Red Hat ได้รับการจัดให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leaders ด้าน Vision ในรายงาน 2024 Gartner® Magic Quadrant™ for Container Management

Red Hat ได้รับการจัดให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leaders ด้าน Vision ในรายงาน 2024 Gartner® Magic Quadrant™ for Container Management

Red Hat ได้รับการจัดให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leaders ด้าน Vision ในรายงาน 2024 Gartner® Magic Quadrant™ for Container Management

นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่ Gartner จัดให้ Red Hat อยู่ในกลุ่มผู้นำในรายงานนี้

เร้ดแฮท ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์ส ได้รับการจัดอันดับ จากการ์ทเนอร์ให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leader ด้านความสมบูรณ์ของวิสัยทัศน์ (Completeness of Vision) ในรายงาน Magic Quadrant ด้าน Container Management จากผลิตภัณฑ์ Red Hat OpenShift[1] และยังติดอันดับหนึ่งในสามจากหกของตัวอย่างการนำไปช้งานใน 2024 Gartner Critical Capabilities for Container Management ซึ่งรวมถึง Hybrid Container Development, Container Management Tooling และ Edge Container Deployment

Red Hat OpenShift เป็นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุม เพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันปรับให้ทันสมัย และใช้แอปพลิเคชันเหล่านั้นได้ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่รองรับ AI มอบประสบการณ์การใช้งานที่คงเส้นคงวาในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด ไม่ว่าจะเป็นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ หรือ edge ทั้งนี้ Red Hat OpenShift ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ได้ใช้แพลตฟอร์มรวมศูนย์หนึ่งเดียว ที่มาพร้อมชุดเครื่องมือและบริการที่สมบูรณ์พร้อม รวมถึง ความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ผสานอยู่บนแพลตฟอร์มนี้โดยตรง ซึ่งเป็นการช่วยปรับปรุงวงจรการใช้งานแอปพลิเคชันทั้งหมดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่การพัฒนา การให้บริการ ไปจนถึงการบริหารจัดการ Red Hat OpenShift ทำงานได้กับทุกสภาพแวดล้อมและทุกเวลาที่ลูกค้าต้องการใช้ มีให้เลือกทั้งแบบที่เร้ดแฮทจัดการให้อย่างเต็มรูปแบบ และแบบที่ลูกค้าบริหารจัดการด้วยตนเอง

Gartner Magic Quadrant for Container Management ได้ประเมินโซลูชันจากผู้ขายเทคโนโลยีจำนวน 12 ราย และอิงตามเกณฑ์เฉพาะที่วิเคราะห์ความสมบูรณ์โดยรวมของวิสัยทัศน์ของแต่ละบริษัท รวมถึงความสามารถในการดำเนินการให้สำเร็จ โดยการ์ทเนอร์ระบุว่าผู้ที่อยู่ในกลุ่มผู้นำต้องดำเนินการได้ดีตามวิสัยทัศน์ปัจจุบัน และอยู่ในตำแหน่งที่ดีในอนาคต

รายงานนี้ออกมาต่อจากรายงาน Gartner Magic Quadrant for DevOps Platforms ปี 2024 ซึ่งการ์ทเนอร์จัดให้เร้ดแฮทเป็นหนึ่งในกลุ่ม Challenger ทั้งนี้ เร้ดแฮทเป็นหนึ่งในสามของผู้จำหน่ายเทคโนโลยีที่มีรายชื่ออยู่ในรายงาน Magic Quadrant ทั้งสองประเภท ซึ่งย้ำให้เห็นถึงสมรรถนะของ Red Hat OpenShift ในการเป็นแพลตฟอร์มด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบครบวงจร ที่ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้รับประสบการณ์ที่เป็นมาตรฐานในการใช้งานบนไฮบริดคลาวด์ทุกที่ และรองรับเวิร์กโหลดที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันที่รองรับ AI ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ edge

ดูรายงาน Magic Quadrant เพื่อศึกษาจุดแข็งและคำแนะนำของเร้ดแฮท รวมถึงข้อเสนอของผู้ให้บริการอื่น ๆ ได้ที่นี่

คำกล่าวสนับสนุน

Mike Barrett, vice president and general manager, Hybrid Cloud Platforms, Red Hat

“เราภูมิใจที่ได้รับการยอมรับให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leaders ด้าน Completeness of Vision ในรายงาน Gartner Magic Quadrant for Container Management เราเชื่อว่าการได้รับการยอมรับในครั้งนี้เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าไม่เพียงแต่ความสามารถในปัจจุบันของ Red Hat OpenShift เท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ แต่ยังรวมถึงวิสัยทัศน์ในการทำให้โซลูชันนี้ตอบความต้องการในอนาคตได้ดีที่สุด รวมถึงการเสริมแกร่งให้กับเวิร์กโหลดที่รองรับ AI และเวิร์กโหลดอัจฉริยะ Red Hat OpenShift ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ได้ใช้แพลตฟอร์มด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเครื่องมือด้าน DevSecOps ที่ติดตั้งมาเรียบร้อย เป็นการช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์นำแอปพลิเคชันแบบคลาวด์-เนทีฟ ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะทำงานอยู่ ณ จุดใดบนไฮบริดคลาวด์ก็ตาม

เปิดเช็กลิสต์เตรียมพร้อมสำหรับมือใหม่ อัปสเต็ปความมั่นใจเมื่อคิดซื้อบ้านหลังแรก

เปิดเช็กลิสต์เตรียมพร้อมสำหรับมือใหม่ อัปสเต็ปความมั่นใจเมื่อคิดซื้อบ้านหลังแรก

เปิดเช็กลิสต์เตรียมพร้อมสำหรับมือใหม่ อัปสเต็ปความมั่นใจเมื่อคิดซื้อบ้านหลังแรก

แม้ปัจจัยแวดล้อมจะสั่นคลอนแผนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคบางส่วน แต่ความต้องการซื้อยังคงมีอยู่ ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามฯ (50%) วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากในรอบก่อนหน้าที่มีเพียง 44% โดยได้รับแรงกระตุ้นมาจากมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 นี้ ประกอบกับการที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างจัดโปรโมชั่นอย่างดุเดือดหวังกระตุ้นยอดขายช่วงโค้งสุดท้ายของปี จึงถือเป็นโอกาสทองของผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินหรือมีเงินเก็บที่จะซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมเช่นกัน

ขณะที่จำนวนอุปทานในตลาดอสังหาฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลการสำรวจภาวะภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดปริมณฑล ในไตรมาส 2 ปี 2567 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) พบว่า อุปทานที่อยู่อาศัยเสนอขายในตลาดที่อยู่อาศัยรวม (บ้านจัดสรรและอาคารชุด) มีจำนวน 229,528 หน่วย มูลค่ารวม 1,350,586 ล้านบาท ซึ่งขยายตัว 11% และ 30.3% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนหนึ่งมาจากโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จำนวน 17,197 หน่วย มูลค่ารวม 128,440 บาท สะท้อนให้เห็นว่าอุปทานที่อยู่อาศัยยังคงมีจำนวนเพียงพอที่จะรองรับความต้องการของผู้ซื้อในเวลานี้

เทรนด์หาบ้านออนไลน์โตต่อเนื่อง คนสนใจบ้านมือหนึ่งเพราะอยากได้บ้านใหม่แกะกล่อง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยว่า จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ระหว่างเดือนมกราคม – กันยายน 2567 เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่แม้จะไม่ได้คึกคักเท่าที่ผ่านมา โดยช่องทางออนไลน์ยังครองใจคนหาบ้านและเป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาได้เป็นอย่างดี ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study เผยว่า ช่องทางยอดนิยมที่ผู้บริโภคใช้ค้นหาข้อมูลเมื่อซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น 62% นิยมใช้เว็บไซต์โครงการมากที่สุด รองลงมาคือ Google ในสัดส่วนไล่เลี่ยที่ 60% และกลุ่มอสังหาฯ ในโซเชียลมีเดีย 51% ขณะที่แพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์อย่าง YouTube (39%) และ TikTok (20%) ยังเป็นอีกช่องทางที่คนหาบ้านให้ความสนใจ โดยมีสัดส่วนที่สูงขึ้นในกลุ่มอายุ 22-29 ปี เนื่องจากสามารถถ่ายทอดบรรยากาศจริงของโครงการได้ดีกว่าและมีรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาที่หลากหลาย ตอบโจทย์เทรนด์การเสพสื่อในยุคนี้ 

สำหรับฟิลเตอร์หรือตัวเลือกในการค้นหาที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด กว่า 2 ใน 3 (67%) ต้องการฟิลเตอร์ค้นหาจากทำเลที่ตั้ง รองลงมาคือฟิลเตอร์ค้นหาตามขนาดที่อยู่อาศัย 62% และฟิลเตอร์ที่ช่วยแยกระหว่างที่อยู่อาศัยโครงการใหม่และมือสอง 58% โดยมีสัดส่วนที่สูงขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง (71%) ซึ่งช่วยคัดกรองบ้าน/คอนโดฯ ที่ต้องการได้ในเบื้องต้นและมีผลเกี่ยวเนื่องไปยังการวางแผนค่าใช้จ่ายตามไปด้วย เนื่องจากโครงการเปิดใหม่จะมีข้อเสนอที่ดึงดูดใจมากกว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ มักจัดโปรโมชั่นร้อนแรงกระตุ้นยอดขายในช่วงเปิดตัวโครงการใหม่อย่างเต็มที่ และเมื่อกู้ซื้อบ้านมือหนึ่งยังมีโอกาสได้วงเงินที่สูงกว่าการกู้ซื้อบ้านมือสองอีกด้วย

นอกจากนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ในปี 2567 นี้ พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ มือหนึ่งนั้น กว่า 4 ใน 5 (83%) เลือกเพราะอยากได้ที่อยู่อาศัยในสภาพใหม่ ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ไม่ต้องกังวลว่าบ้านจะทรุดโทรมหรือเจ้าของเดิมจะแอบซ่อนความเสียหายไว้ รองลงมา 67% ต้องการตกแต่งบ้านตามสไตล์ที่ชื่นชอบ ขณะที่ 66% มองว่าบ้านมือหนึ่งมีโปรโมชั่นต่าง ๆ มากกว่า ตอบโจทย์ในการวางแผนค่าใช้จ่าย ส่วน 59% มองว่ารูปแบบบ้าน/ห้องของโครงการเปิดใหม่มีความทันสมัยมากกว่า และ 56% มองว่าไม่มีประวัติหรือเหตุการณ์ร้าย/น่ากลัว ทำให้อุ่นใจและลดความกังวลไปได้ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นจุดเด่นของบ้านมือหนึ่งได้เป็นอย่างดี 

สอดคล้องกับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของชาวอาเซียนที่ให้บ้านมือหนึ่งเป็นตัวเลือกอันดับแรกเมื่อคิดซื้อที่อยู่อาศัย ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคในอาเซียนจากเว็บไซต์ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป (NYSE: PGRU) พบว่า ชาวมาเลเซีย 72% และชาวเวียดนาม 52% สนใจที่จะซื้อที่อยู่อาศัยมือหนึ่งมากที่สุด โดยมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐ ประกอบกับเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยของ 2 ประเทศนี้มีทิศทางเป็นบวกตามไปด้วยเช่นกัน

เปิดเช็กลิสต์เลือกซื้อบ้านใหม่อย่างไรให้ตรงปก ตรงใจ คลายกังวลสำหรับมือใหม่

การซื้อที่อยู่อาศัยถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญในชีวิต เนื่องจากบ้าน/คอนโดฯ มีราคาสูงจึงต้องใช้เวลาผ่อนชำระที่ยาวนาน การลงหลักปักฐานแต่ละครั้งจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ หากมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ในแวดวงอสังหาฯ มาก่อนอาจเกิดความกังวลใจได้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แนะนำเช็กลิสต์ในการเลือกซื้อบ้านมือหนึ่งสำหรับคนหาบ้านมือใหม่ ให้เริ่มต้นวางแผนการซื้อบ้านได้อย่างรอบคอบ พร้อมศึกษาปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนซื้อ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อบ้านมาก่อนสามารถก้าวสู่เส้นทางการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้อย่างราบรื่นและมั่นใจยิ่งขึ้น

  • สำรวจความพร้อมทางการเงิน คำนวณราคาบ้านที่กู้ได้ ปัจจัยสำคัญในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ อันดับแรกคือต้องรู้ความสามารถในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อช่วยวางแผนการเงินและกำหนดราคาบ้าน/คอนโดฯ ที่เหมาะกับงบได้ โดยสามารถคำนวณราคาที่อยู่อาศัยคร่าว ๆ ด้วยการใช้สูตร “(รายได้ต่อเดือน) X (60 เท่าของรายได้) = ราคาบ้านที่กู้ซื้อได้” เช่น รายได้ 30,000 บาท/เดือน x 60 = 1,800,000 บาท ซึ่งเป็นการคำนวณเบื้องต้นเพื่อให้ทราบวงเงินขั้นต่ำที่จะกู้ได้ ทั้งนี้ บางธนาคารอาจจะปรับจำนวนเท่าของรายได้ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์พิจารณาของแต่ละสถาบัน ซึ่งจะต้องประเมินความสามารถทางการเงินควบคู่ไปกับประมาณการหนี้สินของผู้กู้อีกครั้ง เมื่อผู้บริโภคทราบวงเงินกู้คร่าว ๆ แล้วจะสามารถใช้เป็นราคาตั้งต้นในการค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่สนใจ จากนั้นจึงเริ่มวางแผนเก็บเงินเพื่อใช้เป็นเงินดาวน์ประมาณ 10-20% ของราคาที่อยู่อาศัย 
  • เลือกประเภทที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ ที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทมีจุดเด่นและข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกันออกไป ผู้บริโภคควรพิจารณาว่าสมาชิกที่จะอาศัยด้วยมีใครบ้าง มีความต้องการในชีวิตประจำวันและมีไลฟ์สไตล์อย่างไร เช่น ต้องการสวนหย่อมเพื่อพักผ่อน ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง หรือเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นประจำ รวมทั้งผู้บริโภคมีแผนจะขยายครอบครัวในอนาคตหรือไม่ ซึ่งทำให้อาจต้องการพื้นที่มากขึ้นตามไปด้วย จากนั้นนำความต้องการที่มีมาเปรียบเทียบกับคุณสมบัติของบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดฯ ว่าประเภทไหนที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด
  • เปรียบเทียบความคุ้มค่าของคุณภาพวัสดุที่ใช้ ผู้บริโภคควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างหรือตกแต่ง ซึ่งวัสดุแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติและราคาแตกต่างกัน รวมไปถึงความคงทนในการใช้งาน เช่น วัสดุในห้องครัวแบบไหนที่ทนทาน ผนังเก็บเสียงได้ดีหรือไม่ หรือไม่ใช้พื้นลามิเนตในโซนที่เปียกน้ำบ่อยเพราะอาจบวมได้ง่าย ฯลฯ โดยผู้บริโภคสามารถสอบถามสเปกวัสดุต่าง ๆ กับพนักงานขายได้เมื่อเยี่ยมชมโครงการจริง และนำมาพิจารณาความคุ้มค่าด้านราคากับวัสดุที่ได้ ควบคู่ไปกับเรื่องความสวยงามว่าผลงานการก่อสร้างและตกแต่งที่โครงการมอบให้นั้นตอบโจทย์ตามที่คาดหวังหรือไม่
  • สำรวจส่วนกลางและระบบรักษาความปลอดภัย ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้บริโภคที่ให้ข้อมูลกับทาง DDproperty ผ่านแบบสำรวจฯ ออนไลน์ ถึง 79% เผยว่าส่วนกลางภายในโครงการที่อยู่อาศัยถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมาก ดังนั้นผู้บริโภคต้องสำรวจว่าส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกจากโครงการมีอะไรบ้าง และพิจารณาว่าสิ่งที่ได้รับเหมาะสมกับค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายหรือไม่ หรือมีส่วนไหนที่เกินความจำเป็น เพราะจะส่งผลต่อค่าบำรุงรักษาที่ต้องจ่ายตลอดการอยู่อาศัย   

นอกจากนี้ ระบบรักษาความปลอดภัยต้องมีครบทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและภายในที่อยู่อาศัยเอง โดยมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ เช่น มีระบบลิฟต์ล็อกชั้นสำหรับคอนโดฯ กล้องวงจรปิดทั่วทั้งโครงการ ใช้ระบบคีย์การ์ดในการเข้าออก ใช้กลอนประตูดิจิตอล (Digital Door Lock) รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ซึ่งล้วนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหากเทียบกับการช่วยป้องกันความเสียหายของผู้อยู่อาศัย ทั้งนี้ ชื่อเสียงที่ดีของนิติบุคคลยังมีส่วนช่วยสร้างความมั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับบริการที่ดีตลอดการอยู่อาศัย โดยสามารถสอบถามชื่อบริษัทนิติบุคคลของโครงการจากพนักงานขายได้เช่นกัน

  • ทำเลโครงการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เบื้องต้นผู้บริโภคควรสำรวจพื้นที่โครงการด้วยตนเองว่าในทำเลนั้นมีความเจริญในพื้นที่ ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพียงใด เช่น ใกล้ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งช็อปปิ้ง โรงพยาบาล สถานศึกษา ฯลฯ รวมทั้งมีระบบคมนาคมที่รองรับการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกหรือไม่ เช่น ใกล้รถไฟฟ้า BTS/MRT ใกล้ทางด่วน หรือสามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง นอกจากนี้ อีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือการสำรวจว่าทำเลที่โครงการตั้งอยู่นั้นอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขังเมื่อฝนตกหนักหรือไม่ และปัจจุบันมีการจัดทำระบบระบายน้ำช่วยรับมือและแก้ปัญหาที่ดีขึ้นแล้วหรือยัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจประสบปัญหานี้อีกครั้งในอนาคต
  • ตรวจสอบว่าโครงการปลอดข้อพิพาทหรือไม่ สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคไม่ควรมองข้ามก่อนตัดสินใจจองบ้าน/คอนโดฯ คือโครงการนั้นผ่านการอนุมัติรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment Report) เรียบร้อยแล้วหรือไม่ เนื่องจากบางโครงการอาจประกาศขายในระหว่างที่ยื่นขอ EIA อยู่ ซึ่งหากไม่ผ่านการอนุมัติจะส่งผลให้โครงการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนดหรือไม่สามารถก่อสร้างได้ และจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ทำการจองแล้วโดยตรง นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรค้นหาข้อมูลว่าโครงการที่สนใจนั้นมีข้อพิพาทหรือมีคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดหรือไม่ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของโครงการ ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถประกาศขายหรือทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างที่คิด
  • เลือกโปรโมชั่นจัดเต็ม อัปเลเวลความคุ้มค่า ปัจจุบันผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างงัดกลยุทธ์ออกมาเร่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ผ่านการจับมือกับพันธมิตรที่หลากหลายเพื่อนำเสนอโปรโมชั่น/แคมเปญการตลาดที่ครอบคลุมไลฟ์สไตล์มากขึ้น ประกอบกับการที่มีมาตรการอสังหาฯ จากภาครัฐมาช่วยสนับสนุน ทำให้เวลานี้ถือเป็นโอกาสทองสำหรับผู้วางแผนซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในช่วงปลายปีนี้ที่จะพิจารณาโครงการที่มีโปรโมชั่นดี ๆ มาช่วยให้ซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด สอดคล้องกับผลสำรวจที่ DDproperty จัดทำผ่านช่องทางออนไลน์ พบว่าโปรโมชั่นยอดนิยมที่ผู้วางแผนซื้อบ้าน/คอนโดฯ ต้องการมากที่สุด คือส่วนลด/ราคาพิเศษถึง 84% รองลงมาคือฟรีค่าส่วนกลางรายปี 76% และฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ 69% จะเห็นได้ว่า 3 อันดับแรกของโปรโมชั่นที่ผู้ซื้อบ้านต้องการจะเน้นไปที่ส่วนลดทางการเงินเป็นหลัก เนื่องจากช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายเมื่อซื้อบ้านใหม่ได้ตรงจุดมากที่สุด 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ได้ปล่อยแคมเปญล่าสุด “H.O.M.E. Campaign” แคมเปญที่ร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของไทย รวบรวมโครงการคุณภาพหลากหลายรูปแบบและระดับราคา เปิดโอกาสให้คนหาบ้านได้เลือกสรรที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์พร้อมเลือกโปรโมชั่นพิเศษที่โดนใจได้เอง เพียงลงทะเบียนซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่เข้าร่วมแคมเปญนี้โดยสังเกตได้จากริบบิ้นสีแดงและสีชมพูบนเว็บไซต์ DDproperty และทำการโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 รับสิทธิ์เลือกโปรโมชั่นพิเศษจาก 1 ใน 4 ของรางวัลสุดคุ้มได้ทันที มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท/รางวัล*

  1. Home: ฟรี! บัตรกำนัลมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท* สำหรับซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือบริการ Home Service จาก NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ ให้คุณเลือกช็อปปิ้งสินค้าเพื่อตกแต่งที่อยู่อาศัยในสไตล์ที่ชอบ
  2. Organise: ฟรี! จ่ายค่าส่วนกลางเพิ่มให้ 1 ปี ฟินได้เต็มที่กับส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวก (มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*)
  3. Manage: ฟรี! บริการเอเจนต์จากดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ช่วยให้คุณหาผู้ซื้อ/ผู้เช่าได้ง่ายขึ้น (จ่ายค่าคอมมิชชั่นให้มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*)
  4. Experience: ฟรี! คำแนะนำการจัดฮวงจุ้ยบ้าน/คอนโดฯ จากอาจารย์ฮวงจุ้ยชั้นนำ เสริมมงคลและพลังบวก (มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*)

สิทธิพิเศษมีจำนวนจำกัด! อย่าพลาดโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยช่วงโค้งสุดท้ายของปี ดูรายละเอียดและโครงการที่เข้าร่วมได้ทาง https://homecampaign.ddproperty.com หรือสังเกตโครงการที่มีริบบิ้น H.O.M.E. สีแดง (รางวัลมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*) และสีชมพู (รางวัลมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท*) บนเว็บไซต์ DDproperty.com

หมายเหตุ

  • *รางวัลของแคมเปญ “H.O.M.E. Campaign” มี 2 ระดับ คือระดับที่ 1 โครงการที่ติดริบบิ้นสีแดง รับรางวัลมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท/รางวัล และระดับที่ 2 โครงการที่ติดริบบิ้นสีชมพู รับรางวัลมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท/รางวัล
  • **ในการรับรางวัลจากแคมเปญนี้จะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด ยกเว้นค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่อาจเกิดขึ้นสำหรับบางรางวัลที่เลือกรับ (ถ้ามี) โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

Ericsson launches ‘EricssonEdge Academia Program’ to develop young telecom talent

Ericsson launches ‘EricssonEdge Academia Program’ to develop young telecom talent

Ericsson launches ‘EricssonEdge Academia Program’ to develop young telecom talent

Ericsson (NASDAQ: ERIC), a global leader in telecommunications, today announced the launch of the ‘EricssonEdge Academia Program’ that aims to revolutionize early career talent development in the telecom sector across Southeast Asia, Oceania, and India.

With rapid advancements in technologies such as 5G, AI and IoT, and studies showing that majority of the fastest growing roles worldwide are technology-related roles, Ericsson has created a talent development program to support young talent who will be joining the telecommunications sector and as part of Ericsson’s graduate recruitment across Southeast Asia, Oceania and India. 

The EricssonEdge Academia Program is designed to equip students with essential knowledge and skills in 5G, Cloud, and AI technologies, preparing them to thrive and lead in the evolving telecom landscape. Over the course of 6 months, the program will provide in-depth learning experiences to pre-final year students of over 40 top universities from India, Australia, Thailand, Indonesia, Singapore, Brunei, Philippines, Malaysia and Vietnam.

The program begins with a blend of in -person, instructor-led sessions led by Ericsson’s industry experts, and web-based learning modules in the second and third months. Regular assessments will be conducted to ensure continuous progress and understanding. These modules will enrich the participants’ experience, offering a comprehensive understanding of cutting-edge technologies and preparing them for careers in the telecom industry. Students who complete the program will be eligible for consideration for the Ericsson Graduate Recruitment Program in the region.

Priyanka Anand, Vice President and Head of People for Southeast Asia, Oceania & India at Ericsson, says, “The EricssonEdge Academia Program exemplifies how the industry can collaborate with academia to develop the next generation of telecom professionals. By equipping students with the skills they need to succeed, we are not only enhancing their career prospects but also ensuring the continued advancement and competitiveness of the industry.”

The program benefits both students and the broader telecom ecosystem by enhancing employability and advancing industry capabilities. By providing students with access to Ericsson educational content and direct exposure to industry leaders, the EricssonEdge Academia Program builds a strong foundation for a future-ready workforce.

”We are committed to shaping the future of ICT talent by engaging with students in their academic journey,’ says Anand. “The program sparks curiosity, drives innovation, and ignites a passion for technology.”

อีริคสันเปิดตัว ‘EricssonEdge Academia Program’ ตั้งเป้าพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

อีริคสันเปิดตัว 'EricssonEdge Academia Program' ตั้งเป้าพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

อีริคสันเปิดตัว 'EricssonEdge Academia Program' ตั้งเป้าพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ผู้นำด้านโทรคมนาคมระดับโลก ประกาศเปิดตัว ‘EricssonEdge Academia Program’ โครงการซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างอาชีพและพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่รองรับภาคโทรคมนาคมทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดีย

จากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ 5G, AI และ IoT และจากผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งงานด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญและเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก อีริคสันจึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่จะเข้าไปทำงานในภาคโทรคมนาคม พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการคัดสรรบัณฑิตของอีริคสันทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดีย

EricssonEdge Academia Program ได้รับการออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความรู้และเพิ่มพูนทักษะที่จำเป็นด้านเทคโนโลยี 5G, Cloud และ AI ให้กับนักศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตและก้าวเป็นผู้นำในภูมิทัศน์ของตลาดโทรคมนาคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง ตลอดระยะเวลา 6 เดือน โครงการนี้จะมอบประสบการณ์การเรียนรู้เชิงลึกให้กับนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 40 แห่ง จากอินเดีย ออสเตรเลีย ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม

โครงการนี้จะเป็นการผสมผสานการเรียนแบบตัวต่อตัวร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของอีริคสัน และการเรียนรู้แบบออนไลน์ช่วงเดือนที่สองและสาม ซึ่งจะมีการประเมินผลอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าบุคลากรจะได้รับความก้าวหน้าและมีความเข้าใจที่ต่อเนื่อง โดยการเรียนรู้ในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์แก่ผู้เข้าเรียน พร้อมยังนำเสนอความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับเทคโนโลยีและเตรียมพร้อมสำหรับอาชีพในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยนักศึกษาที่จบหลักสูตรจะมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาคัดสรรเป็นบัณฑิตในโครงการของอีริคสันในระดับภูมิภาค

ปริยันกา อานันท์ รองประธานและหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดียของอีริคสัน กล่าวว่า “EricssonEdge Academia Program เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาเพื่อมุ่งพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ๆ ในด้านโทรคมนาคม ด้วยการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นให้กับนักศึกษาเพื่อนำไปต่อยอดสู่ความสำเร็จ และเราไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสทางอาชีพให้กับพวกเขา แต่ยังเพิ่มความมั่นใจในด้านความก้าวหน้าและความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้อย่างต่อเนื่อง”

โครงการนี้เป็นประโยชน์ทั้งต่อนักศึกษาและระบบนิเวศโทรคมนาคมวงกว้าง โดยเพิ่มโอกาสการจ้างงานและพัฒนาขีดความสามารถในด้านอุตสาหกรรม การเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้ของอีริคสัน และได้สัมผัสโดยตรงกับผู้นำในอุตสาหกรรม โดย EricssonEdge Academia Program ได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับแรงงานที่พร้อมรับมือกับอนาคต

เรามุ่งมั่นกำหนดอนาคตของบุคลากรด้าน ICT ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมให้กับนักศึกษาบนเส้นทางด้านวิชาการของพวกเขา โครงการนี้จะช่วยจุดประกายการเรียนรู้ ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มการใฝ่รู้ด้านเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี” อานันท์ กล่าวเพิ่มเติม

Red Hat Enterprise Linux AI Now Generally Available for Enterprise AI Innovation in Production

วางตลาด Red Hat Enterprise Linux AI นวัตกรรม AI พร้อมใช้งานในองค์กร

Red Hat Enterprise Linux AI Now Generally Available for Enterprise AI Innovation in Production

RHEL AI combines open, more efficient models with accessible model alignment, extending the possibilities of AI innovation across the hybrid cloud

Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, today announced the general availability of Red Hat Enterprise Linux (RHEL) AI across the hybrid cloud. RHEL AI is Red Hat’s foundation model platform that enables users to more seamlessly develop, test and run generative AI (gen AI) models to power enterprise applications. The platform brings together the open source-licensed Granite large language model (LLM) family and InstructLab model alignment tools, based on the Large-scale Alignment for chatBots (LAB) methodology, packaged as an optimized, bootable RHEL image for individual server deployments across the hybrid cloud.

While gen AI’s promise is immense, the associated costs of procuring, training and fine-tuning LLMs can be astronomical, with some leading models costing nearly $200 million to train before launch. This does not include the cost of aligning for the specific requirements or data of a given organization, which typically requires data scientists or highly-specialized developers. No matter the model selected for a given application, alignment is still required to bring it in-line with company-specific data and processes, making efficiency and agility key for AI in actual production environments.

Red Hat believes that over the next decade, smaller, more efficient and built-to-purpose AI models will form a substantial mix of the enterprise IT stack, alongside cloud-native applications. But to achieve this, gen AI needs to be more accessible and available, from its costs to its contributors to where it can run across the hybrid cloud. For decades, open source communities have helped solve similar challenges for complex software problems through contributions from diverse groups of users; a similar approach can lower the barriers to effectively embracing gen AI.

An open source approach to gen AI

These are the challenges that RHEL AI intends to address – making gen AI more accessible, more efficient and more flexible to CIOs and enterprise IT organizations across the hybrid cloud. RHEL AI helps:

  • Empower gen AI innovation with enterprise-grade, open source-licensed Granite models, and aligned with a wide variety of gen AI use cases.
  • Streamline aligning gen AI models to business requirements with InstructLab tooling, making it possible for domain experts and developers within an organization to contribute unique skills and knowledge to their models even without extensive data science skills.
  • Train and deploy gen AI anywhere across the hybrid cloud by providing all of the tools needed to tune and deploy models for production servers wherever associated data lives. RHEL AI also provides a ready on-ramp to Red Hat OpenShift AI for training, tuning and serving these models at scale while using the same tooling and concepts.

RHEL AI is also backed by the benefits of a Red Hat subscription, which includes trusted enterprise product distribution, 24×7 production support, extended model lifecycle support and Open Source Assurance legal protections.

RHEL AI extends across the hybrid cloud

Bringing a more consistent foundation model platform closer to where an organization’s data lives is crucial in supporting production AI strategies. As an extension of Red Hat’s hybrid cloud portfolio, RHEL AI will span nearly every conceivable enterprise environment, from on-premise datacenters to edge environments to the public cloud. This means that RHEL AI will be available directly from Red Hat, from Red Hat’s original equipment manufacturer (OEM) partners and to run on the world’s largest cloud providers,including Amazon Web Services (AWS), Google Cloud, IBM Cloud and Microsoft Azure. This enables developers and IT organizations to use the power of hyperscaler compute resources to build innovative AI concepts with RHEL AI.

Availability

RHEL AI is generally available today via the Red Hat Customer Portal to run on-premise or for upload to AWS and IBM Cloud as a “bring your own subscription” (BYOS) offering. Availability of a BYOS offering on Azure and Google Cloud is planned in Q4 2024 and RHEL AI is also expected to be available on IBM Cloud as a service later this year. 

Red Hat plans to further expand the aperture of RHEL AI cloud and OEM partners in the coming months, providing even more choice across hybrid cloud environments.

Supporting Quotes

Joe Fernandes, vice president and general manager, Foundation Model Platforms, Red Hat

“For gen AI applications to be truly successful in the enterprise, they need to be made more accessible to a broader set of organizations and users and more applicable to specific business use cases. RHEL AI provides the ability for domain experts, not just data scientists, to contribute to a built-for-purpose gen AI model across the hybrid cloud, while also enabling IT organizations to scale these models for production through Red Hat OpenShift AI.”

Hillery Hunter, CTO and general manager of innovation, IBM Infrastructure

“IBM is committed to helping enterprises build and deploy effective AI models, and scale with speed. RHEL AI on IBM Cloud is bringing open source innovation to the forefront of gen AI adoption, allowing more organizations and individuals to access, scale and harness the powerof AI. With RHEL AI bringing together the power of InstructLab and IBM’s family of Granite models, we are creating gen AI models that will help clients drive real business impact across the enterprise.”

Jim Mercer, program vice president, Software Development, DevOps & DevSecOps, IDC

“The benefits of enterprise AI come with the sheer scale of the AI model landscape and the inherent complexities of selecting, tuning, and maintaining in-house models. Smaller, built-to-purpose, and more broadly accessible models can make AI strategies more achievable for a much broader set of users and organizations, which is the area that Red Hat is targeting with RHEL AI as a foundation model platform.”