สร้างความชาญฉลาดและยืดหยุ่นในยุค AI เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ที่แข็งแกร่ง

สร้างความชาญฉลาดและยืดหยุ่นในยุค AI เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ที่แข็งแกร่ง

สร้างความชาญฉลาดและยืดหยุ่นในยุค AI เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ที่แข็งแกร่ง

สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท
บทความโดย สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท

เทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ เร้ดแฮทเชื่อว่านวัตกรรมจะพาธุรกิจก้าวไปข้างหน้า และธุรกิจต้องตัดสินใจว่าจะใช้เทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น AI อย่างไร ณ จุดไหน จึงจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรมากที่สุด AI เป็นตัวเร่งที่ปฏิเสธไม่ได้ต่อศักยภาพความพร้อมด้านดิจิทัลของประเทศไทย และหนึ่งในห้ากลยุทธ์ที่บรรจุใน แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) คือ “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนา AI ที่ยั่งยืน” 

ผลการศึกษาของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่ได้สำรวจความพร้อมของการใช้ AI ในองค์กรไทยเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ยังพบว่า สถานการณ์การประยุกต์ใช้ AI ในองค์กรต่าง ๆ นั้น มีการนำ AI ไปใช้ในองค์กรแล้ว 15.2% ในขณะที่ 56.6% กำลังพิจารณาว่าจะนำ AI ไปใช้ จะเห็นได้ว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงของการศึกษา และยังขาดความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และงบประมาณ ฯลฯ ดังนั้นการเลือกใช้เทคโนโลยีที่รองรับ AI ให้ตอบสนองทิศทางธุรกิจของแต่ละองค์กรได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญ

เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รองรับเวิร์กโหลด AI/ML

โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ใช้งานง่าย สเกลและปรับได้รวดเร็ว คล่องตัว เป็นสิ่งจำเป็น โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ คือรากฐานสำคัญที่ใช้รองรับแอปพลิเคชันรุ่นใหม่ เช่น AI/ML แพลตฟอร์มที่เป็นไฮบริดมัลติคลาวด์จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล วิศวกรข้อมูล และนักพัฒนาซอฟต์แวร์มีความคล่องตัวและทำงานร่วมกันได้ในทุกขั้นตอน โดยที่งานแต่ละงานไม่ต้องพึ่งพาการทำงานด้านไอทีมากเกินไป

นอกจากนี้ความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนและต้องการความเป็นส่วนตัวสูงที่มีอยู่อย่างมหาศาล ไปจนถึงการทำ AI model ที่ต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างมาก เป็นข้อแม้สำคัญที่ธุรกิจจะต้องหาโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่สามารถรองรับทรัพยากรจำนวนมหาศาล และทำให้ข้อมูลที่จะนำมาใช้ทำ AI model มีความปลอดภัยสูง การใช้แพลตฟอร์ม MLOps ที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้เช่น Red Hat OpenShift AI จึงเป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพที่ใช้สร้าง ใช้งาน และจัดการแอปพลิเคชัน AI และสามารถรองรับวงจรการใช้งานในการทดลองและทำโมเดล AI/ML ทั้งในระบบภายในองค์กรและบนพับลิคคลาวด์ได้อย่างเต็มรูปแบบ

เลือกซอฟต์แวร์ที่ฝังความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มพัฒนา

ซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัย เริ่มต้นจากองค์กรและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องมั่นใจว่ากระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องมีความคิดเริ่มต้นว่าจะสร้างซอฟต์แวร์อย่างไรให้เชื่อถือได้ตั้งแต่ต้นจนได้ซอฟต์แวร์ออกมาสู่ตลาด ธุรกิจต่างๆ จะต้องสามารถปรับความยืดหยุ่นของซอฟต์แวร์ซัพพลายเชนให้ทันกับวงจรนวัตกรรมได้ โดยรักษาและเพิ่มความไว้วางใจของผู้ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อชื่อเสียง การเลิกใช้งานของลูกค้า และการสูญเสียรายได้ ทั้งนี้การปรับใช้ซอฟต์แวร์ใหม่ในระดับความเร็วของการดำเนินงาน ต้องอาศัยความไว้วางใจว่าซอฟต์แวร์นั้นเป็นไปตามข้อกำหนด มีคุณภาพสูง สร้างด้วยระบบรักษาความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ Red Hat Trusted Software Supply Chain เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับกระบวนการพัฒนาแอปพลิเคชัน ช่วยให้สามารถออกแอปพลิเคชันใหม่ได้โดยใช้เวลาน้อยลง พร้อมกับปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

ชาญฉลาดด้วยระบบอัตโนมัติ

ผลิตภัณฑ์และบริการที่มี AI ฝังอยู่เบ็ดเสร็จ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ชาญฉลาด ช่วยให้องค์กรเพิ่มผลิตผลโดยใช้คนน้อยลงและมีความแม่นยำมากขึ้น เมื่อปลายปีที่ผ่านมาเร้ดแฮทได้ประกาศความพร้อมใช้งานของ Red Hat Ansible Lightspeed with IBM watsonx Code Assistant ซึ่งเป็นบริการ generative AI ที่ช่วยให้องค์กรใช้ระบบอัตโนมัติทั่วทั้งองค์กรได้รวดเร็วมากขึ้น โดยผสาน generative AI และระบบไอทีอัตโนมัติเข้าด้วยกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับนักพัฒนาระบบอัตโนมัติ มีผู้ที่สามารถสร้างคอนเทนต์อัตโนมัติมากขึ้น และเพิ่มความเชื่อถือได้ให้กับ codebase อัตโนมัติ

Opensource คือแหล่งนวัตกรรม

การเปิดกว้างในทุกด้านจะช่วยปลดล็อกศักยภาพของโลก องค์กรที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องเรียนรู้และปรับใช้กระบวนการ วิธีการทำงาน และเทคโนโลยี เร้ดแฮทมั่นใจว่าโอเพ่นซอร์สคือแหล่งนวัตกรรม แหล่งของการเรียนรู้ร่วมกัน แหล่งที่ทำให้ทุกคนพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้ความรู้จากทั่วโลก เร้ดแฮทคือบริษัทซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มและโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นบริษัทฯ จึงส่งเสริมคุณประโยชน์ของการใช้ OpenShift เป็นแพลตฟอร์มหลักในการทำงานกับเวิร์กโหลด AI/ML ช่วยให้ลูกค้าใช้ AI/ML model บนแพลตฟอร์มโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ที่ใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานไอทีอะไรก็ได้ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ลงทุนและจะลงทุนเพิ่มความสามารถด้าน AI อย่างต่อเนื่อง เร้ดแฮทมีพันธมิตรด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ด้าน AI/ML มากกว่า 30 รายที่ได้รับการรับรองและใช้งานบน OpenShift ในขณะที่โซลูชันของเร้ดแฮททั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของโอเพ่นซอร์ส AI ก็เป็นนวัตกรรมที่มีต้นกำเนิดจากโอเพ่นซอร์สคอมมิวนิตี้เช่นกัน บริษัทฯ มุ่งมั่นให้บริการโซลูชันล้ำสมัยกับลูกค้าในทุกอุตสาหกรรม เช่น ภาคการเงิน โทรคมนาคม ภาคการผลิต ภาคสาธารณสุข ภาครัฐ และภาคพลังงาน เป็นต้น

Alibaba Cloud Launches Generative AI Course to Upskill Global Digital Talent

Alibaba Cloud เปิดคอร์ส Generative AI เพื่อเพิ่มทักษะผู้มีความสามารถด้านดิจิทัลทั่วโลก

Alibaba Cloud Launches Generative AI Course to Upskill Global Digital Talent

Nurturing over 60,000 digital talents since April 2023 through Alibaba Cloud training programs

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, has made its Alibaba Cloud Certified Associate (ACA) Generative AI Engineer Course available to its global customers, partners and developers starting from May 2024 including in Thai market. The course is available as part of Alibaba Cloud’s commitment to support digital talent development and make AI more accessible.

The ACA Generative AI Engineering Course, developed by Alibaba Cloud Academy, teaches fundamental knowledge about the technology, covering topics from its roots in machine learning to natural language processing, encoder-decoders to generative adversarial networks, to leveraging models via retrieval-augmented generation, agents, and more.  Alibaba Cloud Academy is the training and certification division of Alibaba Cloud.

Through the course’s three-step approach – learn, imagine, and apply – users will be able to develop the skills necessary to deploy Generative AI apps on Alibaba Cloud platforms. Users who complete the course and pass the exam will obtain an ACA certificate. With the wider rollout now underway, the program aims to equip 10,000 – 20,000 learners worldwide with basic AI knowledge by the end of 2024.

“Generative AI is a transformative technology promising to bring the creativity of individuals and companies to new heights. Our ACA Generative AI Engineer course aims to help customers, partners, developers, and users of various backgrounds globally to really unlock that potential and drive tomorrow’s digital agenda,” said Selina Yuan, President of International Business, Alibaba Cloud Intelligence, “We are strongly committed to supporting talent in mastering essential digital skills, and we’re excited to continue expanding our training offerings around the world.”

Since April 2023, over 60,000 people from a wide range of backgrounds received training certificates through Alibaba Cloud’s talent development initiatives including university programs, training partners, online training courses and offline Skills Centers and Training Centers. Alibaba Cloud Academy offers over 300 online & offline certification courses, 17 professional certifications, 250 online hands-on labs with over 300 associated partners worldwide.

Enhancing training capabilities worldwide

Alibaba Cloud recently launched its first Training Center in Singapore, partnering with Trainocate Singapore to offer courses on a wide range of subjects, including cloud computing and AI. The Center works to empower local customers, partners and instructors with knowledge sharing opportunities as well as organise events such as the recently held “AI’s Impact on the Education of Today’s Youth” – a roundtable attended by 25 professors from 15 universities in seven countries and regions, exploring the potential of university-industry cooperation in delivering crucial skill building opportunities to students.

Alibaba Cloud Academy Skills Centers and Training Centers are offline hubs designed to enable people of all ages, professions, and walks of life to come together to discover the power of cloud computing and stay up-to-date on the latest technological advancements. Both Centers offer exhibits, free training, and specific courses to build in-demand job skills. The Skills Centers are designed for students still learning the basics, while Training Centers are tailored for professionals already engaged in the cloud computing industry, enabling them to further enhance their skills.

Skills Centers and Training Centers are Alibaba Cloud Academy’s latest initiative to enhance digital training capabilities worldwide and have launched six offline facilities in six markets.

  • Alibaba Cloud Academy Skills Center in Thailand, was launched in December 2023 in partnership with the Office of Academic Resources of Chulalongkorn University, offering students and the general public access to free training courses, bootcamps with certifications, AI competition opportunities, and leadership development programs. Additionally, Chulalongkorn University has leveraged Alibaba Cloud’s media solutions for its events livestreaming and online teaching for enhanced efficiency and convenience.
  • In March 2024, Alibaba Cloud Academy Training Center in the Middle East region was launched in partnership with Aladdin Cyber Security, a leading provider of security services and solutions, to host monthly training and enablement programs covering a wide spectrum of cutting-edge technologies, from AI to database management to elastic computing.
  • In Malaysia, Alibaba Cloud and Universiti Malaya, the country’s oldest university, unveiled the launch of the Alibaba Cloud Academy Skills Center and its first internship program locally in February 2024 to cultivate the next generation of leaders and local digital talent in Malaysia. 
  • In Hong Kong, Alibaba Cloud announced a joint talent empowerment program with Kornerstone Hong Kong, a renowned professional training provider, to establish a Training Center in Hong Kong.

In 2024, Alibaba Cloud plans to expand the reach of its Skills Centers and Training Centers to more markets in Asia and Europe. 

Cultivating the young talents 

Alibaba Cloud is in collaboration with more than 80 universities across 16 countries and regions outside the Chinese mainland, offering cloud computing learning resources to equip the future talents. 

In Hong Kong, Alibaba Cloud partnered with The University of Hong Kong Business School to jointly announced the first cloud computing credit course for undergraduate students. Over 50 undergraduate students from different majors including computer science, finance, law and design, have completed the course.

In Indonesia, Alibaba Cloud has established partnerships with esteemed universities such as Binus University, Universitas Negeri Yogyakarta, Universitas Negeri Jakarta, Universitas Pendidikan Manadalika, and Universitas Pelita Harapan. These collaborations facilitate the integration of cloud computing and AI-centric courses into their curricula, thereby supporting the nation’s strategic goals of cultivating a robust and competitive skilled workforce for the future.

Alibaba Cloud เปิดคอร์ส Generative AI เพื่อเพิ่มทักษะผู้มีความสามารถด้านดิจิทัลทั่วโลก

Alibaba Cloud เปิดคอร์ส Generative AI เพื่อเพิ่มทักษะผู้มีความสามารถด้านดิจิทัลทั่วโลก

Alibaba Cloud เปิดคอร์ส Generative AI เพื่อเพิ่มทักษะผู้มีความสามารถด้านดิจิทัลทั่วโลก

บ่มเพาะผู้มีความสามารถด้านดิจิทัลมากกว่า 60,000 ราย ตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 ผ่านโปรแกรมอบรมต่าง ๆ ของ Alibaba Cloud

อาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศให้ลูกค้า พันธมิตร และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเข้าร่วมหลักสูตร Alibaba Cloud Certified Associate (ACA) Generative AI Engineer ได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 หลักสูตรนี้เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของ Alibaba Cloud ที่จะสนับสนุนการพัฒนาความสามารถด้านดิจิทัลและช่วยให้เข้าถึงการใช้ AI ได้ในวงกว้างมากขึ้น

หลักสูตร ACA Generative AI Engineering พัฒนาโดย Alibaba Cloud Academy ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการฝึกอบรมและการให้การรับรอง (certification) ของ Alibaba Cloud นี้ สอนความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี ครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่พื้นฐานเกี่ยวกับแมชชีนเลิร์นนิ่ง ไปจนถึงการประมวลผลภาษาธรรมชาติ, การเข้าและถอดรหัส ไปจนถึง generative adversarial networks เพื่อนำโมเดลต่าง ๆ ไปใช้ผ่าน retrieval-augmented generation, agents และอื่น ๆ อีกมาก 

หลักสูตรนี้มีสามขั้นตอนคือ เรียนรู้ วางแผน และนำไปใช้ โดยผู้ใช้งาน (ยูสเซอร์) จะสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการใช้แอป Generative AI บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของ Alibaba Cloud ยูสเซอร์ที่จบหลักสูตรและผ่านการสอบจะได้รับ ACA certificate โปรแกรมนี้มีเป้าหมายมอบความรู้พื้นฐานด้าน AI ให้กับผู้เรียน 10,000-20,000 รายทั่วโลกภายในสิ้นปี 2567 โดยปัจจุบันมีการเปิดให้เข้าร่วมได้ในวงกว้างมากขึ้น 

เซลิน่า หยวน ประธานธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “Generative AI เป็นเทคโนโลยีที่เป็นเจ้าแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่จะนำพาความคิดสร้างสรรค์ของบุคคลและบริษัทต่าง ๆ สู่ความเป็นจริงและประสบความสำเร็จได้มากกว่าเดิม หลักสูตร ACA Generating AI Engineer ของเรามีจุดหมายเพื่อช่วยลูกค้า พันธมิตร นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และยูสเซอร์ที่มีประสบการณ์แตกต่างกันทั่วโลก ให้ได้ปลดล็อกศักยภาพของตนอย่างแท้จริง และขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านดิจิทัลในอนาคต  เรามุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการสนับสนุนผู้มีความสามารถให้เรียนรู้ทักษะดิจิทัลที่จำเป็น และเราตื่นเต้นที่จะขยายข้อเสนอด้านการฝึกอบรมของเราไปทั่วโลก”

ตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 มีผู้คนที่มีประสบการณ์แตกต่างกันมากกว่า 60,000 คนได้รับใบรับรองการฝึกอบรมผ่านโครงการพัฒนาผู้มีความสามารถของ Alibaba Cloud ทั้งจากโปรแกรมตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ, พันธมิตรด้านการอบรม, หลักสูตร์อบรมออนไลน์ และการอบรมในสถานที่ที่เป็น Skills Centers และ Training Centers ต่าง ๆ ทั้งนี้ Alibaba Cloud Academy เปิดหลักสูตรที่มีใบรับรองทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 300หลักสูตร, มีการรับรองระดับมืออาชีพ 17 รายการ และห้องปฏิบัติการออนไลน์ 250 แห่ง พร้อมพันธมิตรที่มีศักยภาพ มีประสบการณ์สูงและประสบความสำเร็จในบทบาทของตัวเอง (associated partners) มากกว่า 300 รายทั่วโลก

 เสริมความสามารถด้านการฝึกอบรมทั่วโลก

Alibaba Cloud เปิด Training Center แห่งแรกของบริษัทในประเทศสิงคโปร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยร่วมมือกับ Trainocate Singapore นำเสนอหลักสูตรหลายสาขา รวมถึงคลาวด์คอมพิวติ้ง และ AI  ศูนย์แห่งนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพให้ลูกค้า พันธมิตร และคณาจารย์ในพื้นที่ ด้วยการแบ่งปันความรู้ และการจัดงานต่าง ๆ เช่น เร็ว ๆ นี้ได้จัดประชุมโต๊ะกลม “AI’s Impact on the Education of Today’s Youth” ซึ่งมีอาจารย์ 25 คน จากมหาวิทยาลัย 15 แห่ง ในเจ็ดประเทศ/ภูมิภาคเข้าร่วมงาน เพื่อสำรวจศักยภาพความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ด้านการมอบโอกาสในการสร้างทักษะสำคัญ ๆ ให้นักศึกษา

Alibaba Cloud Academy Skills Centers และ Training Centers เป็นฮับแบบออฟไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนทุกวัย ทุกอาชีพ และหลากหลายหน้าที่การงานในสังคมได้มารวมตัวกัน เพื่อค้นพบพลังของการประมวลผลบนคลาวด์ และส่งเสริมตัวเองให้ทันกับความก้าวหน้าล่าสุดทางเทคโนโลยี ศูนย์ทั้งสองแห่งนี้มีการจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ให้การอบรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และมีหลักสูตรเฉพาะที่สร้างขึ้นตามทักษะการทำงานที่ต้องการ สำหรับ Skills Centers นั้น ออกแบบสำหรับนักศึกษาที่ยังเรียนขั้นพื้นฐาน ในขณะที่ Training Centers เป็นศูนย์ที่ช่วยเพิ่มทักษะให้กับผู้ประกอบอาชีพที่มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมคลาวด์คอมพิวติ้งอยู่แล้ว 

Skills Centers และ Training Centers เป็นโครงการล่าสุดของ Alibaba Cloud Academy เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการอบรมดิจิทัลให้ขยายไปทั่วโลก ทั้งนี้ได้มีการเปิดศูนย์ดังกล่าวแบบออฟไลน์แล้วหกแห่งในหกตลาด

  • Alibaba Cloud ร่วมมือกับสำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัว Alibaba Cloud Academy Skills Center ในประเทศไทย เมื่อเดือนธันวาคม 2566 เพื่อเปิดโอกาศให้นักศึกษาและบุคคลทั่วไปเข้าร่วมหลักสูตรอบรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย, เข้าร่วมบูธแคมป์และได้รับใบรับรอง, เข้าร่วมการแข่งขันด้าน AI และเข้าร่วมโปรแกรมพัฒนาผู้นำด้านต่าง ๆ นอกจากนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้ใช้โซลูชันด้านมีเดียของ Alibaba Cloud เพื่อถ่ายทอดสดการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย และการสอนออนไลน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัว
  • เดือนมีนาคม 2567 เปิด Alibaba Cloud Academy Training Center ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยร่วมมือกับ Aladdin Cyber Security ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านโซลูชันและบริการด้านความปลอดภัยชั้นนำ ดำเนินการจัดโปรแกรมรายเดือนด้านการอบรมและใช้งาน ครอบคลุมเทคโนโลยีล้ำสมัยจำนวนมาก ตั้งแต่ AI ไปจนถึงเรื่องการบริหารดาต้าเบส และการประมวลผลปรับขยายทรัพยากร เช่น ระบบจัดเก็บได้ (elastic computing)
  • Alibaba Cloud และ Universiti Malaya ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศมาเลเซีย ได้เปิดตัว Alibaba Cloud Academy Skills Center และโปรแกรมฝึกงานเป็นครั้งแรกในท้องถิ่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อบ่มเพาะผู้นำรุ่นต่อไปและผู้คนในพื้นที่ที่มีความสามารถด้านดิจิทัลในประเทศมาเลเซีย
  • Alibaba Cloud ประกาศเปิดโปรแกรมส่งเสริมผู้มีความสามารถร่วมกับ Kornerstone Hong Kong ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอบรมมืออาชีพที่มีชื่อเสียง เพื่อตั้ง Training Center ในฮ่องกง

ในปี 2567 นี้ Alibaba Cloud วางแผนขยาย Skills Centers และ Training Centers ของบริษัทในตลาดเอเชียและยุโรปมากขึ้น

บ่มเพาะความสามารถพิเศษให้กับเยาวชน

Alibaba Cloud ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมากกว่า 80 แห่งใน 16 ประเทศ/ภูมิภาค ที่อยู่นอกประเทศจีน มอบทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ด้านคลาวด์คอมพิวติ้งเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้มีความสามารถในอนาคต

Alibaba Cloud ร่วมมือกับ The University of Hong Kong Business School ในฮ่องกง ร่วมกันเปิดหลักสูตร cloud computing credit เป็นครั้งแรกสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มีนักศึกษาจากสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น วิทยาการคอมพิวเตอร์ การเงิน กฎหมาย และการออกแบบ จบหลักสูตรนี้แล้วมากกว่า 50 คน 

Alibaba Cloud เป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในประเทศอินโดนีเซีย เช่น Binus University, Universitas Negeri Yogyakarta, Universitas Negeri Jakarta, Universitas Pendidikan Manadalika และ Universitas Pelita Harapan ความร่วมมือเหล่านี้เป็นการบูรณาการหลักสูตรคลาวด์คอมพิวติ้งและ AI-centrice ไว้ในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย ซึ่งช่วยสนับสนุนเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของประเทศในการสร้างแรงงานที่มีทักษะสูงและแข่งขันในตลาดแรงงานได้ในอนาคต 

ราคาบ้านขยับตามต้นทุนสวนทางดีมานด์ซื้อยังซบเซา ค่าเช่าพุ่งต่อเนื่อง คาดมาตรการอสังหาฯ ดันตลาดโตครึ่งปีหลัง

ราคาบ้านขยับตามต้นทุนสวนทางดีมานด์ซื้อยังซบเซา ค่าเช่าพุ่งต่อเนื่อง คาดมาตรการอสังหาฯ ดันตลาดโตครึ่งปีหลัง

ราคาบ้านขยับตามต้นทุนสวนทางดีมานด์ซื้อยังซบเซา ค่าเช่าพุ่งต่อเนื่อง คาดมาตรการอสังหาฯ ดันตลาดโตครึ่งปีหลัง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตแบบซึม ๆ อันเนื่องมาจากความท้าทายรอบด้านที่กระทบต่อสถานะทางการเงินของผู้บริโภค ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจ ภาวะหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อจากปัจจัยภายนอกทั้งภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ภาพรวมความต้องการซื้อทั่วประเทศในไตรมาสล่าสุดลดลง 7% โดยลดลงทุกประเภทที่อยู่อาศัย ขณะที่ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปรับขึ้นเล็กน้อย 1% ตามต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงกำลังซื้อของกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่ยังไม่ฟื้นตัว จึงเลือกชะลอแผนการซื้อหรือโยกย้ายที่อยู่อาศัยออกไปก่อน ส่งผลให้ภาพรวมความต้องการเช่าทั่วประเทศลดลง 10% โดยดัชนีค่าเช่าแนวสูงเพิ่มขึ้นถึง 5% และแนวราบเพิ่มขึ้น 4% 

คาดมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซับที่อยู่อาศัยกลุ่มใหญ่ในกรุงเทพฯ ให้ลดลง และหากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มกำลังซื้อเข้ามาเสริมจะยิ่งช่วยเติมเชื้อไฟให้ภาคอสังหาฯ เติบโตอย่างเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งปีหลัง

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2567 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 เผยภาพรวมดัชนีราคาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปรับเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และเพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากราคาวัสดุก่อสร้าง การปรับขึ้นค่าแรง ราคาที่ดินในปัจจุบัน รวมทั้งความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องปรับขึ้นราคาอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

เมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า ดัชนีราคาของคอนโดฯ และบ้านเดี่ยวในไตรมาสที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากัน โดยคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 1% QoQ (เพิ่มขึ้น 9% YoY) บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 1% QoQ (เพิ่มขึ้น 3% YoY) ถือเป็นสัญญาณบวกในการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ส่วนทาวน์เฮ้าส์ยังทรงตัวจากไตรมาสก่อนและปีก่อนหน้า 

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทายทางการเงินโดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา ส่งผลให้ผู้บริโภคเลือกชะลอแผนการซื้อบ้านออกไปก่อน เห็นได้ชัดจากภาพรวมความต้องการซื้อทั่วประเทศที่ปรับลดลง 7% QoQ และลดลงถึง 31% YoY ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2566 และปรับลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัย 

ทั้งนี้ คอนโดฯ ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนมากที่สุดในตลาดถึง 59% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว 25% และทาวน์เฮ้าส์ 17% ขณะเดียวกัน ที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-3 ล้านบาท ครองตลาดด้วยสัดส่วน 30% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคระดับกลาง-ล่างยังคงไม่มีกำลังซื้อเพียงพอที่จะดูดซับอุปทานเหล่านี้ รองลงมาคือระดับราคา 5-10 ล้านบาท (22%) และระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาท (19%) ในสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกัน 

ค่าเช่าพุ่งต่อเนื่องทั้งแนวสูง-แนวราบ 

ภาพรวมตลาดเช่าที่อยู่อาศัยทั่วประเทศยังคงมีทิศทางเติบโตในแง่ของราคาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าดัชนีค่าเช่าที่อยู่อาศัยแนวสูงอย่างคอนโดฯ และอะพาร์ตเมนต์ปรับเพิ่มขึ้น 5% QoQ และเพิ่มขึ้น 22% YoY เช่นเดียวกับดัชนีค่าเช่าที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 4% QoQ และเพิ่มขึ้น 28% YoY แต่สวนทางกับความต้องการเช่าทั่วประเทศที่ปรับลดลง 10% QoQ (ลดลง 25% YoY)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความต้องการเช่าจะลดลงจากไตรมาสก่อน แต่ถือเป็นการลดแบบชะลอตัวลงจากช่วงที่ผ่านมา (ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 มีการปรับลดลงถึง 27% จากไตรมาสก่อนหน้า) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเช่าที่กระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อย สอดคล้องกับเทรนด์ Generation Rent ที่เน้นเช่ามากกว่าซื้อ และตอบโจทย์ทางการเงินได้ดีกว่า

โดยคอนโดฯ เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการปล่อยเช่าสูงถึง 87% ของจำนวนที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าทั้งหมดทั่วประเทศ รองลงมาคือบ้านเดี่ยว 9% และทาวน์เฮ้าส์ 4% ขณะที่ภาพรวมที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าในระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน ครองตลาดด้วยสัดส่วนสูงสุดที่ 41% ซึ่งเป็นช่วงราคาที่สามารถจับต้องได้และตอบโจทย์ผู้บริโภคส่วนใหญ่ 

เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าคอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ในระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน มีจำนวนมากที่สุด (43% และ 39% ตามลำดับ) ต่างจากบ้านเดี่ยวที่ระดับค่าเช่ามากกว่า 100,000 บาท/เดือน มีจำนวนมากที่สุด (41%) 

นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตโดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่จะขับเคลื่อนให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้มีโอกาสเติบโต 

คาดการณ์ว่าราคาอสังหาฯ และความต้องการซื้อจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงินตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในช่วงที่ตลาดอสังหาฯ ของไทยยังคงชะลอตัวเช่นนี้ 

อย่างไรก็ดี ตลาดอสังหาฯ ยังคงมีปัจจัยท้าทายหลายด้าน อาทิ อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ทำให้ต้นทุนทางการเงินในการซื้อที่อยู่อาศัยปัจจุบันยังคงสูงเมื่อเทียบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค เห็นได้จากข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เผยว่า ณ สิ้นปี 2566 มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หรือหนี้เสียจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย 1.8 แสนล้านบาท ส่วนหนี้บ้านที่ค้างชำระ 30-90 วัน เพิ่มขึ้นถึง 31% YoY มาอยู่ที่ 1.78 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นบ้านมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท ประกอบกับความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารในเวลานี้ ทำให้ผู้ซื้อต้องมีความพร้อมทางด้านการเงินมากขึ้น 

รวมทั้งผู้บริโภคกลุ่ม Real Demand อาจจะยังชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนเพื่อรอติดตามสถานการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะมีการประชุมรอบถัดไปในเดือนมิถุนายน 2567 รวมทั้งจับตาทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงในการเพิ่มภาระหนี้ที่เกินศักยภาพออกไปก่อน 

ขณะเดียวกัน เมื่อราคาบ้าน/คอนโดฯ มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสของโครงการรีเซลหรือตลาดบ้านมือสองซึ่งมีต้นทุนราคาเดิมที่ถูกกว่าจะกลายเป็นอีกตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้แทน” นายวิทยา กล่าวสรุป

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในตลาดอสังหาฯ ปัจจุบันได้ก่อให้เกิดความท้าทายที่ต้องจับตามอง คือ เมื่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ในช่วงขาลงสวนทางกับราคาที่เพิ่มขึ้นแบบนี้ หากช่องว่างระหว่างแนวโน้มดัชนีความต้องการซื้อกับดัชนีราคาเริ่มกว้างออกจากกันเรื่อย ๆ เมื่อถึง ณ จุดหนึ่ง เชื่อว่าหากดัชนีความต้องการซื้อไม่มีแนวโน้มที่จะกลับมาปรับสูงขึ้น ดัชนีราคาคงจะต้องขยับปรับลดลงตามกลไกของตลาดแทน เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น และขับเคลื่อนให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในทุกระดับราคาเติบโตต่อไปได้ในอนาคต

เกาะติดตลาดอสังหาฯ เมืองหลวง คนกรุงเมินซื้อบ้าน ดันค่าเช่าเพิ่มทุกประเภท

รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2567 เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ในไตรมาสล่าสุด สรุปภาพรวมดัชนีราคา ดัชนีค่าเช่า รวมทั้งความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัย พร้อมอัปเดตทำเลศักยภาพที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจและควรจับตามอง

  • ราคาคอนโดฯ เริ่มขยับ สวนทางกับดีมานด์ผู้ซื้อลด 8% ภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 พบว่าดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้น 1% QoQ และเพิ่มขึ้น 8% YoY โดยคอนโดฯ ถือเป็นอสังหาฯ ประเภทเดียวที่ดัชนีราคาปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมาโดยเพิ่มขึ้น 1% และเพิ่มขึ้นถึง 11% YoY ขณะที่ดัชนีราคาของที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์แม้จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นถึง 8% และ 3% YoY ตามลำดับ 

ขณะเดียวกันความต้องการซื้อในกรุงเทพฯ กลับลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 โดยภาพรวมความต้องการซื้อลดลง 8% QoQ (ลดลง 31% YoY) ทั้งนี้ หากแยกตามประเภทอสังหาฯ พบว่า ทาวน์เฮ้าส์มีความต้องการซื้อลดลงมากที่สุดถึง 13% QoQ (ลดลง 38% YoY) รองลงมาคือบ้านเดี่ยวลดลง 8% QoQ (ลดลง 37% YoY) และคอนโดฯ ลดลง 6% QoQ (ลดลง 26% YoY) สะท้อนให้เห็นกำลังซื้อในเมืองหลวงที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง

นอกจากนี้ หลังจากผู้ประกอบการอสังหาฯ หันมาเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นและผู้บริโภคที่มีสินค้าแนวราบอยู่ในมือได้นำออกมาขายตามเทรนด์การอยู่อาศัยในช่วงการแพร่ระบาดฯ แต่เมื่อความต้องการซื้อลดลง จึงทำให้ปัจจุบันมีสินค้าแนวราบเหลือขายเพิ่มขึ้น โดยบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 7% QoQ และทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 8% QoQ อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่ามาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซับที่อยู่อาศัยกลุ่มใหญ่ในกรุงเทพฯ ให้ลดลงได้

ทั้งนี้ คอนโดฯ ยังครองตลาดโดยมีจำนวนมากที่สุดถึง 80% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ มีสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 11% และ 9% ตามลำดับ สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยที่มีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท สัดส่วน 25% รองลงมาคือ 1-3 ล้านบาท (สัดส่วน 24%) และราคามากกว่า 15 ล้านบาท (สัดส่วน 23%) เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า คอนโดฯ ส่วนใหญ่ในระดับราคา 5-10 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด 26% ส่วนบ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด 44% และทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 1-3 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด 39% 

อย่างไรก็ดี แม้ภาพรวมดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ จะไม่ได้เติบโตหวือหวา แต่ยังมีหลายทำเลที่ดัชนีราคาเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ โดย 5 ทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในไตรมาสล่าสุด ได้แก่

o   อันดับ 1 เขตสะพานสูง ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 39,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 6% QoQ และเพิ่มขึ้น 11% YoY

o   อันดับ 2 เขตคลองสาน ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 143,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 4% QoQ และเพิ่มขึ้น 7% YoY

o   อันดับ 3 เขตหลักสี่ ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 54,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 3% QoQ และเพิ่มขึ้น 12% YoY

o   อันดับ 4 เขตบางขุนเทียน ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 29,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 3% QoQ และเพิ่มขึ้น 2% YoY

o   อันดับ 5 เขตยานนาวา ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 91,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 2% QoQ และเพิ่มขึ้น 3% YoY

  • ค่าเช่าโตต่อเนื่อง คอนโดฯ ครองตลาดเช่าด้วยสัดส่วน 92% ตลาดเช่าในกรุงเทพฯ ยังคงเติบโตอย่างน่าสนใจ เห็นได้จากดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกประเภท โดยค่าเช่าแนวสูงอย่างคอนโดฯ และอะพาร์ตเมนต์ เพิ่มขึ้น 5% QoQ และเพิ่มขึ้น 22% YoY ด้านค่าเช่าแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 3% QoQ และเพิ่มขึ้น 18% YoY สะท้อนให้เห็นแนวโน้มการเติบโตของราคา อย่างไรก็ดี ภาพรวมความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงชะลอตัวเช่นเดียวกับภาพรวมทั่วประเทศ โดยปรับลดลง 4% QoQ (ลดลง 24% YoY) 

ขณะเดียวกัน คอนโดฯ มีจำนวนมากที่สุดในตลาดเช่าด้วยสัดส่วน 92% ของจำนวนที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าทั้งหมดในกรุงเทพฯ ถือเป็นประเภทที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี รองลงมาคือบ้านเดี่ยว 5% และทาวน์เฮ้าส์ 3% 

นอกจากนี้ พบว่าที่อยู่อาศัยให้เช่าส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน มากที่สุดด้วยสัดส่วน 41% เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า คอนโดฯ ในระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน มีจำนวนมากที่สุด 43% ส่วนทาวน์เฮ้าส์ในระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน และ 50,000-100,000 บาท/เดือน ครองตลาดด้วยสัดส่วน 30% เท่ากัน ขณะที่บ้านเดี่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับค่าเช่ามากกว่า 100,000 บาท/เดือน ด้วยสัดส่วน 56% 

สำหรับทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในไตรมาสล่าสุด ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอกและพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ ได้แก่

o   อันดับ 1 เขตทวีวัฒนา ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 207 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 60% QoQ และเพิ่มขึ้น 40% YoY

o   อันดับ 2 เขตสะพานสูง ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 458 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 20% QoQ แต่ลดลง 10% YoY

o   อันดับ 3 เขตดินแดง ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 137 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 19% QoQ และเพิ่มขึ้น 29% YoY

o   อันดับ 4 เขตบางเขน ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 131 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 14% QoQ และเพิ่มขึ้น 21% YoY

o   อันดับ 5 เขตวังทองหลาง ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 103 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 11% QoQ และเพิ่มขึ้น 15% YoY

วัดชีพจรตลาดอสังหาฯ อาเซียนปี 67 คนยังอยากมีบ้าน แม้เผชิญอุปสรรค “ดอกเบี้ยสูง – ขาดสภาพคล่อง”

วัดชีพจรตลาดอสังหาฯ อาเซียนปี 67 คนยังอยากมีบ้าน แม้เผชิญอุปสรรค "ดอกเบี้ยสูง - ขาดสภาพคล่อง"

วัดชีพจรตลาดอสังหาฯ อาเซียนปี 67 คนยังอยากมีบ้าน แม้เผชิญอุปสรรค "ดอกเบี้ยสูง - ขาดสภาพคล่อง"

แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้เริ่มส่งสัญญาณบวกแล้วในปีนี้ ข้อมูลจากรายงานการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย Asian Development Outlook (ADO) ฉบับเดือนเมษายน ประจำปี 2567 ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2567 จะเติบโต 4.6% จากเดิม 4.1% ในปีก่อนหน้า และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศที่เริ่มปรับตัวลดลง ถือเป็นอีกปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นให้ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง รวมทั้งยังส่งผลดีต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด และข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคในอาเซียน (ประกอบด้วยประเทศไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย และเวียดนาม) จากเว็บไซต์ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป (NYSE: PGRU) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์โดยรวมทั้งภูมิภาคยังคงมีทิศทางเป็นบวก โดยดัชนีความเชื่อมั่นของชาวเวียดนามปรับเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในอาเซียนมาอยู่ที่ 48% (จากเดิม 43% ในรอบก่อน) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามมาด้วยชาวสิงคโปร์อยู่ที่ 44% (จากเดิม 43% ในรอบก่อน) ส่วนชาวมาเลเซียทรงตัวอยู่ที่ 45% มีเพียงชาวไทยที่ปรับลดลงในรอบนี้มาอยู่ที่ 48% (จากเดิม 50% ในรอบก่อน)

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยปัจจุบัน พบว่าภาพรวมของชาวมาเลเซีย, ชาวเวียดนาม และชาวสิงคโปร์ต่างปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 58%, 53% และ 44% ตามลำดับ (จากเดิม 56%, 50% และ 37% ในรอบก่อน ตามลำดับ) โดยไทยเป็นประเทศเดียวที่ปรับลดลงในรอบนี้มาอยู่ที่ 63% (จากเดิม 65% ในรอบก่อน) แต่ยังคงสูงที่สุดในอาเซียน

อย่างไรก็ดี ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในอาเซียนยังคงมีแนวโน้มสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่มีทิศทางเชิงบวก เห็นได้ชัดจากเกือบ 3 ใน 4 ของชาวสิงคโปร์ (73%) มีการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัย รองลงมาคือชาวมาเลเซีย (70%) ชาวเวียดนาม (65%) ส่วนชาวไทยอยู่ที่ 44% ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นในตลาดอาเซียน อันเป็นผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 10 ปี จึงทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยชะลอตัวตามไปด้วย

“ภาครัฐ” ฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาฯ

เมื่อพิจารณาความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่าเวียดนามเติบโตสูงที่สุดในตลาดอาเซียนอยู่ที่ 72% โดยมีปัจจัยบวกมาจากการที่ภาครัฐได้ออกมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ และปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตามมาด้วยชาวไทยอยู่ที่ 59% ทั้งนี้ ไทยถือเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ ความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัย และความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยปรับลดลงทั้งหมดในรอบนี้ ส่วนชาวสิงคโปร์และชาวมาเลเซียมีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยเท่ากันที่ 46%

ขณะเดียวกัน ชาวเวียดนาม 53% มองว่าภาครัฐมีความพยายามเพียงพอที่จะช่วยให้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ ตามมาด้วยชาวสิงคโปร์ (35%) ชาวมาเลเซีย (19%) และชาวไทย (13%) ซึ่งต่ำที่สุดในอาเซียน เนื่องจากในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานี้ ภาครัฐยังไม่มีนโยบายกระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาฯ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม

นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ โดยผู้บริโภคชาวอาเซียนส่วนใหญ่ต่างมองว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูง มีชาวเวียดนาม 28% เท่านั้นที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดในอาเซียน ขณะที่ชาวสิงคโปร์และชาวไทยมีสัดส่วนเท่ากันที่ 16% ส่วนชาวมาเลเซียอยู่ที่ 15% เท่านั้น

สะท้อนให้เห็นว่าแม้การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของภาครัฐจะเป็นอีกหนึ่งกลไกในการขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาฯ แต่หากมีมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ มาสมทบ จะยิ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ให้มีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น

อัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยชาวอาเซียน “ความท้าทายทางการเงิน” ฉุดคนไม่พร้อมมีบ้าน

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยล่าสุดใน 4 ตลาดหลักของอาเซียน เผยมุมมองความต้องการที่อยู่อาศัย พร้อมอัปเดตเทรนด์อสังหาฯ ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้บริโภค ท่ามกลางความท้าทายทางการเงินที่สั่นคลอนแผนซื้อที่อยู่อาศัย ผลักดันให้เทรนด์เช่าหรือ Generation Rent เข้ามาทดแทน

  • 2 ใน 5 (40%) ของชาวสิงคโปร์มองว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายการพัฒนาโครงการแฟลตของการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ (Housing & Development Board หรือ HDB) เนื่องในวันชาติสิงคโปร์ประจำปี 2566 จะทำให้แฟลต HDB มีราคาจับต้องได้มากขึ้นและทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ถือเป็นปัจจัยบวกที่กระจายโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย โดยโครงการแฟลต HDB ที่ขายโดยการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ถือเป็นประเภทอสังหาฯ ที่ชาวสิงคโปร์ต้องการซื้อมากที่สุดถึง 32% รองลงมาคือแฟลต HDB มือสอง 22% เนื่องจากเป็นโครงการที่มีคุณภาพและมีราคาย่อมเยากว่าโครงการเอกชน จึงตอบโจทย์ทางการเงินได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน กว่า 1 ใน 3 (34%) ของผู้เช่าชาวสิงคโปร์ได้วางแผนเช่าเพียง 2 ปี จากนั้นจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง แม้จะมีการคาดการณ์ว่าตลาดเช่าในสิงคโปร์จะชะลอตัวลง แต่ผู้เช่าส่วนใหญ่กว่า 4 ใน 5 (85%) ต่างมองว่าค่าเช่าในปัจจุบันยังคงสูงเกินไป นอกจากนี้หากโครงการที่เช่าอยู่ในปัจจุบันปรับขึ้นค่าเช่า ผู้เช่าส่วนใหญ่ 38% เผยว่าจะมองหาโครงการอื่นที่มีค่าเช่าถูกกว่าแทน ขณะที่ 34% จะลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อนำมาจ่ายค่าเช่าที่สูงขึ้น และ 28% จะชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน

เมื่อพิจารณาปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของชาวสิงคโปร์ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย และขนาดที่อยู่อาศัยมากที่สุดในสัดส่วนเท่ากันที่ 67% ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ/เช่านั้น จะเน้นไปที่ความสะดวกในการเดินทางเป็นหลัก โดยมากกว่าครึ่ง (52%) เลือกจากโครงการที่สามารถเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้า MRT (Mass Rapid Transit) ได้ ซึ่งถือเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลักที่มีความสะดวกและครอบคลุมการเดินทางในชีวิตประจำวัน

  • เหตุผลหลักที่ชาวมาเลเซียวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยนั้น มากกว่าครึ่ง (58%) ต้องการซื้อเพื่อลงทุนมากที่สุด อย่างไรก็ดี เกือบ 2 ใน 5 (38%) ของผู้ที่วางแผนซื้อบ้าน/คอนโดฯ เผยว่ามีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้ว ขณะที่เกือบครึ่ง (49%) เก็บเงินได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ส่งผลให้ต้องเผชิญความท้าทายเมื่อขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยอุปสรรคสำคัญมาจากมีอาชีพไม่มั่นคงและรายได้ไม่แน่นอน 43% ตามมาด้วยมีเงินดาวน์ไม่พอ 38% และ 26% ไม่เคยขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาก่อน จึงไม่มีประสบการณ์ในการเตรียมตัวที่ดีพอ

นอกจากนี้ ความท้าทายทางการเงินยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ต้องหันไปเช่าแทน เกือบ 3 ใน 4 (74%) ของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยเผยว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ ทั้งนี้ ผู้เช่าชาวมาเลเซีย 29% เผยว่าได้วางแผนเช่าไว้ 2 ปี ก่อนจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ขณะที่กว่า 1 ใน 3 (37%) ไม่แน่ใจว่าจะเช่าต่อไปอีกนานแค่ไหน ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดในอาเซียน

อย่างไรก็ดี ราคาขายเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอยถือเป็นปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของชาวมาเลเซียมากที่สุด (39%) สอดคล้องกับเป้าหมายในการซื้อที่เน้นการลงทุนเป็นหลัก จึงพิจารณาเรื่องความคุ้มค่ามาก่อน ด้านปัจจัยภายนอกของโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ/เช่านั้น ส่วนใหญ่ (39%) จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของโครงการมาเป็นอันดับแรก

  • 3 ใน 5 (60%) ของชาวเวียดนามเผยว่าเหตุผลสำคัญในการซื้อที่อยู่อาศัยเนื่องจากต้องการลงทุนเช่นเดียวกับชาวมาเลเซีย และเมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินพบว่ามากกว่าครึ่ง (55%) เก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ครึ่งทาง ขณะที่ 38% มีเงินออมเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้ว อย่างไรก็ดี ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ (55%) เผยว่าความไม่มั่นคงในอาชีพและรายได้เป็นอุปสรรคสำคัญเมื่อต้องขอสินเชื่อบ้านมากที่สุด เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้

ทั้งนี้ ที่ดินถือเป็นประเภทอสังหาฯ ที่ชาวเวียดนามสนใจซื้อมากที่สุดถึง 33% สอดคล้องกับเหตุผลในการซื้ออสังหาฯ ที่เน้นไปที่การลงทุนมาเป็นอันดับแรก เนื่องจากที่ดินไม่มีการเสื่อมสภาพเหมือนอสังหาฯ ประเภทอื่น และมักปรับขึ้นราคาตามความเจริญในพื้นที่ รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ 26% และอะพาร์ตเมนต์/คอนโดฯ 24%

ขณะเดียวกัน เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยถือเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์การเงินของชาวเวียดนาม โดย 1 ใน 3 (33%) ของผู้เลือกเช่าเผยว่ายังไม่มีเงินเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยตอนนี้ ตามมาด้วยไม่ต้องการตั้งถิ่นฐานถาวรเพียงที่เดียวและชอบความยืดหยุ่นของการเช่ามากกว่า 27% โดยผู้เช่ากว่า 2 ใน 5 (42%) ได้วางแผนเช่าประมาณ 2 ปี ก่อนจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ หากโครงการที่เช่าอยู่มีการปรับขึ้นค่าเช่า ผู้เช่าส่วนใหญ่ (37%) มองว่าทำให้จำเป็นต้องใช้เงินเก็บมากขึ้น รองลงมาคือจะมองหาโครงการใหม่ที่ค่าเช่าถูกกว่าแทน และจะลดค่าครองชีพเพื่อมาจ่ายค่าเช่า ในสัดส่วนเท่ากันที่ 29%

  • เหตุผลที่ชาวไทยส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อที่อาศัยมาจากความต้องการของตนเองเป็นหลัก ต่างจากชาวมาเลเซียและชาวเวียดนามที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนมากกว่า โดยชาวไทย 44% ตัดสินใจซื้อบ้าน/คอนโดฯ เพื่อเพิ่มพื้นที่ส่วนตัวมากที่สุด รองลงมาคือเลือกซื้อเพื่อลงทุน 29%

อย่างไรก็ตาม พบว่า มีเพียง 1 ใน 3 (33%) ของผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยเท่านั้นที่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะซื้อแล้ว ขณะที่เกือบครึ่ง (47%) เก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น นอกจากนี้ ความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจยังคงส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของผู้บริโภคระดับกลางและล่างที่จำเป็นต้องขอสินเชื่อจากธนาคาร โดยมากกว่าครึ่ง (56%) เผยว่าอุปสรรคหลักในการขอสินเชื่อบ้านมาจากรายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคง ตามมาด้วยมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี 38% และมีเงินดาวน์ไม่พอ 31%

ขณะที่กว่า 3 ใน 5 (61%) ของผู้บริโภคชาวไทยที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยเผยว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะซื้อ และ 38% มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงเกินไปจึงเลือกเก็บออมเงินไว้ก่อน อย่างไรก็ดี ผู้เช่าส่วนใหญ่ 31% เผยว่าได้วางแผนเช่าที่อยู่อาศัยไว้ 2 ปี ก่อนจะซื้อบ้าน/คอนโดฯ เป็นของตัวเองในภายหลัง เนื่องจากยังต้องจับตามองแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด

 

สำหรับปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของชาวไทย เกือบครึ่ง (46%) จะพิจารณาจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่านั้น มากกว่าครึ่ง (47%) ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของโครงการมากที่สุด ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว