ทรูมันนี่ เปิดแคมเปญ #เติมใจ ร่วมเติม ”พลังใจ” และ ”พลังกาย” ให้กันในยามวิกฤติ

ทรูมันนี่_เติมใจ

ทรูมันนี่ เปิดแคมเปญ #เติมใจ ร่วมเติม ”พลังใจ” และ ”พลังกาย” ให้กันในยามวิกฤติ

ทรูมันนี่ ชวนผู้ใช้ “เติมพลังใจ” ให้กันด้วยการส่งข้อความให้กำลังใจผ่านแอปฯ พร้อมร่วม “เติมพลังกาย” โดยกดรับสิทธิพิเศษ เพื่อรับสินค้าเครื่องดื่มและขนม ผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ ซึ่งรับชำระด้วย TrueMoney Wallet ที่ร่วมรายการ พร้อมรับเงินคืน 100%* สูงสุด 40 บาท

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดแคมเปญ #เติมใจ ชวนผู้ใช้ร่วมส่งกำลังใจผ่านการสร้างสรรค์ข้อความในภาพผ่านแอปฯ และแชร์เพื่อ “เติมพลังใจ” ให้กันในยามวิกฤติ พร้อมขอเชิญร่วม “เติมพลังกาย” โดยกดรับสิทธิพิเศษ เพื่อรับสินค้าเครื่องดื่มและขนมผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติซึ่งรับชำระด้วย TrueMoney Wallet ที่ร่วมรายการ พร้อมรับเงินคืน 100%* สูงสุด 40 บาท โดยก่อนหน้านี้ ทรูมันนี่ ได้สานกิจกรรม “เติมน้ำใจ” โดยบริจาคเงิน 1 ล้านบาท เพื่อสมทบทุนซื้อเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์กับมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทยในโครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน” ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ #เติมใจ เช่นกัน

ทั้งนี้ แคมเปญ #เติมใจ ประกอบไปด้วย 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่

    • เติมพลังใจ” : เชิญชวนผู้ใช้ส่งกำลังใจดี ๆ ให้กันโดยใส่ข้อความในภาพเพื่อทำเป็นอีการ์ดแชร์ต่อให้เพื่อน ๆ ครอบครัว หรือคนรักผ่านฟีเจอร์พิเศษในแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท ด้วยทรูมันนี่เชื่อว่าเวลานี้ “กำลังใจ” คือสิ่งสำคัญที่ช่วยเติมพลังบวกให้ทุกคนยืนหยัดต่อสู้กับวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน
    • “เติมพลังกาย” : ทรูมันนี่ จับมือ 6 พันธมิตรผู้ผลิตและจำหน่ายตู้ขายสินค้าอัตโนมัติซึ่งรับชำระด้วยทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่ร่วมรายการได้แก่ Bluemart, Sun Vending, Vending Plus, True Vending Machine, CP Retailink และ CP Ram รวมกว่า 10,000 ตู้ทั่วประเทศ ชวนผู้ใช้เติมพลังกายด้วยการกดรับสิทธิ์เพื่อไปรับสินค้าเครื่องดื่มและขนมจากตู้ และรับเงินคืน 100%* สูงสุด 40 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม ศกนี้ (หรือจนกว่าสิทธิ์จะเต็ม)
    • เติมน้ำใจ” : ทรูมันนี่ รวบรวมรายชื่อมูลนิธิและโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยโควิด-19 รวมทั้งเปิดช่องทางบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือมูลนิธิและโครงการเหล่านี้ผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท อาทิ การระดมทุนจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์และอุปกรณ์การแพทย์เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในการใช้ต่อลมหายใจผู้ป่วย ภายใต้โครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน” โดยมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ซึ่งได้ส่งมอบเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดไปแล้วบางส่วน โดยทรูมันนี่ยังเปิดรับบริจาคเพื่อซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมเนื่องจากยังคงมีโรงพยาบาลที่ขาดแคลน ทั้งนี้ ผู้มีจิตศรัทธาสามารถเข้าไปในแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อดูรายชื่อมูลนิธิและโครงการต่าง ๆ ที่สนใจเพื่อร่วมบริจาคได้

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1240 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.truemoney.com/termjai/

*หมายเหตุ:  

    • สิทธิมีจำนวนจำกัด
    • 1 บัตรประชาชน (เจ้าของบัญชีที่ได้รับการยืนยันตัวตน) ต่อ 1 สิทธิ์
    • ข้อกำหนดและเงื่อนไขการรับสิทธิ์เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ดูเพิ่มเติมได้ทาง https://www.truemoney.com/vending-termjai-terms-condition/
แคมเปญเติมใจ

ภาคการผลิตตบเท้าขึ้นเป็นผู้นำในการปรับระบบไอทีให้ทันสมัย

ภาคการผลิตตบเท้าขึ้นเป็นผู้นำในการปรับระบบไอทีให้ทันสมัย

ทวิพงศ์_Nutanix_นูทานิคซ์
บทความโดยนายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

อุตสาหกรรมการผลิตเป็นภาคส่วนที่มีความซับซ้อน และมักเข้าใจกันว่าเป็นเพียงสายพานลำเลียงที่ไหลไปตามสายการผลิต และมีพนักงานทำงานอยู่ด้านหลังเครื่องจักรขนาดใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว ภาคการผลิตเป็นตัวกำหนดรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างไรก็ตามระบบซัพพลายเชนต่าง ๆ ที่สนับสนุนการทำงานของภาคการผลิตกำลังถูกกดดันอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ปัจจุบันไอทีมีบทบาทสำคัญในการนำความทันสมัยมาสู่อุตสาหกรรมนี้ และช่วยให้ปรับตัวได้ทันความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

รายงานดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กรของนูทานิคซ์ ซึ่งทำการสำรวจบริษัททั่วโลกเป็นปีที่สาม (ECI report) พบว่า สามในสี่ (75 เปอร์เซ็นต์) ของผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตกล่าวว่าโควิด-19 ทำให้ไอทีได้รับการพิจารณาในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น และยังทำให้องค์กรเพิ่มการลงทุนกับระบบคลาวด์อย่างรวดเร็ว

สำหรับประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ที่มีเป้าหมายภายในปี 2579 ให้ภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ย
ไม่ต่ำกว่า 4.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี มีผลิตภาพการผลิตของปัจจัยการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และมีการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐและเอกชนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10 และ 7.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปีตามลำดับ

 

โควิด-19 เป็นแรงผลักที่เร่งให้นำไฮบริดและมัลติคลาวด์มาใช้เร็วขึ้น

รายงาน ECI ระบุว่า 87% ของผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในภาคการผลิตส่วนใหญ่เชื่อว่า โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์เป็นรูปแบบการทำงานด้านไอทีที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ ทั้งนี้อุตสาหกรรมการผลิตเป็นภาคส่วนที่ใช้ไฮบริดคลาวด์มากกว่าอุตสาหกรรมอื่นในปัจจุบัน (ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์)

ผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตยังได้รายงานว่ามีแผนเพิ่มการใช้งานไฮบริดคลาวด์ขึ้นอีกมากกว่าสองเท่าภายในสามปี และจะเพิ่มการใช้งานเป็นประมาณ 52 เปอร์เซ็นต์ภายในห้าปี การก้าวกระโดดสู่ความทันสมัยนี้จะพลิกโฉมแนวทางการทำงานแบบเดิม ๆ ของภาคการผลิต และเร่งการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นให้เร็วขึ้นในทุกบริบทของภาคอุตสาหกรรม แต่การเดินทางสู่ความสำเร็จนี้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากจากผู้นำด้านไอทีในอุตสาหกรรมนี้

เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ผู้นำในอุตสาหกรรมต่างมีภารกิจสำคัญในการพิจารณากระบวนการทางธุรกิจที่เป็นมาตรฐานต่าง ๆ เสียใหม่ โดยเฉพาะจะทำอย่างไรให้ปกป้องพนักงานจากโรคระบาดด้วยการต้องเว้นระห่างทางสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยังคงรักษาผลการปฏิบัติงานและผลผลิตไว้ให้ได้ด้วย

รายงาน ECI ทำให้เห็นได้ว่าผู้ผลิตต่างเชื่อมั่นว่า ไฮบริดและมัลติคลาวด์จะช่วยการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ได้ และผู้ตอบแบบสำรวจ กำลังใช้โมเดลนี้ด้วยเหตุผลเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจได้ดีขึ้น (62 เปอร์เซ็นต์) เพื่อสามารถควบคุมการใช้ทรัพยากรไอทีได้ดีขึ้น (60 เปอร์เซ็นต์) และเพื่อให้บริการต่อความจำเป็นต่าง ๆ ทางธุรกิจได้เร็วขึ้น (53 เปอร์เซ็นต์) เราอยู่ในยุคที่อุตสาหกรรรม 4.0 หรือการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่สี่กำลังดำเนินไป และการเปลี่ยนไปใช้ไฮบริดคลาวด์จะช่วยทำให้การทำงานหลังบ้านต่าง ๆ ในปัจจุบันเป็นอัตโนมัติ ทำให้ใช้ทรัพยากรไอทีต่าง ๆ น้อยลง และสามารถลงทุนในเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ทันสมัยอื่น ๆ ได้

Nutanix_ภาคการผลิต

โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) เป็นบริษัทในเครือของบริษัท โตโย ไซกัน กรุ๊ป โฮลดิ้ง ประเทศญี่ปุ่น บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกทั่วไป, ขวด PET สำหรับเครื่องดื่ม, ออกแบบและดำเนินงานด้านบรรจุภัณฑ์ และให้การสนับสนุนด้านเทคนิค รวมถึงบริการด้านการจัดการแก่กลุ่มบริษัทต่าง ๆ โตโย ไซกันได้เลือกใช้คลาวด์แพลตฟอร์มของนูทานิคซ์ทดแทนโครงสร้างพื้นฐานเดิม เพื่อสนับสนุนการก้าวสู่การผลิตอัจฉริยะ โซลูชันของนูทานิคซ์ช่วยให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงข้อมูลและแอปพลิเคชันจากระยะไกลได้จากทุกอุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถสำรองข้อมูล และคงความต่อเนื่องทางธุรกิจในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งยังช่วยเสริมความปลอดภัย และมอบระบบบริหารจัดการแบบอัตโนมัติ ในภาพรวม โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพไอทีได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ โดยสามารถกู้คืนไฟล์ได้ในเวลาน้อยกว่า 10 นาทีจากเดิมใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารายปีลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ และยังสามารถนำ IoT มาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

 

การเร่งเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและการเดินหน้าสู่ความสำเร็จ

แม้จะมีการเร่งผลักดันให้เปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์ แต่ธุรกิจในอุตสาหกรรมการผลิตยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้ ตัวเลขจากผลสำรวจ ECI ระบุว่า 15 เปอร์เซ็นต์ของผู้ผลิตทั่วโลกยังคงทำงานอยู่บนดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมที่ไม่ได้อยู่บนระบบคลาวด์

การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคการผลิตจะยังไม่สมบูรณ์จนกว่าธุรกิจในภาคส่วนนี้จะปรับวิธีการผลิตที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ การประกอบชิ้นส่วน และการให้บริการหรือส่งมอบผลิตภัณฑ์นั้นให้ถึงมือผู้บริโภค ไฮบริด มัลติคลาวด์มีฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สามารถเข้าไปช่วยกระบวนการดำเนินงานทั้งหมดได้ ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงระบบซัพพลายเชน การนำกระบวนการอัตโนมัติและเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น การนำหุ่นยนต์มาใช้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเพิ่มผลผลิตได้ ซึ่งเป็นการช่วยให้พนักงานมุ่งเน้นการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพอื่น ๆ มากกว่าที่จะต้องมาคอยดูเรื่องปริมาณหรือจำนวนของที่ผลิตได้ การผลิตอัจฉริยะที่มีสถาปัตยกรรมดิจิทัลอยู่เบื้องหลังยังไม่สมบูรณ์แบบมากนัก เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่ใช้เพียงเครื่องมือในการผลิตที่เป็นดิจิทัลเท่านั้น ผู้ตอบแบบสำรวจจากอุตสาหกรรมนี้จะดำเนินการทุกอย่าง และขจัดการติดตั้งใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมออกไป เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ประสบความสำเร็จ โดยผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขาจะเพิ่มการใช้ไฮบริดและมัลติคลาวด์มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ภายในห้าปีข้างหน้า

ข้อมูลจากโครงการศึกษาแนวทางการยกระดับผลิตภาพและสร้างมูลค่าของภาคเศรษฐกิจไทยด้วยหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล ระบุว่า เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล เป็นปัจจัยความสำเร็จหลักต่อการพัฒนา ทั้งนี้ข้อมูลจากการจัดลำดับปริมาณการใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมของ International Federation of Robotic (IFR) สำหรับปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมใหม่จำนวน 2,883 ยูนิต

นอกจากนี้สถาบันวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีผลการศึกษาการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการผลิตจากจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1,260 สถานประกอบการ โดย พบว่ามีผู้ประกอบการเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดและเชื่อมโยงการผลิตตลอดซัพพลายเชนผ่านระบบไอที ในขณะที่ 45 เปอร์เซ็นต์ มีการนำมาใช้บางจุดของกระบวนการผลิตแต่ยังไม่มีการเชื่อมต่อข้อมูล และ 31 เปอร์เซ็นต์ยังไม่มีการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาใช้ในการผลิต

การที่ธุรกิจในภาคการผลิตยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุถึงขีดความสามารถของอุตสาหกรรม 4.0 ธุรกิจต้องปรับปรุงระบบไอทีให้ทันสมัย ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ทรัพยากร และพลังงานที่จะใช้ในการอัปเกรดเครื่องมือทางกายภาพต่าง ๆ ของภาคการผลิต ปัจจุบันมีตัวอย่างหลากหลายที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไฮบริดและมัลติคลาวด์คือกลไกดิจิทัลที่ส่งเสริมให้ความพยายามนี้รุดหน้า

เติม “น้ำใจ” ต่อ “ลมหายใจ” คนไทยไม่ทิ้งกัน ทรูมันนี่บริจาค 1 ล้านบาท พร้อมขยายช่องทางรับบริจาคผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อสมทบทุนจัดซื้อ “เครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์”

ทรูมันนี่_TrueMoney Donation_มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย

เติม “น้ำใจ” ต่อ “ลมหายใจ” คนไทยไม่ทิ้งกัน ทรูมันนี่บริจาค 1 ล้านบาท พร้อมขยายช่องทางรับบริจาคผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อสมทบทุนจัดซื้อ “เครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์” มอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน ผ่านมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ในโครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน”

ขอเชิญร่วมเติมพลังใจให้ทีมบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ขั้นวิกฤติ

ทรูมันนี่ ร่วมกับ มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ในโครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน” ขยายช่องทางรับบริจาคผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อสมทบทุนจัดซื้อ “เครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์” (High-Flow Nasal Cannula Oxygen) และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ส่งมอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศ นำไปช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 โดยในการนี้ ทรูมันนี่ได้บริจาค 1 ล้านบาท ให้กับมูลนิธิฯ พร้อมดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้พนักงานของบริษัทฯ และผู้ใช้ร่วมบริจาคด้วยอีกทางหนึ่ง

นางสาวมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “พวกเราชาวทรูมันนี่ ขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าทุกท่านที่กำลังทำงานกันอย่างหนักเพื่อต่อลมหายใจผู้ป่วย ด้วยการบริจาคสมทบทุนจัดซื้อ “เครื่องช่วยหายใจแบบไฮโฟลว์” (High-Flow Nasal Cannula Oxygen) รวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นเพื่อมอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท ผ่านมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ในโครงการ “ทุก(ข์)ภัยไทยช่วยกัน” พร้อมเชิญชวนพนักงานและผู้ที่สนใจร่วมบริจาคผ่านช่องทางต่าง ๆ ของมูลนิธิฯ รวมถึงช่องทางบริจาคผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท โดยเงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์นี้ จะถูกมอบให้มูลนิธิฯ โดยไม่มีการหักค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยให้ทีมแพทย์และคนไทยทุกคนสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน”

คุณโกมล เมฆวัฒนา ประธานโครงการ “ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน” กล่าวว่า “คลื่นการระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ ทั้งรุนแรงและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนเป็นวงกว้าง โครงการ “ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน” จึงต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และภาคเอกชน เช่น ทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่จะอำนวยความสะดวกในการจัดหาช่องทางการบริจาคเพิ่มเติม เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการจัดหาเครื่องช่วยหายใจ ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตนี้ด้วยกันอย่างปลอดภัย โดยในเบื้องต้น ในการจัดหาและส่งมอบเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์ที่ยังจำเป็น เช่น ชุด PPE หน้ากาก N95 ให้กับโรงพยาบาลและหน่วยงานต่าง ๆ จนกว่าวิกฤตนี้จะคลี่คลาย”

นายแพทย์ประจักษวิช เล็บนาค ประธานมูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย กล่าวว่า “จากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างเช่นเครื่องช่วยหายใจจึงมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อช่วยในการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลงได้ โดยหวังว่าการระดมทุนของโครงการ “ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน” ในครั้งนี้จะช่วยให้มูลนิธิสามารถนำไปจัดหาเครื่องมือการแพทย์ที่จำเป็นและยังขาดแคลน เพื่อช่วยให้เราทุกคนสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างปลอดภัยต่อไป”

สำหรับผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคให้มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย ได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

I) ผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท : สามารถบริจาคได้ตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่ว่าคุณจะใช้มือถือของค่ายใด จะอยู่ที่บ้านหรือต่างจังหวัด ก็สามารถบริจาคได้ง่าย ๆ ผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet ใน 5 ขั้นตอนดังนี้

    1. ล็อกอินเข้าแอปฯ TrueMoney Wallet ในหมวด “บริการอื่น ๆ” เลือก “บริจาค”
    2. เลือกมูลนิธิที่ต้องการบริจาค (เลือก มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย)
    3. กรอกหมายเลขโทรศัพท์ และจำนวนเงินที่ต้องการบริจาค
    4. เลือกช่องทางการชำระเงิน กดยืนยันการชำระเงิน
    5. ทำรายการสำเร็จ รับใบเสร็จ

โดยผู้ใช้สามารถบริจาคโดยการเติมเงินเข้าวอลเล็ท ผูกบัญชีธนาคาร หรือผูกบัตรเครดิตกับบัญชีทรูมันนี่

II) บริจาคผ่านบัญชีออมทรัพย์ มูลนิธิหลักประกันสุขภาพไทย : ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เลขที่ 020198528890

สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ “ทุก(ข์)ภัย ไทยช่วยกัน” เพิ่มเติม กรุณาติดต่อผ่านทาง LINE OA: ทุกข์ภัยไทยช่วยกัน (https://lin.ee/WLd3xpj) หรือโทร 084-439-0105 และ 090-236-6515

เมืองไทยประกันชีวิต” ผนึก “ทรูมันนี่” ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีล่วงหน้า ผ่านแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” จ่ายเบี้ยครั้งเดียว คุ้มครองชีวิตนาน 11 ปี

ทรูมันนี่_MTL

เมืองไทยประกันชีวิต” ผนึก “ทรูมันนี่” ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีล่วงหน้า ผ่านแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” จ่ายเบี้ยครั้งเดียว คุ้มครองชีวิตนาน 11 ปี

ออมสบาย จ่ายสะดวก แบบ Cashless พร้อมรับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ มูลค่าสูงสุด 2,000 บาท

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) จับมือ ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สานต่อแคมเปญ “ออมสบาย จ่ายสะดวก ที่ TrueMoney Wallet ปีที่ 2”(1) ชวนคนไทยออมเงินและวางแผนลดหย่อนภาษี พร้อมอุ่นใจจากความคุ้มครองชีวิตผ่านแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” จ่ายเบี้ยครั้งเดียวแบบไร้เงินสดผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท รับความคุ้มครองชีวิต 11 ปี และผลประโยชน์รวมสูงสุด 112%(2) ตลอดสัญญา พร้อมรับสิทธิพิเศษ 2 ต่อภายหลังชำระเบี้ยประกัน มูลค่ารวมสูงสุด 2,000 บาท

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หลังจากความสำเร็จและการตอบรับที่ดีจากโครงการ “ออมสบาย จ่ายสะดวก ที่ TrueMoney Wallet” ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงสานต่อการมอบประสบการณ์ Cashless ในการชำระค่าเบี้ยประกันภัยผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท ในแคมเปญ “ออมสบาย จ่ายสะดวก ที่ TrueMoney Wallet ปีที่ 2”(1) โดยนำเสนอแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” ที่ให้ทั้งความคุ้มครองชีวิต ผลประโยชน์จากสัญญา และสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ให้สามารถวางแผนการออม(1) และวางแผนลดหย่อนภาษีได้อย่างเหมาะสม”

ทั้งนี้ แบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” เหมาะสำหรับคนที่ชอบความสะดวกสบาย จ่ายเบี้ยครั้งเดียว ได้รับความคุ้มครองชีวิต 11 ปี ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท(3) รับเงินจ่ายคืน 2%(2) ทุก 2 ปีกรมธรรม์ และรับผลประโยชน์รวมสูงสุดตลอดสัญญา 112%(2) โดยสามารถเลือกแผนความคุ้มครองย่อยได้ตามความต้องการได้ถึง 4 แผน ค่าเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 25,000 ไปจนถึง 100,000 บาท โดยสามารถชำระได้ทั้งวิธีการเติมเงินเข้าวอลเล็ทและผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ วอลเล็ท

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “นวัตกรรมในการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มจ่ายค่าเบี้ยประกันแบบไร้เงินสดของทรูมันนี่ วอลเล็ท กับ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ช่วยให้ผู้ใช้กว่า 19 ล้านรายของเราได้รับความสะดวกสบาย และสามารถเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการเลือกซื้อแบบประกันที่คุ้มค่า พร้อมรับสิทธิพิเศษอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งช่วยตอกย้ำความสำเร็จของทรูมันนี่ ในการขยายแพลตฟอร์มของเราไปสู่บริการด้านการเงินที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ต้องการออมเงิน(1) และสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการให้แก่ผู้ใช้ของเราได้อย่างตรงจุด”

ทั้งนี้ ลูกค้าที่สนใจแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” ของเมืองไทยประกันชีวิต สามารถ Log in เข้าแอปฯ TrueMoney Wallet และคลิกหมวด “ประกันภัย ออนไลน์” เลือกหมวด “ประกันสะสมทรัพย์” จะพบแบบประกัน “เมืองไทย อีซี่ แพลน 11/1” จากนั้นเลือกแผนความคุ้มครอง กรอกข้อมูลส่วนตัว และชำระค่าเบี้ยประกันภัย โดยสามารถชำระได้ทั้งวิธีการเติมเงินเข้าวอลเล็ทและชำระผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับ TrueMoney Wallet พร้อมสิทธิพิเศษ 2 ต่อ

    • ต่อที่ 1: บัตรกำนัลเซ็นทรัล(4) มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท จัดส่งตรงถึงบ้านภายใน 60 วันหลังชำระเบี้ยประกันผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฎาคม 2564
    • ต่อที่ 2: รับเครดิตเงินคืน 1%(5) ของยอดชำระเบี้ยประกัน หรือสูงสุด 1,000 บาท เข้าบัญชีทรูมันนี่ วอลเล็ทภายใน 25 วัน หลังชำระเบี้ยประกันผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 ธันวาคม 2564

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดย บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โทร. 1766 หรือ สอบถามรายละเอียดสิทธิพิเศษการรับเครดิตเงินคืนเข้าบัญชีทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ที่ TrueMoney Call Center โทร. 1240

หมายเหตุ

(1) เป็นการออมในรูปแบบประกันชีวิต

(2) ผลประโยชน์เป็น % ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มมีผลคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย

(3) หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด

(4) เงื่อนไขการส่งเสริมการขายเป็นไปตามที่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กำหนด

(5) เงื่อนไขการส่งเสริมการขายเป็นไปตามที่ บริษัท ทรูมันนี่ จํากัด กำหนด

– เงื่อนไขการส่งเสริมการขายเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

– เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด

– การพิจารณารับประกันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กำหนด

คำเตือน: ผู้สนใจควรศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้น ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง