด ซึ่งควรเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและสถาบันทางการเงินเพื่อจัดสรรมาตรการที่เหมาะสมกับสภาพตลาดในปัจจุบัน เนื่องจากหลายธนาคารยังคงมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวด จึงทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ไม่เอื้อให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ตามที่หวัง 

ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรพิจารณาจัดสรรมาตรการบรรเทาภาระหนี้ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตให้กับผู้บริโภค เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงให้ขยายตัวช้าลง ซึ่งหากผู้บริโภคได้รับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ตรงจุดและตอบโจทย์ทางการเงินเข้ามาช่วยสนับสนุนการซื้อบ้านในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว คาดว่าจะเป็นอีกฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

หมายเหตุ: DDproperty Thailand Property Market Outlook เป็นรายงานภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่วิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางตลาดอสังหาฯ จากการรวบรวมข้อมูลดัชนีความต้องการ (Demand  Index) และดัชนีอุปทาน (Supply Index) ของที่อยู่อาศัยประเภทต่าง ๆ ทั้งในตลาดซื้อ-ขาย และตลาดเช่า รวมไปถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Sentiment) ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา นำมาวิเคราะห์ต่อยอด เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เช่าอสังหาฯ หรือนักลงทุนได้เข้าใจถึงสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในตลาดอสังหาฯ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถวางแผนหรือตัดสินใจซื้อ-ขาย-เช่าได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

Alibaba Cloud Revamps Global Partnership Ecosystem to Fuel AI-driven Growth

อาลีบาบา คลาวด์ ปรับโฉมระบบนิเวศพันธมิตรทั่วโลก ใช้ AI กระตุ้นการเติบโต

Alibaba Cloud Revamps Global Partnership Ecosystem to Fuel AI-driven Growth

 New AI-focused initiatives with an enhanced incentive program, an AI partner accelerator program and revitalized service partner strategy to support global partners and customers

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group today announced the launch of its revamped AI-focused partner ecosystem plan, known as “Alibaba Cloud Partner Rainforest Plan” during the Alibaba Cloud Partner Summit 2024 through a series of new initiatives including an AI partner accelerator program, an enhanced incentive program and a revitalized global strategy for service partners. The initiatives aim to foster the growth of global partners and accelerate the development and deployment of cutting-edge artificial intelligence and cloud computing solutions for businesses across various industries worldwide.

“At Alibaba Cloud, we believe that collaboration is the key to unlocking innovation and driving growth. Our global partners are not just participants, they are the architects of a new digital landscape in the AI era.” Selina Yuan, President of International Business, Alibaba Cloud Intelligence said during the summit, “Today, with our revamped global partner ecosystem, we are committed to supporting our global partners to jointly reap the benefits of AI era and meet the diverse business demand of global customers.”

New AI-focused Partner Ecosystem initiatives

To meet the surging demand for AI technologies from the global customers, Alibaba Cloud debuted AI Alliance Accelerator Program to build a dedicated AI partner ecosystem through collaboration with 50 AI technology partners and 50 channel partners in 2025.

This program offers selected AI technology partners enhanced technical support focused on AI, expanded distribution channels, collaborative go-to-market resources, and dedicated AI consulting services. Meanwhile, chosen channel partners will benefit from increased financial incentives and market development funds for their AI-related initiatives. By leveraging Alibaba Cloud’s AI capabilities and its global technology ecosystem, the initiative aims to enhance partner enablement and accelerate diverse partners’ digital transformation journey. It also seeks to empower global partners to capitalize on the opportunities presented by the AI era, reaching a broader customer base through Alibaba Cloud’s extensive distribution network of channel partners

Alibaba Cloud has also unveiled an enhanced global system for its service partners, introducing the Revitalized Service Partner Program. This initiative focuses on cultivating new service partners by upskilling channel partner and technology partners with targeted training and empowerment, equipping them with necessary capabilities of consulting, implementation and managed services to diversify their revenue stream and deliver a comprehensive service to the customer. It also seeks to empower existing service partners by expanding their offering to include both product reselling and service delivery. Additionally, leveraging Alibaba Cloud’s Generative AI capabilities, the company has collaborated with service partners to jointly develop the Managed Large Language Model Service and other AI-focused services to foster an AI partner ecosystem and address the diverse digital transformation needs of global customers.

Meanwhile, Alibaba Cloud pledged to extend new strategic partnerships with 18 service partners including Whale Cloud, Bespin Global, Cognizant Worldwide, Deloitte, Accenture and FPT out of the existing 50 global standard service partners via enhanced resource sharing and capability complement, aiming to build a comprehensive service system that meets diverse needs of global customers.

In addition, the company also released its Synergistic Incentive Program designed to strengthen the collaboration between its global technology partners and channel partners, fostering a vibrant and dynamic ecosystem. The program introduces an expanded go-to-market pathway, enabling technology partners to boost revenue by leveraging Alibaba Cloud’s extensive channel network while channel partners gain access to a broader product portfolio, increasing sales opportunities and enhancing profit margins. This initiative drives mutual growth and reinforces Alibaba Cloud’s commitment to empowering its partners and nurturing a robust global ecosystem.

Enhanced Collaborations with Global and Regional Partners

In order to support global customers to reap the benefit of digitalization in the AI era. Alibaba Cloud has also announced enhanced collaboration with innovative technology and channel partners, both globally and regionally, to provide cutting-edge cloud computing and AI products and solutions, fostering a thriving and sustainable ecosystem.

In Indonesia Alibaba Cloud has reached a strategic partnership with Telkom Indonesia to provide innovative and effective AI-supported cloud solutions for the Indonesian community. Additionally, this collaboration aims to develop the digital talent increasingly needed in Indonesia to realize the vision of Indonesia Emas 2045.

In Japan: Alibaba Cloud has partnered with Securai, a Japanese company that provides cloud services and information security solutions, to meet the booming digital transformation requests by Japanese businesses. In particular, Securai will localize Alibaba Cloud’s Zstack service for the Japanese market and provide operational support for the stable continuation of the service. Alibaba Cloud’s Zstack is an enterprise-grade cloud platform designed specifically for enterprise customers based on the Apsara distributed operating system for enhanced self-ownership, security compliance, and autonomous O&M.

In Thailand: Alibaba Cloud signed a MoU with Yell Group, a leading creative digital company based in Thailand. This collaboration aims to address the growing demand for Generative AI and to empower the creative media industry with scalable and reliable cloud-based solutions. Leveraging cutting-edge Generative AI, the company develops applications to support creators in their visual endeavors. To promote industry-wide adoption of AI-driven solutions, Yell Group will utilize Alibaba Cloud’s robust cloud computing capabilities to enhance scalability in the creative sector. Additionally, the partnership will introduce Alibaba Cloud’s media solutions, such as Elastic Desktop Service (EDS) and Object Storage Service (OSS), to foster innovation and growth in this dynamic field.

Alibaba Cloud currently works with about 12,000 partners worldwide, including Salesforce, Fortinet, IBM and Neo4j.